กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 939.2 ข้าคือเจ้าแห่งวิถีบูรพา (แปด)
หลังจากนั้นหลูเซิงก็ได้รับคำสั่งให้ไปที่สำนักกุยหยก แฝงตัวอยู่ในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาของสกุลเจียง เป็นคนพายเรือเฒ่าที่ถ่อเรือข้ามแม่น้ำหาเงินเกล็ดหิมะไม่กี่เหรียญ เฝ้า ‘โอสถทอง’ ที่ซ่อนอยู่ระหว่างหน้าผาของหาดหินหวงเฮ้อเม็ดนั้น
และเจ้าของเก่าของโอสถทองเม็ดนี้ก็เคยเป็นสหายคนหนึ่งในช่วงเวลาอันยาวนานยุคบรรพกาลของเจ้าอารามผู้เฒ่า ฝ่ายหลังมักจะไปเป็นแขกที่หาดลั่วเป่าถ้ำปี้เซียวเป็นประจำเพื่อถกมรรคาพูดคุยกับเจ้าอารามผู้เฒ่า
ลู่เฉินกล่าว “ใช้ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ ‘เติมเต็มมหาสมุทร’ คือผลงานชิ้นแรกของเจ้า ส่วน ‘ตับและถุงน้ำดีสาดส่องเข้าหากัน’ (ตับและถุงน้ำดีเปรียบเปรยถึงหัวใจ ความกล้าหาญ สามารถหมายความว่าปฏิบัติต่อกันด้วยความจริงใจได้ด้วย) ก็เป็นวิถีแห่งการหลอมลมปราณที่เจ้าคลำเจอก่อน น่าเสียดายที่สุยโย่วเปียนได้รับการสืบทอดไปจากเจ้า แต่กลับได้แค่รูปลักษณ์ ไม่ได้จิตวิญญาณไป อวี๋เจินอี้ของโลกยุคหลังก็ได้แต่จิตวิญญาณไปอย่างเดียว เพราะตำราพวกนั้นที่เจ้าทิ้งไว้ ปีนั้นสุยโย่วเปียนตั้งใจเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี ไม่ได้ทำลายทิ้งไป แต่พอผลัดเปลี่ยนไปอยู่ในมือของอวี๋เจินอี้ ถึงอย่างไรก็มีไม่ถึงครึ่งหนึ่ง”
หลูเซิงจิบเหล้าหนึ่งอึก พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ปีนั้นข้าเปิดอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ของทางการและเกร็ดพงศาวดารมาจนถ้วนทั่ว สุดท้ายค้นพบว่าแต่ละยุคแต่ละสมัยเหมือนจะมีเจ๋อเซียนที่เป็นคนต่างถิ่นเยื้องกรายมาจุติอยู่เสมอ คนบางคนนิสัยเปลี่ยนแปลงไปมาก ส่วนบางคนกลับเหมือนโผล่มาจากความว่างเปล่า มาเดินกร่างอยู่ในโลกมนุษย์อย่างไร้ความยำเกรง นี่ทำให้ข้าได้ข้อสรุปว่า ในเมื่อเหนือคนยังมีคน นั่นก็แสดงว่าเหนือฟ้าย่อมมีฟ้า คำว่าบรรลุมรรคาบินทะยานที่กล่าวถึงในตำราโบราณ การเลื่อนอันดับกลายเป็นเซียน บางทีอาจเป็นเรื่องตลก ยกตัวอย่างเช่น ‘ใต้หล้า’ ที่ข้าอยู่นี้อาจเป็นพื้นที่ในป่าเปลี่ยวห่างไกลไร้กลิ่นอายของมนุษย์แห่งหนึ่งก็เป็นได้”
“ปีนั้นข้าไม่รู้ว่าตัวเองคือคนหนึ่งในนั้น จึงกลัดกลุ้มกับเรื่องนี้อย่างมาก อยากจะออกไปข้างนอก แต่ก็ตัดใจทิ้งวรยุทธบนร่างของตัวเองไปกลางคันไม่ได้ จึงได้แต่คลำหาเส้นทาง จากนั้นก็พบเจอกับลูกศิษย์ที่ใกล้เคียงกับคำว่า ‘ตัวอ่อนการฝึกตน’ อย่างที่กล่าวถึงในตำรามากที่สุด เพียงแต่ว่าถึงท้ายที่สุดแล้วก็ยังเป็นแค่การใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำ ในฐานะลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อคนหนึ่ง ฝึกบำเพ็ญตนเรียนรู้จากเซียน เข้าร่วมฌานเรียนรู้พุทธศาสนา ผลคือทั้งสามเรื่องกลับไม่มีอะไรทำได้สำเร็จ”
หาไม่แล้วสุยโย่วเปียนที่คิดจะสละวิถีวรยุทธแล้วหันไปฝึกบำเพ็ญตนก็จะกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ได้ทันทีจริงๆ หรือ?
ลู่เฉินพยักหน้า
เรื่องของการผสานรวมของสามลัทธิ คนแรกสุดที่คิดถึงเส้นทางสายนี้ได้ก็คือโค่วหมิง เจ้าลัทธิใหญ่แห่งป๋ายอวี้จิง ศิษย์พี่ของลู่เฉิน
และนี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้ผู้ฝึกตนบนยอดเขากลุ่มเล็กของใต้หล้ามืดสลัวรู้สึกว่ามรรคกถาของเจ้าลัทธิใหญ่มีความคล้ายคลึงกับพระธรรมของลัทธิพุทธ
เจิ้งจวีจง อู๋ซวงเจี้ยง หลูเซิงที่อยู่ตรงหน้า หลวี่เหยียนที่มีฉายาว่า ‘ฉุนหยาง’ และยังมีเฉินผิงอันในทุกวันนี้…
อันที่จริงบนมหามรรคาเส้นนี้ แต่ละคนต่างก็มีการทดลองกันมาก่อน
แน่นอนว่ายังมีฉีจิ้งชุนที่อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูหกสิบปีที่เดินไปได้ไกลที่สุด เดินไปได้สูงที่สุด
ลู่เฉินวางตะเกียบลง นวดคลึงปลายคาง เหลือบตามองเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าประตู สุดท้ายก็ปอกลิ้นจี่แห้งเม็ดหนึ่งโยนเข้าปาก
ก่อนหน้านี้อยู่ที่ศูนย์ตัดต้นไม้ ได้พูดคุยอย่างเปิดใจกับหลินเจิ้งเฉิงที่รับหน้าที่เป็น ‘หุนเจ่อ’ ของถ้ำสวรรค์หลีจู
ปีนั้นฉีจิ้งชุนปกป้องถ้ำสวรรค์หลีจู เลือกที่จะใช้กำลังของตัวเองคนเดียวแบกรับทัณฑ์สวรรค์เอาไว้
เรื่องนี้เมื่อปรากฏอยู่ในสายตาของศาลบุ๋นแผ่นดินกลางแล้วก็ค่อนข้างคล้ายคลึงกับการที่ป๋ายเหย่พกกระบี่ออกเดินทางไกลไปเยือนฝูเหยาทวีปในภายหลัง โดยภาพรวมแล้วสามารถโน้มน้าวได้ แต่มิอาจขัดขวางได้
ต่อให้เป็นฝั่งของลัทธิพุทธ ท่ามกลางทัณฑ์ใหญ่ครานั้น ท่าทางที่มีต่อฉีจิ้งชุนก็ไม่ได้ใช้พลังอำนาจบีบคั้นอย่างเซียนเหรินแห่งหอจื่อชี่ของป๋ายอวี้จิง
ตอนนั้นสามลัทธิหนึ่งสำนักที่ลงมือขัดขวางไม่ให้ฉีจิ้งชุนแบกรับผลกรรมทั้งหมดไว้ อันที่จริงมีเพียงทางฝ่ายของป๋ายอวี้จิงแห่งใต้หล้ามืดสลัวเท่านั้น หรือควรจะพูดให้ถูกต้องก็คือ เป็นสองเจ้าลัทธิแห่งป๋ายอวี้จิงอย่างอวี๋โต้วและลู่เฉิน ศิษย์พี่ศิษย์น้องที่นิสัยใจคอและลักษณะการกระทำเรียกได้ว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงคู่นั้นที่กลายเป็นว่าท่าทีและจุดยืนของทั้งสองฝ่ายในเรื่องนี้กลับเหมือนกันอย่างที่หาได้ยาก เรียกได้ว่าชัดเจนอย่างถึงที่สุด ไม่มีพื้นที่ว่างใดๆ ให้ปรึกษาอยู่
เพราะพวกเขากังวลว่านี่คือการทำลายก่อนแล้วค่อยหยัดยืนขึ้นมาใหม่ของฉีจิ้งชุน หากทำสำเร็จก็จะเป็นการกระทำที่พิสูจน์มรรคาอย่างหนึ่งซึ่งมากพอจะให้เขาก่อตั้งลัทธิเรียกตัวเองเป็นบรรพบุรุษได้
ลู่เฉินไม่ได้กังวลว่าขอบเขตของฉีจิ้งชุนจะสูงยิ่งกว่าเดิม สำหรับลู่เฉินแล้ว อย่าว่าแต่ขอบเขตสิบสี่อะไรเลย ต่อให้เป็นขอบเขตสิบห้า จะเกี่ยวข้องอะไรกับข้าด้วย?
ทว่าลู่เฉินกลับไม่อาจทนมองให้เรื่องเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นได้ นั่นก็คือศิษย์พี่ใหญ่ที่จะต้องเกิดการช่วงชิงบนมหามรรคากับฉีจิ้งชุน มหามรรคาจะต้องขาดสะบั้นไปนับแต่นั้น
นี่หมายความว่าเรื่องที่ลู่เฉินหวังให้ศิษย์พี่ใหญ่มาช่วยตนพิสูจน์กลับกลายเป็นคว้าน้ำเหลว
และในสายตาของศิษย์พี่อวี๋โต้วแล้ว หากฉีจิ้งชุนชิงเดินนำหน้าไปได้ก่อน ทำเรื่องนี้ได้สำเร็จ ก็เท่ากับว่าป๋ายอวี้จิงไม่มีเจ้าลัทธิใหญ่ โลกมนุษย์ก็ยิ่งไม่มีศิษย์พี่แล้ว
และศิษย์พี่โค่วหมิง สำหรับเขาอวี๋โต้วแล้วก็คือผู้มีพระคุณที่รับลูกศิษย์แทนอาจารย์และถ่ายทอดวิชาแทนอาจารย์
ดังนั้นก่อนที่ลู่เฉินจะออกไปจากป๋ายอวี้จิง อวี๋โต้วจึงได้ใช้น้ำเสียงที่แทบจะเรียกว่าเป็นการตักเตือนบอกกล่าวกับศิษย์น้องว่า
‘ลู่เฉิน หากเจ้ากล้ามีความลังเลในช่วงเวลาสุดท้ายที่เป็นกุญแจสำคัญ’
‘ข้าจะลงมือเอง’
ภายหลังลู่เฉินเอ่ยประโยคหนึ่งว่า เห็นๆ กันอยู่ว่าผินเต้าไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย เคยปั่นหัวคนอื่น แต่จะหลอกหลินเจิ้งเฉิงที่เป็นหุนเจ่อคนเฝ้าประตูได้อย่างไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลอกเฉินผิงอันเลย
ลู่เฉินรู้สึกเพียงความกลัดกลุ้ม หยิบตะเกียบขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เอ่ยพึมพำกับตัวเองว่า “เรื่องของการฝึกตน พูดกันอย่างหมดเปลือกแล้ว ก็คือการ ‘เปลี่ยนแขกมาเป็นเจ้าบ้าน’ นั่นเอง”
เหล่ตามองเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าประตู ลู่เฉินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
เด็กสาวหลุดหัวเราะพรืด “ใต้หล้านี้มีคนแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่มีคุณสมบัติจะพูดจาวางโตเช่นนี้ได้”
“ถ้าอย่างนั้นก็ถือเสียว่าผินเต้าพูดแทนพวกศิษย์พี่ใหญ่ เจ้าอารามซุนและจ้าวเทียนซือก็แล้วกัน”
ลู่เฉินหัวเราะหึหึ “ใช่ไหม ใต้เท้าอิ่นกวาน?”
หลูเซิงได้ยินแล้วก็พลันขนลุกขัน ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง จิตแห่งมรรคาสั่นสะเทือนไม่หยุด นี่เพิ่งไม่ได้เจอกันกี่วันเอง เฉินผิงอันผู้นั้นก็มีความสามารถด้านมรรคกถามากขนาดนี้แล้วหรือ?
ถึงกับสามารถหลบอยู่ในมุมๆ หนึ่ง มองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามืออยู่ไกลๆ โดยที่ตนสัมผัสไม่ได้แม้แต่น้อย? ถ้าอย่างนั้นเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงตรงหน้าผู้นี้ก็รู้แต่แรกแล้วสิ? แต่จงใจปิดบังตน?
มองสบตากับหลูเซิง ลู่เฉินมีสีหน้ากระอักกระอ่วน พูดจารับรองอย่างน่าเชื่อถือว่า “ตะวันจันทราแจ่มกระจ่าง ฟ้าดินเป็นพยานได้ เรื่องนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับผินเต้าแม้แต่ครึ่งเหรียญทองแดงเลยนะ!”
เรื่องที่ให้อิ่นกวานหนุ่มยืมมรรคกถาขอบเขตสิบสี่ถือเป็นการขุดหลุมฝังตัวเองหรือไม่? เรื่องในวันนี้หากถูกนักพรตซุนแห่งอารามเสวียนตูผู้นั้นรู้เข้า จะไม่ยิ่งถูกอีกฝ่ายหัวเราะเยาะนานหลายร้อยหลายพันปีเลยหรือ?
ลู่เฉินเก็บสีหน้า เปลี่ยนมาเป็นเคร่งขรึมอย่างที่หาได้ยาก หยิบตะเกียบคู่หนึ่งขึ้นมาเคาะผิวโต๊ะเบาๆ
โต๊ะตัวที่ถูกตะเกียบเคาะถึงกับมีริ้วกระเพื่อมเป็นระลอกเหมือนกระแสน้ำไหล ประหนึ่งภาพฝันมายา จริงเท็จยากจะแยกแยะได้
ลู่เฉินสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที “เดินอยู่ริมลำคลองบ่อยๆ รองเท้าจะไม่เปียกได้อย่างไร น่ากลัว น่ากลัวจริงๆ”
เด็กสาวที่อยู่หน้าประตูกึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง ยกมือขึ้นดีดยันต์บนไหล่เบาๆ หนึ่งที ยันต์แผ่นนั้นก็พลิ้วหล่นลงบนพื้น นางถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าว เรือนกายค่อยๆ สลายหายไป
ขณะเดียวกันนั้นซากปรักของ ‘ศาลหลวีจู่’ นอกห้องครัวทั้งแห่งก็เหมือนเกิดรอยร้าวเล็กๆ พร้อมกันจำนวนนับล้านล้านรอย สีสันจึงเริ่ม ‘เปลี่ยนไป’ ไปในเวลาเดียวกัน
ทีละเศษทีละเสี้ยว ทีละเล็กทีละน้อย กลับคืนสู่สภาพเดิมที่แท้จริงของเรือนหลังนี้
ผีสาวสามตนอะไร ผู้ฝึกตนอิสระอะไร การประลองเวทอะไร อัญเชิญเทพมาจุติ เซียนใหญ่แห่งศาลเถื่อนอะไร ล้วนเป็นภาพลวงตา ไม่มีดำรงอยู่เลย
ราวกับว่ามีคนได้ตั้งใจแต่งเรื่องราวเรื่องหนึ่งขึ้นมาให้กับ…ลู่เฉินโดยเฉพาะ
ลู่เฉินยิ้มจืดเจื่อน ผินเต้าโดนมีดบินกระแทกเข้าหน้าอย่างเสียเปล่าใช่ไหมนี่?
ริมฝั่งของสระน้ำนอกศาลเทพลำคลองเฝินเหอ ชิงถงพลันลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ไม้ไผ่ เอ่ยเสียงสั่นว่า “ก่อนที่ข้าจะออกจากบ้าน เจ้าทำอะไรลงไปกันแน่?!”
เฉินผิงอันยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ ค้างอยู่ในท่าถือคันเบ็ดตกปลาอย่างผ่อนคลายนั้น เอ่ยเนิบช้าว่า “เมื่อครู่ก็บอกไปแล้วไม่ใช่หรือว่า ให้เจ้ามองน้ำไปก่อนชั่วคราว”
ชิงถงส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้ ต่อให้เจ้าหลอกข้าได้ แต่จะหลอกลู่เฉินได้อย่างไร?!”
ไม่ทันระวัง ชิงถงถึงกับเรียกชื่อของเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงออกมาตรงๆ
ต่อให้ลู่เฉินอยู่ในใต้หล้าไพศาลก็ได้แต่ใช้ขอบเขตบินทะยานเดินท่องไปทั่วใต้หล้าเท่านั้น
แต่ลู่เฉินก็ยังคงเป็นลู่เฉินนะ
แล้วนับประสาอะไรกับที่ซานจวินห้าขุนเขาใหญ่ซึ่งรวมถึงโจวโหยวแห่งภูเขาสุ้ยซาน และยังมีสุ่ยจวินหลี่เย่โหวซึ่งเป็นบุคคลที่ก่อนหน้านี้แทบจะสัมผัสได้ถึงดินแดนแห่งฝันในชั่วพริบตา หลี่เย่โหวยังเคยยืนอยู่บนริมขอบของดินแดนแห่งฝันที่ก้ำกึ่งระหว่างจริงเท็จ โจวโหยวก็ยิงกระชากภาพฝันจนแหลกสลายได้อย่างง่ายๆ
หรือว่าก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินผิงอันไปเยี่ยมเยือนสุ่ยจวินหลี่เย่โหว รวมไปถึงแวะไปเยี่ยมเยือนห้ามหาบรรพตของแผ่นดินกลาง ได้มีการกระทำแสดงความเคารพอย่างลับๆ ที่มิให้คนอื่นล่วงรู้ไปก่อนแล้ว?
เพียงแต่ว่ายิ่งคิดชิงถงก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้
ไม่พูดถึงเจ้าลัทธิลู่ พูดถึงแค่หลูเซิง จะดีจะชั่วก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง พูดถึงแค่หลูเซิงตอนที่อยู่พื้นที่มงคลดอกบัว เดิมทีก็เป็นบัณฑิตที่มีความรู้สูงเทียมฟ้า หลังจากที่หลูเซิง ‘จับผลัดจับผลูเข้าจวน’ มา กวาดตาง่ายๆ หนึ่งที ต่อให้เป็นการสอดส่ายสายตาอย่างไม่อนาทรร้อนใจ ก็ยังเห็นทุกอย่างกระจ่างชัด จดจำได้อย่างลึกซึ้ง หากมีอะไรผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อยก็จะสัมผัสเบาะแสได้ทันที
ก่อนหน้านี้จับมือกับเฉินผิงอันปล่อยดวงจิตไปเยี่ยมเยือนดินแดนแห่งฝันตามจวนวารีและภูเขาในแต่ละสถานที่ เพียงแค่ดึงเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำของแต่ละฝ่ายเข้ามาในความฝันเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรเพิ่มเติมเข้ามาสักอย่างเดียว
ทว่าใน ‘ซากปรักศาลหลวีกง’ นอกจากเฉินผิงอันจะจัดวางผีสาว ผู้ฝึกตนและเซียนใหญ่จากศาลเถื่อนสองท่าน รวมไปถึงทหารสวมเสื้อเกราะที่ยืนถือง้าวถือกระบี่เฉียบคมเรียงรายอยู่ในระเบียงสองฝากฝั่งแล้ว…ที่สำคัญที่สุดก็คือพวกเขาต้องพูดคุยกัน ต่างคนต่างพูดบทของตัวเอง…อีกทั้งทุกครั้งที่เปิดปาก ทุกๆ การกระทำ หรือแม้กระทั่งเสียงในใจทุกครั้งล้วนสอดคล้องกับสถานะ ขอบเขตหรือแม้แต่นิสัยใจคอของพวกเขา…นอกจากนี้สิ่งปลูกสร้างที่โผล่มาจากความว่างเปล่าพวกนั้น ทัศนียภาพทุกอย่าง ล้วนจำเป็นต้องมีการแกะสลักในจุดที่เล็กละเอียดอย่างระมัดระวัง ส่วนในภาพรวมก็ต้องสอดคล้องกับลักษณะชัยภูมิ…
นี่หมายความว่านอกจากเฉินผิงอันจะเป็นนักเล่านิทานที่เชี่ยวชาญการแต่งเรื่องแล้ว ยังต้องเป็นปรมาจารย์ผู้สร้างที่เชี่ยวชาญงานการซ่อมแซม งานไม้และดิน เป็นจิตรกร เป็นนักเขียนพู่กันจีน ถึงขั้นที่ว่ายังต้องชำนาญเรื่องเสื้อผ้าเครื่องประดับแต่ละแบบของสตรีด้วย…
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าภาพที่เจ้าเห็นในสระน้ำล้วนเกิดขึ้นตอนนี้หรือ? ‘ต่อให้’ หลอกเจ้าได้? อีกอย่างเจ้าคิดว่าที่หลอกเจ้าไปมีแค่ภาพในน้ำเท่านั้นหรือ? ไม่สู้เจ้าลองหันกลับไปมองในศาลเทพลำคลองเฝินเหออีกสักครั้งดีไหม”
ชิงถงหันกลับไปมองศาลแห่งนั้น สีหน้าก็เผยความหวาดผวาพรั่นพรึงขึ้นมาทันใด พอหันมามองข้างกายก็ไม่มีคนนั่งตกปลาอยู่แล้ว
ชิงถงนั่งลงอย่างห่อเหี่ยว
เพราะเก้าอี้ไม้ไผ่ที่เฉินผิงอันยื่นส่งให้ก่อนหน้านี้…ก็เป็นของปลอม
เฉินผิงอันตัวจริงยืนสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้ออยู่ในระเบียงของตำหนักใหญ่ ข้างกายก็คือนักพรตน้อยทั้งหลายที่เล่นโยนเหรียญทองแดงกัน เพียงแต่นักพรตน้อยกับเหรียญทองแดงล้วนเป็นภาพที่หยุดนิ่ง
เรื่องที่ทำให้ชิงถงรู้สึกหวาดกลัวที่สุดยังไม่ใช่เรื่องนี้ แต่เป็นม้วนภาพม้วนหนึ่งที่เหมือนเริ่มถูกคลี่กางออกช้าๆ แม่น้ำแห่งกาลเวลาคล้ายกับไหลรินใหม่อีกครั้ง ทางฝั่งของประตูวงเดือนของศาลมีเสียงเครื่องประดับใสกังวานดังขึ้น ‘อีกครั้ง’ มีสตรีเดินออกมาสองคน สตรีวัยกลางคนยังคงมวยผมทรงเมฆา เด็กสาวยังคงสวมเสื้อสีขาวรากบัวสวมกระโปรงสีเขียวต้นหอม สวมรองเท้าปักลายดอกไม้ที่ค่อนข้างเก้า หญิงชราคนเฝ้าศาลสวมชุดคลุมเต๋าสาบเสื้อประกบคู่สีเขียวใบไผ่ พวกนางเดินออกมาจากประตูวงเดือนด้วยกัน เด็กสาวยังคงใช้หางตามองประเมินใครบ้างคน…สิ่งเดียวที่แตกต่างก็คือเป็นลู่เฉินที่มาแทนที่เฉินผิงอัน ยืนอยู่ข้างกาย ‘อดีตชิงถง’ เห็นเพียงว่านักพรตหนุ่มที่สวมกวานดอกบัวบนศีรษะผู้นั้น สองขาเหมือนตะปูที่ถูกตอกไว้แน่น สายตากวาดล่อกแล่กไปมา กว่าจะสงบจิตสงบใจได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วถึงได้ขยับเท้าหลบวูบไปด้านข้าง หลีกทางให้สตรีทั้งสามเดินผ่านไป สายตาของเขายังคงติดตามสตรีวัยกลางคนและเด็กสาวที่รูปโฉมมีความงามแตกต่างกันไป ปากนักพรตท่องพึมพำว่า มองเหมือนดอกหลีแต่ไม่ใช่ดอกหลี มองเหมือนดอกซิ่งแต่ไม่ใช่ดอกซิ่ง สีแดงและสีขาว สายลมวสันต์พัดพาบรรยากาศและความงามแตกต่างกันไป…
——