กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 935.3 ข้าคือเจ้าแห่งวิถีบูรพา (สี่)
บนใบหน้าของจิ้นชิงปรากฎรอยยิ้ม หุบพัดพับเข้าด้วยกัน กำไว้ในมือ ทอดสายตามองไกลไปยังขุนเขาสายน้ำ เอ่ยเสียงเบาว่า “ผู้ที่ยืนอยู่เคียงข้างความยุติธรรม ย่อมได้รับการสนับสนุนจากคนมากมาย”
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็พาชิงถงไปเยือนขุนเขาตะวันออกและขุนเขาตะวันตก
ซานจวินทั้งสองท่านนับว่ายังเกรงใจกันอยู่ เปิดประตูต้อนรับแขก ถึงขั้นยังจัดงานเลี้ยงต้อนรับเฉินผิงอัน
แต่พอได้ยินจุดประสงค์การมาเยือนของเฉินผิงอัน ผลลัพธ์สุดท้ายก็คือคำกล่าวสองแบบที่มีความหมายเดียวกัน
คนหนึ่งพูดจาค่อนข้างละมุมละม่อม ซานจวินขุนเขาตะวันออกผู้นั้นยิ้มเอ่ยว่าเรื่องนี้ผิดต่อเจตนารมณ์ของตัวเอง คงต้องให้อิ่นกวานมาเสียเที่ยวแล้ว
ส่วนซานจวินขุนเขาตะวันตกบอกว่า ใบถงทวีปที่ใจคนเละเทะแห่งนั้นก็เหมือนดินโคลนเละๆ กองหนึ่งที่จับปั้นไม่ได้ เจ้าขุนเขาเฉินท่านเคยเห็นใครเอาธูปไปปักในโคลนเละๆ บ้างเล่า?
ชิงถงพึมพำ “ซานจวินของแจกันสมบัติทวีปยังเป็นเช่นนี้ อย่างมากก็แค่ไม่ให้เจ้าต้องกินน้ำแกงประตูปิด จะดีจะชั่วก็ยังเข้าไปในภูเขาได้ ยังเลี้ยงน้ำชาเจ้าถ้วยหนึ่ง ทว่าห้ามหาบรรพตของขุนเขากลางต่อจากนี้ ซานจวินทั้งห้าท่านมีแต่จะวางมาดใหญ่ยิ่งกว่า ทีนี้จะทำอย่างไร?”
เมื่อเทียบกับคราวก่อนที่ชิงถงโดนจูงจมูกเดินไปตลอดทางแล้ว การท่องความฝันออกเดินทางไปเยือนกลุ่มเทือกเขาในครั้งนี้ ต้องไปพบเจอใครที่ไหนบ้าง เฉินผิงอันล้วนบอกกล่าวให้ชิงถงรู้ชัดเจน
คนชุดเขียวเหยียบย่างอยู่บนความว่างเปล่า รอบด้านคือแสงแก้วใสประหนึ่งฝันประหนึ่งภาพมายา คือทัศนียภาพมหัศจรรย์แปลกตาที่มีเพียงการเดินลุยน้ำของแม่น้ำแห่งกาลเวลาเท่านั้นที่ถึงจะพบเจอได้
เฉินผิงอันเอ่ยด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “เรือมาถึงสะพานย่อมต้องหาที่จอด เดินไปก้าวหนึ่งก็ดูกันไปก้าวหนึ่ง ยังจะทำอย่างไรได้อีก”
ชิงถงถาม “เจ้าไม่รู้สึกอัดอั้นสักนิดเลยหรือ?”
คำถามนี้ทำให้เฉินผิงอันกลั้นหัวเราะไม่อยู่ เขาใช้สองมือขยี้ข้างแก้ม “ชิงถง เจ้าอยู่บนยอดเขามานานเกินไปแล้ว นอกจากคิดถึงผู้ฝึกกระบี่ถึงจะทำให้เจ้าคับอกคับใจแล้ว หากเจ้ายินดี ข้าก็สามารถช่วยบอกกล่าวกับทางศาลบุ๋นให้เจ้าได้ ข้าไม่มีความสามารถพอที่จะขออนุญาตให้เจ้าเดินทางไปเที่ยวเยือนทวีปใดก็ได้ แต่หากจะให้เจ้าออกจากหอสยบปีศาจไปเที่ยวเยือนที่ใดก็ได้ในหนึ่งทวีป ข้ากลับพอจะมีความมั่นใจอยู่บ้าง”
“หากว่ามีความคิดเช่นนี้ ข้าจะบอกศาลบุ๋นด้วยตัวเองไม่ได้หรือไร?”
“ข้ามีสหายคนหนึ่งเคยบอกไว้ว่า คนเราอย่าได้ถูกหน้าตาศักดิ์ศรีจูงให้เดิน”
“อีกอย่าง อย่าได้รู้สึกว่าปรมาจารย์มหาปราชญ์เคยมาเป็นแขกที่หอสยบปีศาจครั้งหนึ่งแล้วเจ้าจะทำอะไรได้จริงๆ”
“วงการขุนนางภูเขาสายน้ำก็คือการฝึกตนในที่ว่าการ กฎระเบียบช่องทางมีมากมาย ขุนนางในอำเภอไม่สู้ขุนนางในพื้นที่ หลักการเหตุผลข้อนี้ล้วนเหมาะจะนำมาใช้เหมือนกัน เจ้าจะเอาแต่ถ่ายทอดโองการปลอม พูดจาเหลวไหลกับฝั่งศาลบุ๋น บอกว่าปรมาจารย์มหาปราชญ์ตอบตกลงเรื่องนี้อยู่เรื่อยก็คงไม่ได้กระมัง? ถ้าอย่างนั้นเจ้าลองว่ามาสิ หากไม่พูดถึงเจ้าลัทธิหลักและรองสามท่านของศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง ผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการของสถานศึกษาที่เจ้าไม่สนิทด้วยสักคน แม้แต่หน้าก็ยังไม่เคยพบเจอกันมาก่อน ถ้าอย่างนั้นพูดถึงแค่สถานศึกษาในพื้นที่สามแห่งของใบถงทวีปอย่างต้าฝู เทียนมู่ อู่ซี บวกกับอริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปที่นั่งพิทักษ์ม่านฟ้า เจ้ารู้จักใครบ้าง? ดังนั้นอย่าว่าแต่ยอมแหกกฎช่วยพูดจาดีๆ ขอร้องแทนเจ้าเลย คาดว่าเรื่องบางอย่างที่เดิมทีจะทำหรือไม่ทำก็ได้ก็มีแต่จะกลายเป็นว่าทำไม่ได้แล้ว”
“เมื่อครู่ข้าเป็นคนเปิดปากพูดก่อน ก็แค่เป็นเรื่องเล็กที่เจ้าต้องพยักหน้าตอบตกลงเหมือนผลักเรือตามกระแสน้ำ แต่หากอ้อมผ่านข้าไป จากนั้นไปโดนศาลบุ๋นปฏิเสธซ้ำอีกที หน้าตาศักดิ์ศรีที่เจ้าต้องเสียไปจะไม่ยิ่งมากกว่านี้หรอกหรือ”
“มนุษย์เรานี่นะ ฝึกตนบนภูเขาก็ดี ใช้ชีวิตอยู่ล่างภูเขาก็ช่าง ก็แค่ว่าอยากมีหน้ามีตาในทุกหนทุกแห่งยามอยู่นอกบ้านเท่านั้น แต่จะเอาแต่มีชีวิตเพียงเพื่อหน้าตาศักดิ์ศรีไม่ได้ ไม่จัดการเรื่องหยุมหยิมจิปาถะข้างมือให้ดี แสวงหาสิ่งที่จับต้องได้จริงท่ามกลางภาพมายายากดั่งเดินขึ้นสวรรค์ แต่แสวงหามายาหลังจากรูปธรรมแล้วกลับง่ายเหมือนเดินลงจากภูเขา ใช่หลักการเหตุผลข้อนี้หรือไม่?”
ชิงถงไร้คำพูดตอบโต้
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตอนนี้บรรยากาศออกจะกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง เจ้าสามารถพูดตอบด้วยประโยคว่า ‘พอจะมีเหตุผลอยู่บ้าง’ ได้”
ชิงถงกล่าว “ชอบใช้เหตุผลขนาดนี้เชียวหรือ?”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม “นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่เคยเจอกับสหายคนหนึ่งของข้า ใช่แล้ว เขาจะเข้าร่วมงานพิธีของสำนักเบื้องล่างด้วย ตอนนี้ก็น่าจะไปถึงภูเขาเซียนตูแล้ว วันหน้าข้าจะให้เขามาเป็นแขกที่จวนของเจ้า เจ้าก็ถือเสียว่าไว้หน้าข้าหน่อยได้ไหม?”
ชิงถงถาม “ใคร?”
สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเจ้าจะให้ใครมาเป็นแขก
เฉินผิงอันกล่าว “คือหลิวจิ่งหลงเจ้าสำนักกระบี่ไท่ฮุย เป็นคนที่เชี่ยวชาญการใช้เหตุผลทั้งยังชอบดื่มเหล้าอย่างมาก บอกไว้ก่อนว่าสหายของข้าคนนี้คอแข็งไร้ศัตรูเทียมทาน เหล้าเซียนที่เก็บไว้ในหอสยบปีศาจมีอยู่เยอะหรือไม่?”
ผู้ฝึกกระบี่ในใต้หล้านี้มีน้อยคนนักที่จะไม่ชอบดื่มสุรา ชิงถงเอ่ย “เคยได้ยินชื่อของคนผู้นี้มาก่อน ดูเหมือนว่าทุกวันนี้ขอบเขตจะไม่สูง ยังเป็นแค่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งกระมัง?”
เฉินผิงอันจุ๊ปาก “ขอบเขตไม่สูง?”
หากหลิวจิ่งหลงเป็นผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ คาดว่าเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก็น่าจะถ่ายทอดเวทกระบี่ให้เขาด้วยตัวเองแล้ว
พูดถึงแค่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นของหลิวจิ่งหลงก็ต้องถูกคฤหาสน์หลบร้อนประเมินให้อยู่ในขั้น ‘หนึ่งบน’ แน่นอน นี่ยังเป็นเพราะว่าระดับขั้นที่สูงที่สุดมีแค่หนึ่งบนเท่านั้นด้วย
จำต้องยอมรับว่าเมื่ออยู่กับผู้ฝึกตนใหญ่บนยอดเขาอย่างชิงถงผู้นี้ อยู่ด้วยกันนานเข้าจริงๆ กลับผ่อนคลายสบายอารมณ์อย่างมาก
ลองย้อนไปมองพวกคนอื่นๆ อย่างเจ้าอารามผู้เฒ่าของอารามกวานเต๋า เจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาว อู๋ซวงเจี้ยงแห่งตำหนักสุ้ยฉู…
หากจะบอกว่าพวกเขามีสถานะเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ ถ้าอย่างนั้นต่อให้เป็นเผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่ที่มีขอบเขตบินทะยาน การถามกระบี่ท่ามกลางสายฝนที่มาเยือนอย่างกะทันหันครั้งนั้น แรงกดดันที่เผยหมิ่นมอบให้เฉินผิงอัน ชิงถงก็ยังมิอาจเทียบเคียงได้
เกี่ยวกับเรื่องที่หลิวจิ่งหลงจะมาเป็นแขก ชิงถงทั้งไม่ได้ปฏิเสธแล้วก็ไม่ได้ตอบตกลง เพียงแต่พอคิดถึงคนเฝ้าประตูที่ปักปิ่นเต๋าอยู่ตรงตีนเขาของภูเขาลั่วพั่วคนนั้น ชิงถงก็ยังอดไม่ไหว ถามคำถามประหลาดด้วยเสียงสั่นเครือซึ่งไม่อาจควบคุมได้ “เขาคือเขาจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “เจ้าลองเดาดูสิ”
ชิงถงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แค่นเสียงเย็นหนึ่งที แล้วก็ไม่กล้าซักไซ้ต่ออีก
ผู้ฝึกกระบี่ ผู้ฝึกกระบี่ พูดจาหรือลงมือทำ แต่ละคนต่ำช้าไม่แพ้กันเลยจริงๆ
เฉินผิงอันหัวเราะร่า “ทำไมยังด่าคนอีกเล่า”
ชิงถงสีหน้ามืดทะมึน “เจ้าได้ยินเสียงในใจของข้าด้วยหรือไร?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ลองเดาอีกที”
โทสะของชิงถงพวยพุ่ง “แค่พอสมควรก็พอแล้วนะ!”
เฉินผิงอันยิ้มรับ เงียบไปพักหนึ่งก็ถามอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุว่า “เจ้าว่าคำพูดที่พูดออกจากปากของพวกเรา ล้วนไปหล่นอยู่ที่ใด?”
คงเพราะไม่คาดหวังว่าจะได้รับคำตอบอะไรมาจากชิงถง เฉินผิงอันจึงถามเองตอบเองว่า “จะเหมือนกระจกสองบานที่ส่องเข้าหากันหรือไม่?”
ขุนเขาใต้
กำลังอยู่ในช่วงที่ฝนเม็ดเล็กพร่างพรมบรรยากาศขมุกขมัวพอดี เม็ดฝนเย็นเยียบตกยาวลงมาเป็นสาย เส้นทางภูเขาเป็นดินโคลนเฉอะแฉะ คนที่อยู่นอกภูเขามองไกลๆ มาด้วยความกลัดกลุ้ม
ฟ่านจวิ้นเม่าซานจวินหญิงกวาดตามองไปรอบด้าน คาดไม่ถึงว่าตัวเองจะอยู่ในศาลาที่ใช้รับรองแขกคราวก่อน “ต่างก็พูดกันว่าตอนกลางวันคิดถึงตอนกลางคืนจึงจะฝันถึง นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
ฟ่านจวิ้นเม่าเอาสองมือไพล่หลัง เดินวนไปรอบร่างของคนชุดเขียว จุ๊ปากพูดกลั้วหัวเราะ “มีแค่สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำเท่านั้นที่จะเข้าฝันคนอื่นได้ เจ้ากลับดีนัก ว่ามาเถอะ มาพบข้ามีเรื่องอะไร ทำท่าทางลับๆ ล่อๆ จะให้ข้าก่อเมฆร่ายฝนกับเจ้าหรือ?” (สามารถเปรียบเปรยได้ถึงการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายและหญิง)
ฟ่านจวิ้นเม่าเหล่ตามองชิงถง “คนผู้นี้? นางมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่จะเป็นส่วนเกินหรือไม่?”
ฟ่านจวิ้นเม่าแสร้งทำท่ากระจ่างแจ้ง “เข้าใจแล้วๆ ใต้เท้าอิ่นกวานชอบรสชาติจัดจ้านไปสักหน่อยนะ”
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “พูดจบแล้ว?”
ฟ่านจวิ้นเม่าเก็บสีหน้ามีเลศนัยกลับคืน หยุดเดิน นั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาว ถามว่า “ก่อนหน้านี้เห็นภาพเหตุการณ์ผิดปกติที่ป๋ายอวี้จิงจำลอง เกี่ยวข้องกับเจ้าสินะ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า ไม่ได้ปฏิเสธ
ฟ่านจวิ้นเม่าจุ๊ปากด้วยความประหลาดใจ ต่างก็พูดกันว่าสันดอนเปลี่ยนง่ายสันดานเปลี่ยนยาก ไอ้หมอนี่สมกับเป็นกุมารแจกทรัพย์จริงๆ
สิ่งเดียวที่ต่างออกไปก็คือสถานะ ก็เหมือนกับคำกล่าวที่ว่าจากลากันสามวันต้องหันมามองกันเสียใหม่นี่นะ
ฟ่านเอ้อผู้เป็นน้องชายยังคงเป็นคนโง่ที่มีโชคของคนโง่อยู่เหมือนเดิม
ฟ่านจวิ้นเม่าเอนหลังพิงราวรั้ว ยกขานั่งไขว่ห้าง สองแขนวางพาดขวางไปบนราว เดิมทีมีท่าทีเกียจคร้าน แต่พอได้ยินคัมภีร์การค้าบทนั้นของเฉินผิงอัน ฟ่านจวิ้นเม่าก็มีสีหน้าสดใสแช่มชื่น การค้ายุติธรรม พอจะได้กำไรก้อนเล็กๆ มาก้อนหนึ่ง!
โอ้โห คิดไม่ถึงว่าวันนี้เป็นวันสามสิบของสิ้นปีแล้ว ยังจะถือว่าเป็นปีที่ดีอีกปีหนึ่งด้วยหรือ?
ส่วนผู้ฝึกตนที่สวมชุดสีมรกตสวมหมวกคลุมหน้าไม่กล้าพบเจอคนผู้นั้น ฟ่านจวิ้นเม่าไม่คิดจะมองให้เต็มๆ ตา เพราะมองออกได้ในปราดเดียวว่าอีกฝ่ายมีชาติกำเนิดที่ต่ำต้อยอย่างถึงที่สุด
เพราะถึงอย่างไรนอกจากสถานะซานจวินที่เอาออกหน้าออกตาได้แล้ว ฟ่านจวิ้นเม่ายังมีประวัติความเป็นมาที่ถูกอำพรางไว้อีกอย่างหนึ่ง
เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานแล้วอย่างไร? ก็แค่มดตัวหนึ่งที่ตัวค่อนข้างใหญ่เท่านั้น
ก็เหมือนอย่างจื้อกุยผู้นั้น คือมังกรที่แท้จริงแล้วอย่างไร หากอยู่ในยุคบรรพกาลเมื่อหมื่นปีก่อน ก็ยังเป็นแค่แมลงเลื้อยคลานที่ลำตัวค่อนข้างยาวตัวหนึ่งเท่านั้นไม่ใช่หรือ
ปีนั้นบุคคลชั้นสูงสุดหาตัวฟ่านจวิ้นเม่าที่สติปัญญาเปิดออกจนจำตัวตนในอดีตของตัวเองได้พบ แต่เพียงแค่เพราะฟ่านจวิ้นเม่าพูดผิดไป อีกฝ่ายขาดก็แค่ไม่ได้ใช้กระบี่ฟันนางให้ตายเท่านั้น แต่ฟ่านจวิ้นเม่ากลับยังอารมณ์ดีปลาบปลื้มอยู่เหมือนเดิม
ต้องรู้ว่าในสรวงสวรรค์บรรพกาล อันที่จริงตำแหน่งเทพของฟ่านจวิ้นเม่าก็ไม่ได้ต่ำ ถือว่าเป็นรองแค่บุคคลอันดับสูงสิบสองท่านเท่านั้น
ชิงถงลอบกลืนน้ำลาย เพราะพอจะวิเคราะห์รากฐานของคนผู้นี้ออก ไม่ใช่ว่าสายตาของชิงถงเฉียบแหลมอะไร แต่เป็นเพราะหลังจากที่ฟ่านจวิ้นเม่ากลายเป็นซานจวินหญิง นางก็กลับคืนสู่รูปโฉมเดิมของตัวเองในอดีตส่วนหนึ่งคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนา แล้วบังเอิญกับที่ชิงถงเคยมองเห็นนางไกลๆ ครั้งหนึ่ง จึงจดจำได้อย่างลึกซึ้ง
บางทีผู้ฝึกตนเผ่ามนุษย์ที่เป็นขอบเขตบินทะยานเหมือนกัน แต่ ‘อ่อนเยาว์’ กว่า หรืออาจถึงขั้นทั้งตบะและพลังพิฆาตล้วนต่ำกว่าชิงถง สายตาที่ใช้มอง ‘ฟ่านจวิ้นเม่า’ ซึ่งเป็นกากเดนแห่งวิถีเทพก็อาจจะมีสายตาอีกอย่างหนึ่งที่ต่างไปอย่างสิ้นเชิง
เฉินผิงอันมองฟ่านจวิ้นเม่า ยิ้มเอ่ย “เมื่อหมื่นปีก่อนก็เป็นสายตาเช่นนี้ หมื่นปีให้หลังก็ยังเหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน ร่างทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่หล่อหลอมอย่างยากลำบากมาตลอดชีวิตนี้จะมีไปเพื่ออะไรล่ะ”
อยู่กับเฉินผิงอัน ชิงถงได้ยินคำพูดที่เหมือนเล่นทายคำปริศนาและคำเหน็บแนมคนอื่นมาจนชินแล้ว ทันใดนั้นก็พลันรู้สึกซาบซึ้งใจเล็กน้อย รู้สึกปรับตัวไม่ทันอยู่บ้าง
ฟ่านจวิ้นเม่าจ้องผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่พูดจาวางโตไม่ยำเกรงผู้นี้เขม็ง สายตาของนางเย็นชาดุจน้ำแข็ง สีหน้าเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ทว่าครู่หนึ่งต่อมากลับคลี่ยิ้มกว้าง พยักหน้ารับรัวๆ “อิ่นกวานมีตำแหน่งขุนนางใหญ่ ใครตำแหน่งขุนนางใหญ่คนนั้นก็มีสิทธิ์มีเสียง”
ฟ่านจวิ้นเม่าคล้ายกับตัดสะบั้นความเชื่อมโยงกับตัวเองในนาทีก่อนหน้านี้ไปอย่างสิ้นเชิง นางยิ้มถามว่า “อยากให้ข้าเรียกฟ่านเอ้อมาหาไหม?”
เฉินผิงอันเองก็เหมือนจะมีสภาพการณ์คล้ายๆ กัน ส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “ไม่ต้อง วันหน้าเมื่อข้าเดินทางจากใบถงทวีปกลับบ้านเกิดจะต้องไปดื่มเหล้ากับเขาแน่”
แววตาของฟ่านจวิ้นเม่าคลุมเครือ “ดื่มเหล้าเคล้านารีหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “นายท่านใหญ่สองคนก็แค่ดื่มเหล้าเคล้านารีเท่านั้น จะมีปัญหาอะไรได้”
ท่ามกลางหมู่มวลบุปผาฝูงสกุณา ข้านั่งตัวตรงอย่างสำรวม แบบนี้จะไม่ยิ่งดูว่ามีตบะหนักแน่นมากกว่าเดิมหรอกหรือ
ฟ่านจวิ้นเม่าไม่เชื่อถืออย่างเห็นได้ชัด หลุดหัวเราะพรืดเอ่ยว่า “จริงหรือ? คิดจะตบหน้าสวมรอยเป็นคนอ้วนให้ข้าดูหรือไร?”
ในฐานะซานจวินของมหาบรรพตแห่งหนึ่ง ย่อมเคยได้ยินเรื่องราวของเถ้าแก่รองแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่มาไม่น้อย
เฉินผิงอันกล่าว “มีอะไรจริงไม่จริงกัน”
ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ มีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าข้าเฉินผิงอันอยากดื่มเหล้าก็ได้ดื่มเหล้า อยากกลับจวนหนิงเมื่อไหร่ก็กลับได้เมื่อนั้น
หนิงเหยาเคยขัดขวางสักครั้งไหม? เคยพูดอะไรสักครึ่งคำไหม? ไม่เคยเลย
พวกเจ้าที่เป็นคนนอกจะรู้กะผายลมอะไร
อันที่จริงเกี่ยวกับสุราที่ผิดนัดกันมาหลายปีมื้อนี้ ตอนที่เฉินผิงอันอยู่เมืองหลวงต้าหลี เคยได้…รายงานให้หนิงเหยารู้อย่างว่านอนสอนง่ายแล้ว
บอกว่าครั้งแรกที่ตนเดินทางผ่านนครมังกรเฒ่า ได้เจอกับฟ่านเอ้อก็ถูกชะตากันทันที บวกกับที่ตอนนั้นตนอายุยังน้อยไม่รู้ความ ไม่อาจทัดทานเจ้าทึ่มฟ่านเอ้อได้ เลยรับปากกับเขาว่าจะดื่มเหล้าเคล้านารีกับเขาสักครั้ง
แน่นอนว่าคำว่าดื่มเหล้าเคล้านารี อย่างมากก็แค่มีสตรีมานั่งดีดพิณบรรเลงเพิ่มความบันเทิงให้อยู่ข้างๆ เท่านั้น
ฟ่านจวิ้นเม่าถามชวนคุย “ไปเยือนภูเขาตะวันออกกับตะวันตกมาแล้วหรือ?”
เว่ยป้อที่อยู่ขุนเขาเหนือนั้นไม่ต้องพูดถึง เขาก็คือคนครอบครัวเดียวกันกับเฉินผิงอัน นอกจากนี้ภูเขาลั่วพั่วยังมีเรือข้ามฟากเฟิงยวนที่ได้มาจากราชวงศ์เสวียนมี่แผ่นดินกลางอยู่ลำหนึ่งที่จะไปจอดเทียบท่าที่ท่าเรือของขุนเขากลาง นี่ก็หมายความว่าเฉินผิงอันมีการคบค้าอยู่กับจิ้นชิงแล้ว
เฉินผิงอันพยักหน้า “ล้วนไม่สำเร็จ”
ฟ่านจวิ้นเม่ารู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นอยู่บ้าง “ก็ยังโชคดีที่เจ้าขุนเขาเฉินมีตำแหน่งอิ่นกวานที่สถานะชวนให้คนหวาดเกรง ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของซานจวินบางคนแล้วคงต้องไล่แขกทันทีแน่นอน”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “สถานะอิ่นกวานนี้ของข้า เจ้าเป็นคนมอบให้หรือไร?”
ฟ่านจวิ้นเม่าหัวเราะดังลั่น ยกมือขึ้น ในมือก็มีกาเหล้าใบหนึ่งโผล่มา นางแกว่งกาเหล้าเบาๆ
ตอนนั้นที่ทั้งสองฝ่ายได้พบเจอกันคือตอนอยู่บนเส้นทางการเดินเรือของเส้นทางมังกรเดินใต้ดิน เรือสองลำแล่นสวนผ่านกันไป เคยถูกฟ่านจวิ้นเม่าเอามาหยอกล้ออยู่ครั้งหนึ่ง
พูดให้ถูกต้องก็คือ ตอนนั้นทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายคือคนโง่
เฉินผิงอันกล่าว “เหล้าคงไม่ดื่มแล้ว เพราะต้องออกเดินทางต่อ”
ฟ่านจวิ้นเม่าไม่มีท่าทีว่าจะรั้งแขกเอาไว้ เพียงเอ่ยว่า “ตัดใจทิ้งบุญกุศลมากมายขนาดนั้นได้ลง การกระทำนี้แทบไม่ต่างจากการสลายมรรคาเล็กๆ ครั้งหนึ่งแล้ว”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ได้มาจากฟ้าดินก็คืนให้กับฟ้าดิน เจ้าคิดว่าเป็นการสลายมรรคา แต่ข้ากลับรู้สึกว่าเป็นการ…”
ผสานมรรคา
เพียงแต่ว่าคำศัพท์คำนี้พุ่งมาที่ปากของเฉินผิงอันแล้ว กลับถูกเขากลืนลงท้องไป ไม่ได้มีความหมายสักเท่าไร เพราะพูดไปก็คล้ายจะไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ
เหอะ หากว่ามีพวกพ่อครัวเฒ่า ชุยตงซาน เผยเฉียน หรือเจี่ยเฉิงอยู่ข้างกาย ป่านนี้ก็คงพากันพูดประจบเอาใจแล้วกระมัง
รอกระทั่งเฉินผิงอันจากไป ฟ่านจวิ้นเม่าก็ยังนั่งอยู่ในศาลา นางเผยสีหน้าหม่นหมองออกมาเสี้ยวหนึ่ง แหงนหน้ากระดกเหล้าดื่มหนึ่งอึก แล้วจึงหันไปมองนอกภูเขา
——