กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 936.3 ข้าคือเจ้าแห่งวิถีบูรพา (ห้า)
เฉินผิงอันยิ้มตอบตกลง นับแต่โบราณมาใต้หล้าไพศาลก็มีคำกล่าวที่ว่า ‘ดอกเหมยสองดอกครึ่งในใต้หล้า หนึ่งดอกอยู่บนภูเขาจิ่วอี๋’ อยู่แล้ว
ซานจวินของภูเขากุ้ยซานที่มีฉายาว่า ‘เทียนจวิน’ เลือกที่จะไม่พบเฉินผิงอัน ให้คนเฝ้าศาลผู้หนึ่งมาที่ตีนเขาพร้อมนำความมาบอกว่า ‘ขออภัยที่ไม่ต้อนรับแขก อิ่นกวานสามารถกลับไปได้แล้ว’
เฉินผิงอันที่ได้กินน้ำแกงประตูปิดเต็มๆ ชามยืนอยู่นอกประตูภูเขา ไม่ได้จากไปทันที สองมือไพล่หลัง เงยหน้ามองกรอบป้ายหน้าประตูภูเขา
แน่นอนว่าคนเฝ้าศาลอายุมากที่เส้นผมขาวโพลนไม่กล้าไล่คนต่อ การตีกันของเทพเซียนที่สูงส่งเหนือหัวประเภทนี้ คนเฝ้าศาลตัวเล็กๆ มิอาจแบกรับได้ไหวจริงๆ
หากไม่เป็นเพราะรู้ว่าเวลานี้ซานจวินจะต้องจับตามองความเคลื่อนไหวที่หน้าประตูภูเขาอยู่แน่นอน คนเฝ้าศาลเฒ่าก็อยากจะโอภาปราศรัยกับอิ่นกวานหนุ่มที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปหลายใต้หล้าผู้นี้สักสองสามประโยคเหมือนกัน
เทพภูเขาจวีซวีมาปรากฏตัวที่หน้าภูเขาด้วยตัวเองก็จริง แต่กลับทำสีหน้าเย็นชาให้เฉินผิงอันได้เห็น ทั้งยังทิ้งประโยค ‘คำพูดรุนแรง’ ไว้ด้วยว่า ‘นี่ยังไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานเลย รอให้วันหน้าใช่แล้ว ไม่ว่าภูเขาลูกใดในใต้หล้าไพศาลก็จะไม่กลายเป็นบ้านของตัวเอง นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไปหรอกหรือ?’
ในทะเลสาบหัวใจของเฉินผิงอันมีริ้วคลื่นกระเพื่อมตามมาด้วยเสียงของชิงถง “ในเมื่อรู้ดีว่าเป็นเรื่องที่ไม่อาจทำได้ ไยต้องหาเรื่องลำบากใส่ตัวด้วยเล่า”
อันที่จริงชิงถงไม่ได้จะสาดเกลือลงบนบาดแผลของเฉินผิงอัน เพราะการบุ่มบ่ามมาเยือนเช่นนี้จะต้องทำให้คนรังเกียจแน่นอน ไม่เหมือนกับหมู่ชาวบ้านล่างภูเขาที่หากไม่พอใจกันขึ้นมา อย่างมากก็แค่ไม่ไปมาหาสู่กันอีกชั่วชีวิต เรื่องแบบนี้เมื่ออยู่บนยอดเขากลับเป็นเรื่องต้องห้าม ยกตัวอย่างที่เรียบง่ายที่สุด วันหน้าหากเฉินผิงอันมาเยือนอาณาเขตของภูเขากุ้ยซาน ภูเขาจวีซานอีก ต่อให้ซานจวินของห้าขุนเขาทั้งสองท่านจะไม่รู้ร่องรอยของเฉินผิงอัน แต่กระนั้นก็จะยังมีการสยบกำราบบนมหามรรคาที่มองไม่เห็นเกิดขึ้นอยู่ดี
เฉินผิงอันกล่าว “ไม่ลองขอร้องอย่างจริงจังดูสักครั้ง จะรู้ได้อย่างไรว่าไม่มีหนึ่งในหมื่น”
ไม่ว่าจะเป็นภูเขาห้ามหาบรรพตของแผ่นดินกลางลูกใดก็ตาม นอกจากโจวโหยวแห่งภูเขาสุ้ยซานแล้ว ขอแค่ยังมีซานจวินสักคนยอมตอบตกลงในเรื่องนี้ ยกตัวอย่างเช่นไหวเหลียนแห่งภูเขาจวีซวีแห่งนี้ที่ยอมพยักหน้าตอบตกลง ถ้าอย่างนั้นเฉินผิงอันก็จะไปเยือนภูเขากุ้ยซาน ภูเขาแยนจือและภูเขาจิ่วอี๋อีกสักรอบ หากว่าจูอวี้เซียนที่เขาแวะไปหาเป็นคนที่สองพยักหน้าตอบตกลง ถ้าอย่างนั้นซานจวินอีกสามท่านซึ่งมีไหวเหลียนเป็นหนึ่งในนั้น บางทีก็อาจจะไม่สามารถ ‘ไล่’ เฉินผิงอันกลับไปได้ง่ายๆ เช่นนี้อีก ลำพังแค่บุญกุศลก้อนเดียวยังไม่พอ ถ้าอย่างนั้นชื่อเสียงและผลประโยชน์ล่ะ? ต้องรู้ว่าในอาณาเขตของห้ามหาบรรพต เส้นสายควันธูปที่ขยายไปตั้งแต่จวนเทพไปจนถึงศาลวัดวาอารามมากมายที่อยู่ในภูเขา เฉินผิงอันได้สืบมาจนเข้าใจกระจ่างชัดหมดแล้ว พูดถึงแค่จูอวี้เซียนกับผู้ฝึกกระบี่หญิงจูเหมยที่ผูกบุญสัมพันธ์ต่อกัน ตอนที่ฝ่ายหลังยังเป็นเด็กสาว จูเหมยก็เคยติดตามหลินจวินปี้ไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วยกัน โชคชะตาบู๊ของภูเขาจวีซวีมีมากมาย แต่ซานจวินไหวเหลียนจะยังรังเกียจว่ามีมากเกินไปหรือ? หรือยกตัวอย่างเช่นวันหน้าเมื่อตัวเฉินผิงอันเองฝ่าทะลุขอบเขตผู้ฝึกยุทธ หรือใครคนใดของภูเขาลั่วพั่วฝ่าทะลุขอบเขตด้วยคำว่าแข็งแกร่งที่สุดแล้วยินดีเลือกภูเขาจวีซวีเล่า? ส่วนในอาณาเขตของภูเขากุ้ยซานก็มีผู้ฝึกกระบี่มากมาย ซานจวินไม่ถูกกับสายเหวินเซิ่งของตน? วันหน้าพวกตัวอ่อนเซียนกระบี่ที่ด้านหลังมีโคมซึ่งทำจากวิชาลับของจวนซานจวินดวงหนึ่งลอยห้อยตามอยู่ ตอนออกไปฝึกประสบการณ์นอกบ้านก็ต้องระวังไว้หน่อยแล้ว ทางที่ดีที่สุดคือควรทำตัวเป็นคนที่เที่ยงธรรมสักหน่อย อย่าวางอำนาจบาตรใหญ่มากเกินไป มิเช่นนั้นการถามกระบี่และรับกระบี่ ส่วนใหญ่กระบี่บินก็มักจะไม่มีตาหรอกนะ หรือยกตัวอย่างเช่นภูเขาเหนี่ยวจวี่ลานประกอบพิธีกรรมของเฟิงจวินผู้นั้น ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในสองภูเขาทายาทของภูเขาจวีซวีด้วย
เฉินผิงอันเอ่ยเยาะเย้ยตัวเอง “สี่ไม่เหมือน”
ชุยฉาน เจิ้งจวีจง อู๋ซวงเจี้ยง…ยากที่จะเรียนรู้เอาอย่างได้จริงๆ
หากเปลี่ยนให้ศิษย์พี่ชุยฉานเป็นคนมาเยือนห้ามหาบรรพต ใช้สถานะและขอบเขตเท่ากัน คาดว่าซานจวินทั้งห้าท่านที่ไม่ว่าในใจจะคิดอย่างไร สุดท้ายแล้วก็คงยังพยักหน้าตอบตกลงอยู่ดี
ภูเขากุ้ยซานที่ถูกขนานนามว่าเป็นสถานที่พระจันทร์ตก ตอนนี้กลับมี ‘แขกผู้สูงศักดิ์’ คนหนึ่งที่ไล่อย่างไรก็ไม่ยอมกลับไป ก็คือกู้ชิงซงที่มีฉายาว่า ‘เซียนฉา’ ลูกศิษย์ใหญ่ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของเจ้าลัทธิสามลู่เฉินแห่งป๋ายอวี้จิงนั่นเอง
กู้ชิงซงกำลังบ่นซานจวิน “เจ้าเป็นอะไรของเจ้า ทำไมไม่ยอมฟังคำโน้มน้าวบ้างเลย เป็นเทพภูเขาก็เลยฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องแล้วใช่ไหม?”
ผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อลักษณะสุภาพสง่างามชินชากับเหตุการณ์นี้แล้ว กับคำพูดของคนบางคนแค่ฟังเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวาก็พอ
กู้ชิงซงเอ่ยพึมพำกับตัวเองว่า “นิสัยเสียๆ ที่จำแต่เรื่องดีไม่จำตอนโดนตี เลิกได้ก็เลิกเสียเถอะ ตอนนั้นในถิ่นของเจ้า ภูเขาที่เป็นหนึ่งในภูเขาสำรองก็ไม่ใช่เพราะไม่ให้หลิวสือลิ่วขึ้นเขาไปเดินเที่ยวเลยต้องเจอกับเรื่องลำบากใหญ่หลวงหรอกหรือ แล้วยังด่าหลิวสือลิ่วว่าเป็นสัตว์เดรัจฉานตัวมีแต่ขนอีก ผลเป็นอย่างไร ก็ไม่ได้ถูกซิ่วไฉเฒ่ากระทืบไม่กี่ทีก็จมลึกลงไปใต้ดินร้อยกว่าจั้งหรือ เจ้าที่เป็นหัวหน้า อะไรดีๆ ไม่เรียนรู้ ดันเรียนรู้เรื่องแย่ๆ มา จะปกป้องคนของตัวเองเอาอย่างซิ่วไฉเฒ่า ช่วยทะเลาะจนทะเลาะกันไปถึงศาลบุ๋น แล้วจุดจบล่ะเป็นอย่างไร? ได้ยินว่าซิ่วหู่ผู้นั้นที่เป็นศิษย์พี่ของหลิวสือลิ่วร่ายความผิดเกือบร้อยกระทงของซานจวินภูเขาลูกนั้นออกมารวดเดียว อีกทั้งทุกเรื่องยังมีหลักฐาน ไม่เพียงแต่ภูเขาไม่ได้ความสูงกลับคืนมา ยังต้องไปกินข้าวแดงในสวนกงเต๋ออีก อร่อยหรือไม่เล่า? ตอนนั้นเจ้าอายไหม? จะดีจะชั่วก็เป็นซานจวินขุนเขาใหญ่แล้ว ทำไมตอนนั้นเจ้าไม่ร่ายวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตช่วยศาลบุ๋นขุดหลุมลงไปอยู่เสียเลย? ตอนนี้ใครบ้างไม่รู้ว่าซิ่วไฉเฒ่ารักเฉินผิงอันที่เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายที่สุด อย่างเจ้านี่ไม่เรียกว่าพาตัวไปหาเรื่องซวยแล้วจะเรียกว่าอะไร?”
ซานจวินผู้เฒ่าขมวดคิ้วกล่าว “ไม่จบไม่สิ้นเสียทีรึ”
กู้ชิงซงร้องเพ้ย “หากไม่เป็นเพราะข้าผู้อาวุโสมีเรื่องจะขอร้อง มีหรือจะมาเปลืองน้ำลายพูดเหตุผลพวกนี้กับเจ้า”
ซานจวินผู้เฒ่ากล่าว “ก่อนหน้านี้ข้าได้รับคำสั่งข้อหนึ่งจากทางศาลบุ๋น ข้าก็แค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น”
กู้ชิงซงถามอย่างสงสัย “เป็นหย่าเซิ่งเปิดปากให้เจ้าขัดขวางเฉินผิงอันรึ?”
ซานจวินผู้เฒ่าเอ่ยอย่างมีโทสะ “พูดจาระวังปาก!”
กู้ชิงซงพึมพำกับตัวเอง “ต้องไม่ใช่แน่ ต่อให้หย่าเซิ่งจะไม่ถูกกับเหวินเซิ่งแค่ไหน นั่นก็เป็นแค่การช่วงชิงกันเรื่องทฤษฎีความรู้ อาเหลียงยังเป็นกุนซือหัวสุนัขของสายเหวินเซิ่ง อันที่จริงความสัมพันธ์ของสองบ้านไม่ได้แย่อย่างที่คนนอกคิดกัน หรือจะเป็นเจ้าลัทธิคนใดของศาลบุ๋น? ก็ยิ่งไม่น่าเป็นไปได้สิ ทุกวันนี้ซิ่วไฉเฒ่าเพิ่งจะได้รับตำแหน่งเทพกลับคืนมา เอวแข็งเสียงดังมากนัก อีกทั้งจิงเซิงซีผิงยังเป็นเทพรายงานข่าวที่ควบคุมปากตัวเองไม่ได้ยามอยู่กับซิ่วไฉเฒ่า สนิทกับซิ่วไฉเฒ่าที่สุด ในศาลบุ๋นจะมีใครกล้ามาชนตอแข็งเช่นนี้?”
ซานจวินผู้เฒ่ากล่าว “คำสั่งนั้นไม่ได้ลงชื่อ”
กู้ชิงซงลูบคลำปลายคาง “ถ้าอย่างนั้นก็แปลกมากแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาจอมปราชญ์น้อยก็ทำแต่เรื่องโจ่งแจ้งไม่ทำเรื่องในที่ลับ แต่ก็ไม่ใช่คำสั่งของหย่าเซิ่ง หรือจะเป็นปรมาจารย์มหาปราชญ์ที่เป็นเหมือนกับข้า มีเรื่องอยากจะขอร้องสหายเทียนจิน?”
ซานจวินผู้เฒ่าเดือดดาลอย่างหนัก “กู้ชิงซิง อย่าปากไร้หูรูดให้มันมากนัก! หากยังกล้าพูดจาเหลวไหลอีกแม้แต่ครึ่งคำ เจ้าก็ลงจากภูเขาไปเดี๋ยวนี้เลย”
คิดไม่ถึงว่ากู้ชิงซงจะสะบัดชายแขนเสื้อ “ไปก็ไปสิ”
และร่างก็เปล่งวูบหายไปนอกภูเขาจริงๆ
เพียงแต่ว่าแค่ครู่เดียว กู้ชิงซงก็หดย่อพื้นที่กลับมาที่เดิมอีกครั้ง เขาเอ่ยว่า “ข้าถูกเจ้าไล่ออกไปสองครั้งแล้วนะ มาขอร้องถึงบ้านสามครั้งแล้ว สหายเทียนจิน หากเจ้ายังไม่ไว้หน้ากันอีก ข้าคงจะต้องเปิดปากด่าคนจริงๆ แล้ว”
ต่อให้ซานจวินผู้เฒ่าจะอบรมบ่มเพาะตัวเองมาดีแค่ไหนก็มิอาจทนรับนิสัยพูดจาเหลวไหลหน้าตายของกู้ชิงซงได้ อยากถามว่าก่อนหน้านี้เจ้าเซียนชาคือคนใบ้ที่ไม่เคยได้เปิดปากมาตลอดเลยหรือ?
กู้ชิงซงส่ายหน้า “ยังเก็บอารมณ์สู้คนหนุ่มที่เพิ่งอายุสี่สิบต้นๆ ไม่ได้เลย สหายเทียนจิน อายุตั้งปูนนี้แล้ว เอาเวลาไปใช้หมดกับบนร่างของเจ้าชาติสุนัขบางคนแล้วหรือไร?
ผู้ฝึกตนบนยอดเขาหลายคนของใต้หล้าไพศาล ‘ฉายา’ ที่เป็นวลีติดปากของพวกเขา อย่างน้อยที่สุดครึ่งหนึ่งก็มาจากปากของกู้ชิงซง
คนผู้นี้ยังสามารถมีชีวิตกระโดดโลดเต้นอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ ก็จำต้องพูดว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์จริงๆ
ในภูเขาจวีซวี หลายปีมามีร้านเหล้าร้านหนึ่งมาเปิดใหม่ เพียงแต่ว่าชื่อเสียงไม่โดดเด่น อีกทั้งธรณีประตูยังสูง ดังนั้นลูกค้าจึงมีน้อยมาโดยตลอด
ตอนนี้ในร้านเหล้านอกจากเถ้าแก่ผู้เฒ่าและลูกจ้างร้านคนหนึ่งที่ชื่อว่าสวี่เจี่ยแล้วก็มีแค่ลูกค้าคนเดียว คือซานจวินไหวเหลียน
นักพรตเฒ่าขี่วัวดำคนหนึ่งสะพายห่อสัมภาระเอียงๆ ผูกกระบอกไม้ไผ่สีเขียวมรกตไว้เรียงรายติดกัน กระบอกพวกนั้นส่งเสียงกระทบกันใสกังวาน
สะสมเงินค่าเหล้ามาได้มากพอแล้ว วันนี้จึงมาดื่มเหล้าอีกครั้ง
ในช่วงสมัยโบราณ ห้ามหาบรรพตของขุนเขากลางแต่ละแห่งจะมีที่ทำการของเจินเหริน ในบรรดานั้นก็มีเจินเหรินสามคนที่ที่ทำการตั้งอยู่ในอาณาเขตภูเขาจวีซวีแห่งนี้พอดี
และเฟิงจวินที่ถูกขนานนามว่านักพรตวัวดำผู้นี้ก็บังเอิญเป็นหนึ่งในเจินเหรินสามคนหนึ่งหลักสองรองพอดี ที่ทำการคือภูเขาเหนี่ยวจวี่หนึ่งในภูเขารองของภูเขาจวีซาน
ก่อนหน้านี้นักพรตเฒ่าออกมาจากเรือราตรีแล้วก็หวนกลับคืนมายังที่เก่า เปิดลานประกอบพิธีกรรมขึ้นมาในที่ตั้งเก่ากลางภูเขาอีกครั้ง เพียงแต่ว่าอำนาจที่กุมไว้ในอดีตล้วนกลายเป็นเพียงหมอกควันที่ลอยผ่านตาไปแล้ว
ในอดีตห้ามหาบรรพตและลำน้ำใหญ่ของใต้หล้า คนที่มีหน้าที่ดูแลอย่างแท้จริงไม่ใช่ซานจวินหรือสุ่ยเสิน แต่เป็น ‘เทพเซียนพสุธา’ ที่หลี่เซิ่งเชิญให้ออกมาจากภูเขาอย่างพวกเขา
รอกระทั่งภายหลังหลี่เซิ่งยกเลิกที่ทำการเจินเหรินทั้งหมดทิ้งไป เฟิงจวินก็ออกจากภูเขาเดินทางไกล ผลคือไปมีเรื่องกับเผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่ ฟ้าดินกว้างใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลแห่งใดก็คล้ายจะไม่ปลอดภัย จึงได้แต่ไปหลบอยู่บนเรือราตรีเท่านั้น
นักพรตเฒ่าปล่อยวัวดำตัวนั้นไว้นอกประตู เข้าไปในร้านเหล้าเพียงลำพัง ก้มหัวคารวะตามขนบของลัทธิเต๋าต่อซานจวินไหวเหลียน จากนั้นก็สั่งเหล้าลืมทุกข์กาหนึ่งมาจากเถ้าแก่ผู้เฒ่า
คนเราเมื่อเจอเรื่องน่ายินดีก็มักจะมีสีหน้าสดชื่น บนเรือราตรีนักพรตเฒ่าได้ทำการค้าครั้งหนึ่งกับอิ่นกวานหนุ่ม จึงได้ภาพห้าขุนเขาที่แท้จริงระดับขั้นเป็นภาพบรรพบุรุษมาหนึ่งภาพ หาเงินด้วยความปรองดอง นี่เรียกว่าหาเงินด้วยความปรองดองโดยแท้
บอกตามตรง วันนี้สุดท้ายแล้วเฉินผิงอันไม่ได้ขึ้นไปบนภูเขา อันที่จริงนักพรตเฒ่าก็รู้สึกเสียดายอย่างมาก ระหว่างที่เดินทางมาก็คิดไว้แล้วว่าเมื่อมาถึงร้านเหล้าแล้วได้เจอกับซานจวินไหวเหลียนที่ไม่ใกล้ชิดกับผู้คน ก็จะต้องช่วยพูดทวงความเป็นธรรมให้กับอิ่นกวานหนุ่มสักสองสามประโยค
บนโต๊ะคิดเงินมีกรงนกอยู่ใบหนึ่ง ด้านในมีนกขมิ้นอยู่ตัวหนึ่ง เห็นนักพรตเฒ่าที่เดินเข้าประตูมานั่งก็เปิดปากเอ่ยว่า “เศษสวะ เศษสวะ”
นักพรตเฒ่าก็ไม่โมโหแม้แต่น้อย ลูบหนวดยิ้มกล่าว “ผินเต้าเป็นผู้ฝึกเซียนคนหนึ่ง ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่ดีแต่ตีรันฟันแทงกันเสียหน่อย จะมีโชคชะตาบู๊ได้สักกี่จินกี่ตำลึงกัน”
สวี่เจี่ยวางกาเหล้าและชามขาวไว้บนโต๊ะ พูดขัดคอว่า “เมื่อครู่นี้นายท่านซานจวินบอกแล้วว่า ไม่พูดถึงเฉินผิงอัน พูดถึงแค่ภูตต้นอู๋ถงจากหอสยบปีศาจตนนั้น นอกจากขอบเขตบินทะยานแล้ว ยังสามารถมองเป็นผู้ฝึกยุทธชั้นเทพมาเยือนครึ่งตัวได้ด้วย”
เฟิงจวินคลี่ยิ้มบางๆ “ผินเต้าจะไปคิดเล็กคิดน้อยกับต้นอู๋ถงต้นหนึ่งทำไม ไม่สมควร ไม่สมควร”
เถ้าแก่ผู้เฒ่าฟุบตัวอยู่บนโต๊ะคิดเงิน ยิ้มกล่าว “ปีนั้นตาถั่ว ถึงกับมองความตื้นลึกของโชคชะตาบู๊บนร่างอิ่นกวานผู้นั้นไม่ออก”
พอพูดถึงอิ่นกวานหนุ่มที่เคยมาดื่มเหล้าที่ร้านตนสองครั้ง สวี่เจี่ยลูกจ้างร้านก็โมโห เอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “ป้ายสงบสุขปลอดภัยของร้านเหล้าเล็กๆ ในกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนั้นเลียนแบบร้านของพวกเราไปชัดๆ”
เฟิงจวินจิบเหล้าหนึ่งอึก ลูบหนวดทอดถอนใจพูดว่า “ก่อนหน้านี้อยู่บนเรือราตรี ผินเต้ากับสหายเฉินเรียกได้ว่าแค่พบเจอก็ถูกชะตากันทันที ยังมีการถกมรรคากันไปรอบหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างได้ประลองวิชาคาถาอันลี้ลับต่อกัน มีประโยคหนึ่งที่สหายเฉินกล่าวไว้ บอกว่า ‘มรรคกถาของใต้หล้าไร้รูรั่ว เป็นเพราะนักพรตบนเส้นทางหาบโล่วจือ (ภาชนะใส่เหล้าที่มีรูรั่ว)’ ประโยคนี้ช่างกล่าวได้…รอบคอบรัดกุม มิน่าเล่าอายุน้อยๆ ก็สามารถอยู่ในตำแหน่งสูง สร้างวีรกรรมติดต่อกันได้”
สวี่เจี่ยเอ่ย “ไอ้หมอนั่นก็แค่โชคดีเท่านั้น”
——