กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 939.1 ข้าคือเจ้าแห่งวิถีบูรพา (แปด)
อาจารย์ผู้เฒ่ายืนอยู่หน้าประตู ประสานมือคารวะ “ผู้เยาว์หลูเซิงคารวะเจ้าลัทธิลู่”
ทั้งสองฝ่ายกลับมาพบเจอกันอีกครั้งหลังจากลากันไปนาน คนหนึ่งเรียกพี่ซีโจว อีกคนหนึ่งเรียกตัวเองว่าผู้เยาว์
เพราะบัณฑิตไม่ได้ใช้เสียงในใจพูดคุยกับนักพรต เป็นเหตุให้เด็กสาวได้ยินอย่างชัดเจน พริบตานั้นหัวคิ้วก็ขมวดเข้าหากัน เจ้าลัทธิลู่?
เจ้าลัทธิ
นักพรตหนุ่มที่บอกว่าตัวเองมี ‘วิชาเซียนติดกาย’ ผู้นี้ หรือว่าแท้จริงแล้วก็คือคนในยุทธภพ? หาไม่แล้วพรรคบนภูเขา ใครจะกล้าเรียกตัวเองว่าเจ้าลัทธิ?
เพียงแต่ว่าหากเขาผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่ง ยันต์ที่อยู่บนไหล่นางแผ่นนั้นก็หนักนับหมื่นชั่ง กดทับจนนางมิอาจกระดุกกระดิกได้ คงไม่ใช่ว่ามีฐานกำลังทรัพย์หนาลึก มือเติบใจป้ำ จ่ายเงินก้อนใหญ่ซื้อมาจากเซียนซือบนภูเขาหรอกกระมัง?
ลู่เฉินขยับเส้นสายตามองไปยังเด็กสาว พยักหน้าเอ่ยว่า “แม่นางมีสายตาที่ดี เดาไม่ผิดหรอก นอกจากจะเป็นวิชาเซียนปลายแถวสองสามบทแล้ว อันที่จริงเสี่ยวเต้า (คำเรียกตัวเองอย่างถ่อมตัวของนักพรตคล้ายคำว่าผินเต้า) ก็ยังเป็นผู้ฝึกยุทธที่ไม่เปิดเผยตัวตนคนหนึ่งด้วย คำกล่าวที่ว่า ‘ปรมาจารย์ใหญ่’ ก็คือคำที่สร้างขึ้นโดยวัดมาจากตัวเสี่ยวเต้าเลยทีเดียว”
บัณฑิตเฒ่าได้ยินแล้วก็ยิ้มอย่างรู้ทัน เจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงท่านนี้เคยเขียนบท ‘ปรมาจารย์ใหญ่’ จริง เพียงแต่ว่าเวลาผันผ่าน สุดท้ายก็กลายมาเป็นคำเรียกขานอย่างให้ความเคารพต่อผู้ฝึกยุทธเต็มตัวไปแล้ว
บัณฑิตเฒ่าเดินเข้าไปในห้องครัว นั่งลงตรงข้ามกับลู่เฉิน บนโต๊ะมีตะเกียบและชามอีกชุดหนึ่งเพิ่มมาไว้นานแล้ว แม้แต่กาเหล้าก็ยังมีอยู่สองกา เห็นได้ชัดว่าเอาไว้รับรองคนรู้จักเก่าที่ได้มาพบเจอกันอีกครั้งในต่างบ้านต่างเมืองผู้นี้
ลู่เฉินถามอย่างใคร่รู้ “อดีตเจ้าสำนักเจียงตัดใจปล่อยให้เจ้าออกมาจากพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาได้อย่างไร?”
หลูเซิงรินเหล้าให้ตัวเองหนึ่งชาม ยิ้มเอ่ยว่า “เคยมีข้อตกลงกับเจียงซ่างเจิน หลังจากที่ข้าสะสางความปรารถนาเดิมเรื่องหนึ่งสำเร็จแล้วก็ยังต้องกลับไปเป็นคนพายเรือต่ออีกครั้ง”
ในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาแห่งนั้นใช้นามแฝงว่าหนีหยวนจาน ถ่อเรือประทังชีพ
ในประวัติศาสตร์ หาดหินหวงเฮ้อหนึ่งในสิบแปดทัศนียภาพของพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา เคยมีเซียนกระบี่บรรพกาลไม่ทราบนามคนหนึ่งมาร่ำสุราอยู่ในศาลา
สุดท้ายขณะที่กำลังเมามายก็ส่งเสียงเรอดังลั่น เม็ดกระบี่เม็ดหนึ่งถูกพ่นออกจากปาก แสงกระบี่เหมือนสายรุ้งที่พุ่งไปฟันยุงเหนือแม่น้ำ
ตอนนั้นชุยตงซานกับคนพายเรือเฒ่าอยู่บนเรือลำเล็กข้ามแม่น้ำด้วยกัน บทสนทนาของทั้งสองฝ่ายเหมือนเป็นการเล่นทายปริศนาธรรมกันไม่หยุดหย่อน ล้วนเป็นการเปิดโปง ‘สถานะ’ ส่วนหนึ่งของอีกฝ่ายทั้งสิ้น
คนหนึ่งคือ ‘วัวดำไปเยี่ยมเยือนตำหนักหยกเพียงลำพัง แต่กลับทิ้งกระเรียนเหลือง (หวงเฮ้อ) ให้เฝ้าโอสถทอง’ เนื้อหนังเคยเป็นคราบร่างนกกระเรียนเหลืองแห่งยุคบรรพกาลที่ ‘ในอดีตชื่อเสียงสูงเหนือดวงดาว’
ส่วนอีกคนหนึ่งคือมังกรเฒ่าแคว้นสู่โบราณที่ ‘ราชันแห่งดาวตักเหล้าเลิศรส โน้มน้าวให้เหล่ามังกรดื่มกันให้เต็มคราบ’ เจ้าของเนื้อหนังมังสาเคยเดินทางไกลท่องไปในทางช้างเผือก ถูกเซียนจวินแห่งดาวเป่ยโต้วโน้มน้าวให้ดื่มเหล้า
คนพายเรือเฒ่าที่ใช้นามแฝงว่าหนีหยวนจาน ปีนั้นหลังจากเมามายก็ได้สังหารปีศาจ ร่างจริงคือเผ่าปีศาจขอบเขตหยกดิบที่แม้แต่เจียงซ่างเจินตอนที่เป็นขอบเขตหยกดิบก็ยังทำอะไรไม่ได้ กินปราณวิญญาณฟ้าดินเป็นอาหาร ไปมาไร้ร่องรอย ยากที่จะจับตัวได้ คนพายเรือเฒ่ากลับสามารถอาศัยเวทกระบี่ที่ลี้ลับและวิชาอภินิหารเฉพาะสยบกำราบปีศาจตนนั้นเอาไว้ได้ สุดท้ายใช้กระบี่สังหารมันทิ้ง เท่ากับช่วยกำจัดภัยร้ายให้กับสกุลเจียงแห่งถ้ำเมฆาไปได้
ลู่เฉินถาม “อาจารย์ซีโจวไม่เคยได้เจอกับแม่นางสุยที่เดินออกมาจากภาพวาดเลยหรือ? หากผินเต้าจำไม่ผิด ก่อนที่แม่นางสุยจะกลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักเจินจิ้งเคยไปฝึกตนอยู่ที่ภูเขาบรรพบุรุษของสำนักกุยหยกอยู่นานหลายปี นางกับอาจารย์ซีโจวห่างกันแค่ก้าวเดียว เหตุใดอาจารย์และศิษย์อย่างพวกเจ้าถึงไม่ยอมมาพบเจอกัน? หากว่าได้กลับมาสานต่อวาสนาเดิมอยู่ในใต้หล้าไพศาล กลับคืนมามีสถานะเป็นอาจารย์และศิษย์กันอีกครั้ง ก็จะไม่กลายเป็นเรื่องเล่าขานงดงามบนภูเขาหรอกหรือ?”
หลูเซิงส่ายหน้า “เรื่องของเมื่อชาติก่อนและวาสนาของเมื่อชาติก่อน หากหยุดในชาตินี้ได้ก็ควรหยุด ไม่อย่างนั้นชาติหน้าจะต้องเจอกับบัญชีเลอะเลือนอีกบัญชีหนึ่ง แล้วเมื่อไหร่จะถึงจุดสิ้นสุดเสียที”
ลู่เฉินทอดถอนใจ ตบโต๊ะร้องดัง “ฟังคำบรรยายของท่านหนึ่งครั้งเหมือนได้กรอกเทสติปัญญา ปลุกให้คนบนภูเขาที่อยู่ในความฝันไม่รู้กี่มากน้อยสะดุ้งตื่นขึ้นมา”
หลูเซิงส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “ไยเจ้าลัทธิลู่ต้องจงใจพูดเยินยอด้วยเล่า”
โจวจื่อพูดถึงฟ้า ลู่เฉินพูดถึงฝัน ล้วนมีเอกลักษณ์เพียงหนึ่งเดียว
ลู่เฉินยกชามเหล้าขึ้นแกว่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม สายตาฉายแววไม่พอใจ “ในเรื่องของการรับลูกศิษย์ ผินเต้าละอายใจที่สู้ไม่ได้ พวกลูกศิษย์ที่ไม่เป็นโล้เป็นพายพวกนั้น จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครที่ได้ครอบครองคำเรียกขานว่า ‘บุคคลอันดับหนึ่งในใต้หล้า’ เลย ทำเอาคนที่เป็นอาจารย์อย่างข้า เดินไปที่ไหนก็ล้วนไม่เป็นที่นิยม ดูอย่างซิ่วไฉเฒ่าสิ ต่อให้ไปถึงใต้หล้ามืดสลัว อยู่ในอารามเสวียนตูแห่งนั้นก็ยังทำเหมือนอยู่ในบ้านของตัวเองได้”
หลูเซิงไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี บุคคลอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าของพื้นที่มงคลดอกบัวจะเอามาทัดเทียมกับใต้หล้าไพศาลได้อย่างไร หมวกสูงใบนี้ของเจ้าลัทธิลู่ หลูเซิงไม่กล้าเอามาสวมลงบนศีรษะของตัวเองจริงๆ
พวกลูกศิษย์ผู้สืบทอดของลู่เฉิน มีใครบ้างที่ไม่มีมรรคกถามีความสำเร็จยิ่งใหญ่ พูดถึงแค่เฉาหรง เฮ้อเสี่ยวเหลียงที่อยู่ต่อในใต้หล้าไพศาลก็เป็นขอบเขตเซียนเหรินที่มีหวังจะเป็นขอบเขตบินทะยานแล้ว
พื้นที่มงคลดอกบัว ในอารามกวานเต๋า นอกจากเจ้าแห่งถ้ำปี้เซียวที่เป็นเจ้าบ้านแล้ว บางครั้งก็จะมีแขกผู้สูงศักดิ์อย่างเช่นพวกนักพรตฉุนหยาง และยังมีพวก ‘เจ๋อเซียน’ แห่งใบถงทวีปที่ไปฝึกประสบการณ์ในโลกโลกีย์ขัดเกลาจิตแห่งมรรคาในพื้นที่มงคล นอกจากนี้เดิมทีพื้นที่มงคลเองก็ไม่เคยขาดบุคคลผู้มีคุณสมบัติโดดเด่น หากไม่เป็นเพราะเจ้าอารามผู้เฒ่าจงใจเก็บรวบรวมปราณวิญญาณฟ้าดินมาไว้ ไม่อนุญาตให้คนธรรมดาฝึกตน คาดว่าคงจะต้องเป็นเหมือนพื้นที่มงคลหลิงส่วงแห่งฝูเหยาทวีปหรือไม่ก็พื้นที่มงคลถ้ำเมฆาของเจียงซ่างเจินที่ต้องมีเซียนดินกลุ่มใหญ่ปรากฎตัวนานแล้ว และในประวัติศาสตร์ของพื้นที่มงคลดอกบัว ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่ผู้คนให้การยอมรับว่าขยับเข้าใกล้ ‘วิถีฟ้า’ มากที่สุด แท้จริงแล้วก็คือสตรีคนหนึ่ง
สุยโย่วเปียน
นางคือ ‘ผู้อาวุโส’ แห่งยุทธภพคนหนึ่งที่สามารถทำให้อวี๋เจินอี้แห่งพรรคหูซานเลื่อมใสบูชาอย่างยิ่ง
วนเวียนอยู่ในโลกมนุษย์ ถูกเรียกขานเป็นผู้กล้าในยุทธภพ ได้ครองตำแหน่งบุคคลอันดับหนึ่ง วกวนไปมา ตามความเห็นของอวี๋เจินอี้ที่จิตใจทะเยอทะยานเห่อเหิมแล้วก็เป็นแค่ผีบังตาเท่านั้น สุดท้ายก็ยากจะหนีพ้นกฎตายตัวของ ‘โลกีย์’ ไปได้
แต่สุยโย่วเปียนกลับไม่เหมือนกัน ปีนั้นสตรีผู้นี้พกกระบี่บินทะยาน ปล่อยกระบี่สู่ม่านฟ้าสามครั้ง
และอันที่จริงชาติกำเนิดของสุยโย่วเปียนในพื้นที่มงคลดอกบัวก็ถือว่าไม่เลว ค่อนข้างคล้ายคลึงกับจูเหลี่ยนคุณชายผู้สูงศักดิ์ในภายหลัง และพวกผู้อาวุโสในตระกูลปัญญาชนของนางก็ไม่ใช่พวกที่หูตาคับแคบ แต่เหตุใดในเรื่องของการตั้งชื่อนางถึงได้ทำอย่างขอไปทีเช่นนี้
แน่นอนว่าเพราะมียอดฝีมือฝากความหวังไว้ให้กับ ‘สุยโย่วเปียน’ มาก หวังว่านางจะสามารถบุกเบิกเส้นทางอีกสายที่แตกต่างไปจากคนธรรมดาสามัญ
คำว่า ‘โย่วเปียน’ (ขวามือ) ของสุยโย่วเปียน คือตำแหน่งตรงข้ามกับ ‘คนทางซ้ายของเส้นทางหานตัน’
และบัณฑิตตรงหน้าที่เรียกตัวเองว่า ‘หลูเซิง’ ผู้นี้ก็คืออาจารย์ผู้มีพระคุณที่ถ่ายทอดความรู้ วรยุทธและเวทกระบี่ให้กับสุยโย่วเปียนในพื้นที่มงคลดอกบัว
หลูเซิงที่มีฐานะเป็นหนึ่งในตัวละครหลักของความฝันหวงเหลียง ย่อมต้องหวังให้ในอนาคตลูกศิษย์สุยโย่วเปียนได้บุกเบิกโฉมหน้าใหม่ เดินไปบนเส้นทางมหามรรคาที่แตกต่างไปจากของตนเอง
“ทางสายใหญ่ตรีวิสุทธิ์คนเดินน้อย เส้นทางด้านข้างคนแย่งชิงกันเข้าไป นับแต่โบราณมาโลกมนุษย์ก็มีทางแยกหลายสาย เทพเซียนพบเจอยาก เส้นทางหาเจอยาก”
ลู่เฉินดื่มเหล้าหนึ่งอึก บิน่องไก่มันเยิ้มน่องหนึ่งออกมากิน พูดเสียงอู้อี้ว่า “ผินเต้ารู้สึกว่าแม่นางสุยผู้นั้น ผลสำเร็จในวันหน้าต้องไม่ต่ำแน่ หากเปลี่ยนข้ามาเป็นพี่ซีโจว ต่อให้ทำผิดต่อการจัดการของเจ้าอารามผู้เฒ่าก็จะต้องมอบโอสถทองเม็ดนั้นให้แม่นางสุยให้ได้ อาศัยสิ่งนี้มาเป็นแรงผลักดัน ตำแหน่งเซียนกระบี่ใหญ่ของแม่นางสุยก็จะกลายเป็นของในกระเป๋า หากนางโชคดีกว่านั้นอีกสักนิด ในอดีตการที่ ‘หล่นลง’ ในพื้นที่มงคลดอกบัว ก็จะเป็นการ ‘ลอยขึ้น’ ในใต้หล้าไพศาล เรื่องที่ปีนั้นทำไม่สำเร็จ วันหน้าก็สามารถชดเชยได้”
หลูเซิงเอ่ยอย่างจนใจ “หากเจ้าลัทธิลู่อธิบายคำศัพท์เช่นนี้ก็จะตกเป็นที่ต้องสงสัยว่ายกเอาทั้งดุ้นมาอ้างโดยไม่สนความเหมาะสมแล้ว”
เพราะคำว่า ‘สุย’ หากไม่พูดถึงต้นกำเนิดของแซ่สกุล พูดถึงแค่ตำรา ‘โส่วเทียว’ ของศาลบุ๋น ความหมายในยุคโบราณก็คือภาชนะเซ่นไหว้ที่เหลืออยู่หลังการเซ่นไหว้ ‘เมื่อเซ่นไหว้เสร็จสิ้นก็เก็บเนื้อ (สุย) เอาไว้’ เป็นเหตุให้มีอริยะปราชญ์เพิ่มคำอธิบายไว้อีกว่า ‘ของที่ใช้เซ่นไหว้มีปอดกระดูกและธัญพืช’ นอกจากนี้หากอิงตาม ‘เส้าหลิงจื้อเซิ่ง’ พจนานุกรมอธิบายศัพท์ของอาจารย์สวี่ ตัวอักษรคำว่าสุยก็ยังมีความหมายอีกชั้นหนึ่งที่แปลว่า ‘ย้อยลง’ ได้ด้วย
ลู่เฉินหัวเราะหึหึ “จริงหรือ? สุยโย่วเปียนพกกระบี่บินทะยานล้มเหลว สภาพที่ ‘เนื้อหนังสลายสิ้นเหลือเพียงโครงกระดูกยืนอยู่ แหลกสลายกลายเป็นผุยผง’ เหมือนการ ‘สละศพ’ ครั้งแรกของพื้นที่มงคลดอกบัวหรือไม่? แล้วก็เพราะมีการกระทำนี้ของสุยโย่วเปียน ถึงได้มีความทะเยอทะยานของอวี๋เจินอี้ในภายหลัง จากผู้ฝึกยุทธที่ฝึกหมัดเปลี่ยนมาเป็นเดินขึ้นเขาฝึกเซียน ตั้งปณิธานว่าจะต้องทำวีรกรรมที่คนในอดีตไม่เคยทำได้สำเร็จ”
อวี๋เจินอี้เลื่อมใสในตัวสุยโย่วเปียนมากจริงๆ เคยเอ่ยประโยคเย้ยหยันตัวเองไว้ว่า วีรบุรุษผู้กล้าในใต้หล้า ถึงกับล้วนเป็นขุนนางใต้กระโปรงทั้งสิ้น
หากจะพูดถึงคนในประวัติศาสตร์ที่ขอบเขตวรยุทธสูงกว่าสุยโย่วเปียนก็ใช่ว่าจะไม่มี แต่คนที่งัดข้อกับเทพเทวดาบนสวรรค์อย่างสุยโย่วเปียนนี้ กลับไม่เคยมีใครทำจริงๆ
“พื้นที่มงคลดอกบัวของพวกเจ้า หากจะต้องคัดเลือกปรมาจารย์ใหญ่สิบคนในประวัตศาสตร์ออกมาจริงๆ”
ลู่เฉินสามารถให้ประโยคที่เป็นข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงต่อตลอดทั้งพื้นที่มงคลดอกบัวในอดีตได้ว่า “เว้นจากติงอิงผู้รวบรวมความสำเร็จด้านวิถีวรยุทธในใต้หล้าแล้ว นอกจากนี้ก็คือคนสี่คนในภาพวาดที่เฉินผิงอันพาออกมาจากพื้นที่มงคล บวกกับอวี๋เจินอี้ที่ไม่มีคุณธรรมในยุทธภพแม้แต่น้อย วิ่งขึ้นเขาไปฝึกเซียนเพียงลำพัง ก็ล้วนสามารถเลื่อนอยู่ในอันดับนี้ได้”
คนในภาพวาดสี่คนข้างกายเฉินผิงอัน แม้แต่ตัวสุยโย่วเปียนเอง อยู่ในวันเวลาที่ต่างยุคต่างสมัยก็ล้วนเคยเป็นบุคคลอันดับหนึ่งของพื้นที่มงคลดอกบัวอย่างสมชื่อ
เว่ยเซียนนั้นตามหาเซียนไม่สำเร็จ สุดท้ายจึงแก่ตาย แต่ก็ยังมีชีวิตอยู่ได้นานถึงหนึ่งร้อยยี่สิบปี อายุมากถึงสองรอบเจี่ยจื่อ (หนึ่งเจี่ยจื่อคือเวลาหกสิบปี หรือแซยิด) หลูป๋ายเซี่ยงเจ้าประมุขพรรคมารตายอยู่ท่ามกลางวงล้อมสังหาร
จูเหลี่ยนคนคลั่งวรยุทธ…รนหาที่ตายเอง ในศึกของนคร เขาสังหารคนเก้าคนจากสิบคนในใต้หล้าเกือบหมดสิ้น
สุดท้ายถูกติงอิงที่อายุน้อยๆ โชคดี ‘เก็บตกของดี’ ไป ได้กวานดอกบัวสีเงินบนศีรษะของจูเหลี่ยนไปครอง
ส่วนสุยโย่วเปียนก็สร้างวีรกรรมอันน่าตะลึงพรึงเพริดอย่างการ ‘พกกระบี่บินทะยานอย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน’ ดึงเอาโชคชะตาบู๊ครึ่งหนึ่งของใต้หล้ามาไว้ที่ตัวเอง ประหนึ่งเซียนเหรินขี่กระบี่โผบินขึ้นฟ้า น่าเสียดายที่ต้องเรือล่มเมื่อจอด นางไม่อาจฝ่าคอขวดที่เป็นปราการธรรมชาติซึ่งแข็งแกร่งมิอาจทำลายนั้นไปได้ หลังจากที่นางส่งกระบี่ซึ่งส่องประกายแสงพร่างพราวอย่างถึงที่สุดไปสามครั้ง กลับต้องเจอกับจุดจบอันน่าสังเวชที่เนื้อหนังหลอมละลาย เหลือเพียงโครงกระดูกตั้งอยู่ ระหว่างที่โครงกระดูกหล่นร่วงลงมาในโลกมนุษย์ก็ได้สลายกลายเป็นเถ้าอัฐิ แล้วก็กระจายหายไปทั้งอย่างนั้น
หลังจากนั้นมา วิถีฟ้ามิอาจละเมิดก็ราวกับว่าได้กลายมาเป็นกฎเหล็กข้อหนึ่งของผู้ฝึกยุทธในใต้หล้าของโลกยุคหลังไปแล้ว
จนกระทั่งติงอิงปรากฏตัว รวมไปถึงอวี๋เจินอี้ ‘เซียนเหริน’ คนแรกของพื้นที่มงคลที่เดินขึ้นเขาฝึกตนตามความหมายที่แท้จริง
หลูเซิงยิ้มพลางพยักหน้ารับ “ไม่มีอะไรให้โต้เถียง”
ลู่เฉินกล่าว “คิดคำนวณตามศักยภาพบนยอดเขาของแต่ละคน พี่ซีโจว เจ้าคิดว่าสามอันดับแรกควรจัดลำดับอย่างไร?”
หลูเซิงส่ายหน้า “ออกมาจากพื้นที่มงคลนานเกินไป ไม่เคยเห็นวีรบุรุษพวกนั้นลงมือกับตาตัวเองมาก่อน หลูเซิงมิกล้าวิจารณ์ส่งเดช”
อันที่จริงอาจารย์หลูที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ แน่นอนว่าสามารถยึดครองตำแหน่งหนึ่งของสิบคนได้ อีกทั้งลำดับรายชื่อยังไม่ต่ำ ไม่แน่ว่าอาจเลื่อนเป็นสามอันดับแรกได้ด้วย
คู่ควรกับคำกล่าวว่า ‘เวทกระบี่ล้ำเลิศ’ แล้ว ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางสั่งสอนลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่เป็นอย่างสุยโย่วเปียนออกมาได้
อันที่จริงในเรื่องของการถามกระบี่กับฟ้า หลูเซิงเดินนำลูกศิษย์อย่างสุยโย่วเปียนไปก้าวหนึ่งด้วยซ้ำ เพียงแต่ไม่ได้เป็นที่จับตามองอย่างสุยโย่วเปียนก็เท่านั้น เพราะเขาถามกระบี่กับเจ้าอารามผู้เฒ่า
ส่วนจุดจบก็ไม่มีอะไรให้ต้องลุ้น สูญเสียเนื้อหนังมังสาไปเช่นเดียวกับสุยโย่วเปียน หลังจากพ่ายแพ้ก็จำต้อง ‘สวมใส่’ ชุดคลุมขนนกตัวหนึ่ง หรือก็คือเนื้อหนังมังสาที่มีรูปลักษณ์เป็นผู้เฒ่าในเวลานี้แล้ว
ภายหลังคล้ายทำความดีชดใช้ความผิด ปฏิบัติตามคำสั่งข้อหนึ่งของเจ้าอารามผู้เฒ่า ออกจากพื้นที่มงคลดอกบัวมายังใบถงทวีป และเรื่องการ ‘บินทะยาน’ ของหลูเซิงก็มีความหมายเหมือนบุปผาบานอยู่ในกำแพงแต่ส่งกลิ่นหอมไปนอกกำแพงอยู่หลายส่วน เหมือนกับปีนั้นที่สิงกวานหาวซู่พกกระบี่บินทะยานออกจากพื้นที่มงคลบ้านเกิดตัวเองทำให้เกิดความเคลื่อนไหวรุนแรง เนื่องจากร่องรอยเซียนครั้งนี้ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่เมืองหลวงของราชวงศ์ต้าเฉวียน พูดต่อกันไปปากต่อปากว่ามีเมืองแห่งหนึ่งที่ชื่อว่านครฉีเฮ้อเคยมีเซียนขี่กระเรียนบินทะยาน คำว่าร่องรอยเซียนที่ผู้คนกล่าวถึงก็เป็นแค่เนินเขาเล็กๆ แห่งหนึ่ง จนถึงทุกวันนี้ในหมู่ชาวบ้านของต้าเฉวียนก็ยังมีเพลงพื้นบ้านที่ค่อนข้างแพร่หลายประโยคว่า ‘วัวดำใครขี่ไป กระเรียนเหลืองก็บินมา’
——