กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 938.1 ข้าคือเจ้าแห่งวิถีบูรพา (เจ็ด)
ทางฝั่งของศาลเทพลำคลองเฝินเหอ ทัศนียภาพที่เฉินผิงอันกับชิงถงได้เห็นมีมุมมองที่แตกต่าง ดังนั้นต่างคนจึงต่างเห็นกันคนละอย่าง แบ่งเป็นก่อนและหลัง
รอกระทั่งชิงถงเดินเที่ยวไปตามตำหนักทั้งหลายเสร็จแล้วถึงสังเกตเห็นว่าเฉินผิงอันไม่ได้อยู่ในศาลพ่อปู่ลำคลองแห่งนี้แล้ว
เดินออกจากประตูใหญ่ของศาลมา ชิงถงเห็นคนชุดเขียวนั่งอยู่บนม้านั่งไม้ไผ่ตัวเล็กที่ตั้งอยู่ในร่มต้นหลิวริมสระน้ำกว้างใหญ่ ทั้งยังเริ่มเหวี่ยงเบ็ดตกปลา
ชิงถงเดินไปหา ถามว่า “ยังมีเก้าอี้อีกไหม?”
เฉินผิงอันชี้นิ้วไปที่ปาก บอกเป็นนัยให้เบาเสียงหน่อย จากนั้นบิดข้อมือหนึ่งทีก็มีเก้าอี้ไม้ไผ่เขียวตัวเล็กอีกตัวเพิ่มมา ยื่นส่งให้ชิงถง
ชิงถงนั่งลงด้านข้าง กดเสียงลงต่ำ ถามอย่างสงสัย “นี่คือ?”
เฉินผิงอันพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “รอคอยฟ้าอำนวย”
เห็นชิงถงมีท่าทางมึนงง เฉินผิงอันก็ผงกปลายคาง เอ่ยเตือนว่า “มองน้ำไปก่อนชั่วคราว”
ชิงถงจึงจ้องมองไปที่ผิวน้ำ น้ำในสระใสเหมือนกระจก และในกระจกก็มีภาพจวนที่ผุพังสภาพเก่าโทรม ในม้วนภาพมีเงาคนวูบวาบ
คือการมองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือ วิธีการของเซียนดินที่ไม่ถือว่าสูงส่งสักเท่าไร
หลังจากที่จากลากับเด็กชายที่หมู่บ้านชนบทคนนั้น นักพรตหนุ่มที่ในอ้อมอกตุงป่องก็ทะยานร่างขึ้นจากพื้นดิน ลอยตัวอยู่กลางอากาศ เขย่งปลายเท้ายืดคอมองมาทางในเมือง ร้องเอ๊ะหนึ่งที ถึงกับมีกลิ่นอายสกปรกชั่วร้ายและภาพบรรยากาศของการประลองเวทคาถาของเทพเซียน? คงไม่ใช่ว่าเป็นเรือนผีหลังหนึ่งหรอกกระมัง? ไม่รู้หรือว่าวันนี้ผินเต้าชื่อว่าสวีอู๋กุ่ยแล้วนะ ดีๆๆ หากว่าพวกเจ้ายอมพูดคุยกันดีๆ ก็จะเป็นน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง แต่หากแม้แต่ห้องครัวก็ไม่ยอมให้ผินเต้ายืม ถ้าอย่างนั้นก็จะโทษที่ผินเต้าผดุงธรรมแทนสวรรค์ไม่ได้นะ
ลู่เฉินหันหน้าไปมองเด็กชายแซ่เย่คนนั้น ในอนาคตเมื่อไปถึงสำนักโองการเทพ ไม่แน่ว่าสามารถเป็นเพื่อนกับนักพรตน้อยที่ชื่อว่าอาโหย่วของอารามชิวหาวผู้นั้นได้ ฝึกตนไปด้วยกัน เติบโตไปด้วยกัน อยู่ด้วยกันนานวันเข้าก็เป็นสหายกันได้แล้ว
อักษรคำว่าดวงจันทร์คู่กันก็คือคำว่าสหาย (เพื่อนภาษาจีนคือ 朋友 ซึ่งคำว่า 朋 ประกอบจากอักษร 月 สองตัว ซึ่ง 月 ตัวเดียวแปลว่าดวงจันทร์) อยู่ในใต้หล้าไพศาลที่มีเพียงดวงจันทร์ดวงเดียวแห่งนี้ หาได้ยากถึงเพียงใด ดังนั้นจึงยิ่งต้องทะนุถนอมเห็นค่าสหายที่แท้จริงไว้ให้มาก
ลู่เฉินเดินก้าวออกไปหนึ่งก้าว ตรงดิ่งมาถึงถนนนอกบ้านหลังหนึ่งที่เล่าลือกันว่ามีผีร้ายอาละวาด จากนั้นทำมุทรา รู้ว่าพื้นที่ใกล้เคียงมีชื่อว่าตรอกอู้เจิน เรือนใหญ่เคยเป็นศาลหลวี่กง ประตูใหญ่สีชาดเต็มไปด้วยหยากไย่ สถานที่แห่งนี้ควันธูปขาดสะบั้นไปนานแล้ว ในประวัติศาสตร์เคยถูกรื้อถอนแล้วสร้างขึ้นมาเป็นเรือนพักส่วนตัว หลังจากนั้นก็เจอกับเหตุเปลี่ยนแปลงอยู่หลายครั้ง ส่วนใหญ่ล้วนมีผีอาละวาด สุดท้ายวัสดุไม้เกินครึ่งที่ใช้สร้างเรือนก็ถูกย้ายไปไว้ที่ศาลเทพลำคลองเฝินเหอ หน้าประตูเหลือเพียงสิงโตหินตัวหนึ่ง ตรงลำคอมีหลุมเว้าเล็กๆ เรียงยาวคล้ายรอยประทับตราของไข่มุก
สถานที่แห่งนี้ถึงกับเป็นที่ตั้งเก่าของศาลที่บูชานักพรตฉุนหยาง คือเรื่องที่น่าประหลาดใจแต่ก็สมเหตุสมผลดี
ลู่เฉินถอนหายใจ “สหายฉุนหยางเอ๋ยสหายฉุนหยาง ที่แท้ปีนั้นอยู่ที่ป๋ายอวี้จิง พวกเราสองคนที่เป็นคนบ้านเดียวกันก็ได้ไปพบเจอกันที่ต่างบ้านต่างเมืองหรือนี่ ทุกวันนี้เจ้าไม่อยู่ไพศาลที่เป็นบ้านเกิดมานานแล้ว กว่าจะมีศาลสักแห่งหนึ่งได้ไม่ใช่เรื่องง่าย คาดไม่ถึงว่าจะตกมามีสภาพเช่นนี้ได้ ก็ดีเหมือนกัน ถือเสียว่าวันนี้ผินเต้าได้ใช้กำลังอันน้อยนิดที่มีช่วยเพิ่มควันธูปให้กับศาลของเจ้าสักเล็กน้อยก็แล้วกัน”
เพียงแต่ไม่รู้ว่าหลวี่เหยียนผู้นี้ ทุกวันนี้อยู่ที่ไหน ทางฝั่งของใต้หล้ามืดสลัวก็ไม่มีข่าวคราวของหลวี่เหยียนมานานมากแล้ว
ลู่เฉินหยิบยันต์ที่ทำจากวัสดุสำหรับใช้ประทับหยกลัญจกรแผ่นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ปากท่องพึมพำว่า ‘ฟ้าศักดิ์สิทธิ์ดินศักดิ์สิทธิ์ เทพแสดงอิทธิฤทธิ์ ข้าทำตาม’ ถอยไปข้างหลังหลายก้าว ใช้มือข้างเดียวกดลมปราณสู่จุดตันเถียน ตวาดเบาๆ หนึ่งที ก้าวเร็วๆ ราวกับบินวิ่งไปข้างหน้า ปลายเท้าดีดพื้นกระโดดขึ้นสูง ผลคือได้แต่เหยียบลงบนหัวกำแพงเท่านั้น โงนเงนอยู่หลายทีก็ยังยืนได้ไม่มั่นคง ล้มผลึ่งหงายหลังกลับลงมาบนถนนอีกครั้ง โชคดีที่ถนนเส้นนี้ว่างเปล่าไร้ผู้คนจึงไม่มีใครเห็นภาพน่าขันนี้
เห็นเพียงว่านักพรตหนุ่มที่ถือยันต์สีเหลืองพยายามอีกสองครั้ง ในที่สุดก็นั่งแปะลงไปบนหัวกำแพงได้ หลังจากลุกขึ้นยืนแล้วก็วิ่งก้มตัวไปบนหัวกำแพงตลอดทาง เดินย่องปีนข้ามเรือนหลังหนึ่งเข้าไป ยืดคอมองไปก็เห็นการเข่นฆ่าที่อันตรายกำลังปะทุดุเดือด ผู้ฝึกตนอิสระที่เหมือนมาจากสำนักเดียวกันหลายคนต่างก็ร่ายวิชาอภินิหารสู้รบพัวพันอยู่กับสตรีวัยกลางคนสวมกระโปรงสีแดงหน้าซีดขาว พอจะมองเห็นได้อย่างเลือนรางว่าตรงลำคอของนางห้อยเชือกเส้นหนึ่ง น่าจะเป็นผีที่ผูกคอตาย เสียงตวาดของนางดังไม่หยุด ควันดำกลิ้งหลุนๆ ถูกพวกเทพเซียนผู้เฒ่าที่มากำจัดปีศาจปราบมารกลุ่มนั้นอาศัยเวทคาถาอันสูงส่งสลายควันดำไปทีละกลุ่ม มองโดยภาพรวมแล้วถือว่าผลัดกันรุกผลัดกันรับ ฝ่ายหนึ่งขว้างคาถาเซียน อีกฝ่ายหนึ่งก็ใช้วิธีการลับๆ ล่อๆ ตระการตาน่าดูชมยิ่งนัก ถือได้ว่าเจอกับคู่มือที่สมน้ำสมเนื้อ
ลู่เฉินนั่งอยู่บนหลังคาเงียบๆ ขยับสายตาไปมองดอกโบตั๋นดอกหนึ่งในเรือนด้านหลัง น่าจะย้ายมาปลูกจากที่อื่น ผ่านกาลเวลามาหลายยุคหลายสมัย หลังจากกลายเป็นภูตหลอมเรือนกายสำเร็จ อายุขัยในการฝึกตนก็ไม่น้อย น่าจะเป็นเจ้าของที่แห่งนี้ครึ่งตัวแล้ว คอยนำพาพวกผีพยาบาทกลุ่มหนึ่งมาสร้างความหวาดกลัวให้กับคนบนโลกมนุษย์ ยึดครองเรือนใหญ่หลังนี้ ดูท่าแล้วน่าจะยังไม่เคยก่อกรรมทำเข็ญอะไร อย่างมากก็แค่หลอกพวกบุรุษฉกรรจ์ขี้เมาที่ดึกดื่นไม่ยอมกลับบ้าน หรือไม่ก็พวกคนตีฆ้องบอกเวลา ให้พวกเขาเดินละเมอแล้วพามาร่วมสร้างเมฆก่อฝนด้วยกันคำรบหนึ่งเพื่อขโมยปราณหยาง ตอนฟ้าสว่างก็โยนออกไปจากบ้าน
ก็ไม่แปลกที่เทพวารีที่ศาลเทพลำคลองเฝินเหอแห่งนั้นเลือกที่จะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กับทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่ หนึ่งเพราะไม่มีการกระทำที่เป็นการก่อกรรมทำเข็ญ สองคือคิดจะสยบกำราบ ‘เรือนผี’ แห่งนี้ก็ต้องโยกย้ายกองกำลัง เท่ากับว่าทั้งสองฝ่ายฉีกหน้าแตกหักกันอย่างสิ้นเชิง เมื่อต่อสู้กันอย่างจริงจังขึ้นมา อย่างน้อยคาดว่าอำเภอแห่งนี้ก็คงรักษาไว้ไม่อยู่แล้ว นอกจากนี้ความสามารถของเทพอภิบาลเมืองและสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำที่อยู่ใกล้เคียง กับกองกำลังน้อยนิดใต้อาณัติของพวกเขา หากคิดจะงัดข้อกันจริงๆ ก็มีแต่จะบุกมาเอาเรื่องอย่างดุดัน แต่ต้องกลับไปด้วยหน้าตามอมแมมหมองหม่น
คนและผีสองฝ่ายที่ประลองคาถากันอยู่ในเรือน มีคนผู้หนึ่งตาแหลมมองเห็นนักพรตหนุ่มที่ทำท่าลับๆ ล่อๆ อยู่บนหลังคาเรือน พลันสบถด่าดังลั่น “เจ้าจมูกโคหน้าเหม็นตัวน้อย ถึงกับกล้ามาแย่งการค้ากับนายท่านใหญ่ที่นี่เชียวหรือ?! รีบไสหัวไปให้ไกลเลย!”
เห็นเพียงว่านักพรตหนุ่มคนนั้นพูดด้วยท่าทางเที่ยงธรรมมีเหตุมีผล “นับแต่โบราณมาการกำจัดปีศาจปราบมาร คนที่ผ่านทางมาพบเห็นล้วนมีส่วนด้วย แล้วนับประสาอะไรกับที่ผินเต้าเกิดมาก็มีกระดูกที่แข็งแกร่ง มีจิตใจของจอมยุทธ…”
คนผู้นั้นตวาดดังลั่น “ไร้ยางอาย!”
จากนั้นก็มีมีดบินพุ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ รวดเร็วเหมือนดาวตก แต่กลับเป็นแค่ปลายด้ามมีดเท่านั้นที่พุ่งชนหน้าผากของนักพรตปากมากผู้นั้น ได้ยินเสียงร้องโอ้ยด้วยความเจ็บปวด นักพรตหนุ่มถูกโจมตีก็หงายหลังผลึ่ง กลิ้งหล่นไปจากหลังคาแล้วหายไปไม่เห็นเงาอีก
ผีหญิงในเรือนที่ตรงคอมีเชือกรัดพันมีกระบวนท่าวิชาผีให้ใช้ซ้ำไปซ้ำมาแค่ไม่กี่ท่าเท่านั้น อีกฝ่ายกลับมากคนมากอำนาจ อีกทั้งผู้ฝึกตนกลุ่มนั้นยังเป็นบุรุษ เดิมทีก็มีปราณหยางเต็มร่าง เมื่อรวมตัวอยู่ด้วยกัน พลังอำนาจจึงค่อนข้างกร้าวแกร่ง นางเริ่มค่อยๆ ตกเป็นรอง จึงรีบหันหน้าไปตะโกนเรียก “น้องสาวรีบมาช่วยข้าเร็วเข้า!”
เพียงไม่นานก็มีควันเขียวกลุ่มหนึ่งลอยมา ก่อตัวเป็นผีสาวตนหนึ่ง เป็นสตรีวัยกลางคนเหมือนกัน เส้นผมสีนิลไม่ถูกรวบรัดเอาไว้ จึงเหมือนพืชน้ำที่ส่ายสะบัด น่าจะเป็นคนน่าสงสารที่จมน้ำตาย
ลู่เฉินหาห้องครัวแห่งนั้นเจอแล้วก็ใช้เท้าถีบประตูให้เปิดออก เตรียมจะก่อไฟทำอาหาร เป็นคนจะปฏิบัติต่อตัวเองแย่ๆ ไม่ได้ ผินเต้าต้องกินอาหารคืนข้ามปีให้อิ่มหนำสักมื้อก่อนค่อยไปเยือนใต้หล้ามืดสลัว ที่ป๋ายอวี้จิงไม่มีข้อพิถีพิถันเช่นนี้หรอกนะ กลิ่นอายเซียนเยอะเกินไป กลิ่นอายมนุษย์จึงมีน้อยมาก ลู่เฉินเห็นว่าอุปกรณ์พวกเขียงมีดมีครบครันก็หยิบตะบันไฟออกมาจากชายแขนเสื้อ หากระบอกไม้ไผ่ที่ใช้สำหรับเป่าไฟเจอแล้วก็นั่งลงบนม้านั่งตัวหนึ่ง พึมพำว่า “นี่เพราะว่ายังเป็นเวลากลางวันหรอกนะ รอให้ถึงยามสายัณห์ดวงตะวันลาลับ ผีตัวจริงเจ้าของเรือนยังไม่ได้ออกแสดงเลย หากว่าพวกเจ้าไม่มีผินเต้าช่วยเหลือ จะต่อสู้อย่างไรไหว ถึงเวลานั้นต่อให้พวกเจ้านั่งคุกเข่าร้องขอชีวิตก็ต้องดูว่าผินเต้ากินอิ่มมีเรี่ยวแรงแล้วหรือไม่”
เมื่อครู่นี้เดินอ้อมไปอ้อมมา ระหว่างที่เดินมาลู่เฉินสังเกตเห็นว่าเรือนหลังมีต้นไหวขนาดใหญ่ที่ร่มใบครึ้มหนาอยู่สองต้น พื้นที่แถบนั้นมองไม่เห็นแสงตะวัน และห่างจากห้องครัวไปไม่ไกลก็มีเรือนหลังเล็กอยู่แห่งหนึ่ง หญ้าสูงหนึ่งฉื่อ ในเรือนวางโลงศพไว้หลายใบ ไม้กระดานปิดโลงล้วนเปิดอ้าเอาไว้ ล้วนเป็นโครงกระดูกที่ไม่มีพื้นที่ให้ฝังร่าง ถึงอย่างไรลู่เฉินก็ไม่มีข้อห้ามในเรื่องพวกนี้ ไม่อย่างนั้นในบรรดาเจ็ดจิตธรรมของเจ้าลัทธิสามจะมีเจินเหรินกระดูกขาวได้อย่างไร?
มีคนมายืนพิงประตูห้องครัว คือดรุณีน้อยหน้าตางามหยาดเยิ้มคนหนึ่ง พวงแก้มแดงก่ำ ท่วงท่าเปี่ยมเสน่ห์
นางเม้มริมฝีปากแดงเรื่อ ปรบมือเบาๆ ร้องเรียกให้นักพรตหนุ่มรู้ว่ามีคนมา จากนั้นก็ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “นักพรตน้อยอย่างเจ้าถือว่าเป็นยอดฝีมือที่ใจกล้าหรือไม่ ถึงกับกล้ามาก่อไฟหุงหาอาหารอยู่ที่นี่ ต่างก็พูดกันว่าจะหาที่ตายก็ควรหาที่ดีๆ หน่อย เจ้าคิดอย่างไรกันแน่? เป็นเพราะอ่านนิยายรักหวานแหววหรือเรื่องเล่าพิสดารที่หลอกเอาเงินคนมามากเกินไป ก็เลยอยากจะมีโชคด้านความรักสักหน่อยหรือ?”
“แม่นางคนนี้มาโผล่ไม่ให้สุ้มให้เสียง เกือบทำให้คนตกใจตายแล้ว คิดว่าทำให้คนตกใจตายไม่ต้องชดใช้ด้วยชีวิตจริงๆ หรือ โชคดีที่นักพรตน้อยอย่างข้ามีวิชาคาถาติดตัว แล้วก็ใจกล้าด้วย”
ลู่เฉินพูดกลั้วหัวเราะ นั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก หันตัวกลับมา ยกกระบอกไม้ไผ่ในมือขึ้น ชี้ไปยังยันต์สีเหลืองที่แปะไว้หน้าประตูห้องครัว มองเด็กสาวที่เป็นดอกโบตั๋นซึ่งฝึกตนจนกลายเป็นภูตได้สำเร็จ สติปัญญาเปิดออกจึงได้หลอมเรือนกาย อาศัยโชควาสนาและเวลาในการฝึกตนแปดเก้าร้อยปีของตัวเอง เมื่ออยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับอำเภอแห่งนี้ก็ถือว่าไร้ศัตรูเทียมทานแล้ว ไม่ถือว่านางวางอำนาจบาตรใหญ่อยู่ที่นี่ ก็แค่ช่วยต่อชีวิตให้พวกผีสาวพวกนั้นเท่านั้น อีกทั้งทำอะไรยังเว้นที่ว่างไว้ให้ตัวเอง ไม่อย่างนั้นขอแค่พี่หญิงผีสาวพวกนั้นอำมหิตสักหน่อย แค่อ้าปากหรือบิดเอวบางๆ ไม่กี่ที พวกชายฉกรรจ์ที่ใช้ชีวิตอิสระเป็นสุขทั้งหลาย เกรงว่าคงเหลือแต่เนื้อหนังที่ด้านในมีแต่ความว่างเปล่า ปราณหยางแตกฉานซ่านเซ็นไปนานแล้ว ต่อให้ถูกโยนออกไปจากเรือนผีก็คงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน
เด็กสาวคนนั้นยื่นมือมาหมายจะปลดยันต์เนื้อกระดาษธรรมดาแผ่นนั้นออก เพียงแต่ว่าแค่ปลายนิ้วสัมผัสโดนก็มีความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนแทงทะลุไปถึงหัวใจ นางสะดุ้งโหยง หดมือกลับมาทันที นางมองประเมินอยู่ครั้งหนึ่ง เพราะยึดหลักปฏิบัติว่าระมัดระวังขับเรือได้นานหมื่นปี นางจึงพลันยิ้มหวานเอ่ยว่า “ขอแค่วันนี้เจ้าไม่ยุ่งกับเรื่องของคนอื่น จะอยู่หรือจะไปก็ตามใจเจ้า พวกคนที่อยู่ในลานบ้าน ข้าไม่ได้ไปหาเรื่องพวกเขา แต่เป็นพวกเขาที่บุกเข้ามาหาเรื่องข้าถึงที่ เห็นได้ชัดว่าเป็นพวกที่ไม่คิดจะยอมเลิกราง่ายๆ ในเมื่อแต่ละคนต่างก็ร้อนใจอยากไปเกิดใหม่ จะโทษว่าข้าผลักเรือตามกระแสน้ำส่งพวกเขาออกเดินทางไม่ได้หรอกนะ”
นักพรตหนุ่มเห็นเหตุการณ์นี้ก็มีสีหน้าลำพองใจ หัวเราะร่าเอ่ยว่า “เป็นอย่างไร รู้ว่าข้าร้ายกาจแล้วกระมัง? ยันต์นี้คือความสามารถประจำตัวของข้าเลยล่ะ! หนึ่งใน! เจ้าน่ะกลัวหรือไม่”
เด็กสาวกระตุกมุมปาก “ไม่ทราบว่าท่านเซียนชื่อแซ่อะไร? อายุการฝึกตนเท่าไร?”
นักพรตหนุ่มทำสีหน้ารังเกียจ “รู้จักกฎเกณฑ์บ้างหรือไม่ ภิกษุไม่ถามนามนักพรตไม่ถามอายุ แต่ว่าเห็นแก่คำเรียกขานว่า ‘ท่านเซียน’ นี้ ข้ากลับสามารถเปิดเผยความลับสวรรค์กับเจ้าสักเล็กน้อยได้”
เด็กสาวพยักหน้ารับ “ล้างหูรอฟัง”
นักพรตหนุ่มกระแอมสองสามทีให้ลำคอชุ่มชื้น แล้วถึงได้ยืดเอวตรง เอ่ยเสียงดังกังวานว่า “จักรวาลกว้างใหญ่ไร้แซ่ไร้นาม ลูกผู้ชายระเหเร่ร่อนในโลกมนุษย์ หยิ่งในศักดิ์ศรีสมกับเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง คนเถื่อนเสรีนิสัยแปลกแยก ชีวิตนี้อาศัยอยู่บนยอดเขาสูงเท่านั้น กลางวันกินก้อนเมฆกลางคืนดื่มน้ำค้าง จิตใจปลอดโปร่งตรงไปตรงมา นั่งหันหน้าเข้าหากำแพงร้อยปีไร้คนรับรู้ เปลวเพลิงจินอูห่อหุ้มโอสถทอง สร้างโอสถทองตั้งเตาหลอม หลอมจิตหยางออกท่องนครหยก เรียนอย่างเซียนเรียนจนได้ทารกก่อกำเนิด ดวงจันทร์สาดแสงสว่างบนจุดที่เงียบสงบของบ่อน้ำน้ำ ใต้ทะเลสูดลมหายใจถึงใจกลางนภากาศ ประคับประคองพวยพุ่งขึ้นสู่สรวงสวรรค์ ลืมแล้วว่าพิสูจน์มรรคาหลายพันปี นกเขียวริมขอบฟ้าแหวกก้อนเมฆ สามารถจับได้ ดวงจันทร์ในน้ำเจียวหลงแหวกคลื่น ก็สามารถจับได้ ถึงเวลาใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำ ฝันที่เดี๋ยวรุ่งโรจน์เดี๋ยวเสื่อมถอย มดตัวน้อยอยู่ในต้นไหว…”
แรกเริ่มเด็กสาวยังตั้งใจฟัง แต่ไม่นานก็ยกมือขึ้นปิดปากหาว มาเจอกับนักเล่านิทานหรือไร
ทว่าคำพูดสุภาพไพเราะพวกนี้ของเจ้า ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยคล้องจองสักเท่าไรเลยนะ
นักพรตหนุ่มเหมือนจะมองความคิดของนางออกจึงพูดจาวางโตอย่างไม่ละอายว่า “แม่นางเจ้าแค่เข้าใจความหมายก็พอแล้ว นี่เรียกว่าได้ใจความสำคัญแต่ลืมภาพลักษณ์ (สามารถเปรียบเปรยถึงคนที่ดีใจจนหลงระเริงได้ด้วย) ส่วนคล้องจองหรือไม่คล้องจอง ล้วนเป็นเรื่องรองลงมา เท่ากับว่าเป็นข้อปลีกย่อยที่ไม่สำคัญ”
เด็กสาวพลันพูดด้วยสีหน้าดุร้าย “ข้าเปลี่ยนใจแล้ว เดิมทีแค่เห็นเจ้าแล้วรู้สึกรำคาญ ที่แท้ได้ยินเจ้าพูดกลับรำคาญยิ่งกว่า ไม่รั้งแขกไว้แล้ว รีบออกไปจากที่นี่ซะ!”
“อย่าเพิ่งเปลี่ยนใจสิ ผินเต้าแซ่สวีนามอู๋กุ่ย ส่วนฉายาน่ะหรือ ประสบการณ์ในภูเขายังตื้นเขิน แล้วก็ออกมาฝึกประสบการณ์นอกภูเขาได้ไม่นานเท่าไร ยังไม่อาจสะสมบุญบารมีได้ครบสามพันครั้ง ตอนนี้ยังไม่มีฉายา”
นักพรตหนุ่มร้อนใจแล้วเหมือนกัน “นอกจากนี้สายนี้ของผินเต้าก็มีกฎอยู่ข้อหนึ่งว่าพูดถึงบรรพบุรุษไม่พูดถึงอาจารย์ ดังนั้นหากเจ้าจะถามถึงอาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาให้กับข้า หรือเรื่องระบบสายเต๋า โปรดอภัยที่ผินเต้าไม่อาจบอกได้”
พอเด็กสาวได้ยินมาถึงตรงนี้ก็เก็บสีหน้าเดือดดาลมา เพียงแค่หลุดหัวเราะพรืด “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่ามีอาจารย์ที่ธรรมดาสินะ ต่อให้ยกชื่ออาจารย์มาก็ทำให้คนตกใจกลัวไม่ได้”
นักพรตหนุ่มพูดคล้ายคนที่อับอายจนพานเป็นโกรธ “ไม่ทำให้คนตกใจกลัว? ผีก็ยังตกใจกลัวเลย!”
เด็กสาวเหลือบมองกวานเต๋าของอีกฝ่ายแล้วโบกมือ “ไปเถอะๆ อย่ามาร่วมวงความครึกครื้นที่นี่เลย หากไม่เป็นเพราะเห็นแก่วาสนาที่มีกับลัทธิเต๋าในอดีต วันนี้อย่างน้อยเจ้าก็ต้องนอนออกไปแล้ว จะทำให้เจ้ามีบทเรียนให้ได้ว่าในเมื่อมรรคกถาตื้นเขิน วิชาคาถาไม่ได้เรื่องก็อย่าคิดว่ามีอาจารย์เป็นที่พึ่งแล้วจะทำอะไรตามใจ วิ่งเตร็ดเตร่ไปทั่วได้ เหนือคนยังมีคน ต้องเจอกับความลำบากใหญ่หลวงแน่”
ดวงตาคลอประกายน้ำของเด็กสาวเกิดริ้วกระเพื่อมไหว ชี้นิ้วไปที่กวานเต๋าเหนือศีรษะของนักพรตหนุ่ม อีกมือหนึ่งปิดปากหัวเราะคิกคัก “นักพรตน้อยยังเสแสร้งสวมรอยเป็นยอดฝีมือให้ข้าดู ทำไม คิดว่าอีกเดี๋ยวหากสู้ไม่ได้ก็จะยกอาจารย์ออกมาขู่กูไหน่ไนอย่างข้าหรือ? ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่า ข้ากับอาจารย์ปู่ของเจ้ายังเคยเป็นคนรักเก่ากันด้วยนะ”
“คนรักเก่า?!”
เห็นเพียงว่านักพรตหล่อเหลาที่มีริมฝีปากแดงก่ำฟันขาว ได้ยินประโยคนี้แล้วทำท่าเหมือนถูกฟ้าผ่า ดวงตาไร้แวว พูดพึมพำว่า “ทำไมผินเต้าถึงไม่รู้เลยล่ะ?!”
“เจ้าจะรู้ได้อย่างไร เป็นเรื่องเก่าเก็บหลายร้อยปีมาแล้ว หลังออกไปจากที่นี่ กลับไปที่อารามเต๋าในภูเขา หากสนใจก็ลองไปพลิกดูทำเนียบ หาอ่านอย่างละเอียดว่ามีคนที่ชื่อว่าเฉียนฉงเสวียน ฉายาหลงเหว่ยซานเหรินอยู่หรือไม่ ก็คือเขานั่นแหละ เจ้าคนใจจืดใจดำ มีใจเป็นโจรแต่ไม่มีความกล้าจะเป็นโจร รังเกียจว่าชาติกำเนิดของข้าไม่ถูกต้อง ไม่กล้าพากลับภูเขาไปด้วย เป็นภูตต้นไม้แล้วอย่างไร จวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็มีโถงเซียนจิ้งจอกอยู่แห่งหนึ่งไม่ใช่หรือ ชาติกำเนิดของนางยังสู้ข้าไม่ได้เลยนะ”
——