กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 936.4 ข้าคือเจ้าแห่งวิถีบูรพา (ห้า)
เถ้าแก่ผู้เฒ่าส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม เพราะสวี่เจี่ยเป็นเพื่อนกับเฉาสือ จึงไม่ค่อยชอบขี้หน้าเฉินผิงอันมาโดยตลอด
เฟิงจวินก็ยิ่งโคลงศีรษะ มือหนึ่งถือชามเหล้า อีกมือหนึ่งยกขึ้นมาพูดโต้เถียงว่า “คำพูดนี้ผิดถนัด ดูแคลนสหายเฉินเกินไปแล้ว คนคนหนึ่งหิวโหยถึงขีดสุดสามารถกินซาลาเปาไส้เนื้อลูกใหญ่ได้ทีเดียวเก้าลูก คนธรรมดากินซาลาเปา ยิ่งกินยิ่งรู้สึกว่าไม่อร่อย หากกินซาลาลูกแรกแล้วรสชาติยังเหมือนกับซาลาเปาลูกที่เก้า นั่นก็คือผู้ฝึกตนแล้ว ชั่วชีวิตนี้ผินเต้าขึ้นเหนือล่องใต้มาจนทั่ว ท่องไปทั่วใต้หล้า เห็นคนมานับไม่ถ้วน คนอย่างสหายเฉินนี้กลับมีน้อยจนนับนิ้วได้”
ไหวเหลียนเอ่ย “พวกเจ้าสองคนอยากถามก็ถาม ไม่ต้องอ้อมค้อม”
คนผู้หนึ่งจงใจพูดถึงเฉินผิงอัน อีกคนก็รับคำต่อ สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็เพราะสงสัยว่าเหตุใดตนถึงปฏิเสธไม่ให้เฉินผิงอันเดินขึ้นเขานั่นเอง
เฟิงจวินถามอย่างสงสัย “ในเมื่อสหายไหวเหลียนไม่ได้มีความรู้สึกที่ไม่ดีต่ออิ่นกวานหนุ่ม ถึงขั้นที่ว่ายังมีความรู้สึกดีๆ อย่างที่ไม่คิดจะปิดบัง ถ้าอย่างนั้นเหตุใดวันนี้ถึงไม่อนุญาตให้เขาขึ้นเขา แล้วยังทำเรื่องที่เกินความจำเป็นด้วยการจงใจพูดแรงๆ ให้คนเสียใจด้วยเล่า?”
ไหวเหลียนหัวเราะหยัน “ผู้ฝึกกระบี่ไม่ดูขอบเขตของตัวเอง หรือว่าต้องดูที่สถานะ?”
เฟิงจวินแกว่งชามเหล้า “แต่ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่ไม่ให้เขาขึ้นเขากระมัง?”
นอกจากสถานะผู้ฝึกกระบี่แล้ว ถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็ยังเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางที่ถามหมัดกับเฉาสือถึงสี่ครั้งด้วย
ไหวเหลียนกล่าว “ให้เหตุผลไปแล้ว จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่พวกเจ้า”
เฟิงจวินพูดด้วยสีหน้าเสียดาย “น่าเสียดายที่บนเรือข่าวสารไม่ว่องไวพอ ไม่อย่างนั้นต่อให้ทุบหม้อขายเหล็ก ผินเต้าก็ต้องสะสมเงินฝนธัญพืชให้ครบหนึ่งเหรียญแล้วลงเดิมพันว่าสหายเฉินต้องชนะเฉาสือให้จงได้”
เกี่ยวกับผู้ฝึกยุทธวัยเดียวกันสองคนอย่างเฉาสือและเฉินผิงอัน ศึกเขียวขาวในสวนกงเต๋อครั้งนั้น ผู้ฝึกตนบนภูเขา ผู้ฝึกยุทธล่างภูเขาพากันวิพากษ์วิจารณ์ถกเถียงกันไม่หยุด
โดยทั่วไปแล้วล้วนเป็นผู้ฝึกตนบนภูเขาที่เลื่อมใสเฉาสือ รู้สึกว่าบนเส้นทางวรยุทธในอนาคต ชีวิตนี้เฉินผิงอันไม่อาจยืนเคียงบ่ากับเฉาสือได้อย่างแท้จริงแล้ว ได้แต่ไล่ตามเขาไปตลอดทางเท่านั้น
เฉาสือจะต้องเป็นอุปสรรคในการเรียนวรยุทธของเฉินผิงอันไปตลอดชีวิต หากโชคดีก็อาจได้รับคำเรียกขานว่า ‘บุคคลอันดับสองในใต้หล้า’
แต่ผู้ฝึกยุทธส่วนใหญ่กลับยอมรับในตัวเฉินผิงอันมากกว่า
มีแค่ทัศนคติเดียวที่คนทั้งบนและล่างภูเขาถือว่ามีความเห็นพ้องต้องกัน
นั่นก็คือไม่พูดถึงระดับความสูงต่ำของวิถีวรยุทธในท้ายที่สุดของเฉาเฉินสองคน พูดถึงแค่ขั้นตอนการเรียนวรยุทธฝึกหมัด
สามารถเอาอย่างเฉินผิงอัน แต่ไม่ต้องเรียนรู้จากเฉาสือ
เฉินผิงอันพาชิงถงออกมาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง หวนกลับไปยังแจกันสมบัติทวีป เดินอยู่บนเส้นทางสันเขาที่มีชื่อว่ายอดเขาเฟินสุ่ย
ชิงถงเอ่ยอย่างไม่อยากเชื่อ “มาเยือนศาลเทพภูเขาแห่งนี้แล้วก็จะปิดงาน สามารถกลับสำนักใบถงได้จริงๆ แล้วหรือ?”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที
เหวยเว่ยเหนียงเนียงเทพภูเขาเดินออกมาจากเทวรูปดินเผาในศาล รอกระทั่งได้เห็นเซียนกระบี่หนุ่มที่สวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียวสวมรองเท้าผ้า นางก็รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
อาจารย์เฉิน เซียนกระบี่เฉิน เจ้าขุนเขาเฉิน ใต้เท้าอิ่นกวาน?
หากเหวยเว่ยจำไม่ผิด นี่เป็นครั้งที่สี่แล้วที่คนแซ่เฉินมาเยือนที่นี่
ไม่ถึงสามสิบปี แต่มาเยือนถึงสี่ครั้ง!
หึ
หรือว่าจะ…
พอความคิดนี้ของนางปรากฏขึ้นมาก็นึกอยากจะตบบ้องหูตัวเองแรงๆ สักที อ่านบันทึกภูเขาสายน้ำเล่มนั้นจนโง่ไปแล้วหรือไร?! หรือว่าลืมภาพฉากที่ได้พบเจอกันครั้งแรกไปแล้ว?
ไม่เคยรักหยกถนอมบุปผา มีแต่จะบดขยี้บุปผาอย่างโหดร้าย
ทุกวันนี้ศาลเทพภูเขาถือว่าได้ร่ำรวยเป็นเศรษฐีแล้ว
เหวยเว่ยจำต้องยอมรับว่าล้วนเป็นสิ่งที่คนตรงหน้ามอบให้ ก่อนหน้านี้เซียนกระบี่เฉินถ่ายทอดวิชาและขั้นตอนการลงมือต่างๆ ให้กับศาลบ้านตน ล้วนได้ผลดีจริงๆ
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาวที่ทำมาจากหินเขียวด้านนอกศาล ยิ้มเอ่ยว่า “ทุกเรื่องล้วนยากตอนเริ่มต้นเสมอ หนึ่งเรื่องราบรื่นทุกเรื่องก็ล้วนราบรื่น ขอแสดงความยินดีด้วย”
เหวยเว่ยยืนอยู่ด้านใต้ต้นสนเขียว ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “หากไม่เป็นเพราะมีกิจธุระมากมาย บวกกับตัวข้าเองเป็นแค่เทพภูเขาตัวเล็กๆ รากฐานไม่มั่นคง ขยับย้ายไปที่อื่นได้ไม่ง่าย ไม่อย่างนั้นป่านนี้ข้าก็คงไปเยือนภูเขาลั่วพั่วเพื่อขอบคุณเซียนกระบี่เฉินด้วยตัวเองแล้ว”
ก่อนหน้านี้ให้สาวใช้ที่รับหน้าที่เป็นเทพผู้ช่วยของศาลทำตามวิธีของเฉินผิงอัน เอาอย่างเทพหญิงในตำราไปเข้าฝัน ท่องขุนเขาสายน้ำพร้อมกับบัณฑิตที่เดินทางไปสอบในเมืองหลวง ล่องลอยดุจเซียนที่จับมือกันเที่ยวชมภูเขาวารี ถูกบัณฑิตที่รูปโฉมค่อนข้างอัปลักษณ์แต่กลับมีความรู้มากผู้นั้นมองเป็นนิมิตหมายอันดีหลังตื่นจากฝัน เป็นเหตุให้มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ตอนอยู่ในสนามสอบของเมืองหลวงความคิดก็พรั่งพรูราวกับน้ำพุได้จริงๆ ยามจรดพู่กันจึงเหมือนมีเทพช่วย
แม้ว่าไม่ได้ติดสามอันดับแรกในขั้นหนึ่งของจิ้นซื่อจี๋ตี้ แต่กลับได้ขั้นสองมา ได้รับขานชื่อในตำหนักทอง ภายหลังยังถึงขั้นเป็นข้อยกเว้นถูกรับเข้าสำนักบัณฑิตฮั่นหลินโดยที่ไม่จำเป็นต้องทดสอบ ได้รับตำแหน่งผู้ตรวจสอบตำรา ระดับขุนนางคือขั้นเจ็ดชั้นโท หากไม่เกิดเรื่องไม่คาดฝัน อีกไม่นานก็จะได้ไปรับหน้าที่เป็นขุนนางหลักของหกกรม หากได้ไปรับตำแหน่งนอกเมืองหลวงก็สามารถเริ่มเดินจากระดับอำเภอของวงการขุนนางขึ้นสูงไปได้ทีละก้าว อีกทั้งว่ากันว่าในการสอบระดับมณฑลที่เมืองหลวง ขุนนางคุมสอบหลักที่ตรวจสอบบทความของในหนึ่งแคว้นมายี่สิบกว่าปี รวมไปถึงขุนนางผู้อ่านข้อสอบทั้งหลายต่างก็เอ่ยชมข้อสอบของคนผู้นี้ไม่ขาดปาก เพียงแต่ว่าการสอบหน้าพระที่นั่งในภายหลังกลับแสดงศักยภาพผิดพลาดไปสักหน่อย ถึงได้ไม่ติดสามอันดับแรกที่จะถูกฮ่องเต้ใช้พู่กันแต้มชาดวาดวงกลมลงบนชื่อ
บัณฑิตผู้สอบติดเคอจวี่ ระหว่างที่ออกจากเมืองหลวงเดินทางกลับบ้านเกิดได้ตรงมาที่ศาลเทพภูเขา จุดธูปโขกหัวคารวะ เขียนตัวอักษรลงบนผนัง พอกลับไปถึงห้องหนังสือของตัวเองยังเขียนบทกวีอีกหนึ่งบท บันทึกไว้ในตำรารวบรวมบทความของตัวเองซึ่งมีไว้บรรยายเรื่องมหัศจรรย์เรื่องนี้โดยเฉพาะ คิดว่าวันหน้าจะออกเป็นหนังสือ
บัณฑิตผู้นั้นรู้สึกเหมือนตัวเองฝันไป เป็นฝันงดงามที่กลายมาเป็นความจริง สำหรับเหวยเว่ยและเทพหญิงผู้รับใช้สองคนแล้ว ไยจะไม่ใช่แบบเดียวกันเล่า
เฉินผิงอันหัวเราะร่าเอ่ยเตือนว่า “วันหน้าอ่านตำราอริยะปราชญ์ให้มาก อ่านตำราเบ็ดเตล็ดพวกนั้นให้น้อยลงหน่อย”
เหวยเว่ยยังไม่รู้ว่า อันที่จริงนี่เป็นครั้งที่ห้าแล้วที่เฉินผิงอันมาที่นี่
เพียงแต่ว่าคราวก่อนเห็นเหวยเว่ยกับข้ารับใช้หญิงที่มีเทวรูปตั้งบูชาอยู่ในศาลสองคน พูดคุยกันถึงบันทึกขุนเขาสายน้ำเล่มนั้น คุยกันอย่างเบิกบานใจ เหนียงเนียงเทพภูเขายังหัวเราะจนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเสื่อ
เฉินผิงอันจึงไม่ได้ปรากฏตัว หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการทำลายบรรยากาศ
เหวยเว่ยมึนงง เพียงแค่พยักหน้าตอบตกลง
ทุกวันนี้ในอาณาเขตการปกครองของศาลตนมีโคมไฟสีแดงที่ทำขึ้นด้วยกรรมวิธีลับของศาลเทพภูเขาสิบกว่าดวงแล้ว
คำพูดในหมู่ชาวบ้านมีประโยคหนึ่งบอกว่า ‘ข้าคุมอะไรๆๆ’ อันที่จริงคำว่า ‘คุม’ นี้มีความรู้ที่ไม่น้อย
ในอาณาเขตการปกครองของศาลเทพภูเขา โคมไฟพวกนั้นมีทั้งของชนชั้นสูงที่มีชื่อเสียงในพื้นที่ แล้วก็มีทั้งของตระกูลปัญญาชนที่ค่อนข้างยากจน ซึ่งมีโคมไฟถึงครึ่งหนึ่งเป็นของชาวบ้านในตรอกเก่าโทรม ของคนในชนบท
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “มียืมมีคืนยืมอีกไม่ยาก?”
ก่อนหน้านี้เหวยเว่ยติดหนี้บานเบอะกับศาลเทพอภิบาลเมืองประจำอำเภอ ตามหลักแล้วต่อให้วันนี้ได้โชคชะตาบุ๋นส่วนหนึ่งมา เมื่อชดใช้หนี้คืนแล้ว ศาลเทพภูเขาก็ไม่มีทางสร้างโคมควันธูปจำนวนมากขนาดนี้ได้
นี่ก็เหมือนแคว้นหวงถิงที่ถือว่าโชคชะตาน้ำเข้มข้นมากแล้ว ทว่าการแต่งตั้งห้าขุนเขาและเทพวารีซึ่งมีแม่น้ำหันสือเป็นหนึ่งในนั้นกลับค่อนข้างเปลืองแรงแล้ว นี่จึงเป็นเหตุให้ลำคลองเถี่ยเชวี่ยนที่อยู่หน้าประตูบ้านของจวนจื่อหยางมิอาจได้เลื่อนสถานะเสียที ไม่ใช่ว่าฮ่องเต้แคว้นหวงถิงไม่อยากตีสนิทกับจวนจื่อหยาง แต่เป็นเพราะโชคชะตาของหนึ่งแคว้นมีจำกัด ได้แต่มีใจทว่าไร้กำลัง
เหวยเว่ยเอ่ยอย่างใจฝ่อว่า “เอาหนี้เก่าไปแลกติดหนี้ใหม่ แต่เรื่องต้องชดใช้คืนต้องทำแน่อยู่แล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มช่วย ‘อธิบาย’ ให้ว่า “ก็แค่ไม่รีบร้อนทำตอนนี้?”
เหวยเว่ยยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน บากหน้าเอ่ยว่า “ข้าก็รีบร้อนอยากชดใช้คืนอยู่หรอก หากไม่มีหนี้ก็ตัวเบา เหตุผลข้าเข้าใจดี และข้าก็อยากกำหนดเวลาที่แน่นอนอยู่เหมือนกัน เพียงแต่พวกเทพอภิบาลเมืองประจำอำเภอที่เป็นเพื่อนบ้านกันนั้น แต่ละคนต่างก็บอกว่าไม่ต้องรีบร้อน รอให้ข้าสะสมควันธูปได้มากพอก่อนค่อยว่ากัน อีกทั้งทางฝั่งเทพอภิบาลเมืองประจำเขตยังเป็นฝ่ายมาถามข้าด้วยว่าต้องการควันธูปหรือไม่”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ก็จริงนะ คนในยุทธภพช่วยเหลือคนที่ต้องการเร่งด่วนไม่ช่วยเหลือคนยากจน ช่วยญาติมิตรตอนตกทุกข์ได้ยากไม่ช่วยยามเกียจคร้าน”
ญาติห่างไกลไม่สู้เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียง เพื่อนบ้านบนภูเขาก็หนีไม่พ้นพวกจวนตระกูลเซียน บวกกับพวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำ ศาลเทพอภิบาลเมืองและศาลบุ๋นบู๊
เมื่อก่อนศาลเทพภูเขาของเหวยเว่ยก็คือคนยากจนที่รายรับไม่พอกับรายจ่าย อีกทั้งเหนียงเนียงเทพภูเขาคนใหม่อย่างเหวยเว่ย แค่มองก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนที่เชี่ยวชาญด้านการจัดการ ทุกวันนี้กลับแตกต่างไปจากเดิมแล้ว
เฉินผิงอันพลันถามว่า “ผู้มีจิตศรัทธาที่บริจาคเงินสร้างศาลคนนั้น ชื่อว่าอะไร?”
เหวยเว่ยคลี่ยิ้มกว้างสดใส “จางกุ้ยต้ง”
เฉินผิงอันจดจำชื่อนี้ไว้เงียบๆ
ก่อนหน้านี้เหวยเว่ยไปหาสถานที่แห่งหนึ่งบนภูเขาสร้างวัดขนาดเล็กขึ้นมา มีผู้มีจิตศรัทธารายใหญ่ในพื้นที่คนหนึ่งทยอยบริจาคเงินค่าธูปค่าน้ำมันจำนวนมากน่าดูชมสองก้อน คนผู้นี้ใจบุญสุนทาน แต่กลับไม่ต้องการชื่อเสียง เรื่องของการสร้างสะพานซ่อมถนนก็ใจกว้างเป็นที่สุด
ภายหลังเหวยเว่ยจึงเชิญหญิงชราที่มีชีวิตโดดเดี่ยวทุกข์ยากซึ่งมีจิตใจเมตตาทั้งยังเชื่อในพุทธศาสนาให้มารับหน้าที่เป็นคนเฝ้าศาลของวัดแห่งนี้ พวกหญิงชราบางส่วนที่อยู่ใกล้เคียงก็มักจะมาช่วยงานที่วัดนี้เป็นประจำเช่นกัน
เฉินผิงอันพูดเรื่องธูปทางจิต เหวยเว่ยย่อมตอบตกลงอย่างไม่มีลังเล
นางเริ่มแอบยินดีกับตัวเองอีกแล้ว ไม่ต้องดีดลูกคิดก็รู้ได้ว่าครั้งนี้ตนเองรวยแล้วจริงๆ
หลังจากใช้หนี้คืนให้กับเหล่าเทพอภิบาลเมืองทั้งหลายแล้ว ทางฝั่งของศาลเทพภูเขาก็น่าจะยังมีกำไรเหลืออีกก้อนหนึ่ง!
ตนก็จะสามารถสร้างโคมแดงขนาดใหญ่ด้วยวิธีลับของศาลเทพภูเขาได้อีกกองใหญ่!
เพียงแต่เหวยเว่ยนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงถามอย่างระมัดระวังว่า “ศาลเทพภูเขาแห่งนี้ของข้า ถึงอย่างไรก็ยึดตำแหน่งที่ตั้งของวัดเก่า จะละเมิดข้อห้ามหรือไม่? ถือว่าเป็น…นกพิราบที่เข้ามายึดรังนกกางเขนหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มกล่าว “ไม่ต้องคิดมาก หากว่าในใจเจ้ารู้สึกไม่สบายใจจริงๆ ทุกๆ วันที่สิบห้าก็สามารถจัดงานวัดขึ้นมาครั้งหนึ่งได้ พยายามช่วยเพิ่มควันธูปให้กับวัด”
เหวยเว่ยดวงตาเป็นประกาย “งานวัด?”
เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าก็แค่ให้เช่าร้าน เก็บเงินค่าเช่ามาเล็กน้อย เงินค่าเช่าควรให้ถูกหน่อย ไม่ควรแพงเกินไป วันหน้าก็สามารถอาศัยรายรับที่เป็นน้ำสายเล็กไหลยาวเส้นนี้ ค่อยๆ สะสมเงินไปทีละน้อยได้ ถึงเวลานั้นค่อยจ้างช่างที่มีฝีมือล่างภูเขากลุ่มหนึ่งให้มาสร้างโถงอรหันต์ที่วาดภาพสิบหกภาพจริง ภาพสิบแปดอรหันต์เหมือนในม้วนภาพวาดหรือไม่ก็หน้าพัดของล่างภูเขา เมื่อทำเรื่องนี้สำเร็จก็ถือว่าเจ้าได้แก้บนแล้ว แต่ตามความเห็นข้า ทางที่ดีที่สุดควรตั้งบูชาเทวรูปพระอรหันต์ห้าร้อยรูปไว้ในโถงอรหันต์พร้อมกันเลย คนที่เข้ามาในห้องโถงสามารถอิงตามอายุและแปดอักษรชะตาเกิดของตัวเอง เลือกพระอรหันต์มาองค์หนึ่งก่อนแล้วเริ่มนับไปเรื่อยๆ กระทั่งนับไปถึงพระอรหันต์องค์สุดท้ายก็จะได้รับการปกป้องจากพระอรหันต์องค์นั้น”
เหวยเว่ยเบิกตากว้างเอ่ยว่า “แบบนี้ก็ได้ด้วยหรือ?!”
ในคำพูดของเหวยเว่ยเต็มไปด้วยความทึ่ง เจ้าเฉินผิงอันจะเป็นเซียนกระบี่เป็นเจ้าขุนเขาไปทำไม ไปทำการค้าไม่ดีกว่าหรือ
หากว่าข้าเป็นบรรพบุรุษสำนักการค้าจะต้องให้เจ้าไปเป็นผู้ช่วยอันดับสองแน่นอน!
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างขำๆ ปนฉุน “ไม่ใช่ว่าข้าพูดจาเหลวไหลเสียหน่อย เดิมทีก็มีข้อพิถีพิถันเช่นนี้อยู่แล้ว”
ก่อนหน้านี้พาเผยเฉียนกับเฉาฉิงหล่างออกเดินทางไกล ระหว่างนั้นเคยเดินทางผ่านวัดแห่งหนึ่ง แล้วก็เคยได้ยินคำกล่าวเช่นนี้ในวัดใหญ่แห่งนั้นจริงๆ
เหวยเว่ยรีบยกสองมือพนมสิบนิ้ว เอ่ยอย่างว่องไว “มีความจริงใจย่อมศักดิ์สิทธิ์ ขอแค่มีความจริงใจก็ย่อมศักดิ์สิทธิ์นะ”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน กำลังสองจิตสองใจในเรื่องหนึ่ง บุญกุศลก้อนหนึ่งที่เพิ่มมาจากที่คาดไว้ จะเอาไปใช้ที่ไหนดี?
และเวลานี้เอง น้ำเสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นมาในทะเลสาบหัวใจ สอบถามเขาในเรื่องหนึ่ง
“เฉินผิงอัน เจ้ามองศึกตรีจตุครั้งนั้นอย่างไร?”
เฉินผิงอันลังเลไปเล็กน้อย ก่อนจะให้คำตอบของตัวเอง
คนผู้นั้นยิ้มเอ่ย “ดีมาก สามารถกลับได้แล้ว”
ใบถงทวีป ในระเบียงของหอสยบปีศาจ หลวี่เหยียนยิ้มถาม “คำตอบอะไรที่ทำให้ปรมาจารย์มหาปราชญ์พอใจได้ถึงขนาดนี้?”
คำถามข้อนี้จะว่าไม่ใหญ่ก็ไม่ได้
ในฐานะลูกศิษย์ปิดสำนักของสายเหวินเซิ่ง เฉินผิงอันคิดอยากจะตอบคำถามให้เหมาะสม กุญแจสำคัญนั้นอยู่ที่ความจริงใจ ซึ่งไม่ง่ายเลยสักนิด
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ลูบหนวดยิ้ม “เฉินผิงอันแค่เอ่ยประโยคเดียวว่า ‘ขงจื๊อกล่าวว่าการศึกษาไม่แบ่งชนชั้น’”
ต่อให้เป็นหลวี่เหยียนก็ยังอึ้งตะลึงไปนาน ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ก่อนจะยกมือตบราวรั้วเบาๆ พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “ผินเต้าได้แต่ทอดถอนใจที่สู้ไม่ได้”
——