กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 940.1 ใบท้อพบเจอดอกท้อ
ในอาณาเขตของแคว้นเมิ่งเหลียงนี้ พรรคหวงเหลียงที่เป็นเพื่อนบ้านบนภูเขากับภูเขาเมฆาเรือง ภูเขาบรรพบุรุษมีชื่อว่าโหลวซาน ตั้งอยู่ในอำเภอเปียอี้จังหวัดไหวอันแคว้นเมิ่งเหลียง
นับตั้งแต่ที่พรรคหวงเหลียงซื้อยอดเขาอี้ไต้แดนบินที่เป็น ‘ภูเขาเบื้องล่าง’ แห่งหนึ่งมาจากในบรรดาภูเขาใหญ่ทางทิศตะวันตกของที่ตั้งเก่าถ้ำสวรรค์หลีจู ก็ดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนจากคนโชคร้ายโดยตลอดเริ่มมาเป็นโชคดีได้แล้ว
อันดับแรกก็ใช้เงินอิ๋งชุนถุงหนึ่งจ่ายเป็นเงินค่าผ่านทาง จากนั้นใช้เงินยาเซิ่งที่เหลืออีกถุงหนึ่งซื้อยอดเขาอีไต้มาจากราชสำนักต้าหลี ราคาเพิ่มขึ้นจากเดิมหลายเท่าตัว
ทว่าปีนั้นอาจารย์ลุงหลิวหงเหวินที่เท่ากับว่าถูกน้อมส่งให้มาใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ที่ยอดเขาอีไต้นี้ได้รู้จักกับภูเขาลั่วพั่ว ว่ากันว่าเจ้าขุนเขาเฉินผิงอันยังเรียกเขาด้วยความเคารพว่าเซียนซือผู้เฒ่าหลิวด้วย นอกจากนี้เฉินหลิงจวินผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่วก็ยังเป็นสหายดื่มสุราที่สนิทสนมกับอาจารย์ลุงอย่างมาก อาจารย์ลุงยังเคยเข้าร่วมงานเลี้ยงท่องราตรีของขุนเขาเหนือภูเขาพีอวิ๋นอยู่หลายครั้ง ไม่ว่าอย่างไรก็ถือว่าเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตากันดีกับเว่ยซานจวิน
หากใช้คำกล่าวของอาจารย์ลุงก็คือ ข้าหลิวหงเหวินอยู่ในงานเลี้ยงท่องราตรีของเว่ยซานจวิน ที่นั่งอยู่หน้าๆ ทุกครั้ง มีครั้งใดบ้างที่ในบรรดาคนซึ่งมีขอบเขตต่ำกว่าก่อกำเนิดไม่ใช่ตำแหน่งที่นั่งของข้าที่อยู่ด้านหน้าสุด พูดถึงแค่สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับข้า สองครั้งก็เป็นเทพวารีของแม่น้ำซิ่วฮวา ครั้งหนึ่งเป็นเทพอภิบาลเมืองประจำจังหวัดหลงโจว ในวงการขุนนางภูเขาสายน้ำของราชสำนักต้าหลี ใครที่แย่บ้าง? หากเอาไปไว้ในแคว้นเมิ่งเหลียง ต่อให้เป็นซานจวินห้ามหาบรรพตที่ตำแหน่งเทพสูงที่สุดก็สามารถนั่งติดกับเทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาได้แล้วหรือ?
หลังจากนั้นก็ยิ่งมีลูกศิษย์ผู้สืบทอดในศาลบรรพจารย์ที่ถูกฝากความหวังไว้มากคนหนึ่งที่ได้เลื่อนขั้นเป็นโอสถทองได้สำเร็จจริงๆ
นี่ถึงได้มีงานพิธีเปิดยอดเขาที่พรรคหวงเหลียงจัดขึ้นในวันที่หนึ่งของปีหน้าครานี้
ในสำนักมีสามโอสถทอง
บวกกับที่ลูกศิษย์ปิดสำนักของเจ้าประมุขเกาเจิ่นก็คือคนที่ไปแสวงหาโชควาสนาที่ถ้ำสวรรค์หลีจูแต่ไม่ได้อะไรติดมือกลับมา ทว่าทุกวันนี้คอขวดขอบเขตประตูมังกรก็มีลางว่าจะคลายตัวออกแล้ว
ก่อนหน้านี้เกาเจิ่นเคยมีสัญญาวิญญูชนกับอาจารย์ลุง ในเมื่ออาจารย์ลุงทำ ‘การเดิมพัน’ ครั้งนั้นให้สำเร็จได้จริง เชิญคนของภูเขาลั่วพั่วให้มาเป็นแขกในงานพิธีของพรรคหวงเหลียงได้จริง ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องขายยอดเขาอีไต้แล้ว
พรรคหวงเหลียงตั้งใจเลือกเรือนสองหลังติดกันที่ทิวทัศน์ดีเยี่ยมที่สุดเอาไว้ให้
คนหนุ่มสวมชุดลัทธิขงจื๊อผู้นั้นชื่อว่าหลี่ไหว บอกว่าตัวเองมาจากสำนักศึกษาซานหยา และผู้เฒ่าชุดเหลืองที่อยู่ข้างกายเขาก็คล้ายจะเป็นผู้ติดตามคนหนึ่ง มีชื่อว่าโอ่วหลู แล้วก็ไม่มีแซ่ ฉายาว่าหลงซานกง ในเอกสารผ่านด่านบอกว่าเป็นผู้ฝึกตนอิสระของทักษินาตยทวีปคนหนึ่ง มีดวงตาเว้าลึกจมูกเหยี่ยว ผอมจนเหมือนหนังหุ้มกระดูก แต่กลับสวมชุดคลุมอาคมตัวหลวมโพรก
เนื่องจากนายบ่าวคู่นี้คือแขกที่อยู่เหนือการคาดการณ์ พรรคหวงเหลียงจึงเดาเอาว่า ลูกศิษย์สำนักศึกษาท่านนี้ เกินครึ่งน่าจะมีชาติกำเนิดจากตระกูลสูงศักดิ์ของล่างภูเขา อายุน้อยๆ ถึงได้มีผู้ติดตามเป็นผู้ฝึกตนเช่นนี้
เวลานี้หลี่ไหวกำลังเปิดอ่านตำราที่คล้ายบันทึกส่วนตัวของปัญญาชนเล่มหนึ่งอยู่ในห้อง คือหนังสือเล่มออกเหลืองที่ดึงออกมาจากมุมหนึ่งของชั้นหนังสืออย่างส่งๆ บนหนังสือประทับตราประทับอยู่หลายอัน ดูเหมือนว่าจะเป็นตราประทับหนังสือของปัญญาชนในพื้นที่ของแคว้นเมิ่งเหลียง ก็ถือว่ามีการสืบทอดต่อกันมาอย่างมีระบบระเบียบ สองหน้าท้ายของหนังสือยังเสียบกระดาษบันทึกไว้แผ่นหนึ่ง บอกเล่าความเป็นมาของหนังสือเล่มนี้ไว้คร่าวๆ บอกว่าได้มาจากสถานที่แห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าศาลเทพลำคลองเฝินเหอ คนเฝ้าศาลเป็นผู้มอบให้
เนื่องจากหลี่ไหวมีสถานะของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของสำนักศึกษา พรรคหวงเหลียงจึงจัดหาเรือนที่ประณีติงดงามมาให้เขา กรอบป้ายกลอนคู่ สี่สมบัติในห้องหนังสือ ของตกแต่งในห้องตามสมัยนิยม อะไรที่ควรมีล้วนมีครบถ้วน ในกระบอกเก็บม้วนภาพหลายใบก็เสียบม้วนภาพและภาพวาดอักษรไว้จนเต็ม
อันที่จริงหลี่ไหวละอายใจอย่างมาก เพียงแต่ว่าจะให้เขาบอกว่าแท้จริงแล้วข้าไม่ชอบอ่านตำราก็คงไม่ได้
นักพรตเนิ่นนั่งอยู่ตรงธรณีประตู กึ่งหลับกึ่งตื่น ตั้งใจศึกษาตำราโบราณ ‘หลอมภูเขา’ ที่เฒ่าตาบอดโยนมาให้เขาเหมือนเป็นขยะชิ้นหนึ่งเล่มนั้น น่าเสียดายที่มีแค่เล่มครึ่งบนเท่านั้น
แต่แค่เล่มครึ่งบนนี้ก็ทำให้นักพรตเนิ่นได้รับผลประโยชน์ไม่น้อยแล้ว เขากับหยวนโส่วบรรพบุรุษย้ายภูเขาหนึ่งในปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ราชาเก่าของเปลี่ยวร้างย่อมต้องมีการช่วงชิงกันบนมหามรรคา ฝ่ายหลังย้ายภูเขา นักพรตเนิ่นขับไล่ภูเขา วิชาคาถา ระดับความสูงของมรรคกถาของทั้งสองฝ่ายต่างกันไม่มาก มีเพียงสายของการ ‘กินภูเขา’ ที่ใช้การหลอมขุนเขาหลอมเส้นชีพจรมังกรเท่านั้นที่ดูเหมือนหยวนโส่วซึ่งชื่อจริงคือจูเยี่ยนจะได้รับวิชาอภินิหารบรรพกาลบทหนึ่งมาจากหย่างจื่อที่เป็นชู้รัก นี่จึงเป็นเหตุให้แม้ทั้งสองฝ่ายจะเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานเหมือนกัน แต่จูเยี่ยนกลับมีแนวโน้มว่าขอบเขตบนมหามรรคา ‘สมบูรณ์แบบ’ มาได้นานกว่า ถึงได้มีเงินทุนและความมั่นใจที่จะแสวงหาขอบเขตสิบสี่ซึ่งเป็นมายาล่องลอยนั้น
ก่อนหน้านี้ใช่ว่านักพรตเนิ่นไม่เคยมีความคิดที่จะให้หลี่ไหวไปขอร้องเฒ่าตาบอด
ผลคือหลี่ไหวเอ่ยมาสองประโยคก็หยุดความคิดของนักพรตเนิ่นได้แล้ว
‘หากข้ายินดีช่วยเจ้า แต่เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าขอร้องไปแล้ว อาจารย์เกินครึ่งตัวคนนั้นของข้าก็จะยินดีมอบตำราโบราณครึ่งเล่มล่างให้เจ้าแล้ว?’
‘ถอยไปพูดก้าวหนึ่ง ต่อให้เขายอมไว้หน้าข้า มอบครึ่งเล่มล่างให้เจ้าจริง เจ้าจะกล้าเอามาฝึกบำเพ็ญตนจริงหรือ?’
นักพรตเนิ่นทอดถอนใจ คุณชายบ้านตนไม่โง่เลยจริงๆ
หลี่ไหวให้ความเคารพคนที่อาวุโสกว่า จึงไม่สะดวกจะพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า เฒ่าตาบอดอาจารย์เกินครึ่งตัวของเขาคนนั้นพูดง่ายกับเขาหลี่ไหวมาก แต่กับเจ้าเหล่าเนิ่น ยากแล้ว
อันที่จริงเถาถิงแห่งเปลี่ยวร้างผู้นี้ก็มีแต่อยู่กับเฒ่าตาบอดเท่านั้นที่ถูกบดบังความมีหน้ามีตาไปจนสิ้น ไม่อย่างนั้นแล้วหากพูดถึงแค่บนเกาะยวนยาง นับตั้งแต่หนันกวงจ้าวไปจนถึงเซียนเหรินอวิ๋นเหมี่ยว แล้วไปจนถึงพวกคนที่ชมศึกอยู่ไกลๆ อย่างฉินจ่าว เหยียนเก๋อและเทียนหนี ใครที่กล้ามองนักพรตเนิ่นผู้นี้เป็น ‘ตาแก่หนังเหนียว’ ที่ไร้กลอุบายบ้าง? ส่วนก่อนที่นักพรตเนิ่นจะกลายมาเป็นสุนัขเฝ้าบ้านอยู่ที่ภูเขาใหญ่แสนลี้ ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างแห่งนั้น ในเมื่อเคยต่อสู้อย่างเอาจริงเอาจังกับหยวนโส่วราชาบนบัลลังก์เก่ามาหลายครั้ง จะเป็นคนที่มีเรื่องด้วยง่ายได้อย่างไร? ในประวัติศาสตร์ของเปลี่ยวร้างเคยมี ‘คนหนุ่ม’ คนหนึ่งที่ชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมากะทันหัน ขอบเขตบินทะยาน มีฉายาว่า ‘หยวนโส่วน้อย’ ในวิถีแห่งการย้ายภูเขาชำนาญเข้าขั้น เวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งพันปีก็ไม่รู้ว่ากินภูเขาและศาลบรรพจารย์ไปกี่หลายร้อยแห่งแล้ว เป็นเหตุให้โลกภายนอกต่างก็เดากันว่าหากเขาเจอกับเถาถิง สรุปแล้วจะมีโอกาสชนะกี่ส่วน บางคนเดาว่าอย่างน้อยก็ต้องห้าส่วน
ผลคือผู้ฝึกตนใหญ่ที่มีหน้ามีตาอยู่พักหนึ่งผู้นี้ มีครั้งหนึ่งระหว่างที่เดินทางไปข้างนอกได้ถูกเถาถิงไปดักขวางทาง ทั้งสองฝ่ายโรมรันต่อสู้กันจนสนามรบกินอาณาบริเวณหลายล้านลี้ หลังจากสงครามใหญ่ที่ต่อสู้กันอย่างเต็มคราบผ่านพ้นไปก็เหลือแค่เถาถิงเพียงคนเดียวที่หยุดลอยตัวอยู่กลางอากาศ ตบหน้าท้อง ส่งเสียงเรอดังเอิ้ก ทิ้งไว้เพียงประโยคเดียวว่า ‘กินอิ่มได้แค่ห้าส่วน’
หลี่ไหวถามอย่างใคร่รู้ “ทำไมในประวัติศาสตร์พรรคหวงเหลียงถึงมีผู้ฝึกตนโอสถทองมากมายขนาดนั้น แต่กลับไม่มีก่อกำเนิดเลยแม้แต่คนเดียว ลมและน้ำของที่นี่ประหลาดเกินไปหน่อยแล้วหรือไม่?”
นักพรตเนิ่นพูดกลั้วหัวเราะ “บางทีคงจะเป็นการมียืมมีคืนกระมัง”
ก่อนหน้านั้นตอนอยู่บนเรือข้ามฟาก ในฐานะ ‘บรรพจารย์’ สายขับไล่ภูเขาของใต้หล้าอย่างสมชื่อ นักพรตเนิ่นมองเส้นชีพจรมังกรของภูเขาโหลวซานออกตั้งแต่แรกแล้ว รู้ว่ามันเป็นพื้นที่ฮวงจุ้ยมงคลที่ไม่เหมือนที่อื่น เป็นเหตุให้นักพรตเนิ่นต้องนับนิ้วทำมุทราถึงจะค้นพบ ‘เส้นชีพจร’ ที่ไม่สะดุดตาเส้นหนึ่งของเขตภูเขาโหลวซาน ระหว่างหน้าผาซ่อนสถานประกอบพิธีกรรมโพรงหินไว้แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสถานที่ที่แสงดาวจากด้ามกระบวยของดาวเป่ยโต้วสาดสะท้อนลงมาพอดี เคยมียอดฝีมือคนหนึ่งได้มา ‘บรรลุมรรคา’ อยู่ที่นี่ ท่วงทำนองของมรรคาดำรงอยู่เนิ่นนานไม่สลายหายไปไหน ไม่สะดุดตานัก แต่กลับหล่อหลอมขมวดรวมเป็นหนึ่งได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นเหตุให้พบเจอได้ยากอย่างถึงที่สุด หากจะพูดว่าลักษณะภูเขาของภูเขาโหลวซานเหมือน ‘ลักษณะของขุนนาง’ ที่สวมชุดขุนนางสีแดงให้เห็นอย่างชัดเจน ขอแค่เป็นคนที่พอจะเป็นศาสตร์มองลมปราณอยู่บ้างสักเล็กน้อยก็ต้องมองตื้นลึกออก ถ้าอย่างนั้นสถานที่แห่งนี้ก็ถือว่าเป็นน้ำเต้าวิเศษที่เลือกสถานที่หยั่งรากลึก บ่มเพาะของล้ำค่าที่เป็นอมตะชิ้นหนึ่งออกมา และเส้นสายรากดินเส้นนั้นก็คือ ‘ถุงผ้าปลาทอง (ถุงห้อยพกติดตัวอย่างหนึ่ง ลักษณะเป็นสี่เหลี่ยม มีไว้บอกระดับขั้นของขุนนาง โดยทั่วไปต้องเป็นขุนนางระดับสี่ขึ้นไปถึงจะได้พกถุงนี้) ของขุนนาง’ ที่เหมือนเวทอำพรางตาตามธรรมชาติอย่างหนึ่ง
นักพรตเนิ่นเห็นว่าคุณชายของตนฟังด้วยความมึนงงก็อธิบายอย่างมีน้ำอดน้ำทนว่า “พรรคหวงเหลียงแห่งนี้ ในอดีตตอนที่โชคชะตารุ่งเรืองถึงขีดสุด ว่ากันว่าหากรวมพวกผู้ถวายงานและเค่อชิงเข้าไป ในศาลบรรพจารย์แห่งหนึ่งก็ได้ครอบครองโอสถทองถึงสิบสองคน อยู่ในแจกันสมบัติทวีปเวลานั้นก็ถือว่าเป็นจวนเซียนอันดับหนึ่งที่สมชื่ออย่างมากแล้ว แต่มีผู้ที่บรรลุมรรคาคนหนึ่งเชี่ยวชาญศาสตร์การดูความรุ่งโรจน์และเสื่อมถอยของหมื่นสรรพสิ่ง จึงช่วยสะสมฐานกำลังทรัพย์ให้กับภูเขาโหลวซานปีแล้วปีเล่า นานวันเข้าก็กลายมาเป็นคลังสมบัติแห่งหนึ่ง เพียงแต่ว่าผู้ฝึกตนของพรรคหวงเหลียงกลับไม่เคยมีตัวอ่อนด้านการฝึกตนที่แท้จริงปรากฎตัวมาก่อน เป็นเหตุให้ไม่อาจเดินเข้าประตูได้ เพราะคลังสมบัติแห่งนี้จำเป็นต้องมีกุญแจหนึ่งดอก ต้องมีคนที่เปิดประตู”
หลี่ไหวจุ๊ปากเอ่ยอย่างประหลาดใจ “การประชุมของศาลบรรพจารย์ มีเซียนดินโอสถทองนั่งอยู่ในเวลาเดียวกันตั้งสิบสองคน ยิ่งใหญ่ตระการตานัก”
ดังนั้นสายตาที่พรรคหวงเหลียงใช้มองมายังภูเขาเมฆาเรืองที่ในเวลานั้นมีก่อกำเนิดนั่งบัญชาการณ์ภูเขาก็ยังเป็นสายตาที่หลุบต่ำดุจคนมองมาจากที่สูงกว่า
อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างพรรคหวงเหลียงกับแคว้นเมิ่งเหลียง หากดูแค่ชื่อพรรคกับชื่อแคว้น ก็น่าจะเข้าใจได้เป็นอย่างดีแล้ว
เมื่อเทียบกับภูเขาเมฆาเรือง คิดดูแล้วในส่วนลึกของหัวใจจักรพรรดิประจำแคว้นแต่ละยุคแต่ละสมัยก็น่าจะเกิดความใกล้ชิดกับภูเขาโหลวซานมากกว่า แน่นอนว่าย่อมต้องยินดีให้การสนับสนุนพรรคหวงเหลียงอย่างเต็มกำลัง
นักพรตเนิ่นหัวเราะร่วน
หากว่าอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่การฝึกตนแค่ต้องให้คนคนหนึ่งกินอิ่ม เซียนดินสิบสองคน? ไม่สนหรอกว่าเจ้าจะเป็นโอสถทองหรือก่อกำเนิด ไม่พอให้ข้ากินสักคำเลยด้วยซ้ำ
หลี่ไหวเอ่ยอย่างประหลาดใจ “เจ้าประมุขเกาเป็นเซียนกระบี่คนหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจเป็นคนเปิดประตูที่ได้ครอบครองกุญแจหรือ?”
นักพรตเนิ่นสะอึกอึ้งไปทันใด
เดิมอยากพูดว่าเจ้าประมุขพรรคหวงเหลียงคนนั้นเป็นแค่ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองที่คุณสมบัติห่วยแตกคนหนึ่ง จะนับเป็นตัวอะไรได้
แต่อยู่ร่วมกับหลี่ไหวมานานวันเข้าจึงรู้ว่าคุณชายบ้านตนไม่ชอบคำพูดคำจาแบบนี้ นักพรตเนิ่นจึงเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ “เกาเจิ่นยังอยู่ห่างจากคำเรียกขานว่าตัวอ่อนผู้ฝึกตนของข้าก่อนหน้านี้อีกค่อนข้างไกล”
เจ้าขุนเขาเจ้าประมุขเกาเจิ่นคือโอสถทอง ‘รุ่นเยาว์’ ที่อายุมากแล้ว แต่เพียงแค่เพราะมานะฝึกตนมาสามร้อยปี แล้วก็เคยเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่ถูกฝากความหวังไว้มาก การเลื่อนเป็นห้าขอบเขตกลางจึงราบรื่นมาได้ตลอดทาง หลังจากนั้นการทยอยฝ่าคอขวดสองขอบเขตอย่างถ้ำสถิตและชมมหาสมุทรก็ใช้เวลาไม่มาก ทว่ากลับหยุดชะงักอยู่ที่ขอบเขตประตูมังกรเกือบสองร้อยปี ตามวิธีการคำนวณของบนภูเขาแล้ว ‘อายุในการฝึกตน’ ของการกลายเป็นโอสถทอง อันที่จริงก็เป็นเวลาสั้นๆ แค่สี่สิบกว่าปีเท่านั้น
ในอดีตการที่สามารถใช้ขอบเขตประตูมังกรมารับหน้าที่เป็นเจ้าขุนเขาพรรคหวงเหลียงได้ เหตุผลเพียงหนึ่งเดียวก็คือสถานะผู้ฝึกกระบี่ของเกาเจิ่น คนทั้งบนและล่างของพรรคหวงเหลียง ตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็มีผู้ฝึกกระบี่อยู่แค่สองคนเท่านั้น อีกทั้งคนที่อายุน้อย ทุกวันนี้ก็ยังเป็นเพียงเด็กน้อยที่ขึ้นเขามาได้แค่ไม่กี่ปี แม้ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนสายอื่นของพรรคหวงเหลียงที่ไปเจอตัวมาจากล่างภูเขา จากนั้นพาขึ้นเขาด้วยตัวเอง แต่ผลลัพธ์สุดท้ายกลับไม่ผิดไปจากที่คาดแม้แต่น้อย เพราะได้กลายมาเป็นลูกศิษย์เข้าห้องของเจ้าประมุขเกาเจิ่นที่เขาถ่ายทอดเวทกระบี่ให้ด้วยตัวเอง
นี่ก็คือกฎเกณฑ์ทั่วไปของบนภูเขาใต้หล้าไพศาล ยกตัวอย่างเช่นเถียนหว่านแห่งยอดเขาจูอวี๋ของภูเขาตะวันเที่ยง นางก็ได้ทยอยเจอตัวซูเจี้ยและอู๋ถีจิง ตัวอ่อนเซียนกระบี่สองคนนี้ก็ต้องเปลี่ยนที่พึ่งใหม่บนภูเขา ออกไปจากยอดเขาจูอวี๋ ไปอยู่กับยอดเขาอื่นแทน
ดังนั้นต่อให้จะเป็นผู้นำทางของพรรคหวงเหลียงคนนั้นก็ยังไม่รู้สึกอยุติธรรมใดๆ ถึงขั้นที่ว่าตอนที่ผู้ฝึกกระบี่คนนั้นกราบเกาเจิ่นเป็นอาจารย์ก็ยังยินดีมอบของวิเศษที่เก็บรักษาไว้อย่างดีนานหลายปีเป็นของขวัญร่วมแสดงความยินดีให้ด้วย
ก่อนที่เจ้าขุนเขาคนก่อนจะปิดด่านก็ได้ทิ้งคำสั่งเสียอย่างหนึ่งเอาไว้ว่า หากตนปิดด่านไม่สำเร็จ ได้แต่สละร่างไปจากโลกนี้ ก็ให้เกาเจิ่นมารับตำแหน่งเจ้าประมุขแทน
ความสัมพันธ์ที่ไม่ปรองดองระหว่างเกาเจิ่นกับหลิวหงเหวินผู้เป็นอาจารย์ลุงก็มีสาเหตุมาจากเรื่องนี้ หลิวหงเหวินคือผู้ฝึกตนรุ่นเก่าที่รักศักดิ์ศรีหน้าตาและให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์มากที่สดุ ก็เหมือนคนเฒ่าคนแก่ในยุทธภพล่างภูเขาบางส่วนที่ยึดหลักขนบธรรมเนียมเดิมๆ รู้สึกว่าให้ขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งมาเป็นเจ้าประมุขไม่เข้าท่านัก บรรพบุรุษบ้านตนเคยมีหน้ามีตาถึงเพียงใด ในแจกันสมบัติทวีปแห่งนี้ หากเอาไปวางไว้ในราชวงศ์ล่างภูเขาก็เป็นตระกูลปัญญาชนสูงศักดิ์ที่เป็นสามมหาเสนบดีสี่รุ่นได้แล้ว เรื่องแบบนี้หากแพร่ออกไปจะกลายเป็นเรื่องตลกใหญ่เทียมฟ้า ผิดต่อบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งสำนัก แล้วจะมีหน้าไปจุดธูปกราบไหว้ในศาลบรรพจารย์อีกได้อย่างไร?
ภายหลังต่อให้เจ้าประมุขเกาเจิ่นจะสร้างโอสถได้สำเร็จ กลายเป็น ‘เซียนกระบี่’ ที่พอจะมีชื่อเสียงในอาณาเขตทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีป ความสัมพันธ์กับอาจารย์ลุงหลิวหงเหวินก็ยังไม่ดีขึ้น
ทำไม จะให้ข้าหลิวหงเหวินที่เป็นอาจารย์ลุงเป็นผู้อาวุโสในสำนักก้มหัวไปยอมรับผิดกับคนที่เป็นศิษย์หลานด้วยหรือ?
นักพรตเนิ่นเอ่ยอย่างจนใจว่า “คุณชาย ทำไมสำหรับท่านแล้ว ผู้ฝึกตนโอสถทองถึงเป็นเหมือนยอดฝีมือนอกโลกเลยเล่า?”
หลี่ไหวเหมือนจะจนใจยิ่งกว่า “ก็บนภูเขาต่างก็พูดกันว่า ‘ผู้ที่สร้างโอสถทองได้สำเร็จคือคนรุ่นเดียวกับข้า’ ไม่ใช่หรือ ในเมื่อกลายเป็นเทพเซียนพสุธาแล้ว ทำไมจะไม่ใช่ยอดฝีมือเล่า ข้าแค่เคยเจอผู้ฝึกตนใหญ่บางส่วนเท่านั้น ตัวข้าเองไม่ได้เป็นผู้ฝึกตนใหญ่เสียหน่อย ใช่ไหมล่ะ?”
นักพรตเนิ่นรีบพูดประจบทันใด “จิตใจที่เป็นกลางของคุณชาย เทียบกับจิตแห่งมรรคาของข้าแล้วสูงกว่าไม่ใช่แค่หนึ่งแสนแปดพันลี้เท่านั้น หาได้ยาก หาได้ยาก”
หลี่ไหวเปิดตำราต่อ อ่านไปได้ประมาณครึ่งเล่มก็ทนอ่านต่อไปไม่ไหวจริงๆ ตัวอักษรเขาล้วนอ่านออก แต่พอเอาพวกมันมารวมกันเป็นประโยค พออ่านแล้วก็มักจะไม่ค่อยเข้าใจ มักรู้สึกว่าลี้ลับมหัศจรรย์เกินไป หลักการเหตุผลใหญ่เกินไป เหมือนอย่างสัจธรรมของพวกปัญญาชนว่างงานทั้งหลายที่ไม่เข้าประเด็น ตรงจุดที่ว่างเปล่าก็ไม่มีคำอธิบายอะไรเพิ่มเติม หลี่ไหวถอนหายใจ ข้าไม่ใช่คนที่เหมาะจะเล่าเรียนเขียนอ่านเลยจริงๆ ได้แต่ปิดหนังสือลง วางไว้บนโต๊ะ ยื่นนิ้วไปลูบรอยยับให้ราบเรียบ ต่อให้จะไม่ใช่เมล็ดพันธ์บัณฑิตที่สร้างชื่อเสียงให้แก่วงศ์ตระกูล แต่สำหรับตำราที่เข้ามาอยู่ในมือก็ต้องปฏิบัติต่อพวกมันให้ดีหน่อย
——