กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 936.2 ข้าคือเจ้าแห่งวิถีบูรพา (ห้า)
เฉินผิงอันอธิบายเสียงเบา “ท่ามกลางสายฝนตกกระหน่ำที่ประทานพรให้แก่พื้นดินบนโลกมนุษย์ครั้งนี้ ตัวข้าก็อยู่ท่ามกลางเม็ดฝนพวกนี้ด้วย มิอาจเป็นข้อยกเว้น แน่นอนว่าข้าสามารถเอาอย่างชิงถงนั่งรอเสวยสุขอย่างเดียว แต่ในนี้ก็มีปัญหาอยู่ข้อหนึ่ง ข้าคือผู้ฝึกลมปราณ ยิ่งเป็นผู้ฝึกกระบี่ การฝ่าทะลุขอบเขตที่แลกมาด้วยบุญกุศล ต่อให้จะเป็นการฝ่าทะลุขอบเขตติดต่อกัน ยกตัวอย่างเช่นเลื่อนจากก่อกำเนิดเป็นหยกดิบแล้วจึงเป็นเซียนเหริน แต่สำหรับผู้ฝึกกระบี่บริสุทธิ์คนหนึ่งแล้ว หากดูในระยะยาวก็ยังได้ไม่คุ้มเสีย บัญชีเล่มนี้ บางทีอาจต้องคิดกันเช่นนี้”
ถือไม้เท้าเดินป่าอยู่ในมือ เฉินผิงอันใช้มันชี้ไปที่กึ่งกลางภูเขา จากนั้นยกขึ้นสูงอีกเล็กน้อย ชี้ไปที่ยอดเขาของภูเขาสุ้ยซาน เอ่ยเนิบช้าว่า “เดินได้เร็ว จากนั้นอาจทำได้เพียงเดินวนไปวนมาอยู่ตรงนั้น แต่หากเดินช้ากว่านั้นอีกสักหน่อย กลับสามารถเดินไปตลอดจนถึงยอดเขาแล้วค่อยหยุดเดิน”
โจวโหยวยิ้มเอ่ย “ในสายตาของอิ่นกวานเซียนกระบี่ใหญ่ท่านหนึ่งไม่มีค่าถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
เฉินผิงอันคิดแบบนี้ได้ ไม่อาจพูดได้ว่าผิดทั้งหมด ถือเป็นการสละใกล้แสวงหาสิ่งที่ไกลกว่าอย่างหนึ่ง
แต่ปัญหานั้นอยู่ที่ว่า ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่ง ต่อให้เป็นที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็ยังล้ำค่าอย่างมาก แล้วก็จริงดังคาด เฉินผิงอันให้คำตอบสุดท้ายว่า “ข้าต้องการกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่อย่างบริสุทธิ์เต็มตัวคนหนึ่ง”
โจวโหยวได้ยินประโยคนี้ก็ต้องหันมามองอีกฝ่ายเสียใหม่ จากนั้นก็เงียบงันไปนาน
ผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ถือว่าหายากเหมือนขนหงส์เขากิเลนแล้ว ผู้ฝึกกระบี่ที่เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ก็ยิ่งมีพลังพิฆาตน่าตะลึง ถ้าอย่างนั้นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่ที่ได้ครอบครองคำว่าบริสุทธิ์เล่า?
เผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่หนึ่งในสามสุดยอดของไพศาลก็ไม่ใช่ว่าถูกคำคำนี้ขัดขวางให้ต้องรออยู่นอกประตูมานานหลายพันปีหรอกหรือ?
เฉินผิงอันกล่าวต่ออีกว่า “หากการมอบบุญกุศลก้อนนั้น ตัวข้าเองสามารถตัดสินใจได้ว่าควรจะเอาไปใช้อย่างไร ยกตัวอย่างเช่นสามารถเอามาแลกเปลี่ยนเป็นเงินเทพเซียนก้อนใหญ่ที่หล่นลงมาจากฟ้า หรือไม่ก็ช่วงชิงเอาสมบัติวิเศษแห่งฟ้าดินบางอย่างที่แค่เอื้อมมือคว้าก็ได้มาครองให้กับภูเขาลั่วพั่วและภูเขาเซียนตู เพื่อตัวข้าเองก็ดี หรือวางแผนระยะยาวเพื่อสำนักทั้งสองแห่งก็ช่าง ข้าก็จะต้องเก็บบุญกุศลเล็กๆ ก้อนหนึ่งไว้บนมือแน่นอน บางทีการใช้จิตท่องฝันครั้งนี้ ข้าก็อาจจะ ‘แค่เที่ยวเยือนจวนวารีพบเจอเทพวารี ไม่มาเยือนภูเขาพบเจอซานจวิน’ แล้ว”
โจวโหยวกล่าว “ก็พอจะถือว่าเป็นดั่งคำกล่าวที่ว่าวิญญูชนต้องการทรัพย์สินเงินทองก็ต้องได้มาด้วยวิธีที่ถูกต้องได้ เฉินผิงอัน การประชุมที่ศาลบุ๋นคราวก่อน ทำไมเจ้าถึงไม่คว้าตำแหน่งนักปราชญ์มาสักตำแหน่งล่ะ?”
ในบรรดาลูกศิษย์ของลูกศิษย์สายเหวินเซิ่ง หลี่เป่าผิงมีสถานะเป็นวิญญูชนแล้ว คืออาจารย์หญิงอย่างสมชื่อคนหนึ่ง นอกจากนี้หลี่ไหวและรองเจ้ากรมต้าหลีอย่างจ้าวเหยาก็มียศนักปราชญ์กันแล้ว
และในบรรดาลูกศิษย์ของเฉินผิงอันก็มีเฉาฉิงหล่างที่เป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิต โชคดีที่ดูเหมือนคนผู้นี้จะเป็นบัณฑิตที่ไม่ค่อยเหมือนกับอาจารย์ปู่และอาจารย์ของเขาสักเท่าไร
เฉินผิงอันกล่าว “หากผู้อาวุโสยินดีช่วยพูดแนะนำสักสองสามประโยค พูดประโยคที่เป็นธรรมให้ทางศาลบุ๋นฟังสักหน่อย ผู้เยาว์ก็ต้องขอขอบคุณไว้ล่วงหน้า ณ ที่นี้เลย”
โจวโหยวยิ้มเอ่ย “แม้จะบอกว่าแนะนำคนมีความสามารถอย่าได้หลีกเลี่ยงคนสนิทของตัวเอง แต่กระนั้นก็ยังมาไม่ถึงคราวคนนอกสายบุ๋นอย่างข้าหรอก”
ในกลุ่มลูกศิษย์ผู้สืบทอดหลายคนของสายเหวินเซิ่ง จะต้องมีแค่เจ้าคนที่อายุน้อยที่สุดผู้นี้เท่านั้นที่พูดจาแบบนี้ได้
ก็ไม่แปลกที่ซิ่วไฉเฒ่ารักและลำเอียงเข้าข้างลูกศิษย์คนสุดท้ายที่สุด ก็เหมือนเขาที่สุดนี่นะ ชอบดื่มเหล้าที่สุด หน้าหนา แล้วยังมีวาสนาดีกับพวกผู้ใหญ่ ประเด็นสำคัญคือเฉินผิงอันยังหาภรรยาได้แล้วด้วย เป็นครามที่เกิดจากต้นครามแต่สีเข้มกว่าคราม ถือว่า ‘เป็นประวัติการณ์’ ให้กับสายเหวินเซิ่งหรือไม่?
พูดถึงแค่เรื่องวาสนากับพวกผู้ใหญ่ ชุยฉานลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่งในอดีตมีความสามารถสูงเกินไป จึงเป็นเหตุให้ทั้งๆ ที่ซิ่วหู่สุภาพอ่อนโยน มีสีหน้าเป็นมิตร ปฏิบัติกับผู้อื่นอย่างมีมารยาท แต่กลับยังให้ความรู้สึกลวงตาแก่ผู้คนว่ามีพลังอำนาจเฉียบคม ส่วนลูกศิษย์อย่างฉีจิ้งชุนก็เก็บตัวเงียบไม่ค่อยออกมาข้างนอก น้อยครั้งนักที่จะได้ออกไปท่องเที่ยว หลิวสือลิ่วก็เนื่องจากชาติกำเนิด มีสักกี่คนที่อายุขัยการฝึกตนเทียบเคียงกับเขาได้ เป็นเหตุให้ในใต้หล้าไพศาลมี ‘ผู้อาวุโส’ สักกี่คนที่สามารถเรียกตัวเองเป็นผู้อาวุโสของเขาได้อย่างภาคภูมิใจ? ส่วนจั่วโย่วที่ได้รับการยอมรับว่าคือ ‘ตัวก่อเรื่องของสายเหวินเซิ่ง’ นิสัยฉุนเฉียวเจ้าอารมณ์ที่สุด ก่อนจะฝึกกระบี่ วันๆ ก็เอาแต่ทำหน้าตายเย็นชา พอฝึกกระบี่แล้วก็ยิ่งเดือดร้อนให้ซิ่วไฉเฒ่าต้องคอยยิ้มประจบไปขออภัยคนอื่นถึงบ้านอยู่เป็นเนืองนิตย์
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ผู้อาวุโสช่วยยกเว้นให้สหายชิงถงได้เข้ามาในอาณาเขต มาเป็นแขกที่ขุนเขากลางได้หรือไม่ เจ้าหมอนี่เลื่อมใสในชื่อเสียงอยากลิ้มลองอาหารเจของสุ้ยซานพวกเรามานานแล้ว”
โจวโหยวไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ เพียงพูดกลั้วหัวเราะว่า “ทำไมถึงกลายเป็น ‘สุ้ยซานพวกเรา’ ไปเสียแล้วล่ะ?”
เฉินผิงอันกล่าว “ในเมื่อผู้อาวุโสสนิทกับอาจารย์ เป็นสหายที่สนิทสนมกันมาก ไม่ว่าอย่างไรก็ถือว่าผู้เยาว์ ‘กึ่งสนิท’ กับสุ้ยซานได้”
โจวโหยวเอ่ยเตือน “ในเมื่อเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่สนิทสนมแม้แต่น้อย ก็อย่ามีความคิดกับตัวอักษรที่แกะสลักบนป้ายศิลาเลย”
เฉินผิงอันถาม “ธูปภูเขาก้านนั้น?”
โจวโหยวพยักหน้า “ไม่มีปัญหา”
ซิ่วไฉเฒ่ามีลูกศิษย์ที่ดีที่ช่วยแบ่งเบาภาระให้อาจารย์จริงๆ
รอกระทั่งในอนาคตความจริงเรื่องของการซ่อมแซมแผ่นดินที่เป็นรูโหว่นี้ถูกเปิดเผยแก่ใต้หล้า หึหึ ด้วยนิสัยของซิ่วไฉเฒ่า อย่าว่าแต่พวกอริยะปราชญ์ที่มีเทวรูปของศาลบุ๋นที่ถูกกวนใจเลย เกรงว่าต่อให้เป็นหลี่เซิ่ง ซิ่วไฉเฒ่าก็ยังต้องแล่นไปพูดอะไรบ้างสองสามประโยค ทว่าก็มีความเป็นไปได้เหมือนกันที่ซิ่วไฉเฒ่าจะเงียบงันอย่างที่หาได้ยาก
เหมือนได้อ่านตำราดีๆ เล่มหนึ่งที่ตัดใจจะแบ่งปันกับคนอื่นไม่ลง
ชิงถงที่ยืนรออยู่ที่เดิมอย่างว่าง่าย ในทะเลสาบหัวใจพลันมีคำสั่งจากภูเขาสุ้ยซานดังขึ้น คิดไม่ถึงว่าจะอนุญาตให้นางเดินขึ้นเขามาเที่ยวชมทิวทัศน์ กินบะหมี่เจได้หนึ่งชาม
เทพองค์นั้นร่างทองไร้ตำหนิข้อบกพร่อง ชิงถงใช้ศาสตร์การมองลมปราณของตัวเองก็เห็นเป็นภาพบรรยากาศยิ่งใหญ่โอฬารที่ ‘ภูเขาสูงแทบจะทัดเทียมกับฟ้า’
เป็นเหตุให้ชิงถงมีความรู้สึกว่าตัวเองอยู่เหนือเขตชายแดนของขุนเขากลางแห่งนี้ หากโจวโหยวปล่อยกระบี่มาจากสุ้ยซาน ชิงถงลองประเมินดู บางทีตนอาจจะไม่ได้กลับไปยังใบถงทวีปแล้ว
ดังนั้นโชคดีที่ได้ไปกินบะหมี่เจที่ภูเขาสุ้ยซานแล้วค่อยกลับ ช่างเป็นความน่ายินดีที่ไม่คาดฝันจริงๆ ชิงถงคารวะอยู่ไกลๆ อย่างนอบน้อม หลังจากเอ่ยขอบคุณโจวโหยวแล้วถึงได้เอาอย่างเฉินผิงอัน ไปถึงที่ตีนเขา อีกทั้งยังเดินไปในภาพมายาของห้วงฝัน ต่อให้วันนี้จะเป็นวันที่สามสิบของสิ้นปี ชายหญิงผู้มีจิตศรัทธาที่เดินขึ้นสู่เส้นทางเทพไปจุดธูปบนยอดเขาก็ยังมีมากมายไม่ขาดสาย เสียงผู้คนดังจอแจ ควันธูปของสุ้ยซานโชติช่วงถึงเพียงนี้ ก็มิแปลกที่โจวโหยวสามารถหล่อหลอมร่างทองที่เป็นเช่นนั้นออกมาได้
ชิงถงกลับมาสวมหมวกคลุมหน้าดังเดิม แฝงกายอยู่ในกลุ่มของมนุษย์ธรรมดา เดินอยู่บนเส้นทางภูเขาที่ผู้คนสัญจรขวักไขว่ ชิงถงแอบดีใจอยู่กับตัวเอง สีหน้าจึงมีความลำพองใจอยู่มาก
อยู่กับอาจารย์เจิ้งก็ไม่ต้องกังวลเรื่องกินเรื่องดื่มจริงๆ ด้วย
ดูสิ ขนาดเทพใหญ่สุ้ยซานยังต้องไว้หน้า
โจวโหยวพาเฉินผิงอันมาถึงยอดเขาของภูเขาสุ้ยซาน ขึ้นสู่ที่สูงมองไปยังทิศไกล ทำให้คนรู้สึกเพียงว่านอกจากภูเขาลูกนี้แล้วกลุ่มภูเขาที่เหลือล้วนเล็กจ้อย
มีคนเคยบอกว่า วิถีเทพขุ่นมัวเป็นหนึ่ง
มีคนกลับบอกว่า วิถีแห่งข้าเพียงหนึ่งก็เข้าใจทุกอย่างถ่องแท้
ส่วนทั้งสองฝ่าย ใครผิดใครถูก สรุปแล้วใครคือหมื่นสรรพสิ่งที่รวมเป็นหนึ่ง ใครคือหนึ่งที่ก่อกำเนิดหมื่นสรรพสิ่ง ดูจากตอนนี้ยังไม่มีคำตอบ
โจวโหยวถามว่า “เหตุใดชิงถงผู้นี้ถึงได้รู้สึกว่าเจ้าคือเจิ้งจวีจง?”
เฉินผิงอันตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถูกอวิ๋นเหมี่ยวแห่งหอเซียนจิ่วเจินชักนำให้เข้าใจผิด”
โจวโหยวกล่าว “ดูเหมือนว่าพวกคนฉลาดจะกลัวเจิ้งจวีจงที่สุด”
เฉินผิงอันพยักหน้า “คนที่ฉลาดเกินไปมักจะกลัวคนที่ฉลาดที่สุดเสมอ”
สีหน้าของโจวโหยวมีเลศนัย เหล่ตามองเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ ส่ายหน้าเอ่ยว่า “บางทีชีวิตนี้ข้าอาจไม่มีแรงใจได้มากถึงขอบเขตของศิษย์พี่และอาจารย์เจิ้ง”
ชิงถงไม่กล้าเดินเอื่อยเฉื่อยไปถึงยอดเขา เวลานี้ได้มานั่งในร้านบะหมี่ร้านหนึ่งที่อยู่ใกล้กับศาลซานจวินแล้ว ได้กินบะหมี่เจร้อนกรุ่นไปถ้วยหนึ่ง รสชาติดีเยี่ยม สมกับคำเล่าลือจริงๆ
โจวโหยวเอ่ย “โชควาสนาที่เป็นของเม็ดกระบี่ ‘เสี่ยวเฟิงตู’ เมื่อเวลาผ่านก็หมดไป ทุกวันนี้ได้ตกไปเป็นของคนอื่นแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มอย่างสง่างาม “ถือเสียว่าชะตาชีวิตมีแปดฉื่อก็อย่าได้หวังหนึ่งจั้งเลย”
โจวโหยวพยักหน้า หากไม่มีความใจกว้างระดับนี้ ยังจะไขว่คว้าการเป็นผู้ฝึกกระบี่บริสุทธิ์ขอบเขตสิบสี่อะไรได้อีก “เมื่อเทียบกับแปดทวีปอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งแจกันสมบัติทวีปกับอุตรกุรุทวีป ถึงอย่างไรสถานที่แห่งหนึ่งก็เป็นบ้านเกิดของเจ้า อีกสถานที่หนึ่งสถานะอิ่นกวานใช้ได้ผลที่สุด ล้วนมีความใกล้ชิดกับเจ้าอย่างเป็นธรรมชาติ ทว่าทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแห่งนี้ แต่ไหนแต่ไรมาก็ให้ความสำคัญกับมารยาทพิธีการที่สุด คนหนุ่มคนหนึ่งที่อารมณ์ร้อนวู่วามกับคนที่มองข้ามกฎเกณฑ์ คือคนละเรื่องกัน จวนซานจวินที่เหลือ ข้าจะช่วยบอกกล่าวให้เจ้าไว้ก่อน บอกไปว่าเดี๋ยวต่อจากนี้เจ้าจะพาดวงจิตไปท่องเยือนห้าขุนเขา เป็นอย่างไร?”
แน่นอนว่าเฉินผิงอันย่อมไม่ปฏิเสธ เอ่ยขอบคุณไปหนึ่งคำ
ถือเสียว่าให้ชิงถงได้กินบะหมี่เจชามนั้นดีๆ ก็แล้วกัน
ก่อนจะออกเดินทาง เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะขอบคุณซานจวินโจวโหยวอีกครั้ง “ภูเขาสุ้ยซานคือสถานที่แห่งเดียวที่อาจารย์ของข้ามีความสุขยามได้ดื่มสุรา วันหน้าขอแค่มีเรื่องใดที่สามารถใช้งานภูเขาลั่วพั่วและสำนักกระบี่ชิงผิงได้ ผู้เยาว์จะต้องรับทำอย่างไม่มีเกี่ยงงอน”
โจวโหยวไม่ได้เกรงใจคนหนุ่ม
มีคุณธรรมกว่าซิ่วไฉเฒ่าอยู่บ้าง
โจวโหยวไม่รู้สึกสักนิดว่าเฉินผิงอันพูดจาไปตามมารยาทเพราะคิดว่าผู้อื่นได้ผลประโยชน์ส่วนตัวเองก็ไม่ต้องเสียอะไร
รอแค่บรรพจารย์ของสามลัทธิสลายมรรคา ก็จะเป็นสถานการณ์อย่างใหม่ที่ไม่เคยมีปรากฎมาก่อนตลอดหมื่นปีของหลายใต้หล้า
พูดถึงแค่ผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ที่ไม่มีพันธนาการอีกต่อไปพวกนั้น คิดดูแล้วแต่ละคนก็น่าจะปรากฏตัว อีกทั้งยังจะต้องลงมือกันด้วย
บนเส้นทางของมหามรรคา ความวุ่นวายจะบังเกิดทั่วทุกหนแห่ง
แผนโจ่งแจ้ง แผนในทางลับ พากันปรากฏไม่ขาดสาย
ต้องรู้ว่าปีนั้นก่อนที่ปรมาจารย์มหาปราชญ์จะไปจากยอดเขาสุ้ยซาน เคยได้เอ่ยประโยคหนึ่งกับหลี่เซิ่งว่า ‘รอให้ข้าจากไปแล้ว แผนการที่มีไว้เล่นงานเจ้าก็จะปรากฏทันที ระวังตัวให้มาก’
ห้าขุนเขาของแผ่นดินกลางแบ่งออกเป็นภูเขาสุ้ยซาน ภูเขากุ้ยซาน ภูเขาจิ่วอี๋ ภูเขาแยนจือ ภูเขาจวีซวี
ซานจวินหญิงของภูเขาแยนจือมีชื่อว่าจูอวี้เซียน มีฉายาเทพที่ค่อนข้างจะประหลาด ขู่ไฉ่ (สมุนไพรขม)
ตอนนั้นที่อาจารย์ได้ตำแหน่งเทพในศาลบุ๋นกลับคืนมา มีคนจากทั่วสารทิศพากันมาอวยพรที่สวนกงเต๋อ จูอวี้เซียนได้มอบของขวัญหนาหนักชิ้นหนึ่งให้ หนึ่งในนั้นก็มีนกนางแอ่นดำที่พับจากกระดาษตัวหนึ่ง
ทางฝั่งของภูเขาจิ่วอี๋ ตอนนั้นซานจวินมอบต้นชางผูชะตาบุ๋นให้หนึ่งกระถาง
แต่ซานจวินสองท่านที่เฝ้าพิทักษ์ภูเขากุ้ยซานและภูเขาจวีซวีได้เข้าร่วมการประชุมของศาลบุ๋น แต่กลับไม่ได้ไปที่สวนกงเต๋อ
ทางฝั่งของภูเขากุ้ยซานนั้นเนื่องจากมีความแค้นเก่านานปี ไม่ค่อยถูกกับสายเหวินเซิ่ง หนึ่งแคว้นมีห้าขุนเขา และภูเขากุ้ยซานก็สูงส่งเป็นถึงหนึ่งในห้าขุนเขาของในหนึ่งทวีป ‘ห้าขุนเขา’ ใต้การปกครองจึงมีมากมาย ในบรรดานั้นมีภูเขาอยู่ลูกหนึ่งที่เนื่องจากลูกศิษย์อย่างจวินเชี่ยน ซิ่วไฉเฒ่าจึงเคยไป ‘เป็นแขก’ อยู่ครั้งหนึ่ง
ส่วนไหวเหลียนซานจวินของภูเขาจวีซวีกลับไม่เคยเข้าร่วมเรื่องทางโลกที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของมนุษย์เช่นนี้
แต่ไหวเหลียนก็มีความเคารพนับถือต่อกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างมาก เคยป่าวประกาศแก่ภายนอกว่า กำแพงเมืองปราณกระบี่ทำสงครามนานกี่ปี ใต้หล้าไพศาลก็ได้ทำสงครามน้อยลงเท่านั้น ถือเป็นผู้มีคุณูปการใหญ่หลวงต่อคนนับไม่ถ้วนที่ยังมีชีวิตอยู่ของไพศาลเรา
ความนัยในคำพูดนี้ก็คือ ซานจวินไหวเหลียนมีความปลาบปลื้มชื่นชมต่อตัวอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างเห็นได้ชัด
เพียงแต่ว่าเมื่อเฉินผิงอันพาชิงถงออกเดินทางไกลกันต่อ กลับต้องกลับมามือเปล่าติดต่อกันอยู่หลายครั้ง ล้วนเป็นเรื่องที่อยู่ในการคาดการณ์ของเฉินผิงอัน แบ่งแยกเรื่องส่วนรวมและเรื่องส่วนตัวอย่างชัดเจน หากไม่เพราะเห็นแก่หน้าของอาจารย์ตน บวกกับที่โจวโหยวแห่งสุ้ยซานได้บอกกล่าวไว้ก่อน คาดว่าคงต้องฟ้องร้องไปที่ศาลบุ๋นกันหลายครั้ง
จูอวี้เซียนซานจวินหญิงที่แม้จะไม่ตอบตกลงเรื่องธูปทางจิต แต่ก็ยังเชื้อเชิญให้เฉินผิงอันไปดื่มชาเย็นๆ ในศาลซานจวินอย่างกระตือรือร้น
ชิงถงเองก็ถือว่าได้พึ่งใบบุญไปด้วย ได้ดื่มชารื่อจู้ที่มีชื่อเสียงมาเนิ่นนานไปถ้วยหนึ่ง
นอกจากนี้เทพภูเขาจิ่วอี๋ก็นับว่ายังเกรงใจกันอยู่ ปรากฏตัวที่ประตูภูเขา เอ่ยเตือนเฉินผิงอันประโยคหนึ่งว่า การกระทำที่เป็นการล้ำเส้นเช่นนี้ อย่าให้มีอีก
แต่เขาก็ยังคุยเล่นกับเฉินผิงอัน พูดว่าหากวันใดถัวเหยียนฮูหยินมีเวลาว่างก็ยินดีต้อนรับให้นางมาเป็นแขกที่ภูเขาจิ่วอี๋
——