กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 938.2 ข้าคือเจ้าแห่งวิถีบูรพา (เจ็ด)
สายตาของเด็กสาวฉายแววไม่พอใจ พลิกเปิดบัญชีเก่าไปแล้วนางก็กลับมามีท่าทีผ่อนคลายได้อีกครั้ง โบกมือเอ่ย “ช่างเถอะๆ ข้ารู้แต่แรกแล้วว่าเจ้ามาจากสำนักโองการเทพที่สูงส่งเหนือใคร ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางสวมกวานเต๋าเช่นนี้ สถานะนักพรตของเจ้าย่อมเป็นของจริง แต่ข้าก็ไม่ใช่ภูตในป่าเขาที่เป็นกบในกะลา รู้ว่านักพรตสายของพวกเจ้าไม่ใช่สายดั้งเดิม กับฉีเทียนจวินก็ไม่ใช่นักพรตบนเส้นทางเดียวกัน ควันธูปกระจัดกระจายจนน่าสงสาร อยู่ในสำนักโองการเทพก็มีสภาพน่าอนาถมากขึ้นทุกปี ได้แต่อาศัยการขายเอกสารรับรองการออกบวชส่วนตัวมาประทังชีวิตไปวันๆ”
นักพรตหนุ่มเองก็ถอนหายใจเหมือนกัน “แม่นางกล่าวได้ถูกแล้วจริงๆ คือสภาพการณ์ที่น่าอนาถซึ่งย่ำแย่ขึ้นทุกปีจริงเสียด้วย”
เด็กสาวเอ่ย “ยังไม่ไปอีกหรือ? นึกว่ายันต์ผุๆ บนประตูแผ่นเดียวก็สามารถสกัดขวางข้าไว้ได้แล้ว?”
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “คำโบราณบอกไว้ว่าช่วยคนอื่นก็คือการช่วยตัวเอง ออกมาอยู่ข้างนอกอาศัยสหาย ข้าก็แค่มาอาศัยสถานที่กินอาหารมื้อข้ามปีเท่านั้นเอง ไม่แน่อาจช่วยให้เจ้าหลบพ้นหายนะไปได้”
พูดมาถึงตรงนี้ ลู่เฉินก็หัวเราะร่า “คำว่า ‘คำโบราณ’ กับ ‘คำพังเพยว่าไว้’ ไม่ว่าตามหลังมาจะเป็นประโยคว่าอะไร ทางที่ดีที่สุดพวกเราก็ควรจะฟังไว้บ้างนะ”
เด็กสาวเอ่ยเย้ยหยัน “นักพรตน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่ากูไหน่ไนมีขอบเขตอะไร?”
ลู่เฉินทำสีหน้าตกตะลึง “คงจะไม่ใช่เทพเซียนผู้เฒ่าก่อกำเนิดที่เก็บงำประกายอย่างลึกล้ำหรอกนะ?”
เด็กสาวพลันโมโห เพราะนางคือเซียนดินโอสถทอง
เพียงแต่ว่าพ่อปู่ลำคลองที่ศาลเทพลำคลองเฝินเหอนอกเมืองกับศาลเทพอภิบาลเมืองในอำเภอต่างก็เข้าใจผิดคิดว่านางเป็นภูตต้นไม้ขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่ง เป็นเหตุให้ชื่อเสียงของนางไม่โด่งดังมาโดยตลอด
หลักๆ แล้วก็เป็นเพราะแคว้นเมิ่งเหลียงมีภูเขาจวนเซียนอยู่สองลูกที่ทำให้นางกริ่งเกรงอย่างมาก หากไม่เป็นเพราะมียันต์ช่วยชีวิตที่เก็บซ่อนไว้เป็นอย่างดีติดตัว หาไม่แล้วป่านนี้นางก็คงถูกเซียนซือกักตัวไปขังไว้บนภูเขาแล้ว
ใน ‘เรือนผีร้าย’ แห่งนี้ ย่อมต้องมีผีสาวแน่อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าสิ่งชั่วร้ายที่เป็นผู้นั่งบัญชาการณ์อย่างแท้จริงกลับเป็นผีโอสถทองเฒ่าตนหนึ่ง นอกจากจะตบะสูงส่งแล้ว ยังมีจิตใจอำมหิตโหดร้าย ในอดีตก็เป็นเพราะมันที่แอบวางแผนอย่างลับๆ อาศัยมือของขุนนางในโลกคนเป็นถึงได้รื้อศาลหลวี่กง ยึดครองพื้นที่ฮวงจุ้ยมงคลแห่งนี้มาเป็นลานประกอบพิธีกรรมของตัวเอง หมายจะอาศัยสิ่งนี้มาเลื่อนเป็นก่อกำเนิด ถึงขั้นยังจงใจย้ายดอกโบตั๋นดอกหนึ่งมาปลูกไว้ที่นี่ อาศัยกลิ่นหอมของดอกไม้ดอกนี้มาอำพรางกลิ่นอายชั่วร้ายที่เหม็นคาวอย่างถึงที่สุดบนร่างของมัน และการที่ชายทรยศนามว่าเฉียนถงเสวียนมาพักอาศัยอยู่ที่นี่ก็เพราะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของเรือนแห่งนี้ เพื่อปราบผีที่สร้างภัยร้ายให้กับในพื้นที่ก็ได้สร้างค่ายกลใหญ่ไว้ก่อน ป้องกันไม่ให้เดือดร้อนไปถึงผู้บริสุทธิ์ จากนั้นก็เปิดฉากเข่นฆ่ากับผีโอสถทอง ยอมให้วัตถุแห่งชะตาชีวิตสองชิ้นแหลกสลายและรากฐานมหามรรคาถูกทำลายอย่างไม่เสียดาย ถึงกำราบผีตนนั้นไว้ในห้องลับที่อยู่ลึกใต้ดินได้ ใช้ยันต์ผนึกมันเอาไว้ บอกว่าจะกลับไปที่สำนักโองการเทพแล้วเชิญให้ผู้อาวุโสในภูเขามาถอนรากถอนโคนภัยร้ายนี้ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าพอเขาจากไปก็จะไม่มีวันได้หวนคืนกลับมาอีก
เวลาผ่านไปนานหลายปีแล้ว ทุกๆ หลายปีที่ผ่านไป นางก็จะใช้วิชายันต์ที่เรียนมาจากนักพรตคนนั้นมาเพิ่มยันต์อีกแผ่นหนึ่งลงไปที่หน้าประตูห้องลับในใต้ดิน ทับซ้อนกันไว้เป็นชั้นๆ ยันต์เก่าสลายหายไปก็มียันต์ใหม่เพิ่มเข้ามา แต่เพียงแค่เพราะธรณีประตูของสายยันต์สูงเกินไป นางเองก็แค่พอจะมีพรสวรรค์ในการฝึกตนอยู่บ้างเล็กน้อย ไม่ได้รับการถ่ายทอดวิชาที่แท้จริง จึงได้แต่อาศัยปริมาณมาเอาชนะเท่านั้น
เบื้องหน้าบุปผาภายใต้แสงจันทร์ เหมือนเวลาเพิ่งผ่านไปได้ไม่นาน
ดวงดาวบนท้องฟ้าเคลื่อนคล้อย ม่านมุกทิ้งตัวสู่โลกมนุษย์ อาศัยอยู่ในภูเขามิอาจจำปีที่ผันผ่าน ชมบุปผาก็เหมือนชมเซียน
ผู้ที่กล่าวเพียงกล่าวจากปาก ผู้ที่ฟังกลับสลักไว้ในใจ
ลู่เฉินกอดกระบอกไม้ไผ่ไว้ในอ้อมอก สายตาอ่อนโยนลงหลายส่วน ยิ้มเอ่ยว่า “ขบวนทัพด้านนอกไม่เล็กเลย ผู้ฝึกตนอิสระกลุ่มนั้นมาเยือนครั้งนี้มีความคิดว่าจะต้องเอาชนะให้ได้ แม่นางเจ้าเองก็สัมผัสได้แล้วหรือ? อีกฝ่ายเรียกท่าไม้ตายออกมาแล้ว สามารถ ‘เชิญเทพมาจุติ’ ได้ แม้จะบอกว่ามีสองคนคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากศาลเถื่อนที่ได้แต่มีชีวิตอยู่รอดไปวันๆ แต่สำหรับการรับมือกับพี่สาวผีหญิงทั้งสามที่เป็นลูกน้องของเจ้ากลับมากพอเหลือแหล่ อีกอย่างเจ้าที่เป็นโอสถทองสามารถปกป้องร่างจริงของตัวเองได้ แต่จะปกป้องประตูบานนั้นไว้ได้หรือ? ถึงอย่างไรผินเต้าก็คิดว่ายาก ยากมากๆ เลยล่ะ”
สีหน้าของเด็กสาวเปลี่ยนไปเล็กน้อย เตรียมจะวิ่งไปขอความช่วยเหลือ
คิดไม่ถึงว่านักพรตหนุ่มแค่เป่าลมหนึ่งครั้ง ยันต์กระดาษเหลืองที่แปะบนประตูห้องครัวก็ลอยไปตามลมแล้วมาหล่นลงบนไหล่ของเด็กสาวพอดี
ดูเหมือนเด็กสาวจะถูกแปะยันต์กักร่าง เซียนดินโอสถทองผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ว่าอย่างไรก็มีอาจโคจรโอสถทองให้ควบคุมปราณวิญญาณได้ ถึงกับมิอาจขยับได้แม้แต่ครึ่งก้าว
ลู่เฉินเอาหน้าแนบกระบอกไม้ไผ่ มองเด็กสาวที่ร้อนใจราวกับไฟลน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จะร้อนใจไปไย รอดูงิ้วสนุกๆ ก็พอแล้ว ผินเต้าคนนี้ อย่างอื่นมีไม่มาก มีแต่สหายบนภูเขาที่มีมาก บังเอิญนัก วันนี้ก็มีอยู่คนหนึ่งพอดี”
ก่อนหน้านี้บนร่างมีเส้นด้ายผลกรรมสองเส้นชักนำ หนึ่งคนหนึ่งเรื่องราว หนึ่งหนาหนึ่งบาง อย่างหลังก็คือเด็กชายคนนั้น ส่วนอย่างแรกก็คือสหายเก่าคนหนึ่ง
คนผู้นี้เดิมทีไม่ได้เร่งเดินทาง แต่พอสัมผัสได้ถึงความผิดปกติก็เริ่มทะยานลมมายังที่แห่งนี้อย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบแล้ว
เด็กสาวยืนนิ่งไม่ขยับ ได้แต่เบิกตามองนักพรตหนุ่มคนนั้นเริ่มง่วนทำอาหารคืนข้ามปี มือเท้าของเขาเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว คุ้นเคยจนเหมือนมีหน้าที่ทำอาหารอยู่ในอารามเต๋าโดยเฉพาะ
เป็นคนจะปฏิบัติกับตัวเองแย่ๆ ไม่ได้
เหล้าสองกา
ทำอาหารคาวสามจาน ไก่ตุ๋นหนึ่งหม้อ หน่อไม้หน้าหนาวตุ๋นเนื้อเค็มหนึ่งหม้อ ปูนึ่งหนึ่งจานใหญ่
นักพรตหนุ่มยังหยิบเอาถาดเก้าช่องที่วาดลวดลายดอกไม้งดงามออกมาด้วย ทว่าในถาดกลับวางลิ้นจี่ไว้จนเต็ม ไม่ใช่ลิ้นจี่สดใหม่ แต่เป็นลิ้นจี่แห้ง
หน่อไม้คือของดีในบรรดาผัก ลิ้นจี่คือของดีในบรรดาผลไม้ ปูคือของดีในบรรดาอาหารทะเล เหล้าคือของดีของเครื่องดื่ม
ของดีทั้งสี่อย่างขึ้นโต๊ะครบครัน
นอกศาลเทพลำคลองเฝินเหอ ริมสระน้ำ เฉินผิงอันยังตกปลาไม่ได้สักตัว
ชิงถงมองภาพในน้ำแล้วก็เอ่ยอย่างตะลึงว่า “ถึงกับเป็นเขา?”
ตามหลักแล้วคนผู้นี้ไม่ควรปรากฏตัวที่นี่เด็ดขาด
มิน่าเล่าเจ้าลัทธิลู่ถึงได้เร่งเดินทางมาที่นี่ ที่แท้ก็มารำลึกความหลังนี่เอง
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้ารู้จักอีกแล้วหรือ?”
ชิงถงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “คนผู้นี้เป็นทั้งอาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาให้กับสุยโย่วเปียน ทั้งยังเป็นอาจารย์สอนวรยุทธให้กับนาง ข้าจะไม่รู้จักได้อย่างไร”
อีกอย่างคนผู้นี้ก็ยังเป็น ‘หลูเซิง’ ที่เคยเดินไปบนเส้นทางฝั่งซ้ายสู่หานตัน ทั้งยังถูกนักพรตฉุนหยางถือโอกาสให้คำชี้แนะด้วย
เฉินผิงอันถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าหลังจากเขาออกไปจากพื้นที่มงคลดอกบัว เลือกที่จะปิดบังชื่อแซ่อยู่ในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆานานหลายปีขนาดนั้นเพราะวางแผนจะทำเรื่องอะไร?”
ชิงถงส่ายหน้า “เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเจ้าอารามผู้เฒ่า ข้าไม่กล้าพูดมาก”
เฉินผิงอันจึงเปลี่ยนคำถามใหม่ “เกี่ยวกับการสืบทอดควันธูปของพรรคโหลวกวานลัทธิเต๋า รวมไปถึงบรรพบุรุษของแซ่ ‘เส้า’ ระดับฐานะของตระกูล การเคลื่อนย้ายและกระจายตัว ในมือของเจ้ามีบันทึกหรือหนังสือที่เกี่ยวข้องอยู่บ้างหรือไม่?”
ชิงถงกล่าว “ไม่มีจริงๆ”
ระบบสายเต๋าของอารามจินติ่งมีต้นกำเนิดมาจากพรรคโหลวกวานของลัทธิเต๋า เคยมีนักพรตที่ผูกหญ้าให้กลายเป็นหอเรือน มองดาวพิศลมปราณ
ส่วนผู้เฝ้าดูคนแรกของพรรคโหลวกวานก็แซ่เส้าพอดี
สถานะของผู้เฝ้าดูผู้นี้คล้ายคลึงกับประธานของวัดในลัทธิพุทธ ฐานะเป็นรองแค่เจ้าอาวาสเท่านั้น
แรกเริ่มชุยตงซานเดาว่าหนีหยวนจานไปหลบอยู่ในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาก็เพื่อมอบโอสถทองเม็ดนั้นให้กับสุยโย่วเปียนหนึ่งในลูกศิษย์ผู้สืบทอดในอดีต
ถ้าอย่างนั้นสี่คนในม้วนภาพของในอดีต สุยโย่วเปียนสละอนาคตบนเส้นทางวรยุทธทิ้ง พอมาถึงใต้หล้าไพศาลได้ไม่นานนางก็เริ่มดึงดันไม่ฟังเสียงใครหันไปฝึกกระบี่ ก็สามารถอธิบายได้แล้ว
แต่ความจริงได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่ได้เป็นเช่นนี้ สุยโย่วเปียนไม่ใช่คนที่เจ้าอารามผู้เฒ่าจะมอบโอสถให้
ภายหลังเจียงซ่างเจินจึงเข้าใจผิดคิดว่าหนีหยวนจานเตรียมจะนำโอสถทองเม็ดนี้ไปมอบให้กับอารามจินติ่งที่อยู่ทางเหนือซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับเจ้าอารามผู้เฒ่า ตัดสินใจว่าจะต้องไปขัดขวาง ถึงขั้นทิ้งคำพูดดุร้ายไว้ให้กับคนพายเรือเฒ่าโดยตรงว่า ขอแค่เส้ายวนหรานมาเอาโอสถที่หาดหินหวงเห้อ เขาเจียงซ่างเจินก็จะทำให้ผู้ถวายงานหนุ่มแห่งราชวงศ์ต้าเฉวียนคนนั้นตายภายใต้เปลือกตาของหนีหยวนจาน แต่หากคนพายเรือเฒ่ากล้ามอบโอสถไปให้ เขาก็จะให้เส้ายวนหรานมีชีวิตได้รับโอสถ ชดเชยด้วยความดีและบุญกุศลทุกอย่างที่ทำมา แต่กลับไม่มีชีวิตที่จะมีโอกาสเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตก่อกำเนิด
เฉินผิงอันยิ้มถาม “เกี่ยวกับเจ้าของเก่าของโอสถทองเม็ดนั้น สหายชิงถงก็น่าจะพอพูดได้กระมัง?”
ชิงถงลังเลเล็กน้อย ใคร่ครวญหาคำพูดอย่างระมัดระวัง เลือกปฏิทินเหลืองเก่าบางอย่างที่พอจะพูดได้มาเอ่ยเนิบช้าว่า “สหายท่านนี้ร่างจริงคือนกกระเรียนเซียนตัวแรกของฟ้าดิน ว่ากันว่าขาดอีกแค่ครึ่งก้าวก็จะเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ได้แล้ว ก่อนจะตาย หรือควรจะพูดให้ถูกก็คือ ก่อนจะปิดด่าน ได้ไปเยือนหาดลั่วเป่าถ้ำปี้เซียวมารอบหนึ่ง หลังจากปิดด่านล้มเหลวก็ทิ้งโอสถทองที่สมบูรณ์แบบไว้เม็ดหนึ่ง เจ้าอารามผู้เฒ่าก็เหมือนช่วยดูแลไว้ให้แทน”
เห็นแก่ ‘อาจารย์เจิ้ง’ ชิงถงถึงได้ยินดีพูดเรื่องวงในที่ต่อให้จ่ายเงินก็ยังหาซื้อมาไม่ได้พวกนี้
เฉินผิงอันแก้ไขให้ถูกต้อง “บอกว่า ‘เฝ้าดู’ น่าจะถูกต้องกว่ากระมัง”
เพราะโอสถทองที่ทิ้งไว้ตั้งแต่ยุคบรรพกาลเม็ดนี้ไม่ได้อยู่ในมือของเจ้าอารามผู้เฒ่า แต่อยู่ระหว่างหน้าผาของหาดหินหวงเฮ้อในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา อยู่ห่างจากอารามกวานเต๋าโดยมีขุนเขาสายน้ำครึ่งทวีปกั้นขวาง ถือว่าอยู่ห่างกันไกลมาก
และโอสถทองเม็ดนี้ก็สามารถมองเป็นสมบัติหนักบนภูเขาระดับอาวุธเซียนชิ้นหนึ่งได้เลยทีเดียว อีกทั้งยังถือว่าเป็นประเภทที่หาได้ยากมากในบรรดาอาวุธเซียน
ก็เหมือนชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่เฉินผิงอันได้มาจากร่องเจียวหลงในปีนั้นที่ถือว่าโดดเด่นในกลุ่มของอาวุธกึ่งเซียน และยังมีกระบี่ชือซินที่เฉินผิงอันให้สุยโย่วเปียนยืมไป ในบรรดาสมบัติอาคมก็เห็นได้ชัดว่าเป็น ‘นกกระเรียนในฝูงไก่’
รากฐานนั้นอยู่ที่คำว่า ‘อมตะ’
สามารถไม่ถูกทุบถูกหล่อหลอม แล้วยังยกระดับเลื่อนขั้นได้อีก เหมือนมนุษย์ที่ฝึกตนแล้วทยอยฝ่าทะลุขอบเขตไปทีละขั้น
คิดมาถึงตรงนี้เฉินผิงอันก็พลันเอ่ยว่า “ดูเหมือนคำว่า ‘อมตะ’ ที่อ่านว่าฉางเซิงจะต้องพูดสลับตำแหน่งเป็นคำว่า ‘เซิงฉาง’ (หรือเซิงจ่างแปลว่าเติบโต) แทนแล้ว”
เพียงแต่ว่าตอนนี้ชิงถงปวดหัวกับคำพูดคำจาใหญ่โตเลื่อนลอยพวกนี้มาก หากคิด ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะคิดอะไรไม่ออก หากไม่คิด ก็ดูเหมือนว่าจะพลาดอะไรบางอย่างไป
ระดับขั้นสูงต่ำของโอสถทองของผู้ฝึกตน ในระดับใหญ่แล้วก็จะเป็นตัวตัดสินผลสำเร็จบนมหามรรคาของเซียนดินคนหนึ่ง
มีหลักการเหตุผลพอๆ กับคำกล่าวที่ว่าสามขวบมองเห็นได้จนแก่ในหมู่ชาวบ้าน
แน่นอนว่าก็ไม่แน่เสมอไป มักจะต้องมีกรณีพิเศษอยู่เสมอ เพียงแต่ว่าการที่หลักการเหตุผลทั่วไปคือหลักการเหตุผลทั่วไปก็หนีไม่พ้นว่ามันยากที่จะมีกรณีพิเศษ
ก็เหมือนอย่างตัวของเฉินผิงอันเอง ก่อนหน้านี้ไม่เคยถูกใครเห็นดีเห็นงาม นั่นก็เพราะว่าเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตแตกสลาย ‘ถูกมองว่าตายมานานแล้ว’
ภายหลังกลับสามารถเดินมาได้จนถึงก้าวนี้
เฉินผิงอันถามว่า “เหตุใดเจียงซ่างเจินถึงได้ ‘ยืมกระบี่’ จากหนีหยวนจาน?”
ในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา เจียงซ่างเจินเคยเอ่ยประโยคหนึ่งว่า ‘วันนี้ข้าอยากจะขอยืมกระบี่จากท่าน ให้แสงสว่างเปล่งจ้าท่ามกลางฟ้าดินที่มืดมิด’ เพียงแต่หนีหยวนจานปฏิเสธเรื่องนี้ อีกทั้งสีหน้ายังไม่คล้ายจะเสแสร้งด้วย
ตามคำกล่าวของเจียงซ่างเจิน ปีนั้นการที่เขายอมเสียเวลาอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวนานหกสิบปีก็เพราะอยากจะช่วยให้ลู่ฝ่างได้เลื่อนติดอันดับสิบคนในใต้หล้าที่จะถูกประเมินทุกๆ ระยะเวลาหกสิบปี ทางที่ดีที่สุดคือชื่อติดอันดับแรกๆ จากนั้นก็สามารถให้สหายรักอย่างลู่ฝ่างได้อาวุธเหมาะมือมาชิ้นหนึ่ง
ชิงถงเงียบงัน
เรื่องนี้พูดไม่ได้จริงๆ
หากบอกความลับสวรรค์ออกไป ชิงถงก็จะถูกเจ้าอารามผู้เฒ่าพลิกบัญชีเก่า เจ้าแห่งถ้ำปี้เซียวผู้นี้ใจแคบและไม่ยอมละเว้นใคร เป็นเรื่องที่ทั่วหล้าเคยให้การยอมรับ
เฉินผิงอันนึกถึงประโยคที่เจียงซ่างเจินวิจารณ์หนีหยวนจานว่า ‘เจ้าคนนี้ก็คือกระบี่’ ก็อดหัวเราะไม่ได้ โจวอันดับหนึ่งบ้านตนช่างพูดเก่งจริงๆ …
ชิงถงเงียบไปนาน คงเพราะกังวลว่าจะถูกคนข้างกายอาฆาตแค้นจึงถามหยั่งเชิงว่า “หลังจากนี้เมื่อได้เจอหลูเซิง เจ้าลองถามเอาเองดีไหม?”
เฉินผิงอันกล่าว “มีอะไรให้เดายากกันเล่า อันที่จริงหนีหยวนจานที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวก็สามารถมองเป็นผู้ฝึกลมปราณครึ่งตัวได้แล้ว ได้บุกเบิกเส้นทางสายใหม่ คือการ ‘ใช้ร่างกายหลอมกระบี่’”
เจียงซ่างเจินเคยบอกว่าหนีหยวนจานเชี่ยวชาญความรู้ของสามลัทธิ อ่านตำรามานับไม่ถ้วน เพียงแต่ว่าถูกมหามรรคาของพื้นที่มงคลดอกบัวสยบกำราบเอาไว้ เป็นเหตุให้จิตแห่งมรรคาที่ใสกระจ่างมีแค่เค้าโครงรูปร่างเท่านั้น สุดท้ายแล้วถึงได้ถูกเจ้าอารามผู้เฒ่า ‘เชิญออก’ ไปจากพื้นที่มงคล
แล้วนับประสาอะไรกับที่ลู่เฉินเองก็เคยเปิดเผยความลับสวรรค์ พูดถึงเส้นทางของการประสบความสำเร็จของนักพรตหญิงอู๋โจว
ชิงถงนับถือยิ่งนัก ไม่เสียแรงที่เป็นเจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาว ช่างกล้าคิด ช่างคิดได้เก่งจริงๆ มิน่าเล่าถึงได้คิดไม่ตกกับปัญหาเหลวไหลที่ว่า ‘ข้าใช่มรรคาจารย์เต๋าหรือไม่’
ชิงถงถาม “ได้ยินมาว่าชาวประมงที่ชอบเรื่องนี้ยังมีข้อพิถีพิถันเรื่องที่ต้องทำจุดวางเหยื่อก่อนด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “โดยทั่วไปแล้วทำเพื่อตกปลาตัวใหญ่ แต่หากทำจุดวางเหยื่อริมน้ำที่กระแสน้ำไหลแรงก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แค่หาก้อนหินมากองทับกันก็สามารถดักปลาได้แล้ว”
ชิงถงถามหยั่งเชิง “คำกล่าวนี้มีความหมายลึกซึ้งหรือไม่?”
เฉินผิงอันกล่าว “สำหรับเจ้าแล้วไม่มีความหมายลึกซึ้ง แต่หากเปลี่ยนมาเป็นลู่เฉิน หนีหยวนจานที่ได้ยิน คงจะต้องรู้สึกเป็นแน่”
ชิงถงไม่ได้ตอบโต้อะไร
เห็นเพียงว่าเฉินผิงอันยกคันเบ็ดขึ้นแกว่งเหยื่อล่ออีกครั้ง จากนั้นก็จุ่มเบ็ดกลับลงไปในน้ำ
ส่วนในลานบ้านของที่ตั้งศาลหลวี่กงเก่า พริบตานั้นไอหมอกไอน้ำพลันแผ่อบอวล ผีสาวสามตนตกอยู่ท่ามกลางหมอกขาวโพลน กวาดตามองไปรอบด้านก็มองไม่เห็นแม้แต่นิ้วมือทั้งห้าของตน เงยหน้าขึ้นมา ทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงยามสายัณห์แต่กลับมีดวงจันทร์ลอยขึ้นฟ้า ข้างหูได้ยินเสียงคนบอกเวลาตีฆ้องและเสียงที่คล้ายทหารลาดตระเวนยามค่ำคืนดังแว่วมา นาทีถัดมาการมองเห็นเบื้องหน้าของพวกนางก็พลันเปิดกว้าง ปรากฎน้ำลึกสะพานยาวแห่งหนึ่ง ตรงสะพานมีจวนประตูสูงใหญ่สีชาด ตำหนักโอฬาร สองฝั่งคือระเบียงยาว สิงโตหินนอกประตูทำท่าคำรามเดือดดาล น่าหวาดกลัวอย่างมาก และยิ่งมีแม่ทัพบู๊สวมเสื้อเกราะกลุ่มหนึ่งยืนเรียงแถวตามระเบียง ปลายง้าววาววับเฉียบคม และมีคนสองคนที่สวมชุดขุนนางสีม่วง คนหนึ่งเรือนกายสูงเพรียวแต่กลับผอมเหมือนท่อนฟืน อีกคนหนึ่งอ้วนขาวมีหนวดเล็กน้อย ตรงเอวรัดเข็มขัดหยก ทั้งสองเดินออกมาจากตำหนักใหญ่ด้วยกัน ก้าวอาดๆ เดินลงบันไดมา
ห่างไปไกลทางด้านหลังของผีสาวทั้งสามคือผู้ฝึกตนอิสระกลุ่มนั้น คนหนึ่งในนั้นคือผู้เฒ่าที่สวมผ้าแพร เขากุมหมัดยิ้มเอ่ยกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์สองท่านของศาลเถื่อนอยู่ไกลๆ “รบกวนท่านเซียนใหญ่ทั้งสองให้ลงมือแล้ว”