กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 940.3 ใบท้อพบเจอดอกท้อ
ลู่เฉินพลันร้องเอ๊ะหนึ่งที นวดคลึงปลายคาง “แบบนี้ก็ได้ด้วยหรือ? มรรคาไม่มีแบ่งสูงต่ำ มรรคกถาไม่มีความต่างเรื่องไกลและใกล้จริงเสียด้วย”
นอกจากหนีหยวนจานที่เป็นขอบเขตหยกดิบซึ่งไม่รู้เรื่องอะไรด้วยแล้ว เฉินผิงอันกับชิงถงต่างก็สัมผัสได้ถึงริ้วคลื่นกระเพื่อมของมรรคกถาที่ลี้ลับมหัศจรรย์ซึ่งก่อกำเนิดขึ้นมาในภูเขาส่วนนั้นได้
ลู่เฉินพยักหน้า “แต่ว่ายังห่างจากขอบเขต ‘พูดจาวางโตไม่ละอาย’ ไปสักหน่อย ยังขาดความหมายบางอย่างไป สหายเถาถิงผู้นี้ ตอนนี้บอกได้แค่ว่าหาความเป็นไปได้อย่างหนึ่งเจอ ไม่ต้องรู้สึกสิ้นหวัง ได้แต่อยู่เฉยๆ รอความตายอีกต่อไปแล้ว”
ชิงถงกล่าว “เฉินผิงอัน ในเมื่อก่อนหน้านี้นักพรตฉุนหยางก็พูดเองแล้วว่าให้เจ้าไปตามหาวิชากระบี่ที่ชี้ตรงไปยังโอสถทองบทนั้นเอาเอง เมื่อครู่นี้พวกเราเดินทางผ่านมาแล้ว ทำไมไม่ไปดูสักหน่อยล่ะ?”
ลู่เฉินหลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “สหายชิงถงวางใจได้เลย ผินเต้าไม่มีทางแย่งชิงโชควาสนาครั้งนี้กับใต้เท้าอิ่นกวานหรอก”
โอ้โห สตรีพอเติบใหญ่แล้วก็ไม่อาจรั้งตัวไว้ในบ้านได้จริงๆ เวลาเพียงไม่นานก็หันไปเข้าข้างคนนอกอย่างใต้เท้าอิ่นกวานแล้วหรือ? ก็จริงนะ ก็เป็นเค่อชิงของภูเขาเซียนตูแล้วนี่นา
เฉินผิงอันกล่าว “กำลังอ่านอยู่”
……
บนภูเขาโหลวซาน ในศาลาลมของเรือนหลังเล็กที่เงียบสงบมากแห่งหนึ่ง เจ้าประมุขเกาเจิ่นกำลังเล่นหมากล้อมกับบุรุษหนุ่มลักษณะคล้ายปัญญาชน
คนที่เกาเจิ่นเล่นหมากล้อมด้วยก็คือหวงชงฮ่องเต้แคว้นเมิ่งเหลียง ด้านหลังของเขาคือสตรีสวมชุดชาววังคนหนึ่งที่มีโชคชะตาน้ำเข้มข้นยืนอยู่กับผู้เฒ่าร่างกำยำที่กลิ่นอายแห่งมรรคาล้ำลึก
จักรพรรดิผู้ครองแคว้น ในวันที่สามสิบซึ่งเป็นวันสิ้นปีนี้กลับไม่อยู่ในวังของเมืองหลวง ดูเหมือนว่านี่ยังเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์แคว้นเมิ่งเหลียงเสียด้วย ต้องรู้ว่าจักรพรรดิท่านหนึ่ง ในช่วงเวลานี้มักจะยุ่งที่สุด หากใช้คำกล่าวของหวงชงเองก็คือหลบมาหาความสงบ แต่ฮ่องเต้หนุ่มผู้นี้ก็มีใจแสวงหาเต๋ามาโดยตลอด มีความใกล้ชิดกับลัทธิเต๋า ย้อนกลับไปมองภูเขาเมฆาเรืองที่ทุกวันนี้คือเสาค้ำยันของแคว้นเมิ่งเหลียง เนื่องจากแนวทางการฝึกตนใกล้เคียงกับลัทธิพุทธมากกว่า ดังนั้นต่อให้เป็นเรื่องใหญ่อย่างการเปลี่ยนตัวเจ้าขุนเขา ฮ่องเต้ก็ไม่คิดจะไปร่วมแสดงความยินดีด้วยตัวเอง แค่อนุญาตให้เจ้ากรมพิธีการขึ้นเขาไปร่วมงานพิธีเท่านั้น
หวงชงมองสถานการณ์บนกระดานหมากแล้วคีบหมากขึ้นมาหนึ่งเม็ด สายตาสอดส่ายไปมา ยังคงยกเม็ดหมากค้างไว้ไม่ยอมวาง เอ่ยเยาะเย้ยตัวเองว่า “ดูท่าพวกฉีไต้จ้าวที่อยู่ในวังหลวงทั้งหลาย เมื่อเทียบกับเทพเซียนบนภูเขาที่เชี่ยวชาญการเล่นหมากล้อมอย่างพวกเจ้าแล้วยังด้อยกว่าไม่น้อย”
เกาเจิ่นยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “บางทีอาจเป็นเพราะพวกเขาจงใจแพ้ให้ฝ่าบาทก็เป็นได้”
เห็นได้ชัดว่าอยู่กับฮ่องเต้ เกาเจิ่นไม่ได้ยึดหลักข้อห้ามระหว่างจักรพรรดิและขุนนางอะไร และยิ่งไม่เอ่ยถ้อยคำตามมารยาททำนองว่า ‘ข้าคือบุคคลอันดับหนึ่งด้านการเล่นหมากล้อมบนภูเขาของหนึ่งแคว้น ฝ่าบาทคือผู้ไร้ศัตรูเทียมทานด้านการเล่นหมากล้อมของล่างภูเขาในหนึ่งแคว้น’
หวงชงยิ้มพลางพยักหน้ารับ “ก็เป็นไปได้”
แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะเกาเจิ่นเป็นผู้ฝึกกระบี่เซียนดินขอบเขตโอสถทองแล้วจะยกตนข่มท่าน รู้สึกว่าขอบเขตของตนมากพอจะมองเหยียดจักรพรรดิล่างภูเขาได้แล้ว
บางทีเมื่อหลายสิบปีก่อน แจกันสมบัติทวีปนอกจากราชวงศ์ต้าหลีแล้ว ราชวงศ์ส่วนใหญ่อาจเป็นเช่นนี้ รอกระทั่งสกุลซ่งต้าหลีทำให้หนึ่งแคว้นกลายเป็นหนึ่งทวีป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตั้งป้ายศิลาอยู่เหนือกลุ่มยอดเขา สถานการณ์เช่นนี้อันที่จริงได้เปลี่ยนแปลงทัศนคติของผู้คนไปแล้ว เพราะถึงอย่างไรพรรคหวงเหลียงในทุกวันนี้ก็อยู่บนภูเขาโหลวซานที่เป็นภูเขาบรรพบุรุษ ห่างจากประตูศาลบรรพจารย์ไปไม่ไกลก็มีป้ายศิลาที่ว่านี้ตั้งอยู่แผ่นหนึ่ง ต่อให้ทางทิศใต้ของลำน้ำใหญ่แจกันสมบัติทวีปจะได้กอบกู้แคว้นกลับคืนมาแล้ว อีกทั้งยังไม่ได้เป็นแคว้นใต้อาณัติของสกุลซ่งต้าหลีอีกต่อไป ทว่าป้ายศิลาแผ่นนี้กลับไม่มีจวนเซียนแห่งใดกล้าถอนออกไป
เคยมีข่าวลือเล็กๆ ข่าวหนึ่งบอกว่าเมื่อก่อนมีพรรคบนภูเขาอยู่หลายแห่งรู้สึกว่าแผ่นป้ายนี้ขวางหูขวางตาจึงปรึกษากับราชสำนักล่างภูเขาไว้เรียบร้อย ในเมื่อได้ฟื้นคืนชะตาแคว้นกลับมา ต้าหลีไม่ใช่แคว้นเหนือหัวอีกต่อไป ก็ย้ายออกไปเถอะ
ผลคือรอกระทั่งรายงานภูเขาสายน้ำฉบับหนึ่งแพร่จากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมาถึงแจกันสมบัติทวีป พวกเขาก็หยุดความคิดนี้กันไปอย่างสิ้นเชิง พากันอาศัยรายงานข่าวของบ้านตนป่าวประกาศแก่ทั้งทวีป แม้เนื้อหาจะไม่เหมือนกัน แต่กลับมีความหมายอย่างเดียวกัน
ไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแน่นอน ใครกล้าใส่ร้ายป้ายสีก็จะต้องเอาเรื่องให้ถึงที่สุด!
ช่วยไม่ได้ ราชวงศ์ต้าหลีไม่มีซิ่วหู่แล้ว แจกันสมบัติทวีปกลับมีอิ่นกวานมาแทน
อีกทั้งสองคนนี้ยังเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องที่มาจากสำนักเดียวกันเสียด้วย
ในที่สุดหวงชงก็วางเม็ดหมาก เกาเจิ่นกวาดตามองแล้วยิ้มเอ่ย “ฝ่าบาทแพ้แล้ว”
หวงชงพยักหน้า ทำท่าจะพูดแต่ไม่พูด เพราะพอคำพูดมาหยุดรออยู่ตรงปากก็ถูกเขากลืนกลับลงท้องไปอีกครั้ง หาคำพูดอย่างใหม่มายิ้มเอ่ยสัพยอกว่า “เจ้าประมุขเกา ทุกวันนี้ในที่สุดพรรคหวงเหลียงของพวกเจ้าก็ได้ร่ำรวยอู้ฟู่แล้ว ลำพังแค่ข้า และยังมีเทพวารีน่าหลัน เหมยซานจวิน ของขวัญแสดงความยินดีของพวกเราสามคน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเป็นเงินเข้าบัญชีที่ไม่เล็กก้อนหนึ่งกระมัง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงส่วนของภูเขาเมฆาเรือง ขนาดข้าก็ยังอิจฉา อิจฉามากเลยล่ะ!”
เทพวารีหญิงแซ่น่าหลันผู้นั้นคลี่ยิ้มหวานเอ่ยว่า “ก่อนข้าจะขึ้นเขามาก็เคยโน้มน้าวฝ่าบาทว่าไม่สู้เอาของขวัญร่วมแสดงความยินดีที่ข้ากับเหมยซานจวินเตรียมมาเก็บกลับเข้าท้องพระคลังของเชื้อพระวงศ์ไปพร้อมกัน ถึงอย่างไรเจ้าประมุขเกาก็ไม่ถือสาอะไรอยู่แล้ว”
เหนียงเนียงเทพวารีท่านนี้สวมผ้าทอสีเขียวมรกต ใช้เส้นด้ายหลากสีรัดพันที่ข้อมือ ห้อยยันต์ชิ้นเล็กประดับมวยผม แค่ดูจากการแต่งกายนี้ก็รู้ได้ว่าเป็นผู้เลื่อมใสซูจื่อคนหนึ่ง (มาจากบทกวีด้ายสีรัดพันข้อมือหยกนวล ยันต์เล็กห้อยประดับมวยผมสีนิล หวังได้อยู่ร่วมกับคนงามนานพันปี)
เกาเจิ่นหัวเราะเสียงดังกังวาน “ครั้งนี้ได้กำไรมาไม่น้อยจริงๆ ที่สำคัญที่สุดก็คือ ในที่สุดก็สามารถทำให้ภูเขาเมฆาเรืองมอบของขวัญกลับคืนได้แล้ว ไม่ง่ายเลยจริงๆ!”
คนรวยใช้ชีวิตด้วยการร่ำรวย ยิ่งใช้ชีวิตก็ยิ่งรวย คนจนใช้ชีวิตด้วยการจ่ายเงิน ยิ่งใช้ชีวิตก็ยิ่งยากจน
ไม่เลี้ยงแขกหรือ ดูแล้วไม่มีศักดิ์ศรี เลี้ยงแขกหรือ เหมือนตบหน้าตัวเองสวมรอยเป็นคนอ้วน แขกกินอาหารหมดแล้วจากไป ตัวเองกลับต้องกลับไปพร้อมความหิวโหย
บนภูเขาก็มีหลักการเดียวกัน
ในอดีตเป็นเพื่อนบ้านบนภูเขาที่อยู่ห่างกันไม่กี่ก้าวกับภูเขาเมฆาเรือง ลำบากเพียงใดมีเพียงตัวเองที่รู้ เงินใส่ซองแต่ละครั้ง จ่ายเงินไปเหมือนน้ำไหล ประเด็นสำคัญคือนั่นยังเป็นซองแดงที่ถูกกำหนดมาแล้วว่ามีแต่จะไปไม่มีได้กลับคืน
พูดถึงแค่ไช่จินเจี่ยนแห่งยอดเขาลวี่กุ้ยผู้นั้น สร้างโอสถทอง พิธีเปิดยอดเขา จากนั้นกลายเป็นก่อกำเนิด ทางฝั่งของพรรคหวงเหลียงต้องมอบของขวัญแสดงความยินดีไปกี่ชิ้นแล้ว? และเวลามอบของขวัญให้ทีจะแร้นแค้นเกินไปก็ไม่ดีกระมัง?
นอกจากนี้ภูเขาเมฆาเรืองยังมีผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนคนแล้วคนเล่า คู่รักบนภูเขาแต่งงานกัน ใครบางคนเลื่อนเป็นขอบเขตถ้ำสถิต กลายเป็นเทพเซียนห้าขอบเขตกลาง เซียนซือผู้เฒ่าของศาลบรรพจารย์ภูเขาเมฆาเรืองที่สนิทสนมกับพรรคหวงเหลียงรับลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนใหม่…ย้อนกลับมามองพรรคหวงเหลียงบ้านตน ก็เพิ่งจะมีช่วงไม่กี่สิบปีมานี้ที่ดวงดีขึ้นมาหน่อย ก่อนหน้านั้นต้องอยู่ในวันเวลาอันน่าอนาถที่คนใบ้กินหวงเหลียนจริงๆ
ครั้งนี้จัดงานพิธีเปิดยอดเขา ความตั้งใจแรกสุดของพรรคหวงเหลียน แน่นอนว่าต้องจัดงานใหญ่สักครั้ง ดังนั้นหวังแค่ว่าจะ…ไม่ขาดทุนก็พอ
เพียงแต่ว่าเรื่องยินดีที่ไม่คาดฝันนั้น แค่ไม่ขาดทุนเสียที่ไหน เรียกได้ว่าได้กำไรกลับมาเป็นกอบเป็นกำเลยด้วยซ้ำ
สำหรับเรื่องที่ว่าจะเชิญผู้ฝึกตนของภูเขาลั่วพั่วมาได้หรือไม่ เดิมทีพรรคหวงเหลียนก็ไม่มีความมั่นใจอะไรอยู่แล้ว เทียบเชิญที่ส่งออกไปโดยใช้เนื้อความอย่างระมัดระวังฉบับนั้นก็แค่คิดอยากจะลองทำดูเท่านั้น
แม้ว่าอิ่นกวานหนุ่มจะไม่อาจมาร่วมแสดงความยินดีได้ด้วยตัวเอง แต่จูเหลี่ยนที่เป็นผู้ดูแลใหญ่ก็ใช้นามของศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อเขียนจดหมายตอบกลับมาด้วยตัวเอง อธิบายถึงสาเหตุที่ว่าเหตุใดเจ้าขุนเขาบ้านตนถึงมาเข้าร่วมงานพิธีไม่ได้
หากเจ้าขุนเขาเฉินไม่ยินดีมา อันที่จริงก็ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องที่เปลืองแรงเช่นนี้ แค่วางเทียบเชิญของพรรคหวงเหลียงทิ้งไว้ด้านหนึ่งก็พอแล้ว
อีกทั้งอิงตามคำกล่าวของอาจารย์ลุง เจ้าขุนเขาเฉินที่อายุไม่มากก็เป็นคนที่ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ มีคุณธรรมยามอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคม พูดจารักษาคำพูด ไม่มีทางวางมาดกับพวกเราในเรื่องแบบนี้เด็ดขาด ทางฝั่งของศาลบรรพจารย์โหลวซานใครก็อย่าคิดมาก คิดมากก็เท่ากับว่าหูตาคับแคบ ใช้ใจคนถ่อยไปวัดใจของวิญญูชน
สุดท้ายทางฝั่งของภูเขาลั่วพั่วก็มีแขกผู้สูงศักดิ์สองคนขึ้นเขามาร่วมแสดงความยินดีจริงๆ เฉินหลิงจวินผู้ฝึกตนก่อกำเนิด กวอจู๋จิ่วเซียนดินโอสถทอง
ได้ยินมาว่าฝ่ายแรกคือผู้ฝึกตนทำเนียบที่มาอยู่ภูเขาลั่วพั่วก่อนใคร ไม่ต้องเรียกเจ้าขุนเขาอะไรด้วยซ้ำ เรียกตรงๆ ว่านายท่านได้เลย
ฝ่ายหลังกลับเป็นลูกศิษย์คนเล็กในทุกวันนี้ของเจ้าขุนเขาเฉิน ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าเป็นลูกศิษย์ปิดสำนักได้ชั่วคราวแล้ว ในเมื่อนางเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของอิ่นกวานหนุ่ม หากว่านางยังเป็นผู้ฝึกกระบี่อีกคนหนึ่งด้วยเล่า?
พรรคหวงเหลียงไม่กล้าป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไปด้วยซ้ำ กลัวว่าหากทำอะไรไม่รู้หนักเบาจะทำให้ทางฝั่งของภูเขาลั่วพั่วเข้าใจผิดคิดว่าทางฝั่งของตนได้คืบแล้วจะเอาศอก ถ้าอย่างนั้นก็จะทำเรื่องดีให้กลายเป็นเรื่องร้ายไป
แต่ใต้หล้านี้ไหนเลยจะมีกำแพงที่ลมลอดผ่านไม่ได้ พอได้ยินว่าทางฝั่งของภูเขาลั่วพั่วมีผู้ฝึกตนที่สถานะไม่ต่ำสองคนมาพักอยู่ในจวนบนภูเขาโหลวซานแล้ว ผู้คนก็พากันพูดไปปากต่อปากจนแม้กระทั่งคนเดินถนนก็ยังรับรู้ ผลคือแขกที่เป็นฝ่ายขอมาเข้าร่วมงานพิธี คนบางส่วนที่เดิมทีเชิญแล้วไม่มา ต่างก็พากันมา จำนวนคนที่มาเข้าร่วมงาน อย่างน้อยก็เพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
แม้แต่ทางฝั่งของภูเขาเมฆาเรืองก็ยังมีบรรพจารย์ผู้คุมกฎหนึ่งคนและเจ้ายอดเขาอาวุโสสองคนมาเยือน
ฮ่องเต้ของแคว้นเมิ่งเหลียงก็ยิ่งขึ้นเขามาด้วยตัวเอง เหมยซานจวินแห่งห้าขุนเขากลางของหนึ่งแคว้นกับเหนียงเนียงเทพวารีที่เป็นเทพวารีอันดับหนึ่งก็มาด้วยเหมือนกัน ก็ต้องช่วยคุ้มครองฮ่องเต้ไม่ใช่หรือ?
ผู้ฝึกตนเฒ่าของพรรคหวงเหลียงที่ต้องดูแลเรื่องการต้อนรับขับสู้ ทุกวันปากพร่ำบ่นไม่หยุด แต่รอยยิ้มที่เต็มดวงตากลับปิดไม่มิด
กี่ปีมาแล้วที่พรรคหวงเหลียงไม่เคยมีหน้ามีตาขนาดนี้มาก่อน!
ก่อนที่หวงชงจะลุกขึ้นยืนก็ทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างอีกครั้ง
เกาเจิ่นยังคงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น หลุบสายตาลงต่ำจ้องกระดานหมาก อันที่จริงเกาเจิ่นรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเหตุใดฮ่องเต้ถึงได้ขึ้นมาบนภูเขา คำว่ามาหลบหาความสงบหรือมาร่วมงานพิธี แน่นอนว่าเป็นแค่ข้ออ้างที่ค่อนข้างจะฟังไม่ขึ้นเท่านั้น ความคิดที่แท้จริงก็คืออยากดูว่าจะมีโอกาสได้ผูกความสัมพันธ์ควันธูปกับทางฝั่งของภูเขาลั่วพั่วหรือไม่ ไม่คาดหวังให้อิ่นกวานหนุ่มไปเหยียบแคว้นเมิ่งเหลียง และหวงชงเองก็ไม่คาดหวังว่าตัวเองไปเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่วแล้วจะไม่ต้องกินน้ำแกงประตูปิด หวังเพียงว่าผู้ฝึกตนบนทำเนียบของภูเขาลั่วพั่วอย่างพวกเฉินหลิงจวิน กวอจู๋จิ่วนี้ ไม่ว่าใครก็ได้จะมารับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานหรือไม่ก็เค่อชิงของแคว้นเมิ่งเหลียงก็พอ
เพียงแต่เรื่องแบบนี้ เกาเจิ่นมิอาจตัดสินใจแทนได้ ฮ่องเต้ไม่เปิดปาก เกาเจิ่นก็ได้แต่แกล้งโง่ต่อไป เขาไม่คิดจะหาเรื่องใส่ตัวเด็ดขาด
ฮ่องเต้หนุ่มที่ขึ้นครองราชย์ในช่วงกลียุคผู้นี้ ความทะเยอทะยานค่อนข้างสูง ไม่อย่างนั้นหากแค่ต้องการผู้ถวายงานหรือเค่อชิงให้กับแคว้นเมิ่งเหลียง อย่างมากก็แค่ไปเยือนภูเขาเมฆาเรืองด้วยตัวเองสักรอบก็พอ ตามหาผู้ถวายงานอันดับหนึ่งที่เป็นเทพเซียนผู้เฒ่าก่อกำเนิดสักคนให้กับแคว้นเมิ่งเหลียง อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย
แคว้นมากมายที่อยู่โดยรอบแคว้นเมิ่งเหลียงต่างก็รู้กันดีว่าฮ่องเต้หนุ่มผู้นี้ ปีนั้นต้องลงมาจากหลังม้าแล้วมาสวมชุดคลุมมังกร
เพราะตอนที่หวงชงยังเป็นองค์ชายคนหนึ่งก็เคยเป็นฝ่ายนำทัพไปที่สนามรบของเมืองหลวงสำรองต้าหลี ถึงขั้นที่ว่ายังเคยนอนอยู่ในกองคนตายแล้วถูกคนพลิกค้นหาตัวออกมาอย่างแท้จริง
ส่วนในสงครามครานั้น พูดถึงแค่ที่ว่าการกรมกลาโหมของแคว้นเมิ่งเหลียง นอกจากพวกคนเฒ่าคนแก่แล้ว พวกขุนนางหนุ่มทั้งหลายล้วนได้เปลี่ยนงานกันแทบทั้งหมด
ดังนั้นแคว้นเมิ่งเหลียงจึงเป็นแคว้นแรกสุดในแจกันสมบัติทวีปที่ได้กอบกู้แคว้นและได้ปลดแอกสถานะแคว้นใต้อาณัติหลังจากสงครามใหญ่ปิดฉากลง ถึงขั้นที่ว่ายังมีคนสัญชาติแคว้นเมิ่งเหลียงจำนวนไม่น้อยที่ทุกวันนี้ก็ยังทำหน้าที่อยู่ในที่ว่าการหกกรมและที่ว่าการเก้ามนตรีเล็กของเมืองหลวงสำรองต้าหลี
เห็นว่าเกาเจิ่นไม่รับคำ หวงชงก็หัวเราะเย้ยหยันตัวเอง ทว่าบนใบหน้าและในใจกลับไร้ความไม่สบอารมณ์แม้เพียงนิด ทุกบ้านล้วนมีคัมภีร์ที่อ่านยาก อย่าได้ทำให้เจ้าประมุขเกาและพรรคหวงเหลียงต้องลำบากใจเลย
กฎเกณฑ์ช่องทางบนภูเขาน้อยกว่าวงการขุนนางล่างภูเขาเสียเมื่อไหร่?
วันหน้าตนค่อยไปหาเฉินเซียนซือที่บอกว่าตัวเองมีฉายาว่า ‘เจ้าตัวขาวน้อยในคลื่นแม่น้ำอวี้เจียง ราชามังกรน้อยบนภูเขาลั่วพั่ว’ ดื่มเหล้ากับเขาสักมื้อก็แล้วกัน
แต่คาดว่าคงได้แค่ดื่มเหล้ามื้อเดียวจริงๆ
คราวก่อนหวงชงทำหน้าหนาไปเยี่ยมเยียนถึงเรือน เทพเซียนผู้เฒ่าที่เป็นเจียวน้ำก่อกำเนิดแต่มีรูปลักษณ์เป็นเด็กชายสวมชุดสีเขียวผู้นี้พูดคุยด้วยง่ายมาก เข้ากับคนก็ง่าย บนโต๊ะสุราก็ถูกใจกันเป็นพิเศษ เพียงไม่นานก็เรียกตัวเองเป็นพี่เป็นน้องกับตนแล้ว
เพียงแต่ว่าเรื่องที่จะให้มารับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานของแคว้นเมิ่งเหลียง เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมีท่าทียืนกรานหนักแน่น พูดอย่างเด็ดขาดว่าไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด นายท่านของตนไม่อยู่บนภูเขา เรื่องใหญ่แบบนี้ เขาไม่อาจตัดสินใจได้เอง
แน่นอนว่าหวงชงย่อมรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง แต่ก็เหมือนกับการเล่นหมากล้อมกับเกาเจิ่นในศาลาเวลานี้ แตงที่ฝืนเด็ดย่อมไม่หวาน อย่าได้ทำให้คนอื่นลำบากใจจะดีกว่า
อีกทั้งเด็กชายชุดเขียวที่มีแซ่เดียวกับอิ่นกวานหนุ่ม เมื่อดื่มเหล้ากันไปแล้วก็ยังเดินมาส่งตนถึงหน้าประตู พูดจาจริงใจด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความละอายใจอย่างที่ไม่ค่อยเหมือนผู้ฝึกตนบนภูเขาว่า พี่หวง ขอโทษด้วยนะ เรื่องนี้ทำไม่ได้จริงๆ หากว่าพวกเราสองคนรู้จักกันเร็วกว่านี้ ข้าจะไม่พูดพร่ำทำเพลงสักคำ เจ้าบอกให้ข้าเป็นอะไรข้าก็จะเป็นอย่างนั้น ให้หมวกขุนนางใหญ่เท่าฟ้าไม่รังเกียจว่าใหญ่ไป ให้หมวกขุนนางเล็กเท่าเมล็ดงาก็ไม่รังเกียจว่าเล็กไป ล้วนเป็นสหายกัน ก็แค่เรื่องเล็กน้อยที่พี่หวงตัดสินใจเองได้เลย แต่ทุกวันนี้ทางฝั่งของภูเขาลั่วพั่วของพวกเราเท่ากับว่าปิดภูเขาแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เพราะถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่นายท่านข้าพูดเองกับปาก ท่านไม่สนิทกับภูเขาลั่วพั่วของพวกเราก็อาจจะไม่รู้ว่า อันที่จริงข้าถือว่าเป็นคนที่ขึ้นภูเขามาก่อนใคร แล้วก็เป็นข้าที่ช่วยเหลืออะไรนายท่านไม่ได้มากที่สุด หากข้ายังเพิ่มปัญหาให้นายท่าน ก่อให้เกิดเรื่องแทรกซ้อน ต่อให้ข้าตายแล้วยังต้องการศักดิ์ศรีหน้าตาก็มิอาจเงยหน้ามองคนได้แล้ว
ตอนนั้นแม้หวงชงจะประหลาดใจว่าเหตุใดผู้ฝึกตนก่อกำเนิดผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง อยู่บนภูเขาลั่วพั่วถึงได้เป็นผู้ฝึกตนที่ ‘ช่วยเหลืออะไรไม่ได้มากที่สุด’
ต่อให้จะเป็นภูเขาของอิ่นกวานหนุ่ม แต่ตามหลักแล้วก็ไม่ควรเป็นเช่นนี้
เพียงแต่ตอนนั้นเห็นสีหน้าหม่นหมองของเด็กชายชุดเขียว หวงชงกลับยินดีที่จะเชื่อ
อีกทั้งสุดท้ายเด็กชายชุดเขียวก็คล้ายจะนึกเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จู่ๆ เขาก็หัวเราะ ตบอกรับรองบอกว่าคราวหน้าหากตนได้เจอกับนายท่านจะลองช่วยพูดเรื่องนี้ให้ ขอแค่นายท่านพยักหน้าตอบตกลง และพี่หวงเองก็ไม่รังเกียจ ผู้ถวายงานนี้ ข้าจะเป็นให้เอง! พี่หวงเจ้าวางใจได้เลย อยู่กับนายท่าน ข้าไม่เคยต้องการศักดิ์ศรีหน้าตามากที่สุดแล้ว ขอแค่นายท่านไม่คัดค้าน ข้ายังสามารถช่วยดึงตัวสหายรักแซ่หมี่อีกคนมาได้ อย่างน้อยที่สุดให้พวกเราเป็นเค่อชิงที่ได้รับการแขวนชื่ออยู่ในแคว้นเมิ่งเหลียงก็ไม่มีปัญหาแน่!
——