กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 937.1 ข้าคือเจ้าแห่งวิถีบูรพา (หก)
เดินออกมาจากแม่น้ำแห่งกาลเวลา ชิงถงเพ่งตามองให้ชัดเจน ก่อนถามอย่างสงสัยว่า “ทำไมถึงไม่ตรงกลับไปที่หอสยบปีศาจ? หรือมีเทพภูเขาของแจกันสมบัติทวีปที่ต้องไปพบเจออีก?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าเองก็ไม่เคยมาเยือนที่แห่งนี้มาก่อน เพียงแต่ว่ามีคนบางคนเกิดความคิดกะทันหัน อยากให้ข้ามาช่วยรับรองแขกแทน มาส่งแขกแทนคนบางคนที่นี่”
ชิงถงยิ่งคลางแคลงใจ ใครสามารถเจ้ากี้เจ้าการกับเจ้าได้?
ห่างไปไม่ไกลมีริ้วแสงกระเพื่อมเป็นระลอก ก่อนจะเห็นเป็นหอเรือนหลังหนึ่งที่ถูกบดบังอยู่ท่ามกลางร่มเงาต้นไม้เขียวขจี พอจะได้ยินเสียงคละเคล้าปนกันดังแว่วมาจากด้านในนั้น
เฉินผิงอันกล่าว “พวกเราไปเฝ้าตอรอกระต่ายข้างหน้ากัน”
เดินเข้าไปใกล้ก็เห็นศาลแห่งหนึ่งที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ กรอบป้ายเป็นคำว่าศาลเทพลำคลองเฝินเหอ ด้านหน้าประตูมีต้นไหวโบราณอยู่สองต้น นอกประตูคือสระน้ำขนาดใหญ่ ต้นหยางต้นหลิวเคียงคู่ปลูกโอบล้อมรอบสระน้ำ นอกประตูมีม้าสีขาวแซมดำหลายตัวผูกไว้ท่ามกลางเงาต้นหลิว และยังมีรถม้าที่ประดับประดางดงามอีกคันหนึ่งจอดอยู่ตรงมุมกำแพงของศาล น่าจะเป็นรถม้าของสตรีในครอบครัวคนมีเงิน สารถีอายุมากสวมเสื้อบุนวมตัวหนา รวบมือไว้ในชายแขนเสื้อ กำลังนั่งสัปหงก
ชิงถงเดินตามเฉินผิงอันเข้าไปในศาล เนื่องจากเป็นวันสิ้นปีวันที่สามสิบ ควันธูปย่อมต้องธรรมดา ตอนนี้ยังมองไม่เห็นเงาร่างของชายหญิงผู้มีจิตศรัทธาที่มาจุดธูปคารวะที่นี่ เห็นเพียงว่าในระเบียงที่อยู่นอกตำหนักใหญ่มีเด็กน้อยแต่งกายเหมือนนักพรตหลายคนกำลังนั่งยองโยนเงินเหรียญทองแดงเล่นกันอยู่ พอเห็นพวกเฉินผิงอันก็แค่เงยหน้ามองแวบเดียว ไม่ได้ส่งเสียงทักทาย
สองข้างทางมีประตูวงเดือน หากคิดจะไปเที่ยวชมตำหนักหลักของศาลก็จำเป็นต้องผ่านสถานที่แห่งนี้ เฉินผิงอันยืนอยู่นอกธรณีประตูของตำหนักใหญ่พักหนึ่งก็เดินไปทางประตูวงจันทร์ ยังไม่เห็นเงาคน แต่กลับได้ยินเสียงเครื่องประดับดังกระทบกันใสกังวานนำมาก่อน ก่อนจะตามมาด้วยสตรีสองคนที่เดินนำหน้าดุจบุปผาสะบัดกิ่ง เป็นสตรีวัยกลางคนคนหนึ่งที่มวยผมทรงเมฆา เสียบขนนกสีเขียวมรกตสองชิ้น บนร่างสวมชุดผ้าไหมที่ถักทออย่างเรียบง่ายแต่งดงาม ข้างกายมีเด็กสาวอายุน้อยคนหนึ่งติดตามมาด้วย น่าจะเป็นสาวใช้คนสนิทของสตรีวัยกลางคนผู้นี้ นางสวมชุดสีขาวรากบัวกระโปรงสีเขียวต้นหอม สวมรองเท้าปักลายบุปผาที่ค่อนข้างจะเก่า
นอกจากสตรีสองคนนี้ก็ยังมีหญิงชราอีกคนหนึ่งที่สวมชุดคลุมเต๋าแบบสาบเสื้อคู่สีเขียวใบไผ่ ในมือถือคทาหยกหรูอี้ เกินครึ่งน่าจะเป็นคนเฝ้าศาลที่ดูแลกิจธุระของศาลเทพลำคลองเฝินเหอแห่งนี้
เฉินผิงอันรีบขยับเท้าหลบทางให้ทันที
สตรีวัยกลางคนที่เป็นผู้นำเดินดิ่งผ่านไปสายตามองตรงไปข้างหน้าไม่ล่อกแล่ก ทว่าตอนที่เด็กสาวอายุน้อยเดินสวนไหล่กับบุรุษที่มาทำบุญกลับอดไม่ไหวใช้หางตามองประเมินอีกฝ่ายพักหนึ่ง คนผู้นี้ปักปิ่นหยกไว้บนศีรษะ สวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียวรองเท้าผ้า มองดูแล้วสะอาดสะอ้านดี อายุประมาณสามสิบปี แต่ห่างจากคำว่า ‘มองแล้วไม่ธรรมดา หล่อเหลาสง่าองอาจ’ อยู่ไกลนัก ไม่ถือว่าเป็นบุคคลที่โดดเด่นอะไร หากไม่ผิดไปจากที่คาดก็น่าจะเป็นปัญญาชนยากจนของในอำเภอ ยังไม่มีตำแหน่งติดตัว จึงมาจุดธูปขอพรที่นี่ หวังให้ตัวเองได้มีชื่อติดกระดานทองคำกระมัง?
ชิงถงอดไม่ไหวถามเสียงเบาว่า “พวกเรากำลังรอใครอยู่หรือ?”
คนทั้งสามที่เดินออกมาจากประตูวงเดือนนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นคนธรรมที่มีแค่ตาเนื้อปกติ
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ลู่เฉิน”
ชิงถงหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
เพราะไม่อยากมีความเกี่ยวข้องใดๆ กับเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงผู้นั้นเลย
เพียงแต่ว่าดูจากสถานการณ์ในเวลานี้แล้ว ต่อให้ไม่อยากเจอกับลู่เฉินก็ยังยาก
ในแคว้นเมิ่งเหลียงของแจกันสมบัติทวีป ห่างจากศาลเทพลำคลองเฝินเหอไปไม่ไกล
นักพรตหนุ่มคนหนึ่งเดินอยู่บนเส้นทางเล็กๆ ในป่าเขา บนศีรษะสวมกวานดอกบัว ในมือมีอักขรานุกรมหลายเล่มที่ไปหยิบเอามาโดยไม่บอกกล่าว เงยหน้ามองเรือข้ามฟากลำหนึ่งที่เหมือนนกบินผ่านไปเหนือศีรษะ
มรรคกถามีตื้นมีลึก แววตามีสูงมีต่ำ นักพรตบนพื้นเห็นอีกฝ่าย แต่เรือข้ามฟากกลับไม่สังเกตเห็นนักพรตหนุ่มที่อยู่ด้านล่าง
นักพรตหนุ่มทะยานร่างขึ้นเบาๆ เหมือนกบกระโดดแตะผิวน้ำ พลิ้วกายล่องลอยไปไกลตลอดทาง มีความรู้สึกเหมือน ‘ผิวน้ำไร้ลมลื่นดุจแก้วใส แม้เรือเล็กจะเคลื่อนไหวก็ยังสัมผัสไม่ถึงแรงกระเทือน’
นักพรตหนุ่มผู้นี้หยุดชะงักไปเล็กน้อย แล้วจึงสะบัดชายแขนเสื้อ คล้ายกับว่ามีเส้นด้ายนับพันนับหมื่นที่บ้างอยู่ไกลบ้างอยู่ใกล้ ฝุ่นแดงคลุ้งหมื่นจั้ง ด้ายนี้มีชื่อว่า ‘ผลกรรม’
ยื่นนิ้วสองนิ้วออกไปกระชากด้ายเส้นหนึ่งเบาๆ ห่างไปไกลคล้ายมีเสียงตอบรับ ความเคลื่อนไหวน้อยมาก แทบจะมองข้ามไปได้เลย เพียงแต่ว่านักพรตที่สวมกวานดอกบัวผู้นี้มีมรรคกถาสูงมากพอ ทอดสายตามองไปไกลก็มองเห็นคนผู้หนึ่ง จากนั้นก็ไล่ตามชะตาอันเบาบางที่สวรรค์บัญชาไว้ส่วนนี้มาถึงในอาณาเขตแคว้นเมิ่งเหลียง สุดท้ายก็ไปเห็นเด็กน้อยเดียวดายคนหนึ่งที่หน้าประตูทางเข้าหมู่บ้านชนบทกลางป่า นักพรตหนุ่มขยับเข้าไปใกล้ พอหยุดเดินแล้ว คนหนึ่งก้มตัวลง คนหนึ่งเงยหน้าขึ้น ทั้งสองมองตากันครู่หนึ่ง เด็กน้อยเขินอายจึงก้มหน้าลงไป
ก่อนหน้านี้เดินทางไปเยือนศูนย์ตัดไม้ของเขตอวี้จางมารอบหนึ่ง หลังจากจากลากับหลินเจิ้งเฉิงแล้วก็ไม่ได้ตรงกลับไปที่ใต้หล้ามืดสลัว ถึงอย่างไรป๋ายอวี้จิงก็มีศิษย์พี่อวี๋เฝ้าพิทักษ์ ไม่มีทางเกิดเรื่องอะไรได้ ทุกวันนี้เรื่องของการสยบกำราบเทวบุตรมารนอกโลกที่ฟ้านอกฟ้าก็มีอาจารย์เป็นคนเก็บกวาดด้วยตัวเอง หากไม่เป็นเพราะศาลบุ๋นเร่งรัดอย่างหนัก ลู่เฉินก็อยากจะอยู่ต่อในใต้หล้าไพศาลอีกหลายปีจริงๆ เมื่อครู่นี้ระหว่างที่ทะยานลมจะไปเยือนม่านฟ้า จิตแห่งมรรคาของลู่เฉินพลันสั่นไหว พอสืบสาวเบาะแสก็รู้ว่าเป็นเพราะในอาณาเขตแคว้นเมิ่งเหลียงแห่งนี้ เหมือนจะมีคนคนหนึ่งเรื่องเรื่องหนึ่งที่แทบจะพุ่งมาสัมผัสเส้นเอ็นหัวใจของเขาได้ในเวลาเดียวกัน เขาจึงเปลี่ยนใจ ไปเยือนภูเขาเมฆาเรืองที่อยู่ใกล้มารอบหนึ่งก่อน เพียงแต่ว่าคราวนี้เขาไม่ได้ปรากฏตัว อีกไม่นานหวงจงโหวผู้ฝึกตนโอสถทองของยอดเขาเกิงอวิ๋นก็จะได้กลายเป็นเจ้าขุนเขาคนใหม่ของภูเขาเมฆาเรืองแล้ว ทุกวันนี้ภูเขาเมฆาเรืองได้รับโชคหลังเคราะห์ร้ายจึงมีภาพบรรยากาศเค้าโครงของสำนักก่อตัวขึ้นมาได้แล้ว ทุกเรื่องล้วนมีการเตรียมการไว้พร้อมสรรพ ขาดแค่หยกดิบคนเดียวเท่านั้น อดีตเจ้าขุนเขา ไช่จินเจี่ยนแห่งยอดเขาลวี่กุ้ย หวงจงโหว ต่างก็เป็นผู้ที่มีความหวัง ภายในเวลาร้อยปีมีหวังจะได้เป็นสำนักอักษรจง
บุรุษอาศัยสุราดับทุกข์ หากมีวาสนากับสวรรค์อย่างลึกล้ำก็จะกลายเป็นคนลุ่มหลงในรักคนหนึ่ง
ไม่รู้ว่าคราวหน้าที่ได้ดื่มเหล้ากับเจ้าขุนเขาหวงผู้ซึ่งจมลึกอยู่ในตาข่ายแห่งความรักอีกครั้ง จะเป็นวันเดือนปีใด
ลู่เฉินก้มหน้ามองเด็กน้อยที่ไม่มีคุณสมบัติในการฝึกตน เปิดปากเอ่ยว่า “เจ้าไม่กลัวคนแปลกหน้าเลยนะ หรือเพราะรู้สึกว่าผินเต้ามีสีหน้าเมตตา สตรีและคนอ่อนแอเห็นเข้าก็เลยอดเกิดใจอยากใกล้ชิดสนิทสนมไม่ได้? ใช่แล้ว เจ้าพูดภาษาทางการของต้าหลีเป็นหรือไม่ ต่อให้แย่แค่ไหนก็น่าจะฟังภาษาทางการออกบ้างกระมัง?”
เด็กชายพยักหน้า แคว้นเมิ่งเหลียงกับแคว้นชิงหลวนที่แม้จะหลุดพ้นจากสถานะของแคว้นใต้อาณัติต้าหลีแล้ว ทว่าภาษาทางการของต้าหลี ทุกวันนี้ก็คือภาษากลางของทั้งทวีป และจักรพรรดิกับเหล่าขุนนางของแคว้นเมิ่งเหลียงก็สนับสนุนให้ใช้ภาษากลางอย่างไม่เต็มที่ อาจารย์สอนหนังสือหลายคนในโรงเรียนเคยบ่นเรื่องนี้กันอยู่ไม่น้อย อายุมากตั้งปูนนี้แล้ว คิดไม่ถึงว่ายังจะต้องไปเป็นนักเรียนขอความรู้จากอาจารย์สอนหนังสือในอำเภอที่อายุน้อยๆ พวกนั้นอีก
ลู่เฉินทรุดตัวลงนั่งยอง เอ่ยว่า “ผินเต้าเห็นว่ากระดูกของเจ้าพิเศษ มังกรร้องเสือคำราม หงส์สยายปีกโบยบินสูง มีภาพบรรยากาศของลูกผู้ชายอันแกร่งกร้าว”
เด็กน้อยมีสีหน้าเหลอหรา
สีซอให้ควายฟังเสียแล้ว
ลู่เฉินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ผู้ฝึกตนก็เหมือนต้นชาที่อยู่บนภูเขา ต้นชาที่งอกงามขึ้นเองตามป่าเขามีรสชาติที่ดี ส่วนต้นชาที่ถูกปลูกกลับมีรสชาติรองลงมา”
เห็นได้ชัดว่าในสายตาของลู่เฉิน ผู้ฝึกตนทำเนียบที่เหมือนดอกไม้ปลูกอยู่ในสวนสู้ผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขาที่มีชีวิตชีวาไม่ได้
ลู่เฉินถาม “เคยเรียนหนังสือมาก่อนไหม?”
เด็กน้อยส่ายหน้า
ลู่เฉินชี้ไปที่ข้างเท้าของเด็กน้อยซึ่งบนพื้นมี ‘ยันต์ผีวาด’ อยู่ “แล้วตัวอักษรพวกนี้เจ้าไปเรียนจากใครมา?”
เด็กน้อยตอบตามสัตย์จริง “เวลาเอาวัวไปปล่อยบนภูเขา บนก้อนหินมีให้เห็น มักจะเห็นเป็นประจำ”
ลู่เฉินยิ้มถาม “บ้านเจ้ามีวัวให้เอาไปปล่อยด้วยหรือ?”
เด็กน้อยตอบ “ช่วยคนในหมู่บ้าน”
ลู่เฉินเอ่ยอย่างกระจ่างแจ้ง “ช่วยงานครึ่งวัน ได้กินข้าวหนึ่งมื้อ?”
เด็กน้อยเขินอาย ใบหน้าดำเกรียม เรือนกายผอมบาง เสื้อนวมเก่าขาดที่เต็มไปด้วยรอยปะชุน อาศัยฝีเย็บแบบสะเปะสะปะ นุ่นที่อยู่ด้านในถึงได้ไม่ทะลักออกมา
ลู่เฉินยกก้นขึ้น ยืดคอยาวมองไปทางภูเขาลูกนั้น ทั้งไม่มีเทพภูเขา แล้วก็ไม่มีตัวอักษรแกะสลักบนหน้าผา แต่กลับเป็นพื้นที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยม ในภูเขามีน้ำพุรสหวานอยู่แห่งหนึ่งที่ต่อให้เป็นฤดูแล้งยาวนานก็ไม่แห้งขอด ฝนตกยาวนานก็ไม่เอ่อล้น
เคยมีนักพรตไม่ทราบนามคนหนึ่งมาฝึกตนอยู่ที่นี่
มิน่าเล่าถึงได้ถูกเถาถิงแห่งเปลี่ยวร้างถูกใจตั้งแต่แรกเห็น ทั้งยังถูกตนที่อยู่ไกลถึงในเขตอวี้จางต้าหลีรับสัมผัสได้แต่ไกล กลิ่นอายมรรคาของภูเขาลูกนี้สะสมมานานแล้ว ในภูเขาจึงฟูมฟักวาสนาเซียนขึ้นมาได้ กำลังมีลางว่าจะเอ่อล้นออกมา เป็นเหตุให้ทุกครั้งที่เกิดแรงสั่นสะเทือนจากการที่ปราณแห่งมรรคาชักนำรากภูเขาเส้นสายน้ำก็จะเหมือนเสียงหัวใจเต้นครั้งหนึ่ง
เพียงแต่ว่าแม้เสียงหัวใจเต้นที่ถูกขนานนามว่า ‘ฟ้าดินขานรับ’ ประเภทนี้จะมีความเคลื่อนไหวรุนแรง ทว่าแต่ละครั้งกลับเกิดห่างกันนานมาก เพียงแต่ถูกนักพรตเนิ่นที่โดยสารอยู่บนเรือข้ามฟากมาพบเจอเข้าพอดี ไม่อย่างนั้นต่อให้เป็นขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง ต่อให้มาอาศัยอยู่ที่นี่นานเป็นปีครึ่งปีก็คงได้แต่เห็นภูเขาลูกนี้เป็นซากปรักสถานประกอบพิธีกรรมที่ธรรมดาแห่งหนึ่งเท่านั้น
ลู่เฉินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ใช้นิ้วทำมุทราอีกทีก็ต้องจุ๊ปาก ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ แม้ว่าผู้ที่ ‘พิสูจน์มรรคา’ อยู่ที่นี่ ตอนนั้นขอบเขตของผู้ฝึกลมปราณยังไม่สูง ตอนที่ออกไปจากถ้ำหินแห่งนั้นก็เป็นแค่เซียนดินโอสถทองคนหนึ่ง ทว่าคนผู้นี้กลับไม่มีอาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชา ไม่มีวาสนาตระกูลเซียนอะไร แค่อาศัยการตระหนักรู้ของตัวเองก็สร้างโอสถทองที่ใสกระจ่างเม็ดหนึ่งขึ้นมาได้ คนประเภทนี้อยู่บนภูเขาถูกขนานนามว่า ‘ฟ้าดินโปรดปราน ไร้โชควาสนาก็บรรลุผลได้ด้วยตัวเอง’ หากว่าโชคดีกว่านี้อีกสักหน่อย ผลสำเร็จก็จะยิ่งน่าเหลือเชื่อมากกว่านี้
ไม่พูดถึงอัตราส่วนของมนุษย์ธรรมดา พูดถึงแค่จำนวนของผู้ฝึกลมปราณ ผู้ฝึกตนมีมากเหมือนขนวัว เส้นทางการเดินขึ้นภูเขาเหมือนปลาตะเพียนข้ามแม่น้ำ
ผู้บรรลุมรรคาที่สามารถเดินขึ้นไปถึงยอดเขาได้ ไปๆ มาๆ สุดท้ายแล้วกลับมีจำนวนเพียงหยิบมือเหมือนขนหงส์เขากิเลน เจ้าเพิ่งจะร้องจบข้าก็ขึ้นเวทีต่อ ต่างคนต่างแสดงความสง่างาม แต่สุดท้ายกลับถูกลมพัดฝนกระแทกให้ปลิวหายไป
ลู่เฉินถอนหายใจ ลุกขึ้นยืน ก้มหัวกราบไปทาง ‘ถ้ำสถิต’ ที่อยู่บนหน้าผาของภูเขาลูกนั้น
เนื่องจากคาดเดาตัวตนของอีกฝ่ายได้แล้ว
เพียงแต่ว่าการคารวะนี้ของลู่เฉินกลับไม่ได้คารวะเพราะอีกฝ่ายเป็นใคร แต่เป็นเพราะอีกฝ่ายทำอะไรไปบ้าง
ยามโบกสะบัดกระบี่พิฆาตหมู่มาร แสงสายฟ้าล้อมพันสังหารปีศาจหมื่นลี้
พอจะมองเห็นได้อย่างเลือนรางว่า ปีนั้นมีนักพรตที่มีรูปโฉมเป็นชายวัยกลางคนคนหนึ่ง นามว่าหลวี่เหยียน ฉายาฉุนหยาง
ได้มาสร้างโอสถทองอยู่ที่นี่ ทิ้งคาถากระบี่ที่ชี้ตรงไปยังโอสถทองบทหนึ่งไว้ในภูเขา รอคอยคนรุ่นหลังที่มีโชควาสนาอยู่เงียบๆ
ตอนที่ลงจากภูเขา ในมือถือไม้เท้าไม้ไผ่ม่วง ตรงเอวห้อยกระบวยน้ำเต้าลูกใหญ่ โพกผ้าไว้บนศีรษะ สะพายกระบี่ถือแส้ปัดฝุ่น ชุดเหลืองรองเท้าผ้าป่าน ออกเดินทางท่องไปทั่วสารทิศนับแต่บัดนั้น
นักพรตไม่ทราบนามท่านนี้ทิ้งคำทำนายไว้ประโยคหนึ่งว่า ‘วันหน้าสร้างเซียนทองอยู่ที่นี่ เมื่อได้ยินเสียงระฆังดังก้อง นั่นคือคาถาแห่งการหลอมทอง หลอมจิตวิญญาณ หลอมหยกสมบูรณ์ เกิดเป็นมรรคผล’
เจอกับคนเก็บสมุนไพรที่เดินขึ้นเขาคนหนึ่งตรงตีนเขา ถามไปแล้วไม่ตอบ นักพรตก็แค่เอ่ยสี่คำว่า ‘ขอบคุณฟ้าดิน’
เด็กชายคนนั้นเห็นว่านักพรตหนุ่มทำเช่นนี้ก็ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอาอย่าง หันไปคารวะทางภูเขาด้วยพิธีการใหญ่อย่างไม่รู้ประสา
ลู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที “มีวาสนากับมรรคา เหมือนกันกับข้า มิน่าเล่าผินเต้าถึงได้ถูกเจ้าชักนำมายังที่แห่งนี้”
สำหรับเรื่องของการฝึกตน พรรคจวนเซียนทั่วไปบนภูเขา จะมองที่คุณสมบัติด้านการฝึกตนที่เป็นของแท้แน่นอน เพราะถึงอย่างไรวิชาคาถาทั้งหลายก็ไม่มีอะไรแน่นอน เรื่องของโชควาสนาก็ยิ่งเป็นดั่งมายาเลื่อนลอย ยากจะประมาณการณ์ได้ แต่สำหรับผู้ฝึกตนใหญ่ที่อยู่บนยอดเขามานาน กลับให้ความสำคัญกับโชควาสนามากกว่าคุณสมบัติ
และเด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ก็คือคนที่ไม่มีคุณสมบัติในการฝึกตน แต่กลับมีรากแห่งสติปัญญา ก็เหมือนสภาพการณ์ของใครบางคนในอดีต ฝ่ายหลังเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตแหลกสลาย เท่ากับว่าในมือไม่มีชามเหลือสักใบ จึงไม่อาจรับสิ่งใดเอาไว้ได้
และนักพรตฉุนหยางก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับลู่เฉิน เพียงแต่ว่าปีนั้นที่อยู่ในป๋ายอวี้จิง ลู่เฉินอนุมานรากฐานมหามรรคาของหลวี่เหยียนไม่ออกก็เท่านั้น
ลู่เฉินทรุดตัวกลับไปนั่งอีกครั้ง ถามว่า “เจ้าชื่ออะไร?”
เด็กชายตอบ “มีแค่แซ่ ไม่มีชื่อ แซ่เย่ เย่ที่แปลว่าใบไม้”
“เป็นแซ่ที่ดี จอกแหนหนึ่งใบกลับคืนสู่มหาสมุทรกว้างใหญ่ พวกเราทั้งสามต่างก็มีวาสนาต่อกันจริงๆ เสียด้วย”
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “ส่วนเรื่องที่มีแต่แซ่ไม่มีชื่อนั้น มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ไม่ต้องเสียใจจนเกินไป ข้ารู้จักกับเพื่อนคนหนึ่ง เขาน่ะต้องเรียกว่าน่าเวทนา หน้าตาก็หล่อเหลางดงาม ความรู้ความสามารถก็ยอดเยี่ยม ตบะยิ่งร้ายกาจ นักพรตซุนคือบุคคลอันดับห้าที่ฟ้าผ่าก็ไม่สะเทือน คนผู้นี้กลับเป็นอันดับสิบเอ็ดอันดับสุดท้ายของแท้แน่นอน ทุกครั้งไม่ต้องมีชื่อติดอันดับ เป็นสหายรักกับเหยาชิงเสนาบดีรูปงาม เขาตั้งฉายาที่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งเซียนไว้ให้ตัวเองเป็นกองพะเนิน เทียบกับเหวยเซ่อแห่งธวัลทวีปแล้วมีแต่จะมากกว่าไม่มีน้อยกว่า เจ้าเดาดูสิว่าชื่อเดิมของเขาคืออะไร?”
เด็กน้อยส่ายหน้า
ลู่เฉินกุมท้องหัวเราะก๊าก “ชื่อจูต้าจ้วง”
เด็กชายมองนักพรตหนุ่มที่หัวเราะจนเกือบหายใจไม่ทันก็ไม่รู้ว่ามีอะไรตลก มีชื่อแบบนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดามากไม่ใช่หรือ อีกอย่างจะดีจะชั่วก็ยังมีชื่อมีแซ่ เป็นเรื่องดีจะตายไป
ส่วนเนื้อหาที่ฟังไม่เข้าใจพวกนั้น เด็กน้อยรู้สึกเหมือนฟังตำราสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น
กว่าลู่เฉินจะหยุดเสียงหัวเราะไว้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย นวดคลึงหน้าท้องเอ่ยว่า “แต่ทุกวันนี้คนที่รู้ชื่อเขามีไม่มากแล้ว บังเอิญที่ผินเต้าเป็นคนหนึ่งในนั้นพอดี”
คนผู้นี้มีชาติกำเนิดจากคนขายเนื้อในตลาด ก่อนจะขึ้นเขาฝึกตนก็มีคำพูดติดปากบอกว่า มีชีวิตพอร้อยปีก็สามารถฆ่าแล้วกินเนื้อได้เลยไหม?
รอกระทั่งคนผู้นี้บรรลุมรรคา ได้อยู่ในตำแหน่งสูงก็ยังมีนิสัยฉุนเฉียวเจ้าอารมณ์อยู่เหมือนเดิม เจอใครที่ไม่ถูกชะตา เจอเรื่องไหนที่ไม่ถูกใจก็แค่เปลี่ยนจากคำว่า ‘ร้อย’ มาเป็น ‘พัน’
อีกทั้งวิธีการที่ใช้ประลองมรรคกถากับคนอื่น อยู่ในใต้หล้ามืดสลัวก็มีเพียงหนึ่งเดียว หากเจ้าไม่ฆ่าข้าให้ตาย ก็เป็นข้าที่ฆ่าเจ้าให้ตาย เขาจะยืนนิ่งไม่ขยับก่อน ปล่อยให้อีกฝ่ายทุ่มเวทคาถาเข้าใส่ กระทั่งปราณวิญญาณเผาผลาญหมดสิ้นมิอาจถูกดึงมาใช้ได้อีกแล้ว เขาถึงจะเริ่มลงมือ อีกทั้งขอแค่อีกฝ่ายไม่พยักหน้าตอบตกลง เขาก็จะไม่ลงมือ ดังนั้นการต่อสู้ครั้งหนึ่งจึงยาวนานถึงสองสามร้อยปี ฝ่ายแรกแรกเริ่มคือเซียนเหริน ทว่าระหว่างขั้นตอนการประลองคาถากลับกลายมาเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งได้ ผลคือถึงท้ายที่สุดใช้เวลาอยู่ร่วมกันนานสามร้อยปี ตามติดกันเป็นเงา กลับถูกบีบให้ต้องเป็นบ้าไปทั้งอย่างนั้น
ยอมให้คนอื่นไม่ได้แปลว่าโง่เขลา คนโง่เขลาไม่มีทางยอมให้คนอื่น
ลู่เฉินหยิบกิ่งไม้อันหนึ่งมา บิดข้อมือวาดยันต์ สะบัดพู่กันดุจไข่มุกโปรยปราย
พลังเหนือคาดการณ์ พรั่งพรูมิอาจหยุดยั้ง
ลู่เฉินวาด ‘ยันต์ผีวาด’ พลางถามชวนคุยไปด้วย “รู้หรือไม่ว่าตัวเองคือคนโง่คนหนึ่ง?”
เด็กน้อยหลุบตาลงต่ำ สีหน้าหม่นหมอง
แต่กลับได้ยินนักพรตหนุ่มเอ่ยปลอบใจว่า “มีคนโง่ที่ไหนรู้ว่าตัวเองคือคนโง่บ้างเล่า เจ้าลองคิดดูเถอะ ใช่หลักการนี้หรือไม่?”
ก่อนหน้านี้มีใครบางคนผ่านที่แห่งนี้มาแล้วตบหลังเด็กชายเบาๆ หนึ่งที ช่วยตบสลาย ‘บัญชีเก่า’ ที่หนักเกินจะแบกรับพวกนั้นทิ้งไป ประหนึ่งปฏิทินเหลืองเก่าแก่ที่ถูกพลิกเปิดหน้า
ดูเหมือนสติปัญญาของเด็กน้อยจะเปิดออกได้ทันใด
ลู่เฉินโยนกิ่งไม้ทิ้ง ปัดมือ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คนโง่แบ่งออกเป็นสองประเภท ล้วนสามารถมองเป็น ‘คนปัญญาอ่อน’ ได้ทั้งหมด อันดับแรกคือจะบอกกับเจ้าก่อนว่านี่ไม่ใช่คำศัพท์ที่มีความหมายในเชิงบวก แล้วก็ไม่ใช่คำศัพท์ที่มีความหมายในเชิงลบ ไม่เข้าใจว่าอะไรคือคำศัพท์ที่มีความหมายในเชิงลบในเชิงบวก? ถ้าอย่างนั้นก็พูดให้ง่ายๆ นั่นก็คือไม่มีอะไรแตกต่างว่าเป็นคำที่ดีหรือไม่ดี ก็เป็นแค่คำปกติทั่วไปคำหนึ่งเท่านั้น”
“ประเภทแรกคือเจ้าในอดีต มึนๆ งงๆ คล้ายหลับฝันไปเพียงลำพัง ความฝันครั้งนี้มีเพียงตัวเจ้าเท่านั้นที่รู้ สำหรับคนนอกความฝันกลับไม่รู้อะไรทั้งนั้น ดังนั้นจึงถูกคนนอกความฝันมองเป็นคนโง่คนหนึ่ง”
“และยังมีความปัญญาอ่อนอีกประเภทหนึ่ง ก็คือผู้ฝึกตน หรือก็คือเทพเซียนบนภูเขาที่กล่าวถึงในตำรา เพื่อพิสูจน์มรรคาเป็นอมตะ พวกเขาอยากมีอายุยืนยาวเท่าเทียมฟ้า จำต้องละทิ้งเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิดไป ผู้ที่คบค้ากับพวกเขาก็มีเพียงฟ้าดิน มีเพียงมรรคกถา ไม่มีคนข้างกายอีก ในสายตาของผินเต้า นี่ถือเป็นความฝันที่ใต้หล้ามีร่วมกัน ทุกคนต่างก็ฝันอย่างหนึ่งเหมือนกัน ในเมื่อมีมาตั้งแต่เกิด ถ้าอย่างนั้นการละทิ้งอารมณ์และปรารถนา เรื่องนี้ก็จะกลายเป็นว่า ‘สวรรค์มอบให้ไม่รับไว้จะถูกลงทัณฑ์’ แน่นอนว่าก็มีคนมองเป็นการชดใช้หนี้อย่างหนึ่ง มีเพียงหนี้ของสองฝ่ายสะสางหมดสิ้น ถึงจะสามารถรับ ‘ทัณฑ์สวรรค์’ อย่างตรงไปตรงมาได้ เพราะในสายตาของคนเหล่านี้ ทัณฑ์สวรรค์ในการฝ่าทะลุขอบเขตก็คือดอกเบี้ยที่สวรรค์จะเก็บหลังจากปล่อยให้เช่ามานานหลายปี”
——