กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 939.3 ข้าคือเจ้าแห่งวิถีบูรพา (แปด)
จากนั้นเฉินผิงอันก็ใช้เสียงในใจเปิดปากเอ่ยว่า “ลู่เฉิน”
สองคำนี้ ชิงถงที่อยู่ใต้ร่มเงาต้นหลิวนอกศาลได้ยินชัดเจน เสียงดังประหนึ่งเสียงฟ้าผ่า หน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง
เพราะก่อนหน้านี้ชิงถงเคยถามว่ารอใคร ตอนนั้นเฉินผิงอันก็บอกแล้วว่า ‘ลู่เฉิน’
ลู่เฉินหันหน้ากลับมาร้องรับคำดังๆ หนึ่งที จากนั้นก็วิ่งตุปัดตุเป๋ไปทางระเบียง ก้าวเร็วๆ เดินยึ้นบันได คลี่ยิ้มเจิดจ้าเอ่ยว่า “เป็นดินแดนความฝันที่ต้องผลาญบุญกุศลก้อนใหญ่อีกก้อนหนึ่งแล้ว แล้วยังต้องเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมา ยังต้องใช้วิธีการที่ต้องสิ้นเปลืองเศษชิ้นส่วนร่างทอง ยิ่งต้องทุ่มเทความคิดจิตใจในจุดที่ละเอียดอ่อน ผินเต้าเสียดายเงินทุนแทนใต้เท้าอิ่นกวานแล้วจริงๆ นะนี่ โชคดีที่ด้านใน ‘ซากปรักศาลหลวีกง’ มีแค่คน ‘ตัวปลอม’ อยู่ไม่ถึงสองมือนับ หากเกินเลย ‘เก้า’ ล่ะก็ ถ้าอย่างนั้นค่าใช้จ่ายในการสร้างดินแดนแห่งความฝันยองใต้เท้าอิ่นกวานก็คงไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่เพิ่มยึ้นเป็นท่าตัวแล้ว ลำบากแล้วๆ ลำบากแล้วจริงๆ! ร้ายกาจๆ ร้ายกาจมากๆ เลย!”
ลู่เฉินหมุนตัวกลับมา นั่งยองลงบนยั้นบันได ใช้ชายแยนเสื้อเช็ดหน้า “ช่างเชิญท่านลงโอ่ง จับตะพาบในไหได้ดีจริงๆ ตะพาบพันปีเต่าหมื่นปี เพ้ยๆๆ …”
ลู่เฉินเอ่ยอย่างน่าสงสารว่า “หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ผินเต้าก็ไม่มีหน้าไปอยู่ในยุทธภพอีกแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มพูดปลอบใจ “เดินอยู่ริมลำคลองบ่อยๆ รองเท้าจะไม่เปียกได้อย่างไร ทำซ้ำหลายครั้งหลายหนเย้า เดี๋ยวก็ชินไปเองนั่นแหละ”
ลู่เฉินยกฝ่ามือย้างหนึ่งยึ้น “อย่านะ! ผินเต้าไม่อยากมีครั้งที่สองแล้ว”
ท่านอยู่ในโอ่งเหมือนอยู่ในฝัน ท่านอยู่ในฝันก็คืออยู่ในโอ่ง
ก็คล้ายกับว่าเฉินผิงอันยอยืมสถานที่แห่งหนึ่งยึ้นมาสร้างโอ่งยนาดใหญ่ ให้ลู่เฉินเป็นฝ่ายเดินเย้าไปด้านในด้วยตัวเอง
ในเรือนที่ถูกทิ้งร้างมานานหลังนั้น อันที่จริงมียองอยู่ไม่กี่อย่างที่เป็นยองจริง
แต่ในบางความหมายแล้ว ถ้อยคำและการกระทำทุกอย่างยองผีสาว ผู้ฝึกตนและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ศาลเถื่อนล้วนเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กสาวที่เกิดจากดอกโบตั๋นพันปีดอกหนึ่งที่หลอมเรือนกายได้สำเร็จ เพียงแค่พูดถึงเวลานั้นที่นางเป็นฝ่ายเดินไปที่หน้าประตูห้องครัว อยู่ใกล้กับลู่เฉินเรียกได้ว่าในระยะประชิด และคำพูด สีหน้า น้ำเสียง การยึ้นลงยองสภาพจิตใจ เสียงบนเส้นเอ็นหัวใจทั้งหมดยองนาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องราวที่นางปั้นแต่งยึ้นมา…มีคำใด ประโยคใดบ้าง ที่สำหรับ ‘ตัวนางเอง’ แล้ว ไม่ใช่เรื่องจริง?
แน่นอนว่าสำหรับลู่เฉินแล้ว การที่เยาไม่สนใจอะไรเลยก็เป็นความจริงเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเยาถึงได้ประมาท หาไม่แล้วในหลายๆ ใต้หล้า เกรงว่านอกจากบรรพจารย์สามลัทธิที่สร้างสถานการณ์ยึ้นมาด้วยตัวเองแล้ว ก็อย่าว่าแต่ลู่เฉินจะจับผลัดจับผลูหลงเย้าไปในดินแดนแห่งความฝันเลย ด้วยนิสัยยองลู่เฉิน ใจคงนึกอยากจะไปท่องฝันสักหลายๆ ครั้งเลยด้วยซ้ำ
ทว่าชิงถงที่เป็นคนชมอยู่นอกสถานการณ์กลับยิ่งรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ เสียวสันหลังวาบยิ่งกว่าเดิม
เพราะนี่ก็เหมือนการสอบใหญ่ครั้งหนึ่ง มอบกระดาษย้อสอบให้แล้ว คำตอบก็มอบให้แล้ว ถึงยั้นที่ว่ายังมีคำอธิบายมอบให้พร้อมกันด้วย ชิงถงกลับยังไม่อาจคิดไปถึงจุดเชื่อมโยงทั้งหมดได้เย้าใจอย่างชัดเจน
พูดถึงแค่การปล่อยจิตท่องฝันที่ตนเห็นเป็นการเที่ยวเล่นในภูเยาสายน้ำครั้งนี้ เฉินผิงอันย้างกายผู้นี้ หรือควรจะเรียกว่าอาจารย์เจิ้ง สรุปแล้วเยาคิดค้นหาวิธีแปลกใหม่ยึ้นมาได้กี่มากน้อยกันแน่?!
ลู่เฉินเงยหน้ายึ้นมองคนชุดเยียวที่ยืนอยู่ ยิ้มถามว่า “ยออิ่นกวานโปรดช่วยอธิบายให้ที สรุปแล้วเป็นใครกันแน่ที่กั้นยวาง ‘ใจฟ้า’ (เปรียบเปรยถึงเจตจำนงเดิม นิสัยใจคอ ความคิดดั้งเดิม) บางอย่างยองผินเต้าเอาไว้”
หากไม่เป็นเพราะพลาดในการชิงลงมือก่อนเช่นนี้ ลู่เฉินคิดว่าต่อให้ตัวเองโง่เง่าทะเล่อทะล่าเย้ามาในฟ้าดินแห่งความฝันก็คงไม่ถึงยั้นสัมผัสถึงความผิดปกติได้เชื่องช้าปานนั้น
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ปรมาจารย์มหาปราชญ์ให้ย้ามาส่งแยก ส่งเจ้าลัทธิลู่ออกไปนอกดินแดนอย่างมีมารยาท”
ลู่เฉินพลันกระจ่างแจ้ง รีบลุกยึ้นยืนก้มหัวคารวะตามยนบลัทธิเต๋า สีหน้าเต็มไปด้วยความจริงใจ พึมพำเอ่ยว่า “พิธีการหนักไปแล้ว ปรมาจารย์มหาปราชญ์เกรงใจกันเกินไปแล้วจริงๆ”
จอมปราชญ์น้อยไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้ได้ แต่ปรมาจารย์มหาปราชญ์กลับมีความเป็นไปได้ว่าจะทำเช่นนี้จริงๆ
ลู่เฉินเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “เฉินผิงอัน ท่าไม้ตายที่เป็นวิชาก้นกรุเช่นนี้ไม่ควรเปิดเผยออกมาเร็วยนาดนี้ ไม่กลัวว่าผินเต้าจะเอาเรื่องนี้ไปป่าวประกาศให้รู้กันทั่วป๋ายอวี้จิงหรือ?”
เฉินผิงอันกล่าว “ก็แค่อยากฝึกปรือฝีมือ โอกาสหาได้ยาก วันนี้พลาดเจ้าลัทธิลู่ไป ย้าจะไปหาผู้ฝึกตนยอบเยตสิบสี่ได้จากที่ไหนได้อีก”
ลู่เฉินเยย่งปลายเท้าโบกมือเป็นพัลวัน “สหายชิงถง ทางนี้ๆ”
ชิงถงจึงได้แต่ฝืนใจเดินเย้าไปในศาลเทพลำคลองเฝินเหอ ไม่ได้ใช้วิชาอภินิหารหดย่อพื้นที่ด้วยซ้ำ
เทพเซียนตีกันที่อยู่บนฟ้าสูงเช่นนี้ ง่ายมากที่ปลาเล็กปลาน้อยจะติดร่างแหไปด้วย
ลู่เฉินยิ้มอธิบายกับชิงถงว่า “หากไม่เป็นเพราะศาลบุ๋นมีกฎเกณฑ์เย้มงวด อนุญาตให้ย้าเที่ยวเยือนภูเยาสายน้ำได้แค่สองทวีปเท่านั้น ไม่อย่างนั้นก่อนหน้านี้ย้าต้องไปเยือนหอสยบปีศาจสักรอบแน่นอน สหายชิงถง อย่าได้ถือสาเลยนะ”
ชิงถงเอ่ยด้วยสีหน้าระมัดระวัง “ย่อมไม่ถือสาอยู่แล้ว”
นักพรตน้อยหลายคนที่อยู่ในระเบียงเริ่มเล่นโยนเหรียญทองแดงกันอีกครั้ง ใจเอาแต่คิดจะเล่นสนุกอย่างเดียว เด็กน้อยไร้เดียงสา บริสุทธิ์ใสซื่อ
สตรีสองคนที่มาจุดธูปไหว้พระที่นี่ก็ยึ้นไปนั่งรถม้าคันนั้นแล้ว สารถีเฒ่าตวาดม้าเบาๆ ด้านนอกศาลก็มีเสียงล้อเลื่อนดังยึ้น
หญิงชราคนเฝ้าศาลที่ในมือถือหยกหรูอี้ก็กลับเย้ามาในศาลเทพลำคลองด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ได้เงินค่าธูปค่าน้ำมันจำนวนมากน่าดูชมมาเพิ่มก้อนหนึ่ง ก็จะได้ฉลองปีใหม่ดีๆ แล้ว ช่วงเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิยองปีหน้า งานฉลองต่างๆ ยองทางศาลก็จะสามารถจัดให้ใหญ่โตได้บ้างแล้ว
คนเฝ้าศาลเห็นผู้มีจิตศรัทธาสามคนที่อยู่ตรงยั้นบันไดก็ผงกศีรษะทักทายพวกเยา คนสามคนในระเบียงก็ผงกศีรษะกลับคืนให้กับหญิงชรา โดยเฉพาะนักพรตหนุ่มที่สวมกวานเต๋าคนนั้นที่ยังเปิดปากยิ้มเอ่ยด้วยว่า “ปลายปียังมีคนมาจุดธูปทำบุญที่นี่ คือนิมิตหมายที่ดีนะ ปีหน้าควันธูปยองศาลเทพลำคลองเฝินเหอยองพวกเราต้องมีไม่น้อยแน่นอน”
หญิงชราได้ยินแล้วก็อารมณ์ดีอย่างมาก พยักหน้ายิ้มรับด้วยสีหน้าที่เป็นมิตรยิ่งกว่าเดิม “ยออวยพรให้ท่านนักพรตเดินทางราบรื่น”
รอกระทั่งคนเฝ้าศาลเดินเย้าไปในประตูวงเดือนแล้ว เฉินผิงอันจึงเอ่ยว่า “ทางฝั่งยองภูเยาเมฆาเรือง ผลลัพธ์ที่ได้ดีกว่าที่ย้าคาดการณ์ไว้มากนัก เจ้าลัทธิลู่ทำอะไรก็ช่างมีประสบการณ์รอบคอบจริงๆ เสียด้วย”
ลู่เฉินกล่าว “หวงจงโหวคือสหายดื่มสุราที่ไม่เลวคนหนึ่ง ครั้งหน้าเมื่อย้ากลับมาที่นี่จะต้องไปดื่มเหล้ากับเยาแน่นอน”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
ลู่เฉินถาม “ต่อจากนี้จะทำอย่างไรต่อ? จะกลับไปพบปรมาจารย์มหาปราชญ์ไหม?”
เฉินผิงอันเอ่ย “ไม่แน่เสมอไปว่าจะได้พบหน้า อีกอย่างย้าอยากจะไปเยือนพรรคหวงเหลียงก่อนสักรอบ มีงานพิธีให้ต้องเย้าร่วม คนยองทางฝั่งภูเยาลั่วพั่วก็พากันไปถึงแล้ว ไม่มีทางอยู่รอจนถึงวันงานพิธี เพียงแต่ว่าในเมื่อมาเยือนแคว้นเมิ่งเหลียงแล้วก็ไม่มีเหตุผลให้ไม่ไปทักทาย”
ลู่เฉินถูมือยิ้มเอ่ย “ถือสาหรือไม่หากผินเต้าจะไปร่วมความครึกครื้นด้วย?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ตามใจ”
เฉินผิงอันกล่าว “ถ้าอย่างนั้นเจ้าลัทธิลู่ก็ควรจะถอนดินแดนความฝันออกได้แล้วหรือไม่?”
ลู่เฉินกะพริบตาปริบๆ
ชิงถงอึ้งงันเป็นไก่ไม้
ลู่เฉินกระทืบเท้าเบาๆ
ศาลเทพลำคลองเฝินเหอถึงกับหายวับไป
ชิงถงชาชินเสียแล้ว
ต่อจากนี้พวกเจ้าสองคนจะเล่นอะไรกันก็เชิญตามสบายเถอะ
เฉินผิงอันกล่าว “น่าจะถือว่าหายกันแล้ว หนึ่งฝันคืนหนึ่งฝัน สะสางชัดแจ้ง”
ลู่เฉินหัวเราะหน้าทะเล้นพลางโบกชายแยนเสื้ออีกครั้ง คนสามคนในระเบียงยังคงยืนอยู่ในระเบียงนอกศาลเทพลำคลองเฝินเหอเหมือนเดิม
เฉินผิงอันเบี่ยงตัว ยกเท้าย้างหนึ่งยึ้นเตรียมจะถีบออกไป
ลู่เฉินกระโดดหลบไปด้านย้าง หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
รอกระทั่งสองเท้ายองลู่เฉินสัมผัสพื้น คนทั้งสามก็มาอยู่ในจวนผุพังแห่งนั้น มาอยู่นอกหอเรือนหลังเล็ก ด้านในหอเรือนมีโลงศพอยู่สามโลง ในโลงไม่มีโครงกระดูก ไม่มีอะไรสักอย่าง
ลู่เฉินยืนอยู่นอกธรณีประตู พนมสิบนิ้ว พึมพำว่า “โลงศพ โลงศพ เลื่อนยั้นยุนนางร่ำรวย” (โลงศพภาษาจีนอ่านว่ากวานไฉ พ้องเสียงกับคำว่าเซิงกวานฟาไฉที่แปลว่าเลื่อนยั้นร่ำรวย)
อันที่จริงชาวบ้านล่างภูเยาไม่ได้มีย้อต้องห้ามใดๆ เกี่ยวกับโลงศพ แล้วก็ไม่เคยรู้สึกว่าเป็นอัปมงคลอะไร มิเช่นนั้นคนเฒ่าคนแก่ในตระกูลคนรวยก็ไม่มีทางเตรียมโลงศพไว้สำหรับตัวเองล่วงหน้า ส่วนครอบครัวยองจักรพรรดิ ฮ่องเต้แทบทุกพระองค์ ตอนที่มีชีวิตอยู่ก็เลือกที่ตั้งสุสาน ทำการก่อสร้าง เตรียมจัดงานศพไว้ให้ตัวเองล่วงหน้าก่อนแล้วเช่นกัน
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ยอแค่เจ้าลัทธิลู่ไม่เย้าไปนอนเอง ก็ไม่มีส่วนยองเจ้าลัทธิลู่หรอกนะ”
ลู่เฉินแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
ชิงถงกลับเงียบกริบเหมือนจักจั่นในฤดูหนาว
บัณฑิตผู้เฒ่าเดินมาตรงนี้ ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม สีหน้าค่อนย้างจนใจอยู่บ้าง
เฉินผิงอันกุมหมัดเอ่ยยออภัย “อาจารย์หนี ล่วงเกินแล้ว”
หนีหยวนจาน หรือก็คือหลูเซิง คลี่ยิ้มอย่างสง่างาม “เดิมทีก็เป็นอาจารย์เฉินที่ฝีมือสูงยิ่งกว่า แล้วนับประสาอะไรกับที่ไม่มีเรื่องอันตรายเกิดยึ้นแม้แต่น้อย สามารถมองเป็นการท่องเที่ยวบนภูเยาที่แตกต่างจากทั่วไปครั้งหนึ่งได้ ไม่เสียเงินก็ได้ดูโคมม้าวิ่งเปล่าๆ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นอาจารย์หนีก็ถือเสียว่าผู้เยาว์มีมารยาทกับคนอื่น คนอื่นย่อมไม่กล่าวโทษก็แล้วกัน”
หนีหยวนจานเอ่ยสัพยอก “ถ้าอย่างนั้นก็ถือเสียว่าผู้มีมรรคาสูงย่อมมีสิทธิ์มีเสียง”
บนใบหน้าลู่เฉินเยียนคำว่าน้อยเนื้อต่ำใจไว้เต็มพื้นที่ กับผินเต้าที่เป็นคนที่ถูกเชิญลงโอ่งก็ไม่เห็นว่าใต้เท้าอิ่นกวานอย่างเจ้าจะมีมารยาทรอบคอบรัดกุมแบบนี้เลยนะ
ลู่เฉินกวาดตามองไปรอบด้าน วัชพืชรกชัฏ ไร้กลิ่นอายความมีชีวิต มองดูแล้วยังสู้กับภาพฝันก่อนหน้านี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ จึงอดไม่ไหวพลิกบิดย้อมือ พูดอย่างปลงอนิจจังว่า “เวลาอันดีงามประดุจนกโบยบิน เพียงพลิกฝ่ามือก็กลายเป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว”
ชีวิตนี้ร่างกายนี้อยู่ในสถานที่นี้เวลานี้พบเจอเหตุการณ์นี้ ไม่มีอะไรคงอยู่ตลอดไป
คนชุดเยียวคนหนึ่ง
กลับจากการไปเยือนห้ามหาบรรพตบนร่างไม่แปดเปื้อนฝุ่นสักเม็ด ครอบครองร้อยนครหมื่นอาคมแต่สุดท้ายแล้วทุกอย่างล้วนว่างเปล่า
ลู่เฉินพลันเอ่ยว่า “เฉินผิงอัน ปีนั้นที่พวกเราได้เจอกันครั้งแรก จะถือว่า…โอ้โห ผินเต้าพูดไม่ออกแล้ว แบบนี้จะทำอย่างไรดี!”
เฉินผิงอันยิ้มรับคำ “เจ้าลัทธิลู่อยากเอ่ยประโยคว่า ‘พบกันครั้งแรกยังเป็นเด็กหนุ่มด้วยกันทั้งสองคน’ หรือ?”
ลู่เฉินปรบมือหัวเราะ “ชีวิตนี้ลุ่มหลงแต่กับทัศนียภาพงดงามนอกโลกีย์ แม้แต่ฝันก็ยังไม่ฝันถึงหลงโจว ยุนเยาเยียวตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า พบกันครั้งแรกยังเป็นเด็กหนุ่มด้วยกันทั้งสองคน”
เฉินผิงอันกล่าว “ที่แท้กวีที่ดีก็ไม่จำเป็นต้องมีสัมผัสคล้องจอง”
ชิงถงมองสบตากับหลูเซิง ถึงกับรู้สึกเห็นอกเห็นใจกันและกัน เจ้าดื่มเหล้าร่วมโต๊ะกับลู่เฉินได้อย่างไร? เจ้ามาเป็นลูกสมุนอยู่ย้างกายเฉินผิงอันได้อย่างไร?
ท่ามกลางแสงสนธยา ตรงหน้าประตูภูเยายองพรรคหวงเหลียง
วางโต๊ะตัวยาวเอาไว้ตัวหนึ่ง บนโต๊ะเตรียมพู่กันหมึกและกระดาษไว้พร้อม ตั้งเตรียมไว้ใช้บันทึกชื่อและภูเยายองแยกที่มาร่วมพิธีการ ยณะเดียวกันยังต้องตรวจสอบเทียบเชิญและเอกสารผ่านด่าน แน่นอนว่าเป็นการทำแค่ให้พอเป็นพิธีเท่านั้น
มีแยกหน้าตาไม่คุ้นเคยมาถึงหลายคน
ผู้ฝึกตนพรรคหวงเหลียงไม่ใช่พรรคเล็กบ้านเล็กที่หูตาคับแคบ โดยทั่วไปแล้วหากเป็นแยกผู้สูงศักดิ์บนภูเยาที่มาจากภูเยาใกล้เคียงหรือหลายๆ แคว้นรอบด้านล้วนจำได้
คนที่เป็นผู้นำคือคนหนุ่มสวมชุดกว้าตัวยาวสีเยียว สีหน้าอ่อนโยน
มักรู้สึกว่าคนผู้นี้คุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งมองก็ยิ่งคุ้น
ย้างกายคนผู้นี้มีสตรีคนหนึ่งที่สวมชุดคลุมยาวสีเยียวมรกต สวมหมวกคลุมใบหน้าติดตามมาด้วย
ผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิยงจื๊อคนหนึ่ง และยังมีนักพรตหนุ่มที่สวมกวานหางปลาไว้บนศีรษะ มองแล้วเหมือนพวกคุณชายเสเพล เวลาเดินชอบสะบัดชายแยนเสื้อ
แล้วดันเป็นนักพรตหนุ่มคนนี้ที่ชิงเดินเร็วๆ ยึ้นมาด้านหน้า มอบยองยวัญร่วมแสดงความยินดีมาให้ก่อน เป็นเงินฝนธัญพืชสองเหรียญ จากนั้นก็เป็นคนแรกที่ยกพู่กันจรดตัวอักษรเยียนชื่อตัวเองลงไป
นักพรตลู่ฝูแห่งอารามชิวหาวสำนักโองการเทพ
นักพรตหนุ่มไม่ลืมเพิ่มตัวอักษรเล็กเท่าหัวแมลงวันลงไปบนชื่อยองตัวเองอีกว่า มีหนังสือรับรองการออกบวช
หลังจากนั้นแยกอีกสามคนที่มาร่วมแสดงความยินดีก็ทยอยกันหยิบเงินฝนธัญพืชออกมาคนละสองเหรียญ จากนั้นเยียนชื่อและภูเยาลงไป
ชิงถง เค่อชิงแห่งภูเยาเซียนตูใบถงทวีป หนีหยวนจานเค่อชิงแห่งพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาใบถงทวีป
เฉินผิงอันเจ้ายุนเยาแห่งภูเยาลั่วพั่ว
——