กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 935.4 ข้าคือเจ้าแห่งวิถีบูรพา (สี่)
ภูเขาสายน้ำไร้ความแน่นอน โลกมนุษย์เกิดการแปรเปลี่ยน ภูผาใหญ่วารีงดงาม ไม่เห็นสีสันเก่าเดิม
ดื่มเหล้าหมักเซียนหนึ่งร้อยหนึ่งพันชนิดล้วนเป็นรสชาติของหวงเหลียนที่ขมขื่นจนมิอาจเอื้อนเอ่ย
ฟ่านจวิ้นเม่าโยนกาเหล้าว่างเปล่าทิ้งไปนอกศาลา ปล่อยให้มันตกไปท่ามกลางทะเลเมฆ สุดท้ายหล่นร่วงพื้นแตกกระจาย เสียงดังทีเดียวก็ไม่ได้ยินเสียงใดอีก
เมื่อความขมขื่นหมดสิ้นแล้วจะตามมาด้วยความหวานหอมได้จริงหรือ?
สวรรค์เท่านั้นที่รู้ สวรรค์รู้จริงหรือ?
ท่ามกลางการท่องฝันในแม่น้ำแห่งกาลเวลา ชิงถงถามว่า “ต่อจากนี้จะไปที่ภูเขาสุ้ยซานแผ่นดินกลางหรือ?”
เคยได้ยินมานานแล้วว่าหากขอใบเซียมซีของที่นั่นจะศักดิ์สิทธิ์มาก บะหมี่เจก็รสชาติดีเยี่ยม ชิงถงจึงคาดหวังกับเรื่องนี้อย่างมาก
เฉินผิงอันมีท่าทางลังเลอย่างที่หาได้ยาก เขาเปลี่ยนใจกะทันหัน พึมพำพูดกับตัวเองว่า “กฎเดิม พอไปถึงทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแล้ว ก็ต้องให้มีนิมิตหมายที่ดีในการเปิดประตูเหมือนกัน”
ก็เหมือนอย่างที่หอชิงฝูแห่งนั้น ในห้องของอาจารย์ผู้เฒ่าหง บนโต๊ะมีสวนกระถางใบหนึ่งที่คล้ายสถานประกอบพิธีกรรมขนาดเล็ก พวกเจ้าตัวน้อยไม่พูดคำว่า ‘ขอให้ร่ำรวย’ ก็อย่าหวังว่าจะข้ามธรณีประตูห้องข้าเข้าไปได้
ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ในอาณาเขตของราชวงศ์ต้ายง
ทั้งสองฝ่ายมาปรากฏตัวที่หน้าประตูภูเขาแห่งหนึ่ง ชิงถงเงยหน้ามองกรอบป้ายนั้น เอ่ยอย่างกังขาว่า “หอเซียนจิ่วเจิน? เจ้าหออวิ๋นเหมี่ยวไม่ใช่เทพภูเขาสักหน่อย”
ชิงถงแค่เคยได้ยินมาว่าระหว่างที่มีการประชุมที่ศาลบุ๋น บนเกาะยวนยาง เฉินผิงอันเคยลงมือต่อสู้กับเซียนเหรินคนหนึ่งจนเกือบจะแบ่งเป็นตายกัน
หรือว่าจะเป็นความสัมพันธ์ที่ว่า ‘ไม่ตีกันก็ไม่ได้รู้จักกัน’?
เฉินผิงอันอธิบาย “เว่ยจื่อคนรักของอวิ๋นเหมี่ยวคือเซียนเหรินคนหนึ่งเหมือนกัน หลักๆ แล้วก็เพราะผู้ฝึกตนหญิงคนนี้ได้ครอบครองพื้นที่ลับที่ปริแตกซึ่งเทียบเท่าได้กับพื้นที่มงคลเกินครึ่ง ขอแค่จุดธูปคารวะอย่างจริงใจก็สามารถถือว่าเป็นธูปภูเขาก้านหนึ่งได้”
ดังนั้นก่อนหน้านี้เฉินผิงอันถึงได้ไปเยือนพื้นที่มงคลรากบัวของบ้านตน อันที่จริงในถ้ำสวรรค์เล็กวังมังกรของอุตรกุรุทวีปก็สามารถจุดธูปน้ำหนึ่งดอกได้เหมือนกัน น่าเสียดายที่หลี่หยวนและเสิ่นหลินซึ่งเป็นกงโหวลำน้ำใหญ่ทั้งสองท่านต่างก็ไม่อยู่ในถ้ำสวรรค์แล้ว และพื้นที่มงคลชิงถานของสำนักโองการเทพแจกันสมบัติทวีป นอกจากเฉินผิงอันจะรู้จักหันโจ้วจิ่นที่มาจากพื้นที่มงคลแห่งนั้นแล้ว เขาก็ไม่เคยมีความสัมพันธ์ควันธูปใดๆ กับทางเทียนจวินฉีเจินมาก่อน ส่วนพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาของสกุลเจียงสำนักกุยหยกใบถงทวีป โจวอันดับหนึ่งไม่อยู่ ก็ไม่ต้องไปจะดีกว่า
เฉินผิงอันพลันแผ่กระแสจิตออกไป เพียงไม่นานก็หดย่อพื้นที่ด้วยการเดินหนึ่งก้าวไปถึงศาลาเล็กหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมน้ำ น้ำในบ่อใสกระจ่างจนมองเห็นก้นบึ้ง ปลาหลายตัวแหวกว่ายอยู่ในน้ำเหมือนลอยอยู่กลางอากาศ
ที่นี่คือพื้นที่ต้องห้ามของหอเซียนจิ่วเจิน มีเพียงคู่รักเทพเซียนสองคนอย่างอวิ๋นเหมี่ยวและเว่ยจื่อเท่านั้นที่ถึงจะมาพักผ่อนในสถานที่แห่งนี้ได้
ตอนนี้บังเอิญที่เซียนเหรินอวิ๋นเหมี่ยวต้องมาจัดการกิจธุระของสำนักที่ศาลาริมน้ำพอดี เขาพลันเงยหน้าขึ้น มองไปยังแขกไม่ได้รับเชิญสองคนที่อยู่ริมน้ำ พอเห็นใบหน้าของคนผู้หนึ่งชัดเจนก็รีบประกบสองนิ้ว ดึงเอาสมบัติหนักที่ใช้โจมตีชิ้นหนึ่งออกไปเบาๆ อวิ๋นเหมี่ยวเพียงแค่หยิบแส้ปัดฝุ่นที่วางไว้บนโต๊ะขึ้นมาพกติดตัวแล้วรีบลุกขึ้นยืน ก้าวเดินเร็วๆ ออกไปจากศาลา
ชิงถงเห็นเพียงว่าเซียนเหรินของหอเซียนจิ่วเจินผู้นี้มีใบหน้าประดุจหยก สวมชุดสีขาวยิ่งกว่าสีของหิมะ ในมือถือแส้ปัดฝุ่นสีขาวหิมะชิ้นหนึ่ง
ทั้งบุคลิกและหน้าตาของอวิ๋นเหมี่ยวล้วนดีเยี่ยมทั้งคู่ เพียงแต่ว่าดูเหมือนจะเป็นรองซานจวินเว่ยป้ออยู่สักเล็กน้อย
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ มาดของสหายอวิ๋นเหมี่ยวยังคงสง่างามดังเดิม”
อวิ๋นเหมี่ยวฝืนข่มกลั้นความตกตะลึงในใจ ประสานมือคารวะ เพียงแต่ไม่เอ่ยคำใด เพราะไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะเรียกอีกฝ่ายว่าอย่างไรดี
ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดเขาถึงได้ถูกลากเข้ามาในที่แห่งนี้ เซียนเหรินอวิ๋นเหมี่ยวทั้งประหลาดใจ แต่ก็ไม่ประหลาดใจ
ประหลาดใจที่ว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงเป็นฝ่ายมาหาตนก่อน
ไม่ประหลาดใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงทำเรื่องแบบนี้ได้
เฉินผิงอันเอ่ยชื่นชม “รอบคอบระมัดระวัง เหนือกว่าผู้ฝึกตนอิสระ”
หลิวจื้อเม่าเคยบอกว่า หากจะพูดถึงสติปัญญาและฝีมือ พวกเซียนซือทำเนียบทั้งหลายก็คือเด็กน้อยไม่รู้ความในสายตาของผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขา แต่ก็มีเซียนซือทำเนียบกลุ่มน้อยอยู่กลุ่มหนึ่งที่หากจะว่ากันด้วยระดับของความอำมหิตเด็ดขาด ระดับความสูงส่งลึกลับอำพรางในการทำร้ายคนแล้ว เมื่อผู้ฝึกตนอิสระอย่างพวกเรารู้เบื้องลึกเบื้องหลังพวกนั้นก็เกรงว่ายังต้องละอายใจที่สู้ไม่ได้
อวิ๋นเหมี่ยวรีบเก็บแส้ปัดฝุ่นที่เอาไว้ใช้รักษาชีวิตลงไป ใบหน้าเต็มไปด้วยความละอายใจ เอ่ยเสียงเบาว่า “ให้อาจารย์เจิ้งเห็นเรื่องตลกแล้ว”
ในเมื่ออาจารย์เจิ้งยินดีพาผู้ฝึกตนที่สถานะยากจะคาดเดามาไว้ข้างกาย คิดดูแล้วก็น่าจะเป็นคนรู้ใจคนหนึ่งของเขา
ชิงถงถอดหมวกคลุมหน้าออกไปแล้ว สำนักแผ่นดินกลางแห่งหนึ่งที่ตนพอจะรู้รากฐานอยู่บ้าง อย่างมากก็มีแค่เซียนเหรินสองคนเท่านั้น ต่อให้ไม่ได้อยู่ในความฝันของเฉินผิงอัน ตนมาที่หอเซียนจิ่วเจินแห่งนี้ก็ยังเดินเล่นอย่างผ่อนคลายสบายอารมณ์ได้อยู่ดีไม่ใช่หรือ?
เพียงแต่พอได้ยินคำเรียกขานว่า ‘อาจารย์เจิ้ง’ นั้น ชิงถงก็รู้สึกสับสนมึนงงอยู่บ้าง
หรือว่าเฉินผิงอันเคยเดินทางมาเที่ยวเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแล้วใช้นามแฝงแซ่เจิ้ง?
เฉินผิงอันกล่าว “เว่ยจื่ออยู่ในภูเขาหรือไม่ ข้าจะไปเยือนพื้นที่ลับสักรอบ ต้องการให้พวกเจ้าจุดธูปทางจิตคนละดอก”
เซียนหญิงเว่ยจื่อเชี่ยวชาญวิถีของผี พื้นที่พิสูจน์มรรคาของนางจึงเป็นพื้นที่ที่มีมลพิษสกปรกกลิ่นอายความชั่วร้ายเข้มข้นพอดี
อวิ๋นเหมี่ยวเรียกนางมาที่ศาลาแห่งนี้อย่างรวดเร็ว เว่ยจื่อที่เป็นคนรักของเขา มองดูแล้วมีรูปโฉมเหมือนเด็กสาวอายุสิบห้าสิบหกปี
เฉินผิงอันจึงบอกกล่าวถึงจุดประสงค์การมาเยือนครั้งนี้คร่าวๆ ทั้งอวิ๋นเหมี่ยวและคนรักต่างก็ไม่มีความลังเลใดๆ ตอบตกลงอย่างรวดเร็วฉับไวทันที
ส่วนคุณความชอบสองก้อนนั้น อันที่จริงอวิ๋นเหมี่ยวไม่ยินดีจะรับเอาไว้ แต่ก็ไม่กล้าไม่รับเอาไว้
หลังจากนั้นเว่ยจื่อก็เปิดประตูใหญ่ของพื้นที่ลับ นำพาเจ้านครจักรพรรดิขาวและผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งที่มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นขอบเขตบินทะยานเข้าไปในพื้นที่ลับซึ่งเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมของตัวเองด้วยกัน
ในรัศมีหมื่นลี้รอบด้าน ปราณดุร้ายพวยพุ่ง ควันเข้มข้นกลิ้งซัดหลุนๆ วิญญาณร้ายผีเร่ร่อนจำนวนหลายหมื่นตนลอยป้วนเปี้ยนอยู่ทั่วทุกหนแห่ง เพียงแต่ไม่รู้สึกถึงมลพิษสกปรกเลยแม้แต่น้อย ถึงขั้นที่ว่ายังมีนครหลายแห่งตั้งอยู่ในนี้ ล้วนเป็นที่อยู่ของผีและวิญญาณหยิน ในเมืองเจริญรุ่งเรืองคึกคัก ถึงกับเป็นวิธีการอันเลิศล้ำเหมือนสร้างโลกมนุษย์ขึ้นมาอีกแห่งหนึ่ง
กลุ่มของเฉินผิงอัน เวลานี้ยืนอยู่บนหอสูงแห่งหนึ่งบนยอดเขาที่คล้ายกับตั้งอยู่ใจกลางของฟ้าดิน
ขอบเขตของชิงถงสูงมากพอ เมื่อเพ่งมองภาพบรรยากาศฟ้าดินที่คล้ายจะขุ่นมัวแต่แท้จริงแล้วกลับสะอาดบริสุทธิ์นั้นแล้ว ก็ใช้เสียงในใจพูดกับเฉินผิงอันว่า “คู่รักเซียนเหรินคู่นี้ ขอแค่ไม่หลอกฆ่าคนเป็นแล้วกักตัวมาไว้ที่นี่ แต่ไปรวบรวมผีที่ไม่ได้รับการเซ่นไหว้มาจากทั่วทุกหนแห่ง เดิมทีก็ถือเป็นการสะสมบุญอย่างหนึ่ง อีกทั้งดูจากที่ผีพวกนั้นยังรักษาจิตวิญญาณที่แท้จริงส่วนหนึ่งไม่ให้สลายหายไปได้ คล้ายกับว่าต่างก็มี ‘ที่ไป’ ดังนั้นความเป็นไปได้ของอย่างหลังน่าจะมีมากกว่า ที่นี่มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นสะพานข้ามแม่น้ำที่เชื่อมโยงระหว่างโลกคนเป็นกับเมืองผี อืม ใช่แล้ว ผู้ฝึกตนหญิงคนนี้คือ ‘คนหามโลงศพ’ ที่กล่าวถึงในตำนานบนภูเขา ข้าดูแคลนหอเซียนจิ่วเจินไปจริงๆ ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแห่งนี้มีคนมหัศจรรย์อยู่มากมายโดยแท้”
เห็นว่าอาจารย์เจิ้งไม่เปิดปาก อวิ๋นเหมี่ยวกับเว่ยจื่อก็หันมามองสบตากัน
ก่อนหน้านี้เว่ยจื่อยังเคยพูดสัพยอกว่าหากอีกฝ่ายมาเป็นแขกที่หอเซียนจิ่วเจิน เจ้าจะสงสัยในตัวตนของอีกฝ่ายหรือไม่?
ตราผนึกขุนเขาสายน้ำของหอเซียนจิ่วเจินไม่ใช่ว่าขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งจะไปมาได้อย่างอิสระ
สถานะของอาจารย์เจิ้ง แน่นอนว่าต้องเป็นของจริงแท้ ไม่มีอะไรให้ต้องสงสัยแล้ว
แล้วนับประสาอะไรกับที่ผู้ติดตามข้างกายของอาจารย์เจิ้งคนนี้ การหลอมรวมของกลิ่นอายมรรคาบนร่างก็ไม่ได้แพ้ให้กับบินทะยานเฒ่าอย่างพวกหนันกวงจ้าวเลย หรือถึงขั้นยังน่าตะลึงกว่าอีกด้วย?
เว่ยจื่อพูดเสียงอ่อนหวานว่า “ชีวิตยากลำบากจนแม้แต่กระทะก็ยังขึ้นสนิม วิธีการแย่ๆ เช่นนี้ ปรากฏอยู่ในสายตาของคนที่บรรลุมรรคาก็มีแต่จะเป็นที่หัวเราะเยาะของผู้คน”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “พวกเจ้ามีใจแล้ว”
อวิ๋นเหมี่ยวเอ่ยเสียงเบาว่า “น่าเสียดายที่พื้นที่ลับแห่งนี้มีความเชื่อมโยงกับภูเขาบรรพบุรุษของหอเซียนจิ่วเจินพวกเราอย่างแน่นหนา มิอาจเคลื่อนย้ายได้”
หากไม่เป็นเช่นนี้ อวิ๋นเหมี่ยวก็คงมีความคิดที่จะย้ายสถานที่แห่งนี้ไปที่ใบถงทวีปหรือไม่ก็ฝูเหยาทวีปแล้วจริงๆ
เฉินผิงอันเงียบไม่ตอบ
เพราะเฉินผิงอันในเวลานี้ถึงขั้นมีการคาดเดาที่แม้แต่ตัวเองก็ยังรู้สึกว่า…น่ากลัวมาก
มีเพียงผู้ฝึกตนบนยอดเขากลุ่มเล็กเท่านั้นที่ถึงจะเดาว่าแท้จริงแล้วเจิ้งจวีจงได้เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่แล้ว
แล้วก็มีผู้ฝึกตนจำนวนน้อยจนนับนิ้วได้เท่านั้นที่ถึงจะรู้ว่าเจิ้งจวีจงไม่เพียงแต่เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่แล้ว ยังเป็นหนึ่งคนสองขอบเขตสิบสี่ด้วย
ถ้าอย่างนั้นจะมีความเป็นไปได้อย่างหนึ่งหรือไม่ว่า แท้จริงแล้วเจิ้งจวีจงมีร่างแยกร่างที่สามที่ฝึกตนอยู่ในดินแดนโลกมืดมานานหลายปีแล้ว?
เฉินผิงอันเก็บความคิดกลับคืน ถามชวนคุยว่า “สำนักที่หนันกวงจ้าวทิ้งไว้ หอเซียนจิ่วเจินได้ย่อยไปพอสมควรแล้วกระมัง?”
อวิ๋นเหมี่ยวก้มหน้ากุมหมัดเอ่ยขอบคุณ “เจ็ดแปดส่วนได้กลายเป็นของในกระเป๋าไปแล้ว”
หนันกวงจ้าวถูกสิงกวานหาวซู่ตัดหัว ส่วนอาจารย์เจิ้งที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ก็เป็นอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่
นี่ก็ไม่ใช่หลักการเหตุผลที่เรียบง่ายจนเรียบง่ายไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว เป็นเรื่องที่ผ่อนคลายจนผ่อนคลายไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้วหรอกหรือ?
หากไม่เป็นเพราะรู้ดีว่าเจิ้งจวีจงไม่มีทางถือสาความเข้าใจผิดที่ ‘จับผลัดจับผลู’ เช่นนี้ เฉินผิงอันก็อยากจะยกฝ่ามือตบลงบนหัวของเจ้าอวิ๋นเหมี่ยวผู้นี้จริงๆ ต่อให้มีความคิดบรรเจิดเลิศล้ำแค่ไหนก็ต้องมีขีดจำกัดบ้างกระมัง?
เฉินผิงอันพาชิงถงออกมาจากหอเซียนจิ่วเจินพร้อมกับความรู้สึกประหลาด
ในศาลา เว่ยจื่อใช้เสียงในใจถามว่า “เจ้าคิดว่าอาจารย์เจิ้งทำเช่นนี้เพราะมีแผนการจะทำอะไร?”
อวิ๋นเหมี่ยวสะบัดแส้ปัดฝุ่น ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “พวกเราไยต้องเป็นคนเขลาที่กลัดกลุ้มกังวลไปเอง ใช้ใจคนมาคำนวณใจฟ้าด้วยเล่า? แค่นั่งดูอยู่เฉยๆ ตั้งตารอคอยไปเดี๋ยวก็รู้ได้เอง”
แผนการของอาจารย์เจิ้งต้องยิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะจินตนาการได้ถึงแน่นอน
เว่ยจื่อปิดปากหัวเราะคิกคัก
แต่ไหนแต่ไรมาสามีก็มักจะมั่นใจในตัวเอง คิดไม่ถึงว่าจะมีวันที่เขายินดีเรียกตัวเองว่า ‘คนโง่เขลา’ ด้วย
ระหว่างที่เดินทางไกล ทะเลสาบหัวใจของชิงถงมีคลื่นยักษ์ถาโถม
ในที่สุดก็ขบคิดได้
คนที่สามารถทำให้เซียนเหรินสองคนอย่างอวิ๋นเหมี่ยวและเว่ยจื่อเคารพบูชาเหมือนเทพเจ้าได้จากใจจริง ทั้งยังแซ่เจิ้ง ยังจะเป็นใครไปได้อีก?
ชิงถงที่สวมหมวกลงบนศีรษะอีกครั้งเลิกผ้าคลุมหน้าออก หันหน้าไปมองเฉินผิงอัน ถึงกับใช้น้ำเสียงและสีหน้าที่ขลาดกลัวถามอย่างระมัดระวังว่า “ก่อนหน้านี้มีหลายอย่างที่ล่วงเกินไป หวังว่าอาจารย์เจิ้ง…อาจารย์เฉินจะเป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง อย่าได้ถือสาข้าเลย”
ในเมื่อกลัวซิ่วหู่ชุยฉาน แล้วชิงถงจะไม่กลัวเจ้านครจักรพรรดิขาวที่เป็นผู้เล่นอีกคนหนึ่งในสถานการณ์เมฆหลากสีสิบกระดานได้อย่างไร?
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “เจ้ากับอวิ๋นเหมี่ยวใช้สมองอันเดียวกันหรือ?”
ชิงถงคิดว่าตัวเองไม่ได้โง่ แต่ในใจก็ยังอดคลางแคลงไม่ได้ มักรู้สึกอยู่ระหว่างใช่กับไม่ใช่ เจ้าเฉินผิงอันคือใครกันแน่ ตัวตนที่แท้จริงก็ยิ่งปนกันเหมือนแป้งเปียก
ระมัดระวังขับเรือได้นานหมื่นปี ยอมเชื่อว่ามี ไม่เชื่อว่าไม่มีดีกว่า คิดเสียว่าคนผู้นี้ก็คือคนผู้นั้นแล้วกัน
เจ้าถ้ำปี้เซียวแห่งอารามกวานเต๋า ปีนั้นก่อนจะออกไปจากใบถงทวีปเคยมีการอำลากับชิงถงครั้งหนึ่ง
เจ้าอารามผู้เฒ่ายังเคยชี้แนะและวิจารณ์ข้อดีข้อเสียของเหล่าผู้กล้าในใต้หล้าให้ฟัง มีฝูลู่อวี๋เสวียนแห่งสายยันต์ หลวี่เหยียนนักพรตฉุนหยาง เทียนซือจ้าวเทียนไล่ หลิวจวี้เป่าเทพเจ้าแห่งโชคลาภธวัลทวีป ฮว่อหลงเจินเหรินแห่งยอดเขาพาตี้ เหวยเซ่อที่เดิมทีจะได้เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่นานแล้วแต่กลับคลาดกันไป เผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่ นักพรตเหลียงส่วง…
ส่วนพวกไหวอิน ดูเหมือนว่าไม่คู่ควรให้เจ้าอารามผู้เฒ่ายกขึ้นมาพูดด้วยซ้ำ
คนหนึ่งในนั้นย่อมต้องมียักษ์ใหญ่แห่งวิถีมารของใต้หล้าไพศาล เจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาว
คนที่ไม่ต้องกริ่งเกรงในตัวเจิ้งจวีจงมากเกินไป ตลอดทั้งใต้หล้าไพศาล อย่างมากสุดก็มีแค่หนึ่งมือนับเท่านั้นเอง
นอกจากคำว่า ‘มากเกินไป’ แล้ว ประเด็นสำคัญคือเจ้าอารามเฒ่ายังเพิ่มสองคำว่า ‘ตอนนี้’ เข้าไปด้วย
หากไม่เป็นเพราะเคยได้พูดคุยกับเจ้าอารามผู้เฒ่า ชิงถงก็คงไม่ถึงขั้นหวาดกลัวผู้ฝึกตนใหญ่คนหนึ่งของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางจริงๆ
ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกัน อย่างมากก็เป็นน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง
อีกอย่างทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นบินทะยานขั้นสมบูรณ์แบบ ชิงถงยังชอบอยู่นิ่งๆ ไม่ชอบเคลื่อนไหว แค่ต้องอยู่ในหอสยบปีศาจเท่านั้น ไม่มีทางเป็นฝ่ายไปหาเรื่องนครจักรพรรดิขาวก่อนเด็ดขาด
สุดท้ายเจ้าอารามผู้เฒ่าก็ให้ข้อสรุปอย่างหนึ่งว่า
ในอนาคต หากสั้นหน่อยก็สองสามร้อยปี ยาวหน่อยก็พันปี ถึงเวลานั้นห้าใต้หล้ารวมกัน จะมีผู้ฝึกตนบนยอดเขาที่จำนวนมากสุดก็สองมือนับที่สามารถลองงัดข้อกับเจิ้งจวีจงดูได้
หากว่ามีการประเมินสิบผู้กล้าแห่งใต้หล้าฉบับใหม่เอี่ยมอีกฉบับ
ต้องมีตำแหน่งของเจิ้งจวีจงอยู่แน่นอน
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ในเมื่อเจ้าเคารพยำเกรงเจ้านครเจิ้งขนาดนี้ เคยคิดเหตุผลข้อหนึ่งให้เข้าใจหรือไม่ ผู้ฝึกตนจำเป็นต้องฝึกทั้งเรี่ยวแรงและฝึกทั้งจิตใจ ไม่ถ่วงรั้งทั้งสองอย่าง”
ชิงถงพยักหน้ารับอย่างแรง “คือสัจธรรม!”
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี รู้สึกคับอกคับใจขึ้นมาแล้วจริงๆ
ข้าถามหมัดอย่างยากลำบากไปครั้งหนึ่ง ยังบวกกับการถามกระบี่ครั้งนั้นของเสี่ยวโม่ ที่แท้ก็ยังไม่ได้ผลเท่า ‘อาจารย์เจิ้ง’ อย่างนั้นหรือ?
ระหว่างที่เดินทางไปยังภูเขาสุ้ยซานของแผ่นดินกลาง หางตาของชิงถงคอยลอบมองประเมินคนชุดเขียวที่อยู่ข้างกายอย่างละเอียดอยู่ตลอด
สุดท้ายสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายคลี่ยิ้มคล้ายนึกเรื่องที่ทำให้อารมณ์ดีได้ สีหน้าจึงอ่อนโยนลงมาก
ในปีที่อายุสิบสี่ ครั้งแรกที่ออกจากบ้านเกิดเดินทางไกล เฉินผิงอันเคยเดินทางไปไกลมาก เคยดื่มเหล้ามากมายหลายชนิด เคยพบเจอผู้คนและเรื่องราวมากมาย ทว่าทุกๆ ปีที่ผ่านไปกลับไม่เคยได้กินขนมไหว้พระจันทร์เพิ่มมาอีกปี สรุปแล้วเคยกินมากี่ครั้งกันนะ? เฉินผิงอันไม่รู้เลยจริงๆ เพราะความทรงจำพร่าเลือนเต็มที ก่อนอายุลวงห้าขวบ เหมือนจะเคยกินแค่สองครั้ง
ต่อให้ภายหลังยิ่งนานวันภูเขาลั่วพั่วก็ยิ่งครึกครื้น คนก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อให้จูเหลี่ยนจะดูแลเรื่องต่างๆ อย่างรอบคอบรัดกุมแค่ไหน หน่วนซู่น้อยจะมีใจละเอียดอ่อนเท่าไร ก็มีเพียงเรื่องนี้ที่ต่างก็หลงลืมไป
เฉินผิงอันตัดสินใจแล้วว่าวันไหว้พระจันทร์ของปีนี้จะต้องชมจันทร์กินขนมไหว้พระจันทร์ที่ภูเขาลั่วพั่วให้จงได้
ดวงจันทร์ในวันไหว้พระจันทร์ บ้านคนรวยมี บ้านคนยากจนก็มี ช่างปลอบประโลมจิตใจคนได้ดียิ่งนัก
——