กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 938.3 ข้าคือเจ้าแห่งวิถีบูรพา (เจ็ด)
ราชสำนักต้าหลีเคยเพิกถอนศาลเถื่อนไปนับไม่ถ้วน บางส่วนที่ยอมอยู่ในการควบคุม อีกทั้งยังมีประวัติความเป็นมาที่บริสุทธิ์ ส่วนใหญ่ต้าหลีมักจะมีการจัดการอย่างอื่นให้ แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีบางส่วนที่ไม่ยอมถูกพันธนาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ประวัติความเป็นมาไม่เที่ยงตรง ไม่อาจรับการตรวจสอบสืบค้นจากกรมพิธีการและกรมอาญาของต้าหลีได้ ก็ได้แต่สละทิ้งศาลและเทวรูปไป หาช่องทางอื่นในการเอาชีวิตอยู่รอดไปวันๆ แม้ว่าจะไม่มีกิจการพื้นฐานแล้ว ไม่เพียงแต่ร่างทองที่ส่ายโงนเงน ยังต่ำเตี้ยกว่าคนอื่นระดับใหญ่ แต่ถึงอย่างไรก็ดีกว่าถูกขุนนางของพิธีการและอาญาสองกรมของต้าหลีและพวกผู้ฝึกตนติดตามกองทัพพลิกเปิดบัญชีเก่า แล้วถูกทุบทำลายร่างทองคาที่ อีกทั้งต่อให้กลายเป็นผีเร่ร่อน แต่ขอแค่สามารถสร้างศาลขึ้นมาได้ใหม่ในป่าเปลี่ยวห่างไกลของแคว้นเล็กใต้อาณัติบางแห่ง ได้รับควันธูป ก็จะประกอบร่างทองขึ้นมาได้อีกครั้ง ทุกวันนี้ราชสำนักต้าหลีเหลือแผ่นดินแค่ครึ่งเดียวจากตอนที่เจริญรุ่งเรืองขีดสุดแล้ว มีลำน้ำใหญ่เป็นเขตแดน ทางทิศใต้ทั้งแถบของแจกันสมบัติทวีปก็พากันกอบกู้แคว้น สถานที่อย่างแคว้นเมิ่งเหลียง แคว้นชิงหลวน ไม่กล้าอยู่นาน แต่ก็ยังมีที่อื่นให้ไปได้ สามารถใช้เป็นที่พักพิงได้
ส่วนผู้ฝึกตนอิสระที่อาศัยการฆ่าคนชิงทรัพย์มาตั้งตัวก็มีด่านประตูผีอยู่ด่านหนึ่ง นั่นก็คือการรับลูกศิษย์ แน่นอนว่าเป็นลูกศิษย์ที่ได้เข้าสำนัก สอนลูกศิษย์จนเก่งกาจส่วนอาจารย์หิวตาย? ถึงขั้นที่ว่าอาจเป็นลูกศิษย์ที่ฆ่าอาจารย์ ก็ได้แต่ไม่ถ่ายทอดวิชาอย่างหมดหน้าตัก ต้องเก็บท่าไม้ตายไว้เป็นส่วนตัว จะไม่ถ่ายทอดวิชาก้นกรุให้เด็ดขาด ไม่ให้ลูกศิษย์ได้รับวิชาที่แท้จริงทั้งหมดไป อีกอย่างก็คือจะต้องให้ลูกศิษย์เอ่ยคำสาบานอย่างรุนแรง แล้วใช้เวทลับควบคุมเอาไว้ ไม่อย่างนั้นหากข้างกายไม่มีผู้ช่วยเสียเลยก็ง่ายที่จะโดดเดี่ยวกำลังน้อย ยากที่จะหาเงินก้อนใหญ่ได้
นี่ก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมผู้ฝึกตนทำเนียบกลายมาเป็นผู้ฝึกตนอิสระได้ง่ายมาก แต่ผู้ฝึกตนอิสระกลับยากที่จะได้เป็นเซียนซือทำเนียบ
ผู้เฒ่าที่สวมชุดผ้าแพรขอบเขตไม่สูง เป็นแค่ผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทร ทว่าความคิดจิตใจกลับเฉียบไว เพียงไม่นานก็มาสมคบคิดกับ ‘เซียนใหญ่’ แห่งศาลเถื่อนทั้งสองท่านที่ร่างจริงคนหนึ่งคืองูคนหนึ่งคือหมาไน
ทั้งสองฝ่ายเรียกได้ว่าแค่เจอหน้าก็เข้าขากันได้ดี
เซียนใหญ่จากศาลเถื่อนทั้งสองท่านต้องอาศัยผู้ฝึกลมปราณคนนี้มาช่วยข้ามภูเขาลุยน้ำ ตามหาสถานที่ประกอบพิธีกรรมแห่งใหม่ เพื่อที่จะได้หลีกเลี่ยงพวกศาลบุ๋นบู๊และศาลเทพอภิบาลเมืองที่มีตลอดทาง รวมไปถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากราชสำนัก เพื่อเป็นค่าตอบแทน เซียนใหญ่ทั้งสองจะช่วยจัดการปัญหาเล็กๆ บางอย่างให้กับผู้ฝึกตนอิสระกลุ่มนี้ ก็เหมือนอย่างสถานการณ์ในวันนี้ พวกเขายินดีที่จะลงมืออย่างยิ่ง จับผีแล้วค่อยกินผี เซียนใหญ่ทั้งสองท่านสามารถเอามาช่วยเพิ่มตบะและหล่อหลอมร่างทองได้
เซียนใหญ่ร่างผอมสูงเดินขึ้นสะพานยาวมา พอหยุดยืนนิ่งก็เอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “ใครที่กล้าไม่ก้มหัวศิโรราบ จับเข้าไปในนครเฟิงตูให้หมด”
เซียนใหญ่ร่างอ้วนขาวที่อยู่ด้านข้างเสียงดังราวอสนีบาต ตวาดอย่างเดือดดาลว่า “ผีตัวน้อยๆ ทำเรื่องชั่วร้ายไว้มากมาย ยังไม่รีบยอมศิโรราบ คุกเข่าโขกหัวอีกหรือ?!”
ผีตนหนึ่งที่แขวนคอฆ่าตัวตาย กับผีอีกตนหนึ่งที่กระโดดน้ำฆ่าตัวตายต่างก็ตกใจจนหน้าเผือดสีแล้ว ส่วนผีสาวที่ปรากฎตัวเป็นคนสุดท้ายมีตบะสูงที่สุด จิตใจก็หนักแน่นมากกว่า ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งศาลเถื่อนก็ยังหัวเราะหยันเอ่ยว่า “พวกเจ้าที่มีชาติกำเนิดเช่นนี้ยิ่งมิอาจพบแสงสว่างได้มากกว่า ไม่ว่าจะถูกเทพอภิบาลเมืองในอำเภอรู้เข้าหรือถูกเทพลำคลองเฝินเหอพบเจอ พวกเจ้าก็อย่าคิดจะเดินออกไปจากที่นี่ได้เลย”
เพียงแต่ในใจนางก็อดรู้สึกเศร้าตรมขมขื่นไม่ได้ หากว่าแคว้นเมิ่งเหลียงแห่งนี้ยังเป็นของราชสำนักต้าหลี สิ่งศักดิ์สิทธิ์จากศาลเถื่อนที่ได้แต่หนีหัวซุกหัวซุนพวกนี้หรือจะกล้าเผยตัว?
ผู้เฒ่าชุดแพรเอาสองมือไพล่หลัง สีหน้าท่าทางมั่นใจ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ดังนั้นถึงได้จัดวางค่ายกลไว้ที่หน้าประตูเพื่อปิดบังหูตาคนอย่างไรล่ะ พวกเจ้าประมาทไปหน่อย ดูแคลนขอบเขตชมมหาสมุทรอย่างข้า ก่อนหน้านี้ไม่ขัดขวาง ตอนนี้ก็ดีแล้ว ส่วนเจ้าของตัวจริงของเรือนหลังนี้ พวกเราสืบข่าวมาแล้ว มากสุดก็เป็นแค่ขอบเขตประตูมังกร คือภูตดอกไม้ที่มีชาติกำเนิดจากดอกโบตั๋น ใช่ไหมล่ะ? เพียงแต่ว่านางจะกล้ามาช่วยพวกเจ้าหรือ?”
ทว่าเวลานี้เองกลับมีผู้เฒ่าที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งเดินเข้ามาในเรือนโบราณที่ตั้งเก่าของศาลหลวี่กงแห่งนี้ เขาขมวดคิ้วน้อยๆ ยกมือสลายหมอกควันพวกนั้นทิ้งไป
ส่วนพวกผีสาวทั้งสาม ผู้ฝึกตนอิสระหนึ่งกลุ่ม และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ศาลเถื่อนสองคน ผู้เฒ่าทำเป็นว่ามองไม่เห็น เพียงเดินเที่ยวที่แห่งนี้ของตัวเองไป
เทวรูปหลวี่กงและเทวรูปสีสันทั้งหลายที่ตั้งบูชาไว้ด้านในตำหนักหลักของศาลหลวี่เซียนในช่วงแรกเริ่มสุด ล้วนไม่เหลืออยู่แล้ว
ได้แต่อาศัยการสร้างหลังคาแบบเซียซานปิดทับด้วยแก้วใสด้านบนของตำหนักหลักทำให้พอจะมองออกว่ารูปแบบในอดีตไม่ธรรมดา เดิมทีในตำหนักใหญ่แขวนกรอบป้ายลายพระหัตถ์ของฮ่องเต้คำว่า ‘ตำหนักเฟิงเหลย’ เอาไว้ เพียงแต่แขวนได้ไม่กี่ปีก็เปลี่ยนราชวงศ์ จึงต้องปลดลงไป กว่าจะได้เลื่อนจากศาลมาเป็นตำหนักได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่เพียงแต่ต้องกลับคืนสู่สภาพเดิม สุดท้ายแม้แต่ศาลในช่วงแรกเริ่มสุดก็ยังรักษาไว้ไม่ได้ เหลือเพียงศาลาปากว้าหนึ่งหลังและศิลาอักษรเมิ่งชิ้นหนึ่งนอกศาลาที่พอจะคงรูปลักษณ์เดิมเอาไว้ได้ คล้ายมีชีวิตอยู่พึ่งพากันและกัน
ศิลาอักษรเมิ่งชิ้นนั้น อันที่จริงแฝงความลี้ลับเอาไว้ ด้านในลายฉลุแกะสลักเป็นบทกวีที่คล้ายคลึงกับคาถาบทหนึ่ง ทว่าต่อให้คนมีใจสามารถสังเกตเห็น ก็ยังยากที่จะเข้าใจได้ในการมองปราดเดียว และยิ่งมองก็จะยิ่งสับสนมากกว่าเดิม
พูดถึงแค่บทเปิดประโยคที่บอกว่า ‘ตายไปเกิดมามีแค่หนึ่งร่าง จะรู้อย่างไรใครเท็จกลับใครจริง’ จะอธิบายว่าอย่างไร?
สุดท้ายผู้เฒ่าก็กลับไปที่ตำหนักหลักของศาลหลวี่กงเก่า คีบธูปสามดอกออกมาจากชายแขนเสื้อ
ในมือถือธูป กราบสามครั้ง คารวะให้แก่นักพรตฉุนหยางที่ช่วยชี้แนะตน มีพระคุณเป็นผู้ถ่ายทอดวิชาให้ตนในอดีตผู้นั้น
คนสองกลุ่มที่เดิมทีอยู่ในบรรยากาศตึงเครียดการต่อสู้พร้อมปะทุได้ทุกเมื่อ ไม่มีใครกล้าเปิดปากถาม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการลงมือเลย
ตาแก่คนหนึ่งที่มองข้ามค่ายกลนอกประตูและเวทอำพรางตาหมอกขาวเหมือนพวกมันไม่มีอยู่ ใครจะกล้าหาเรื่องซวยใส่ตัว?
ทางฝั่งของห้องครัว ลู่เฉินส่ายหน้าเบาๆ
แม่น้ำไหลสู่บูรพา ตะวันตกลงที่ประจิม นักเดินทางมาจากทักษิณ
บุปผาในอารามเต๋ายังคงผลิบาน เจินเหรินสอบถาม รู้หรือไม่ว่าบุปผาผลิบานเพื่อใคร?
เด็กสาวที่ยืนอยู่หน้าประตูยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ทั้งไม่ขอร้องแล้วก็ไม่โวยวาย
เมื่อครู่นี้โต๊ะหนึ่งตัวและม้านั่งยาวสองตัว เหมือนกับ…ไม่ใช่เหมือนกับ แต่เป็นเดินโงนเงนจากจุดอื่นมายังห้องครัวแห่งนี้ราวกับมีขาเป็นของตัวเอง
ลู่เฉินนั่งลงแล้วก็รินเหล้าให้ตัวเองหนึ่งชาม ตักข้าวถ้วยใหญ่ จากนั้นคีบหน่อไม้มาหนึ่งคำ เอ่ยชื่นชมว่า “รสชาติดีเยี่ยม สุดยอดไปเลยจริงๆ”
ผู้เฒ่าชุดลัทธิขงจื๊อคร้านจะเหลือบมองคนสองกลุ่มนั้นสักครั้ง เพียงพูดเหมือนออกคำสั่งว่า “ทุกคนยืนอยู่ที่เดิม รอฟังคำสั่ง”
นักพรตฉุนหยางหลวี่เหยียนคือผู้ถ่ายทอดมรรคาของเขา ทั้งสองฝ่ายไม่มีสถานะเป็นอาจารย์และศิษย์กัน แต่บัณฑิตเฒ่าเห็นหลวี่เหยียนเป็นอาจารย์ผู้มีพระคุณมาโดยตลอด ถ้าอย่างนั้นศาลหลวี่กงเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้าแห่งนี้ของนักพรตฉุนหยาง ในบางความหมายก็คือสถานประกอบพิธีกรรมของหลวี่เหยียนอาจารย์ผู้มีพระคุณแล้ว
หลังจากนั้นเขาก็ไปที่หน้าประตูห้องลับที่อยู่ใต้ดิน มองยันต์ที่ปิดทับไว้หนาแน่นหลายแผ่น
บัณฑิตเฒ่าหลุดหัวเราะพรืด ยันต์ผีวาดหรือ?
เรือนกายของเขาสลายหายไป พอมารวมตัวเป็นรูปร่างอีกครั้งโดยที่ไม่ต้องทำลายตราผนึกของยันต์ก็มาโผล่ในห้องลับได้แล้ว
ผีที่ถูกยันต์ลดทอนตบะอยู่ตลอดตนนั้นเงยหน้าขึ้นช้าๆ ยิ้มเหี้ยมเอ่ยว่า “รนหาที่ตายงั้นรึ?”
บัณฑิตเฒ่าถาม “รู้หรือไม่ว่าคำว่า ‘คุณธรรมไม่สมตำแหน่ง’ เขียนอย่างไร? ผีอย่างเจ้าไม่หลบซ่อนตัวให้ดีก็แล้วไปเถอะ ยังถึงกับกล้าละโมบอยากยึดครองศาลหลวี่กงด้วยหรือ?”
ไม่รออีกฝ่ายตอบคำถาม บัณฑิตเฒ่าก็โบกชายแขนเสื้อซัดให้วิญญาณของอีกฝ่ายแหลกสลาย
ทางฝั่งของลานกว้าง ภาพมายายังคงอยู่ ยังคงเป็นทัศนียภาพในศาลที่มีตำหนักใหญ่ มีสะพานยาว มีทหารสวมเสื้อเกราะยืนเรียงรายอยู่ตรงระเบียง เซียนใหญ่ร่างอ้วนที่สวมชุดขุนนางสีม่วงเอ่ยเหมือนบิดาตายว่า “หรือว่าจะเป็นวิญญูชนท่านหนึ่งของสำนักศึกษากวานหู? อนาถแล้ว อนาถจริงๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราสองพี่น้องก็ไม่เท่ากับวิ่งเข้าชนปลายดาบหรอกหรือ”
เซียนใหญ่ร่างผอมสูงมองผู้เฒ่าสวมชุดแพร ใช้เสียงในใจเอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “ล้วนเป็นเรื่องดีที่เจ้าหามาทั้งนั้น!”
ตกอยู่ในกำมือของวิญญูชนลัทธิขงจื๊อ ก็แค่ถูกลงโทษตามกฎของสำนักศึกษา ควรทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ถึงอย่างไรก็ดีกว่าถูกเซียนใหญ่ของศาลเถื่อนสองตนนั้นกลืนลงท้อง นั่นต่างหากที่เรียกว่าไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดอีกเลย
บัณฑิตเฒ่ามาที่ห้องครัว ไม่แม้แต่จะชายตามองเด็กสาวที่คล้ายเป็นเทพทวารบาลอยู่หน้าประตู เพียงแค่หยุดอยู่หน้าประตูเท่านั้น
ลู่เฉินรีบวางตะเกียบลง หันหน้ามากุมหมัดเอ่ย “พี่ซีโจว จากลากันครั้งหนึ่งนานหลายปี มา พวกเราสองพี่น้องมานั่งลงดื่มเหล้าพูดคุยกันช้าๆ เถอะ”
สองชาติของในใต้หล้าไพศาลและพื้นที่มงคลดอกบัว บัณฑิตที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายตำราตรงหน้าผู้นี้ล้วนแซ่หลู แล้วก็มีนามว่าซีโจวเหมือนกัน
เรืองามบรรทุกความเศร้าตรมจากไป เป่าความฝันพัดโชยไปถึงดินแดนประจิม (ซีโจว)
นอกศาล ชิงถงรู้สึกเพียงว่าเฉินผิงอันนั่งตกปลาอยู่ตรงนี้ ต่อให้ไม่พูดถึงเรื่อง ‘เฝ้าตอรอกระต่าย’ รอคอยลู่เฉิน ก็ดูเหมือนว่าเขาสามารถจะนั่งอยู่อย่างนี้ไปได้จนชั่วฟ้าดินสลาย
ชิงถงจึงอดไม่ไหวถามว่า “ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนหรือผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ตกปลาริมน้ำเอาอย่างมนุษย์ธรรมดา เรื่องแบบนี้มีความหมายตรงไหน?”
ประเด็นสำคัญคือจนถึงตอนนี้เฉินผิงอันก็ยังตกปลาไม่ได้สักตัวเลยนะ
“สำหรับคนเฝ้าศาลของศาลเทพลำคลองเฝินเหอผู้นั้นแล้ว สระน้ำแห่งนี้ก็เป็นแค่สระน้ำ”
เฉินผิงอันมือหนึ่งถือคันเบ็ด อีกมือหนึ่งชี้ไปที่สระน้ำ เอ่ยว่า “แต่สำหรับเจ้าอารามผู้เฒ่าและเจ้าแล้ว สระน้ำแห่งนี้คืออะไร? ก็คือใบถงทวีป ดังนั้นพวกเจ้าไม่ได้สนใจว่าปลาในนี้ตัวใหญ่หรือตัวเล็ก เป็นหรือตาย ปลาที่แหวกว่ายอยู่ในสระน้ำ ถึงอย่างไรก็หนีไปไหนไม่พ้นอยู่แล้ว ต่อให้มีผู้ฝึกตนใหญ่ที่เป็นพวกปลากระโดดข้ามประตูมังกร ก็เหมือนใบไม้ร่วงของต้นไหวที่อยู่หน้าประตูศาล เชื่อว่าจะต้องมีวันที่ใบไม้ร่วงได้กลับคืนสู่ราก”
ชิงถงเริ่มปวดหัวอีกครั้ง รีบเปลี่ยนบทสนทนาทันที สายตาฉายแววไม่พอใจ “สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของศาลเถื่อนที่หนีหัวซุกหัวซุนไปทั่วพวกนี้จะเป็นใบไม้ที่กลับคืนสู่รากได้อย่างไร?”
เฉินผิงอันกล่าว “ถ้าอย่างนั้นหากเจ้ามองใต้หล้าทั้งแห่งคือสระน้ำแห่งหนึ่งล่ะ?”
ชิงถงไร้คำพูดตอบโต้
เฉินผิงอันกลับยิ้มเอ่ย “ปัญหาบางอย่างไม่ต้องคิดมาก แค่ลองลิ้มรสเล็กน้อยก็พอแล้ว ก็เหมือนเรื่องของ ‘อากาศหนาวเดือนสิบ’ ที่เป็นข้อต้องห้ามของคนแต่งกวีในยุคโบราณนั่นแหละ”
ชิงถงกลับเข้าใจเรื่อง ‘อากาศหนาวเดือนสิบ’ ที่เป็นสิ่งที่นักประพันธ์หลีกเลี่ยง ทันใดนั้นพลันรู้สึกชอบใจ ในที่สุดก็ไม่ต้องมึนงงอีกต่อไปแล้ว ไม่ง่ายเลยนะ
เฉินผิงอันถาม “เมื่อหมื่นปีก่อน หากไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินคราวนั้น สิ่งที่เจ้าแสวงหาในท้ายที่สุดจะเป็นอะไร?”
ขิงถงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ปลดหมวกคลุมหน้าลง เอามาโบกเบาๆ แทนพัด เอ่ยว่า “ก็ยังไม่กล้าคาดหวังว่าจะได้เดินขึ้นสู่หอบินทะยานอยู่ดี กลัวตาย เซียนดินที่มีคุณสมบัติโดดเด่นมากมายขนาดนั้นต่างก็แหลกสลายกลายเป็นผุยผงระหว่างทาง นึกจะตายก็ตายไปทั้งอย่างนั้น คนที่ชาติกำเนิดไม่ดีอย่างข้า กว่าสติปัญญาจะเปิดออกได้หลอมเรือนกายล้วนไม่ง่าย การฝึกตนยากลำบากถึงเพียงใด ทุกหนทุกแห่งล้วนมีแต่ด่านที่ต้องข้ามผ่าน บางทีอาจเป็นเรื่องของความคิดครั้งสองครั้งของผู้ฝึกตนคนอื่น แต่สำหรับข้ากลับต้องครุ่นคิดลึกซึ้งนานหลายร้อยปี แน่นอนว่าต้องทะนุถนอมโชควาสนาที่ได้มาอย่างไม่ง่ายมากกว่าพวกเสี่ยวโม่ หย่างจื่อ ไม่กล้าสร้างวีรกรรมอะไรสักอย่าง ไม่กล้าใช้อารมณ์ทำเรื่องอะไรเลยแม้แต่น้อย”
“ในช่วงเวลาอันยาวนานที่ฟ้าดินมีความแตกต่างนั้น ดูเหมือนว่าเริ่มมีคำกล่าวอย่างหนึ่งแพร่มาจาก ‘นักพรต’ คนแรก เมื่อปัญญาชนชั้นต้นได้ยินมรรคา ก็จะปฏิบัติตามอย่างกระตือรือร้น ที่พูดนี้ก็คือหมายถึง ‘สิบผู้กล้าในใต้หล้า’ รวมไปถึง ‘นักพรต’ ที่อยู่ห่างจากด้านหลังพวกเขาไปไม่ไกล ยกตัวอย่างเช่นบรรพบุรุษของภูเขาทัวเยว่ เจ้าแห่งถ้ำปี้เซียว ป๋ายจิ่งผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจ เสี่ยวโม่ เจ้าของคนเก่าของโอสถทองเม็ดนั้น เป็นต้น ปัญญาชนชั้นกลางได้บรรลุมรรคา เหมือนเลื่อนขั้นเป็นขุนนางสวรรค์ กลายเป็นเซียน นี่คือพูดถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใหม่เอี่ยมแห่งสรวงสวรรค์บรรพกาลที่ผ่านการเดินผ่านหอบินทะยานสองแห่งที่แบ่งแยกเซียนดินชายกับเซียนดินหญิง ปัญญาชนเบื้องล่างบรรลุมรรคา กลายเป็นเทพเซียนพสุธา อาศัยอยู่บนพื้นดินยาวนาน ก็คือหมายถึงผู้ฝึกลมปราณที่โง่เขลาอย่างพวกเรา คือสิ่งที่แสวงหาในท้ายที่สุดแล้ว”
ผู้ฝึกลมปราณยุคบรรพกาลฝึกตนบรรลุมรรคา ท่ามกลางปรากฎการณ์อันยิ่งใหญ่แห่งมหามรรคาที่ผู้คนมากมายล่องลอย ‘บินทะยาน’ การแบ่งระดับขั้นของโอสถทองผู้ฝึกตนมีแบ่งสูงต่ำ
แรกเริ่มสุดในบรรดาคนที่บินทะยานตอนกลางวันก็มีการแบ่งออกเป็นหลายสิบชนิดได้แก่ทะยานแสงเงินแสงทอง ขี่มังกร ขี่นกหลวน ขี่กระเรียนและจำแลงร่างกลายเป็นสายรุ้ง ภายหลังก็มีผู้บินทะยานดึงเรือน กับผู้บินทะยานผสานเรือน หลังจากนั้นไปอีกก็มีการลอกคราบบินทะยานมากมายของพวกเซียนผีที่มักจะบินทะยานในยามค่ำคืน
ชิงถงพูดจบแล้วก็สังเกตเห็นว่าเฉินผิงอันคล้ายจะทำเป็นไม่ได้ยิน สภาพจิตใจยังคงสงบนิ่งเหมือนบ่อน้ำเก่าๆ ชิงถงจึงรู้สึกว่าน่าเบื่อ ไม่มองภาพนั้นอีก แต่เหลือบตามองข้องปลาที่ว่างเปล่าบนฝั่ง ถามว่า “ตกปลาได้ยากขนาดนี้เลยหรือ? เป็นเพราะเหยื่อตกปลาไม่ถูกต้องหรือว่าฝีมือการตกปลาของเจ้าไม่ได้เรื่องกันแน่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มรับ “ไม่เชี่ยวชาญการตกปลาเท่าไรจริงๆ ชั่วชีวิตนี้เรื่องที่ข้าค่อนข้างถนัด นอกจากใกล้จะหิวตายแล้ว มิเช่นนั้นก็จะไม่ติดเบ็ดไม่งับตะขอเด็ดขาด”
ตัวอยู่ในแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายหนึ่ง ยากที่จะไม่ถูกคนบนฝั่งเห็นเป็นปลาที่อยากจะตกเอาไป
ชิงถงถามอีกว่า “เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าเจ้าลัทธิลู่จะต้องไปเยือนซากปรักศาลหลวี่กงแห่งนั้นแน่นอน?”
เฉินผิงอันย้อนถามด้วยสีหน้าเฉยเมย “ซากปรักศาลหลวี่กง? เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
ชิงถงอึ้งตะลึง คิดทบทวนซ้ำไปซ้ำมา คิดจนหัวแทบแตกก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดเฉินผิงอันถึงได้ถามเช่นนี้
ศาลเทพลำคลองเฝินเหอที่อยู่ด้านหลังพวกเขา ในคลังยังซ่อนกรอบป้ายคำว่าตำหนักเฟิงเหลยที่ฮ่องเต้พระราชทานให้เอาไว้ อีกทั้งศาลาปากว้าและศิลาอักษรเมิ่งในเรือนผีที่อยู่ในเมือง รวมไปถึงเด็กสาวที่เป็นภูตโบตั๋นพันปี กับ ‘คนรักเก่า’ คนนั้นของนาง นักพรตเฉียนถงเสวียนที่มาจากสายนอกของสำนักโองการเทพ ฉายาว่า ‘หลงเหว่ย’ และยังมีผีโอสถทองที่ถูกยันต์ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของสำนักโองการเทพกำราบไว้ในห้องลับ…ก็ล้วนพิสูจน์ให้เห็นว่าเรือนหลังนั้นก็คือซากปรักศาลหลวี่กงไม่ใช่หรือ?
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ทั้งเป็นการเฝ้าตอรอกระต่าย ยิ่งเป็นการจับตะพาบในไหด้วย”
——