กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 940.4 ใบท้อพบเจอดอกท้อ
แน่นอนว่าหวงชงต้องไม่ปฏิเสธความหวังดีนี้
บางทีอีกฝ่ายอาจจะแค่เอ่ยประโยคตามมารยาทหลังจากที่ดื่มเหล้าไปเมามายแล้ว แต่ก็อาจจะไม่ใช่
หลังจากที่หวงชงเดินออกไปได้ระยะทางหนึ่ง พอหันกลับไปมองอีกครั้งก็เห็นว่าเด็กชายชุดเขียวยังคงยืนอยู่ที่เดิม คลี่ยิ้มกว้างโบกมืออำลาตน สุดท้ายสะบัดชายแขนเสื้อสองข้างเดินเข้าไปในประตู
อันที่จริงส่วนลึกในใจของฮ่องเต้พระองค์นี้ คนของภูเขาลั่วพั่วที่หวงชงอยากเจอมากที่สุด นอกจากอิ่นกวานหนุ่มที่ต้องอยู่อันดับหนึ่งแน่นอนอยู่แล้ว คนที่ตามมาด้านหลังติดๆ ก็คือปรมาจารย์ใหญ่หญิงท่านหนึ่ง
ขอแค่ได้พบเจอพวกเขา หวงชงก็สามารถไม่ต้องพูดคุยเรื่องผู้ถวายงานหรือเค่อชิงอะไรก็ได้
……
เฉินผิงอันไม่ได้หลอกชิงถงจริงๆ ในความเป็นจริงแล้วจิตหยินออกเดินทางไกลของลู่เฉินกับเฉินผิงอันคนหนึ่งที่สร้างดินแดนแห่งความฝันขึ้นมาใหม่ เวลานี้อยู่ในโพรงหินแห่งหนึ่งด้วยกัน
เฉินผิงอันที่สวมชุดเขียวปักปิ่นหยกกับเจ้าลัทธิลู่ที่สวมกวานดอกบัวยืนอยู่ริมขอบของผนังหินด้วยกัน ลู่เฉินยกมือขึ้นก็สามารถเอื้อมไปแตะบนเพดานของถ้ำหินได้แล้ว
ในพื้นที่ที่คับแคบแห่งนี้ ตอนนั้นนักพรตฉุนหยางที่มาสร้างโอสถทองอยู่ที่นี่คล้ายว่าจะไม่ได้ทิ้งร่องรอยใดๆ เอาไว้ เหลือไว้เพียงเบาะรองนั่งเก่าคร่ำคร่าใบหนึ่งที่ถักทอขึ้นมาจากหญ้าชนิดหนึ่งที่ธรรมดาที่สุด
ลู่เฉินเดินวนรอบเบาะรองนั่งใบนั้นไปหนึ่งรอบ ยกมือขึ้นหนึ่งแนบติดกับผนังถ้ำ พอหยุดเดินแล้วก็เอ่ยว่า “เบาะรองนั่งใบนี้ ผินเต้ามองความมหัศจรรย์อะไรไม่ออก”
เฉินผิงอันสอดมือสองข้างไว้ในชายแขนเสื้ออยู่ตลอดเวลา ยืนอยู่ที่เดิม ถามว่า “แม้ว่าหลวี่จู่จะไม่ได้ร่ายตราผนึกขุนเขาสายน้ำอะไรเอาไว้ แต่เจ้าว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ พวกคนตัดต้นไม้และคนเก็บสมุนไพรที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงจะไม่มีใครที่เข้ามาในที่แห่งนี้บ้างเลยหรือ?”
ลู่เฉินส่ายหน้า “เกินครึ่งน่าจะไม่มี”
เฉินผิงอันหันตัวกลับมา เอนกายพิงผนังหิน “เด็กคนนั้น?”
ลู่เฉินนั่งแปะลงไปบนเบาะรองนั่ง ขยับขานั่งขัดสมาธิ หันฝ่ามือขึ้นด้านบน สองนิ้วทำมุทรา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ก็แต่เพิ่มทางเดินอีกเส้นหนึ่งให้เด็กคนนั้น จะไม่เป็นการวาดงูเติมขา ฉีเจินทำอะไรรู้หนักเบามากที่สุดแล้ว จะต้องเอาเด็กคนนี้ไปไว้ที่อารามชิวหาว ทั้งไม่ดึงต้นหญ้าช่วยให้เติบโต แล้วก็ไม่ย่ำยีวัตถุดิบสวรรค์ ใช่แล้ว ตอนนี้เด็กคนนั้นชื่อว่าเย่หลาง เย่ที่แปลว่าใบไม้ หลางจากวลีว่ายกตนข่มท่าน”
เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “เด็กคนนั้นมีคุณสมบัติในการฝึกตนจริงๆ หรือ?”
ลู่เฉินส่ายหน้า “หากพูดกันในความหมายที่เข้มงวด เขาไม่เหมาะจะฝึกตน ต่อให้ไปโขกหัวขอร้องอยู่ที่หน้าประตูภูเขาของพรรคหวงเหลียงก็ยังขึ้นเขาไปไม่ได้ เป็นเทพเซียนไม่ได้ แต่เด็กคนนี้มีรากแห่งสติปัญญา คุณสมบัติในการฝึกตนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่รากแห่งสติปัญญา บอกว่ามีประโยชน์ก็มีประโยชน์มาก แต่หากจะบอกว่าไร้ประโยชน์เลยก็ไร้ประโยชน์จริงๆ ยกตัวอย่างเช่นว่า ไม่ว่าจะอยู่ในใต้หล้ามืดสลัวหรือใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ ภิกษุที่ไม่มีชื่อเสียงในวัดวาทั้งหลาย พูดถึงแค่ระดับขั้นความลึกซึ้งของพระธรรมก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะแย่ไปกว่าพวกมังกรคชสารแห่งลัทธิพุทธที่มีสถานะเป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนสักเท่าไร แต่เมื่อไม่อาจฝึกตนก็คือไม่อาจฝึกตน โชคดีที่ไม่ถ่วงรั้งการฝึกปฏิบัติธรรมของพวกเขา”
เฉินผิงอันถาม “เด็กคนนั้นรับโชควาสนาส่วนนี้ของเจ้าไว้ได้หรือ?”
ลู่เฉินพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเห็นยันต์ที่เขาวาดบนพื้นหรือไม่ ไม่ธรรมดาอย่างมากเลยล่ะ น่าเสียดายที่มีแค่จิตวิญญาณ ไม่ได้ในทางรูปลักษณ์ เป็นหอเรือนกลางอากาศ ดังนั้นหากไม่ได้เจอเจ้าและข้า สภาพการณ์ของเขาตลอดชีวิตนี้ก็จะคล้ายคลึงกับหลวงจีนทั้งหลายที่ข้าพูดถึง”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองลู่เฉินที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรองนั่ง พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ในนิยายยุทธภพและนิทานเรื่องเล่าประหลาดต่างก็มีแนวคิดบางอย่างพวกนั้นอยู่ หนึ่งคือถูกศัตรูตามไล่ฆ่า พลัดตกลงไปจากหน้าผา อืม สถานที่แห่งนี้ค่อนข้างเหมือนนะ จากนั้นก็เจอกับโครงกระดูกของยอดฝีมือหรือไม่ก็ร่องรอยเซียนโดยบังเอิญ ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็โขกหัวเสียงดัง ไม่แน่ว่าอาจไปสัมผัสโดนกลไกอะไรบางอย่าง ทำให้ได้เคล็ดวิชาลับด้านการฝึกวรยุทธที่พอฝึกสำเร็จแล้วจะไร้ศัตรูทัดเทียมในใต้หล้า เจ้าไม่ลองดูบ้างเล่า ถึงอย่างไรที่แห่งนี้ก็มีแค่พวกเราสองคน ไม่น่าอายหรอก”
ลู่เฉินพยักหน้ารับรัวๆ เหมือนโขลกกระเทียม “ใช่แล้วๆ เจ้าลูกกระต่ายเจียงอวิ๋นเซิงชอบอ่านหนังสือเบ็ดเตล็ดพวกนี้ที่สุด ตอนที่เฝ้าประตูของภูเขาห้อยหัวก็อ่าน พอมาเป็นเจ้านครแล้วก็ยังทำเหมือนเดิม”
เฉินผิงอันมีความทรงจำที่ลึกซึ้งต่อนักพรตน้อยคนนั้นอย่างมาก ทุกครั้งที่เจอกันเขาจะต้องอ่านหนังสืออยู่เสมอ จึงถามว่า “เป็นเจ้านครของนครเสินเซียวหรือว่าเป็นเจ้านครของนครชิงชุ่ยล่ะ?”
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “เป็นเจ้านครชิงชุ่ย ถือว่าได้รับการเลื่อนขั้นอย่างเป็นข้อยกเว้น เป็นเจ้านครของนครหนึ่งในป๋ายอวี้จิงที่ไม่ได้เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยาน ในประวัติศาสตร์ถือว่าหาได้ยากมาก”
แน่นอนว่ามีสาเหตุมาจากลู่เฉินพยายามอย่างสุดความสามารถอันน้อยนิดที่มี เพียงแต่ว่าขณะเดียวกันเจียงอวิ๋นเซิงก็ต้องเผชิญหน้ากับหายนะเป็นตายครั้งหนึ่ง นั่นต่างหากจึงจะเป็นการทดสอบใหญ่ที่แท้จริง มีชีวิตอยู่ต่อก็ได้เป็นเจ้านครชิงชุ่ยอย่างถูกต้องชอบธรรม ไม่ได้ถูกมองเป็นแค่คนเฝ้าประตูที่มีแค่ยศของเจ้านครอย่างว่างเปล่าเท่านั้น หากทำไม่สำเร็จ ถ้าอย่างนั้นก็ค่อยว่ากันใหม่ชาติหน้าก็แล้วกัน
เพราะปีนั้นตอนที่ลู่เฉินกลับจากฟ้านอกฟ้ามายังป๋ายอวี้จิงได้กักตัวเทวบุตรมารนอกโลกที่มีขนาดเท่าเมล็ดงามาด้วยตนหนึ่ง จากนั้นก็โยนมันเข้าไปในดวงจิตแห่งมรรคาของเจียงอวิ๋นเซิงต่อหน้าต่อตาศิษย์พี่อวี๋โต้ว
ธรรมะสูงหนึ่งฉื่อ อธรรมสูงหนึ่งจั้ง
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “สามารถถอนภาพฝันอีกอันหนึ่งออกได้แล้วหรือไม่?”
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
ลู่เฉินถอนหายใจ เพราะใน ‘ซากปรักศาลหลวี่กง’ แห่งนั้น ดินแดนความฝันก็จะมีการจำแลงบนมหามรรคาเช่นนี้ต่อไป
ตอนนี้ที่นั่น ลู่เฉิน หลูเซิง เด็กสาวภูตดอกโบตั๋น ผู้ฝึกตนอิสระกลุ่มนั้น เทพใหญ่ศาลเถื่อนสองคน…ยังคงพูดคุยกันอยู่ที่เดิม
ราวกับว่าเฉินผิงอันไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน ลู่เฉินผู้นั้นไม่ได้เปิดเผยตัวตนของเด็กสาวโบตั๋น ยังคงดื่มเหล้าร่วมโต๊ะกับหลูเซิง สองฝ่ายในลานบ้านที่ไม่โรมรันกันอีกต่อไปยังคงยืนรอฟังคำสั่ง…
เฉินผิงอันกล่าว “ถึงอย่างไรประคับประคองตนได้อีกไม่นานก็จะสลายหายไปเองอยู่แล้ว”
ก็เหมือนน้ำหมึกเข้มข้นที่ใช้เขียนตัวอักษรแบบหวัดเสร็จในรวดเดียว ต่อให้ตัวอักษรมีมากแค่ไหน รอยน้ำหมึกบนกระดาษก็ย่อมต้องเจือจางและแห้งไปอยู่ดี
ลู่เฉินเองก็ไม่มัวถกเถียงในเรื่องเล็กน้อยเรื่องนี้อีก อยู่ดีๆ ก็พูดอย่างปลงอนิจจังขึ้นมาว่า “สรุปแล้วใต้หล้านี้มีคนที่ตัดขาดจากโลกภายนอกอยู่อย่างสันโดษหรือไม่”
เฉินผิงอันไม่มีความคิดจะพูดคุยด้วย เห็นว่าลู่เฉินไม่มีท่าทีว่าจะลุกขึ้นก็นั่งไปริมขอบของช่องโพรงหิน เท้าสองข้างห้อยอยู่นอกหน้าผา ทอดสายตามองไปยังทิศไกลเงียบๆ
“เฉินผิงอัน เจ้าว่าหากยุคเสื่อมมาถึงจริงๆ ผู้คนในเวลานั้นจะคิดไม่ตก จะถกเถียงกันเรื่องปัญหาข้อหนึ่งว่าสรุปแล้วบนโลกมีผู้ฝึกบำเพ็ญตนอยู่หรือไม่?”
ลู่เฉินถามเองตอบเอง “ปัญหาใหญ่เทียมฟ้า ดูเหมือนว่าจะมีแค่ข้อเดียวก็พอแล้ว”
“ดูเหมือนว่าพวกเขาต่างก็เคยชินกับการที่ฟ้าร้องฝนตก แดดส่องเหงื่อออก มนุษย์ธรรมดาล่างภูเขามีเกิดแก่เจ็บตาย พืชหญ้าในฟ้าดินมีแห้งเหี่ยวงอกงงาม…เฉินผิงอัน เจ้าคิดว่าเรื่องที่ถูกพวกเรายอมรับว่าถูกต้องตามหลักฟ้าดิน เส้นสายที่ถูกเรียกรวมว่าเป็นความสัมพันธ์ในเชิงเหตุและผลเช่นนี้ เมื่อสืบสาวไปถึงต้นกำเนิดแล้ว ใครจะสามารถรับผิดชอบเส้นสายนี้ได้? หากจะบอกว่าชีวิตคนคือการติดหนี้และใช้หนี้ครั้งหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นคนรับประกันที่อยู่ตรงกลาง สรุปแล้วจะเป็นใคร แล้วจะเป็นบุคคลแบบใด? ข้าเคยถามคำถามเช่นนี้กับศิษย์พี่มาก่อน ศิษย์พี่ตอบไม่ตรงคำถาม บอกกับข้าว่านี่เป็นแค่ปัญหาเล็กน้อยเท่านั้น ข้าจึงถามว่า ถ้าอย่างนั้นในความเห็นของศิษย์พี่ ปัญหาใหญ่ที่แท้จริงล่ะคืออะไร?”
“ศิษย์พี่ยิ้มตอบคำถาม บอกว่าถ้าหากมองฟ้าดินทั้งแห่งเป็นหนึ่งอย่างหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นผู้ฝึกตนอย่างเราๆ จะมีวิชาอภินิหารที่จะเพิ่มหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจะไม่แปรเปลี่ยนมานับแต่โบราณนี้มากขึ้นอีกนิด หรือลดมันให้น้อยลงอีกหน่อยได้หรือไม่?”
“ตัวอักษร? ดูเหมือนว่าจะยังไม่อาจนับได้ แม่น้ำแห่งกาลเวลา? ดูเหมือนว่าจะยิ่งไม่ใช่ เฉินผิงอัน เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
ในที่สุดเฉินผิงอันก็เปิดปากเอ่ยว่า “ข้าไม่มีความคิดอะไรทั้งนั้น แค่คิดว่าการที่เจ้าคิดว่าความฝันพอจะถือว่าเป็นหนึ่งในนั้นได้ เพราะในความคิดของเจ้า นักจินตนาการหนึ่งในสิบสองเทพชั้นสูง ไม่แน่เสมอไปว่าจะพาตัวไปถึงสุดปลายทางของมหามรรคาได้ มิเช่นนั้นแล้วก็จะเป็นหนึ่งในหกเทพสูงสุด ไม่ใช่ห้าเทพสูงสุดแล้ว”
ลู่เฉินโอดครวญ “ช่างน่ากลุ้มจริงๆ”
เฉินผิงอันถาม “ดูเหมือนว่าเจ้าจะกลัวศาสดาพุทธมาก?”
“ปีนั้นข้าคิดว่าตัวเองได้ทำลายกำแพงอุปสรรคทางตัวอักษรได้อย่างสิ้นเชิงแล้วจึงไปเยือนดินแดนพุทธะสุขาวดีมารอบหนึ่ง”
ลู่เฉินไม่ได้ปิดบังอะไร “ศาสดาพุทธเคยช่วยไขความฝันให้ข้า การใช้ความฝันไขความฝันครั้งนั้น ศาสดาพุทธใช้วิชาอภินิหารยิ่งใหญ่ที่น่าเหลือเชื่อทำให้เขตแดนสองอย่างของคำว่าเขาพระสุเมรุเมล็ดงาและนิรันดร์กาลเพียงเสี้ยววินาทีเกิดพร่าเลือนไปได้อย่างสิ้นเชิง ข้าถึงขั้นไม่อาจคำนวณได้ว่าวันเวลาที่ตัวเองอยู่ในดินแดนแห่งความฝันนั้นผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว กี่พันกี่หมื่นปีแล้ว? กี่ล้านล้านปีแล้ว? ความเป็นความตายสารพัดอย่าง เปลี่ยนแปลงตัวตนไปนับไม่ถ้วน ปรากฏออกมาในรูปแบบมากมาย แปรเปลี่ยนไม่หยุดนิ่ง ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “มีวิชาเซียนติดกาย นี่เรียกว่ายอดฝีมือผู้กล้าหาญ ได้เรียนรู้วิชาเทพเซียน ไม่ว่าจะเดินไปที่ใดในใต้หล้าก็ไม่ต้องหวาดกลัว”
ฟังแล้วคุ้นหูอย่างมาก ประโยคแรกเป็นถ้อยคำในดินแดนความฝันก่อนหน้านี้ ส่วนประโยคหลังนั้นเหมือนจะเป็นวลีติดปากของนักพรตซุน
ลู่เฉินลุกขึ้นยืน จากนั้นค้อมเอวลง เตรียมจะจูงแกะติดมือด้วยการเก็บเบาะรองนั่งที่ ‘มองความผิดปกติไม่ออก’ เบาะนั้นกลับไปด้วย
เฉินผิงอันกล่าว “ใครก็อย่าคิดจะเอาไป วางไว้ที่เดิมนั่นแหละ”
ลู่เฉินทำหน้าขุ่นเคือง ได้แต่วางเบาะใบนั้นกลับลงไปที่เดิมเบาๆ แสร้งทำท่าปัดฝุ่นบนร่าง แล้วจู่ๆ ก็ถามด้วยน้ำเสียงสงสัยใคร่รู้ว่า “เรื่องราวที่เกิดขึ้นในภาพฝันนั้นของเจ้า เนื้อหาที่เกี่ยวกับผินเต้าจะพัฒนาไปได้ถึงไหน?”
เฉินผิงอันกล่าว “อยู่ดีไม่ว่าดีขอบเขตก็หายไป ถูกเด็กสาวด่าว่าเป็นพวกบ้าตัณหาพลางตบหน้าไปด้วย โดนตบจนหน้าบวม แล้วยังพร่ำพูดว่าผินเต้าคือเจ้าลัทธิลู่แห่งป๋ายอวี้จิงจริงๆ โหวกเหวกว่าตะวันจันทราแจ่มกระจ่าง ฟ้าดินเป็นพยานได้”
ลู่เฉินเอ่ยอย่างเจ็บปวดรวดร้าว “อนาถขนาดนี้เชียวหรือ?!”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
ลู่เฉินถูมือ “ในเมื่อผินเต้าถูกด่าว่าบ้าตัณหา ก็ต้องมีการโอบกอดบ้างกระมัง? ต่อให้ไม่มีการโอบกอด ก็น่าจะได้ลูบใบหน้าหรือไม่ก็มือน้อยๆ ของแม่นางน้อยบ้างสินะ?”
เฉินผิงอันกล่าว “ฝ่ามือตบลงบนหน้าแล้ว ถือว่าเจ้าใช้ใบหน้าสัมผัสมือของแม่นางน้อยได้หรือไม่?”
ลู่เฉินหัวเราะหึ “เหตุผลบิดเบี้ยวเช่นนี้ ผินเต้าชอบ”
เฉินผิงอันหยิบกระบอกยาสูบอันหนึ่งออกมา แล้วเริ่มพ่นควันขโมงอย่างคล่องแคล่วคุ้นชิน
หลังจากสงครามใหญ่ครั้งหนึ่งผ่านไป สำหรับเก้าทวีปของไพศาลแล้ว ก็เหมือนว่าจะได้ผ่านการทดสอบจิตใจคนมาครั้งหนึ่ง
พูดถึงแค่ขุนเขาสายน้ำของแจกันสมบัติทวีป ขนบธรรมเนียมก็มีการแปรเปลี่ยนเหมือนคนที่ได้เปลี่ยนรกผลัดกระดูก
ลู่เฉินมานั่งลงข้างกายเฉินผิงอัน ถามชวนคุยว่า “ก่อนที่เจ้าจะไปเยือนใต้หล้ามืดสลัว นอกจากจะพาหลิวจิ่งหลงออกเดินทางไปด้วยกันแล้ว นอกจากนี้ก็คือฝึกตน ฝึกตนและฝึกตน ฝึกตนไปเรื่อยๆ ตลอดหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ย่อมไม่ใช่ หลังจากการท่องเที่ยวสิ้นสุดลงแล้วจะไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือในชนบทที่แคว้นหวงถิง แล้วยังจะต้องเขียนบันทึกการเดินทางให้กับหมี่ลี่น้อยเล่มหนึ่งด้วย”
ทุกวันนี้เฉินผิงอันก็กำลังเรียบเรียงบันทึกการเดินทางเล่มหนึ่งกับมือตัวเอง เขียนเรื่องของจอมยุทธพเนจรหนุ่มคนหนึ่งที่ออกท่องยุทธภพแล้วได้ไปเจอกับภูตน้ำใหญ่ที่อำพรางตัวตนอย่างลึกล้ำที่ทะเลสาบคนใบ้ เป็นฝ่ายเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายออกเดินทางไปด้วยกัน เพียงไม่นานก็ได้สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กัน ร่วมกันรับมือกับศัตรูที่สร้างหายนะไปทั่วพื้นที่รอบด้านอย่างบรรพบุรุษหวงซา ทั้งสองฝ่ายประลองทั้งปัญญาและความกล้าหาญกัน อันตรายรายล้อมอยู่รอบด้าน ในที่สุดก็ชนะมาได้ ภายหลังภูตน้ำใหญ่แห่งทะเลสาบคนใบ้ก็เพิ่งจะรู้ว่าจอมยุทธพเนจรผู้นั้นก็คือเจ้าขุนเขาหนุ่มของภูเขาลั่วพั่วที่ตัวเองเคยฝันถึง นี่เรียกว่าบุพเพวาสนา ดังนั้นจึงช่วยวางแผนให้จอมยุทธพเนจรตลอดทาง เป็นกุนซือและมันสมอง ขึ้นเขาลงห้วยไปด้วยกัน บุกผ่านที่ใดที่นั่นก็ราบเป็นหน้ากลอง เหล่าภูตผีปีศาจหวาดผวา โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังมักจะประชันบทกวีกับคนอื่นเป็นประจำซึ่งก็ยิ่งไม่มีผลการรบที่พ่ายแพ้…
อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็เอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมาว่า “หาได้ยากที่เจ้าพูดคุยกับเสี่ยวโม่ได้ถูกคอ”
“ลาอยู่ใต้อาณัติของม้า เพียงแค่ว่ามีอักษร ‘หลู’ เพิ่มเข้ามา” (คำว่าม้าภาษาจีนคือ 马 ส่วนคำว่าลาภาษาจีนคือ 驴 ประกอบด้วยตัวอักษรสองตัวคือ 马 หม่า และ 户 หลู)
ลู่เฉินสะบัดชายแขนเสื้อ ยิ้มพูดหน้าทะเล้น “จิตใจกว้างขวางไม่คับแคบนี่นะ ข้ากับเสี่ยวโม่ถูกชะตากันอย่างมาก”
ต้องรู้ว่าด้านหลังประโยค ‘ลาอยู่ใต้อาณัติของม้า’ ยังมีอีกประโยคที่ไม่ว่าใครก็สามารถไม่เห็นเป็นสำคัญ มีเพียงลู่เฉินที่มิอาจมองข้ามได้
‘แมงมุมและผีเสื้อถือเป็นศัตรู’
และวัตถุเจ็ดอย่างของจิตธรรมของลู่เฉินก็แบ่งออกเป็นไก่ไม้ ต้นชุนซู่ ตัวตุ่น คุนเผิง นกขมิ้น นกยวนฉู ผีเสื้อ
ลู่เฉินหันไปมองเฉินผิงอัน
ในเรือนใจที่มีประตูไม้หลังหนึ่งของเฉินผิงอันมีต้นท้ออยู่ต้นหนึ่ง
เพียงแต่ไม่รู้ว่าผ่านวันนี้ไปแล้วก็จะเป็นวสันตฤดูใหม่อีกครั้ง ใบท้อจะได้เห็นดอกท้อหรือไม่
จากนั้นเฉินผิงอันก็พูดคุยถึงชีวิตการฝึกตนในวันข้างหน้า
หากเกิดอารมณ์นึกสนุก วันที่หิมะใหญ่ตกลงมาก็จะถ่อเรือลำเล็กออกไป ใช้ไฟอุ่นเหล้า ไปชมหิมะกลางทะเลสาบ
ในวันที่ฝนตกสวมเสื้อกันฝนสวมงอบเดินริมลำน้ำ มองดูสายน้ำใหญ่ที่เปลี่ยนแปลงกลายเป็นเจียวเป็นมังกร
วันใดที่วิถีวรยุทธมีการเลื่อนขอบเขตก็จะนัดต่อสู้กับเฉาสือบนมหาสมุทร
ได้ยินมาว่าปีนี้ดอกเหมยบนภูเขาจิ่วอี๋เบ่งบานได้งดงามที่สุด ว่าจะไปดูสักหน่อย
ลู่เฉินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แค่ได้ฟัง จิตใจก็ใฝ่ฝันหาแล้ว”
——