กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 936.1 ข้าคือเจ้าแห่งวิถีบูรพา (ห้า)
ภูเขาสุ้ยซานแผ่นดินกลาง
บนยอดเขามีคนเทพสวมเกราะทองผู้หนึ่งใช้สองมือดันด้ามกระบี่ ค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นซานจวินท่านนี้มีชื่อจริงว่าโจวโหยว ฉายาเทพต้าเจี้ยว
ภูเขาสายน้ำของเก้าทวีปในไพศาล เขาคือเทพภูเขาอันดับหนึ่งในใต้หล้า
โจวโหยวมองประเมินมือกระบี่ชุดเขียวที่ยืนห่างไปหมื่นลี้
ไม่ไกลไม่ใกล้ คนผู้นี้อยู่บนเส้นแนวเขตของอาณาเขตขุนเขาเหนือพอดี ข้างกายยังมีผู้ติดตามตามมาด้วยคนหนึ่ง
โจวโหยวขมวดคิ้วน้อยๆ ความคิดในใจบังเกิด ภาพฝันพลันแหลกสลาย ฟ้าดินปรากฎเสียงเหมือนเครื่องกระเบื้องเกิดรอยปริร้าวเล็กบางดังขึ้น
โจวโหยวมองไปยังคนชุดเขียวที่อยู่ห่างไปไกล ถามว่า “เจ้าทำถึงขั้นนี้ได้อย่างไร?”
เพราะถึงอย่างไรก็คือการบังคับลากเอาซานจวินของขุนเขาใหญ่แห่งแผ่นดินกลางเข้ามาในความฝัน ผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดยังมิอาจทำได้เลย
แล้วนับประสาอะไรกับที่จะมีใครกินอิ่มว่างงานจนมาทำเรื่องแบบนี้ นี่ไม่ใช่เรื่องน่าสนุกที่ควรเอามาล้อเล่นอะไร
แน่นอนว่าไม่รวมถึงฮว่อหลงเจินเหรินของอุตรกุรุทวีปผู้นั้น อีกทั้งเขายังเคยทำถึงสองครั้ง ครั้งแรกคือฮว่อหลงเจินเหรินพิสูจน์มรรคาเลื่อนจากขอบเขตเซียนเหรินมาเป็นขอบเขตบินทะยาน เคยเดินท่องความฝันไปตามห้ามหาบรรพตและทะเลสาบลำน้ำ
ครั้งที่สองเกิดจากความเบื่อหน่ายของเทพเซียนผู้เฒ่าโดยแท้ หากใช้คำกล่าวของฮว่อหลงเจินเหรินก็คือผินเต้ายากจนนี่นา ซื้อเรือข้ามทวีปไม่ได้ ผินเต้าก็ได้แต่ใช้วิชานอกรีตมามองดูขุนเขาสายน้ำอันงดงามแล้ว
อิ่นกวานหนุ่มพูดด้วยสีหน้าจริงใจว่า “คงเป็นเพราะมีความจริงใจจึงศักดิ์สิทธิ์ เมื่อโชคมาเยือนทั้งฟ้าและดินล้วนร่วมแรงร่วมใจ?”
เทพเกราะทองที่เรือนกายสูงใหญ่สูดลมหายใจเข้าลึก หัวเราะร่า ยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นใช้ฝ่ามือตบด้ามกระบี่เบาๆ
มารดามันเถอะ คุ้นเคยยิ่งนัก คุ้นจนคุ้นไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว เพราะแค่ฟังก็รู้แล้วว่าเหมือนคำพูดคำจาของซิ่วไฉเฒ่า
โจวโหยวกับเฉินผิงอัน อันที่จริงเคยพบเจอกันหลายครั้งแล้ว
ครั้งก่อนคือการประชุมที่ศาลบุ๋น ทั้งสองฝ่ายไม่ได้พูดคุยอะไรกันแม้แต่คำเดียว มองดูเหมือนอิ่นกวานหนุ่มจะใจฝ่อจึงไม่กล้าตีสนิทกับเทพใหญ่แห่งภูเขาสุ้ยซานผู้นี้มากนัก
เพราะถึงอย่างไรครั้งแรกที่ ‘มาเป็นแขกที่ภูเขาสุ้ยซาน’ เฉินผิงอันก็ยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มรองเท้าสานที่ยังไม่รู้ความ เคยถือกระบี่ฟันผ่าตราผนึกแห่งขุนเขาสายน้ำของภูเขาสุ้ยซาน เป็นการกระทำที่ถือว่าไม่เคารพอย่างมาก
แล้วก็เพราะเหตุการณ์ครั้งนี้ถึงได้ชักนำให้ผู้ฝึกตนบนยอดเขาของแผ่นดินกลางจำนวนไม่น้อยเกิดความสงสัย หลังจากนั้นที่ศาลเทพภูเขาก็ได้รับจดหมายกองใหญ่ที่ถามอ้อมๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ โจวโหยวเองก็คร้านจะตอบกลับ
ใช่ผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงของใต้หล้ามืดสลัวผู้นั้นออกมาจากป๋ายอวี้จิง พกกระบี่ออกเดินทางไกลมาเยือนภูเขาสุ้ยซานหรือไม่? หรือว่าจะเป็นพวกเซียนกระบี่ผู้อาวุโสที่ได้แกะสลักตัวอักษรของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่มาพลิกบัญชีเก่ากับภูเขาสุ้ยซาน?
หากจะพูดถึงผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นของไพศาล มีใครบ้างที่กล้ากระทำการละเมิดกฎเกณฑ์ล้ำเส้นเช่นนี้ อยากจะไปกินข้าวคุกอ่านตำราอริยะปราชญ์ที่สวนกงเต๋อนักหรือไร?
นอกจากนี้ยังมีอีกครั้งหนึ่ง เพียงแต่ว่าทั้งสองฝ่ายไม่ได้พบหน้ากัน เพราะเฉินผิงอันถูกบังคับพาตัวมาที่นี่ มาพบเจอกับปรมาจารย์มหาปราชญ์
ตอนนั้นโจวโหยวไม่สะดวกจะเผยกาย หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการเปิดเผยความลับสวรรค์
เฉินผิงอันประสานมือคารวะเอ่ยขออภัย “อายุน้อยไม่รู้ความ กระทำการบุ่มบ่าม ล่วงเกินท่านแล้ว”
โจวโหยวส่ายหน้า “เป็นการกระทำที่ไม่ได้ตั้งใจ เจ้าไม่ต้องเก็บไปใส่ใจให้มากเกิน”
เป็นหนี้ต้องจ่ายคนร้ายต้องชดใช้กรรม ภูเขาสุ้ยซานถูกหนึ่งกระบี่ฟันเปิดตราผนึก โจวโหยวไม่ได้มีอคติใดๆ ต่อเด็กหนุ่มสวมรองเท้าสานผู้นั้นแม้แต่น้อย หากจะคิดบัญชีก็ต้องคิดลงบนหัวของซิ่วไฉเฒ่าที่เป็นคนสานสะพานความสัมพันธ์
เพียงแต่ว่าปีนั้นซิ่วไฉเฒ่าหน้าหนา ยังหลอกเอาเม็ดกระบี่โบราณเม็ดหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘เสี่ยวเฟิงตู’ ไปจากภูเขาสุ้ยซานด้วย
รากฐานของของชิ้นนี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับตัวอ่อนกระบี่ ‘หนีวาน’ ที่อู๋อี้แห่งจวนจื่อหยางมอบให้ ต่างก็เป็นสมบัติล้ำค่าที่เจินเหรินผู้เฝ้าพิทักษ์พื้นที่ซึ่งที่ว่าการตั้งอยู่ในห้ามหาบรรพตของแผ่นดินกลางเป็นผู้หลอม มีวิชาอภินิหารที่แตกต่างออกไป เหมือนยันต์ทหาร อีกทั้งยังเท่ากับว่าคนที่ผูกบุญสัมพันธ์กับภูเขาลูกหนึ่งได้ถือของแทนตัวเดินเข้าไปในภูเขา ซึ่งก็จะสามารถเปิดประตูใหญ่ของซากปรักถ้ำสถิตของเจินเหรินได้ ส่วนหลังจากนั้นจะได้รับวาสนาไปกี่มากน้อย ผู้ฝึกลมปราณเข้าไปในภูเขาสมบัติแล้วต้องกลับไปมือเปล่า หรือว่ากลับมาพร้อมของเต็มไม้เต็มมือกลับบอกได้ยาก
น่าเสียดายที่เส้นทางการฝึกตนหลังจากนั้นของเฉินผิงอันไม่ได้รับวิธีการที่ถูกต้อง โชควาสนายังไม่มาถึง จึงไม่ได้เดินเข้าประตูเสียที ได้แต่ฝืนหลอมมันเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต แต่กลับยังไม่อาจเป็นผู้ฝึกกระบี่ตัวจริงได้ อีกทั้งเด็กหนุ่มจากตรอกเก่าโทรมของถ้ำสวรรค์หลีจูเวลานั้นยังมีความคิดจิตใจที่บริสุทธิ์ ฟังการบอกเป็นนัยบางอย่างจากซิ่วไฉเฒ่าไม่ออก จึงเป็นเหตุให้ไม่อาจพกของสิ่งนี้มาเที่ยวเยือนภูเขาสุ้ยซานได้เสียที หากว่าครั้งที่สองก่อนจะไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ เฉินผิงอันสามารถมาเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางและภูเขาสุ้ยซานได้ก่อน ได้ฝึกตนกลายเป็นเซียนได้รับโชควาสนา สุดท้ายหลอมกระบี่สำเร็จ เด็กหนุ่มค่อยไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ อุปสรรคที่พบเจอก็จะลดน้อยลงไปมาก
เกี่ยวกับเรื่องนี้ซิ่วไฉเฒ่ากับโจวโหยวได้มีการทบทวนกระดานกันนานแล้ว ซิ่วไฉเฒ่าเสียใจจนไส้เขียว กลัดกลุ้มอย่างยิ่ง พูดแค่ว่าผิดแผนแล้ว ผิดแผนแล้ว ต้องโทษข้า
ที่แท้ปีนั้นเฉินผิงอันยังไม่เคยดื่มเหล้า แค่ได้ยินนายท่านเหวินเซิ่งบอกว่าเหล้าหมักฮวากั่ว (ผลไม้ดอกไม้) ของภูเขาสุ้ยซานเป็นอันดับหนึ่งในโลก เด็กหนุ่มหรือจะคิดเป็นจริงเป็นจัง อีกทั้งยังหน้าบาง คิดแต่ว่าอยู่ดีๆ ตนใช้กระบี่ฟันค่ายกลขุนเขาสายน้ำบนประตูภูเขาบ้านคนอื่นเขา แล้วยังจะมีหน้าไปขอเหล้าคนเขาดื่มอีกหรือ? แต่หากซิ่วไฉเฒ่าในเวลานั้นเปลี่ยนคำพูดใหม่ บอกว่าเทพใหญ่แห่งภูเขาสุ้ยซานใจกว้างเป็นที่สุด มีกลิ่นอายแห่งยุทธภพที่องอาจผึ่งผายที่สุด ทุกหนทุกแห่งในภูเขาล้วนมีแต่เงินเทพเซียน ต่อให้เป็นคนที่โชคธรรมดาแค่ไหนก็สามารถเก็บเอาไปได้บ้าง เจ้าไม่เก็บไปท่านเทพภูเขายังไม่พอใจด้วยซ้ำ…คอยดูเถอะว่าเจ้าเฉินผิงอันผู้นี้จะวิ่งตุปัดตุเป๋มาที่ภูเขาสุ้ยซาน ตามหาช่องทางขึ้นเขาเพื่อเยี่ยมเยือนเซียนหรือไม่? หนึ่งวันมีแค่สิบสองชั่วยาม ไม่แน่ว่าแค่สิบเอ็ดชั่วยามก็คงสามารถมองเห็นเงาร่างของเด็กหนุ่มเดินก้มหน้าก้มตาได้แล้ว
โจวโหยวไม่มองท่าทางเกาหัวเกาหน้า ตีอกชกตัวอย่างหงุดหงิดของซิ่วไฉเฒ่าได้ แต่หูกลับหนีไม่พ้นจากคำบ่นร่ายยาวที่น่ารำคาญของซิ่วไฉเฒ่า เพราะทนรำคาญไม่ไหวจริงๆ จึงได้แต่เอ่ยไปประโยคหนึ่งว่า ‘เดินอ้อมเส้นทางหน่อย เจอกับความยากลำบากมากหน่อย ไยจะไม่ใช่เรื่องดี’
ผลคือโจวโหยวไม่พูดยังดี พอได้ยินประโยคนี้ ในที่สุดซิ่วไฉเฒ่าก็หาเหตุผลเจอจึงเริ่มเต้นผางด่าคน ‘พูดจาทุเรศ! ตัวสูง ยืนก็ยังสูง อายุมาก ความสามารถยิ่งมากกว่า ชอบยืนพูดไม่ปวดเอวนักใช่ไหม? ทนความยากลำบาก? เจ้ายังต้องให้เด็กนั่นเจอกับความยากลำบากแค่ไหนอีก?!’
โจวโหยวไม่เห็นเป็นสำคัญ ‘มีชาติกำเนิดจากตรอกเก่าโทรม อายุน้อยๆ ก็สูญเสียทั้งพ่อและแม่ ไม่ได้เล่าเรียนเขียนอ่าน อยู่คนเดียวไร้ที่พึ่ง ได้แต่เตร็ดเตร่ไปทั่ว พยายามมีชีวิตอยู่ต่ออย่างยากลำบาก บอกตามตรง ความทุกข์ยากแค่นี้ไม่นับเป็นอะไรได้ ในอาณาเขตขุนเขากลางของข้าแห่งนี้ ไม่พูดถึงว่าคนวัยเดียวกันที่มีสภาพการณ์พอๆ กับเฉินผิงอันมีมากถึงหมื่นคน แต่หากจะให้หาตัวมาให้เจ้าสักหลายร้อยหรือถึงพันคนกลับไม่ยากเลย’
ซิ่วไฉเฒ่าทอดถอนใจ คงไม่ยินดีจะพูดเรื่องนี้ให้มากความ จึงได้แต่ใช้ประโยคว่า ‘ไร้ความรู้สึกไร้น้ำใจ เจ้าจะเข้าใจกะผายลมอะไร’ มาเป็นประโยคปิดบทสนทนา
มองหาความสุขท่ามกลางความทุกข์ยาก เพียงแต่ว่าวิธีการใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ การที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองเผชิญกับความยากลำบาก นั่นจึงจะเป็นแนวทางในการหยัดยืน
ภูเขาสุ้ยซานแผ่นดินกลางสูงตระหง่านโอฬารไร้ใครเทียม ให้กำเนิดหมื่นสรรพสิ่ง ตั้งเด่นเทียมฟ้า
ลักษณะภูเขาของห้ามหาบรรพตต้องมีทั้งถ้ำทั้งอุโมงค์ สูงเด่นเทียมฟ้า น้ำของลำน้ำต้องทั้งลึกและกว้าง ต้นกำเนิดยาวไกลน้ำไหลยาว เชื่อมโยงลมปราณอยู่กับทะเล
นี่จึงเป็นเหตุให้มีอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อให้คำอรรถาธิบายเอาไว้ว่า มรรคาของอริยะสูงใหญ่ คล้ายคลึงกับบรรพต สูงส่งเทียมฟ้า
ยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน นี่เป็นครั้งแรกที่ชิงถงได้เห็นทิวทัศน์ตระการตางดงามของภูเขาสุ้ยซานกับตาตัวเองเป็นครั้งแรก ไม่เสียแรงที่มีเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้าไพศาล
มิน่าเล่าปรมาจารย์มหาปราชญ์ถึงได้เลือกที่แห่งนี้เป็นสถานประกอบพิธีกรรม เป็น ‘ห้องหนังสือ’ ชั่วคราว ใช้เป็นสถานที่ประลองวิชาคาถากับบรรพบุรุษใหญ่แห่งภูเขาทัวเยว่อยู่ไกลๆ
ก่อนหน้านี้ชิงถงติดตามเฉินผิงอันไปเยือนห้ามหาบรรพตของแจกันสมบัติทวีป พูดถึงแค่กลิ่นอายมรรคาของฟ้าดินที่ซุกซ่อนอยู่ในภูเขาสายน้ำ เมื่อเทียบกับที่แห่งนี้แล้วก็เรียกได้ว่าเป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางในกลุ่มของเซียนดินที่ได้มาเจอบินทะยานคนหนึ่งเลย
เหล้าหมักฮวากั่วของสุ้ยซานมีชื่อเสียงทัดเทียมกับเหล้าภูเขาชิงเสินของถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ เหล้าร้อยบุปผาของพื้นที่มงคลร้อยบุปผา นอกจากนี้อาหารเจของศาลซานจวินก็มีชื่อเสียงเลื่องลือไปเก้าทวีป
โจวโหยวที่มีฉายาเทพว่า ‘ต้าเจี้ยว’ มีฐานะสูงศักดิ์ วิชาอภินิหารยิ่งใหญ่ไพศาล เล่าลือกันว่าสูงส่งกว่าซานจวินอีกสี่ท่านของแผ่นดินกลางหนึ่งระดับใหญ่
ตามคำกล่าวของเจ้าอารามผู้เฒ่า ขอแค่โจวโหยวผู้นี้อยู่ในอาณาเขตของสุ้ยซานก็สามารถมองเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่เกินครึ่งตัวได้ เป็นรองแค่จิงเซิงซีผิงที่อยู่ในสวนกงเต๋อเท่านั้น
โจวโหยวเอ่ยกับเฉินผิงอันว่า “เจ้าและข้าไปเจอกันที่ประตูภูเขา”
ในมือของเฉินผิงอันมีไม้เท้าเดินป่าเพิ่มมาอันหนึ่ง พยักหน้ารับ เดินทีละก้าวไปยังหน้าประตูภูเขาของภูเขาสุ้ยซาน เห็นได้ชัดว่าได้รับการยอมรับจากโจวโหยว อนุญาตให้เฉินผิงอันใช้ลำธารแห่งกาลเวลาเส้นหนึ่งเป็นสะพานยาวเดินทางข้ามผ่านขุนเขาสายน้ำหมื่นปี
ในดินแดนความฝันแห่งหนึ่ง หากชิงถงตั้งใจอำพรางเรือนกาย ถ้าอย่างนั้นความสัมพันธ์ระหว่างชิงถงกับเฉินผิงอันก็เหมือนเรือราตรีลำหนึ่งที่ล่องอยู่ในใต้หล้าไพศาล
ชิงถงกำลังจะขยับเท้าก้าวเดินก็สัมผัสได้ถึงสายตาเฉียบคมจากเทพเกราะทององค์นั้น จึงได้แต่หยุดร่าง ยื่นนิ้วสองนิ้วมาจับประคองหมวกคลุมหน้า แสดงถึงการขออภัย
ชิงถงแห่งใบถงทวีปอย่างเจ้าก็คิดจะมาเหยียบย่างบนเส้นทางเทพภูเขาสุ้ยซานของข้าหรือ?
เอกสารผ่านด่านที่ได้จากศาลบุ๋นแผ่นดินกลางล่ะ ไม่อย่างนั้นเจ้าก็ไปขอคำอนุญาตจากปากของหลี่เซิ่งมาก่อน
โจวโหยวปรากฏกายที่หน้าประตู ด้านข้างตั้งป้ายศิลาขนาดใหญ่ยักษ์เอาไว้อันหนึ่ง แกะสลักสี่คำว่า ‘มีเพียงฟ้าอยู่เบื้องบน’
ทั้งสองฝ่ายเดินขึ้นบันไดไปด้วยกัน ระหว่างทางมีทัศนียภาพมากมาย ส่วนใหญ่เป็นป้ายหินที่แกะสลักด้วยตัวอักษรดุจหงส์ร่อนมังกรรำกับอักขระยันต์ตำราสวรรค์ แต่เพราะถูกแม่น้ำแห่งกาลเวลาที่ไหลอย่างเชื่องช้าลดทอนกัดกร่อน คนรุ่นหลังจึงไม่อาจเข้าใจความหมายที่แท้จริงของพวกมันได้
หินแกะสลักของภูเขาสุ้ยซาน ไม่ว่าจะเป็นด้านจำนวนหรือเนื้อหาล้วนเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า มีศิลาจารึกสำเร็จรูปอยู่หลายพันแห่ง ตัวอักษรบนหน้าผาก็ยิ่งมีมากหลายหมื่นตัว
ว่ากันว่าสำเนาคัดลอกเนื้อหาศิลาจารึกทั้งหมดบนภูเขาสุ้ยซานของใต้หล้าไพศาล ขอแค่มาจากฝีมือของผู้ฝึกตนทำเนียบบนภูเขา ก็ล้วนต้องมีการแบ่งบัญชีกับจวนซานจวิน
โจวโหยวมีความคิดพอๆ กันกับหลี่เย่โหวสุ่ยจวินแห่งมหาสมุทรบูรพา เพียงแต่ว่าเทพใหญ่แห่งสุ้ยซานท่านนี้พูดจาอย่างตรงไปตรงมามากกว่า
“เจ้ารู้หรือไม่ว่า ในอนาคตเรื่องของบุญกุศลจะล้ำค่ามากเป็นพิเศษ ล้ำค่าอย่างถึงที่สุด ไม่ใช่ซี่โครงไก่อะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานที่เคยสร้างคุณความชอบทางการสู้รบมาก่อน ต่างก็จะมองของสิ่งนี้เป็นหนึ่งในโอกาสฝ่าทะลุขอบเขตบนมหามรรคา ขอแค่มีบุญกุศลปกป้อง ก็เหมือนอยู่ในสถานประกอบพิธีกรรมอันยอดเยี่ยมที่มีครบทั้งฟ้าอำนวยดินอวยพร เส้นทางการฝึกตนต่อจากนั้นก็จะเหนื่อยเพียงครึ่งแต่ได้ผลสำเร็จเป็นเท่าตัว ต่อให้สุดท้ายปิดด่านล้มเหลว ฝ่าทะลุขอบเขตไม่สำเร็จ ก็ไม่มีโรคภัยทิ้งไว้มากนัก สำหรับพวกจ้าวเทียนไล่แห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ หลิวจวี้เป่า ก็จะยิ่งเป็นการพัฒนารุดหน้าไปอีกขั้น มีหวังที่น้ำมาคูคลองจะก่อเกิด สำหรับพวกคนอย่างเหวยเซ่อแห่งธวัลทวีปก็ยิ่งเหมือนฝนรสหวานที่ตกในผืนดินที่แห้งแล้งมานาน เหมือนต้นหลิวร่วงโรยแล้วบุปผาบานสะพรั่ง”
“พูดถึงแค่การสลายมรรคาของบรรพจารย์สามลัทธิต่อจากนี้ เดิมทีคนที่มีบุญกุศลใหญ่ติดตัวอย่างเจ้า ความอุดมสมบูรณ์ของ ‘เงื่อนไขพิเศษ’ ที่เจ้าจะได้รับก็ทำให้ข้าอิจฉาอย่างมากแล้ว”
“อีกอย่างดินทรุดอาคเนย์ คือสถานการณ์ที่แน่นอนแล้ว บางทีคนอื่นอาจจะไม่รู้ความลี้ลับที่ซ่อนอยู่ แต่เจ้าจะไม่รู้ได้หรือ ต่อจากนี้การไหลรินของโชคชะตาทั่วทั้งใต้หล้าไพศาลก็จะเป็นการไหลรินจากจุดอื่นในแปดทวีป โดยเฉพาะจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือที่จะเอนเอียงไปทางใบถงทวีปจนหมดอย่างเป็นธรรมชาติ นี่คือที่ตั้งแห่งมหามรรคา เหมือนน้ำที่ไหลลงจากที่สูงเสมอ เดิมทีก็เป็นแนวโน้มของสถานการณ์อยู่แล้ว และนี่ก็คือรากฐานที่ทำให้ชิงถงมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมที่จะนิ่งดูดายอยู่เฉยๆ เพราะชิงถงสามารถนั่งเสวยสุขรอให้เรื่องสำเร็จ ข้าคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ หากจะบอกว่าเจ้าถูกปิดหูปิดตาก็ว่าไปอย่าง แต่ในเมื่อเจ้าก็รู้ชัดเจนดีอยู่แก่ใจ ไยต้องร้อนใจด้วย?”
“สิ่งที่เจ้าทำแทบไม่ต่างจากการเอาบุญกุศลสามสี่ส่วนบนร่างมาแลกผลประโยชน์หนึ่งสองส่วนให้กับใบถงทวีป บัญชีเล่มนี้ เจ้าคิดคำนวณได้ไม่กระจ่างหรือ?”
“เฉินผิงอัน ลองว่ามาสิ สรุปแล้วเจ้าคิดอย่างไรกันแน่ พูดออกมา ข้าจะได้หัวเราะสักหน่อย”
เจอคำ ‘สั่งสอน’ แสกหน้า เฉินผิงอันกลับยังมีรอยยิ้ม หากไม่ใช่ผู้อาวุโสที่เป็นเหมือนผู้ใหญ่ในบ้านตัวเองก็ไม่มีทางพูดจาด้วยความโมโหคล้ายไม่ได้ดังใจที่เขาไม่ได้ความเช่นนี้
เทพเกราะทองเหลือบไปเห็นสีหน้าแววตาของคนหนุ่มก็เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ข้าสนิทกับซิ่วไฉเฒ่า ไม่ได้หมายความว่าจะสนิทกับเจ้าด้วย”
“มรรคาไร้ความเอนเอียง คาถาประดุจน้ำฝนที่หล่นลงพื้นดิน”
——