กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 941.3 ทะยานฟ้าหมื่นลี้ต้องมีกระบี่ยาว
นับแต่พรรคหวงเหลียงเปิดภูเขามา จากนั้นมีวันหนึ่งถูกคนผู้หนึ่งเอาหนังสือเล่มนี้มาเพิ่มไว้ วางไว้บนชั้นหนังสือ คิดดูแล้วแขกที่มาเข้าพักเรือนหลังนี้คงมีไม่น้อย แต่คนที่เปิดอ่านตำราอย่างแท้จริงต้องมีแค่ไม่กี่คนแน่นอน
เพราะถึงอย่างไรตำราเบ็ดเตล็ดนอกเหนือจากตำราลัทธิเต๋า เมื่ออยู่ในจวนบนภูเขา ส่วนใหญ่ก็เป็นเหมือนเครื่องประดับที่เอาไว้ตกแต่งอย่างหนึ่งมากกว่า
นักพรตเนิ่นเริ่มอกสั่นขวัญผวา
เพราะนับตั้งแต่นาทีที่เฉินผิงอันเดินเข้ามาในห้อง นักพรตเนิ่นก็เริ่มนึกอยากจะไหว้พระขอร้องเทพเจ้า ขอให้คุณชายอย่าได้พูดถึงหนังสือเล่มนี้และหลวี่เหยียนกับเจ้าคนที่ฉลาดหัวไวอย่างเฉินผิงอันเลย
หากว่ากลุ่มของเฉินผิงอันไม่ได้ขึ้นเขามา ต่อให้หลี่ไหวไม่หยิบเอาตำราเล่มนี้ไป นักพรตเนิ่นก็จะขโมยไปอยู่ดี
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “เดี๋ยวข้าจะบอกเจ้าประมุขเกาสักคำ ให้พรรคหวงเหลียงมอบตำราเล่มนี้ให้เจ้า?”
หลี่ไหวหัวเราะฮ่าๆ “ไม่ต้องหรอก ข้าอ่านไม่เข้าใจเสียหน่อย ก่อนหน้านี้อ่านไปได้แค่ครึ่งเดียวก็ปวดหัวแล้ว เอาไว้ที่นี่เหมือนเดิมนั่นแหละดีแล้ว”
ในลานบ้านนอกประตู ลู่เฉินใช้เสียงในใจยิ้มเอ่ยกับเฉินผิงอัน “ในที่สุดผินเต้าก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดนักพรตฉุนหยางถึงได้ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้ในถ้ำหินแห่งนั้น คาถากระบี่ตำราเต๋าเล่มที่สหายชิงถงพูดถึง ในบางความหมายแล้วก็คือตำราที่อยู่ในมือหลี่ไหวเล่มนี้แล้ว เพียงแต่ว่าคนที่อ่านตำราต้องมีความจริงใจ ยอมรับเนื้อหาที่อยู่ในตำราจากใจจริงถึงจะได้ผลลัพธ์ที่ว่า ‘เมื่อจริงใจก็สัมผัสได้ถึงเทพเจ้า ฟ้าดินร่วมกันขานรับ’ ทั้งในและนอกตำราสอดคล้องกัน จิตใจก็จะเชื่อมโยงถึงกันได้ เป็นทั้งวิชาลับที่ไม่ใช้คำพูดแพร่งพราย แล้วยังเป็นวิชาทางจิตอันสูงส่ง ต่อให้อยู่ในห้านครสิบสองหอเรือนของป๋ายอวี้จิง นี่ก็ถือว่าเป็นวิชาที่ต้องถ่ายทอดให้กันปากต่อปากซึ่งค่อนข้างลี้ลับมหัศจรรย์แล้ว ช่างหาได้ยากที่ปีนั้นนักพรตฉุนหยางเป็นแค่เซียนดินที่เพิ่งสร้างโอสถทองก็ได้ครอบครองพรสวรรค์ด้านมรรคกถาเช่นนี้แล้ว หากผินเต้าเดาไม่ผิด ถ้าหลี่ไหวยินดีอ่านตำราเล่มนี้เสียงดังๆ หลายๆ รอบ หรือท่องจำกลับไปกลับมาในใจซ้ำหลายครั้ง บางช่วงจังหวะก็จะมีภาพเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้น ตัวอักษรบนตำราจะเป็นเหมือนการ ‘จัดกองทัพบนสนามรบฤดูใบไม้ร่วง’ ที่มีการจัดเรียงใหม่ กลายมาเป็นคาถาวิชากระบี่ที่ชี้ตรงไปยังมหามรรคาของโอสถทองอย่างแท้จริง”
เฉินผิงอันรับตำราเล่มนั้นมาเปิดดูสองสามหน้า วัสดุของกระดาษหนังสือธรรมดา เป็นแค่ฉบับจัดพิมพ์ของชาวบ้าน นี่หมายความว่าต่อให้หนังสือเล่มนี้สามารถแบกรับปณิธานที่แท้จริงของมรรคกถาวิชากระบี่บทที่หลวี่เหยียนทิ้งไว้ได้ แต่เดิมทีหนังสือเล่มนี้ก็ง่ายที่จะถูกทำลายท่ามกลางภัยธรรมชาติและภัยจากภูเขาในแต่ละยุคแต่ละสมัย จึงถามลู่เฉินว่า “เป็นได้แค่หนังสือเล่มนี้ในห้องนี้เท่านั้นหรือ?”
ลู่เฉินส่ายหน้า “นี่ก็ไม่แน่เสมอไป เกินครึ่งนักพรตฉุนหยางน่าจะยังมีการจัดการอย่างอื่นอยู่อีก ไม่อย่างนั้นพูดถึงแค่ศาลหลวี่จู่ที่ฮ่องเต้พระราชทานกรอบป้ายคำว่า ‘ตำหนักเฟิงเหลย’ ไว้ให้ ก็ไม่เหลืออยู่แล้ว หากว่ามีแค่หนังสือเล่มนี้จริง แค่ไปเยือนคลังหรือหอเก็บตำราของศาลเทพลำคลองเฝินเหอรอบหนึ่ง หรือเจอกับสงครามแค่ไม่กี่ครั้ง การสืบทอดนี้ก็จะขาดสะบั้นลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว ด้วยวิธีการของนักพรตฉุนหยาง คิดดูแล้วคงจะไม่…ทุ่มเดิมพันหมดหน้าตักเช่นนี้ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร โชควาสนาส่วนนี้ ทุกวันนี้ก็อยู่ที่หลี่ไหว…ไม่ถูกสิ ในเวลานี้อยู่บนมือของเจ้าเฉินผิงอันแล้ว”
ลู่เฉินจุ๊ปากเอ่ยอย่างประหลาดใจ “แค่ใช้เงินฝนธัญพืชสองเหรียญก็ซื้อตำราที่ชี้ตรงไปยังโอสถทองมาเล่มหนึ่งได้ การค้านี้ได้กำไรจริงๆ หากว่าสำนักชั้นยอดของแผ่นดินกลางรู้เรื่องนี้เข้า อย่าว่าสองเหรียญเลย เงินฝนธัญพืชสองพันเหรียญก็ยินดีจ่าย กลัวก็แต่ว่าเจ้าจะเปลี่ยนใจ สี่พันเหรียญเงินฝนธัญพืชปรึกษากันได้ แปดพันเหรียญไม่มีที่ให้เจรจา หากเป็นของไร้เจ้าของก็จะแย่งชิงกันหัวร้างข้างแตก เอาไปไว้ในใต้หล้ามืดสลัว เกรงว่าคงเกิดความอลหม่านครั้งใหญ่เป็นแน่ ไม่รู้ว่าห้าขอบเขตบนกี่มากน้อยที่จะต้องงัดปัญญางัดฝีมือมาประลองกันเพราะเรื่องนี้ จะมีเซียนดินกี่มากน้อยที่ลงมือต่อสู้เต็มกำลังจนสมองไหล ยอมกายดับมรรคาสลายเพื่อแผนการใหญ่พันปีของควันธูปแห่งสำนักอย่างไม่เสียดาย”
“คาถากระบี่เล่มนี้ที่นักพรตฉุนหยางทิ้งไว้เรียกได้ว่าเป็นวิชาลับที่สร้างขึ้นมาเพื่อภูเขาเซียนตูของพวกเจ้าเลย วิชาลับตำราเต๋าพันหมื่นเล่มในใต้หล้า มีเล่มใดบ้างที่บอกว่าตัวเอง ‘ชี้ตรงไปที่โอสถทอง’? ประเด็นสำคัญคือยังเป็นคาถากระบี่บทหนึ่งด้วย”
เฉินผิงอันยิ้มพูดกับหลี่ไหวว่า “ตำราเล่มนี้มีความหมายมาก เพราะเกี่ยวพันไปถึงการสืบทอดเวทกระบี่ของนักพรตฉุนหยาง ดังนั้นจึงมีมูลค่าควรเมือง หากเจ้าไม่เก็บไว้ ข้าจะเก็บไว้เองนะ”
สายเซียนกระบี่ของลัทธิเต๋าในใต้หล้า อารามเสวียนตูแห่งใต้หล้ามืดสลัวคือศาลบรรพชนที่สมชื่อ ทว่าฝ่ายของหลวี่เหยียนกลับบุกเบิกโฉมหน้าใหม่ สร้างยอดเขาสูงขึ้นมาอีกแห่งหนึ่ง
ใบหน้าของหลี่ไหวไม่มีความคิดมากใดๆ ในมือถือชามได้ใหญ่แค่ไหนก็กินข้าวได้มากแค่นั้น รู้ดีว่าตัวเองหนักกี่จินกี่ตำลึงก็ใช้เรี่ยวแรงมากเท่านั้น นี่คือหลักในการเป็นคนที่ข้าหลี่ไหวยึดมั่นมาโดยตลอด
ครั้งนี้ถึงคราวที่ลู่เฉินต้องอึ้งงันเป็นไก่ไม้บ้างแล้ว
เฉินผิงอันรับไว้จริงๆ หรือ? ไม่กลับมาทำอาชีพเก่าเป็นกุมารแจกทรัพย์อีกหรือไร?
นักพรตเนิ่นร้อนใจทันใด รีบร้อนใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “คุณชาย จะให้เขาไม่ได้นะ เรื่องของโชควาสนาไม่ใช่ว่าพาตัวเองมาส่งถึงที่แล้วท่านจะใช้สองมือผลักออกไปนอกประตูได้นะ ไม่ได้เด็ดขาด ไม่ได้เด็ดขาด อย่าว่าแต่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่จะแย่งชิงกันจนหัวร้างข้างแตกเลย ต่อให้เป็นใต้หล้าไพศาลที่ชอบใช้กฎเกณฑ์ชอบยึดมารยาทพิธีการที่สุดก็ยังไม่ใช่ว่ามีประโยค ‘สวรรค์มอบให้ไม่รับไว้ย่อมถูกสวรรค์ลงทัณฑ์’ หรอกหรือ? คุณชาย ต่อให้มอบให้กับเฉินผิงอัน…จะดีจะชั่วพวกเราสองคนก็ควรเก็บฉบับจริงเอาไว้ อย่างมากคุณชายก็แค่คัดลอกฉบับสำเนาให้เฉินผิงอันก็พอ ถือว่าได้กันไปทั้งคู่ แบบนี้ทุกคนก็พอใจได้เหมือนกันไม่ใช่หรือ?”
หลี่ไหวส่ายหน้า “จะคิดให้มากขนาดนี้ไปทำไม”
ในใจนักพรตเนิ่นมีคลื่นยักษ์ถาโถม เพียงแต่ว่าอดกลั้นอยู่นานก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนส่ายหน้า ไม่พูดโน้มน้าวหลี่ไหวต่ออีก คุณชายคนดีหนอ เหตุไฉนข้าเหล่าเนิ่นถึงได้มาเจอนายท่านที่ไม่เห็นโชควาสนาเป็นโชควาสนาอย่างท่านได้นะ
เฉินผิงอันหยิบสมุดห้าเล่มออกมาจากชายแขนเสื้อ ยื่นส่งให้หลี่ไหว ยิ้มเอ่ยว่า “ภารกิจสำเร็จแล้ว”
คือข้อสงสัยบางอย่างจากการอ่านตำราของหลี่ไหวก่อนหน้านี้ ตอนอยู่ศาลบุ๋นเขาได้มอบสมุดให้เฉินผิงอันสองเล่ม หลังจากการประชุมศาลบุ๋นสิ้นสุดลง เฉินผิงอันก็เอาใจใส่อยู่ตลอด มักจะหยิบออกมาไขข้อข้องใจอย่างละเอียดอยู่เสมอ ถึงขั้นที่ว่าขอแค่เจอประสบการณ์หรือมีความเข้าใจอย่างใหม่ก็จะเขียนเพิ่มเข้าไปตรงจุดที่ว่างเปล่าอย่างต่อเนื่อง ก็เหมือนตอนที่อยู่หอชมดอกซิ่งของราชวงศ์ต้าเฉวียนใบถงทวีปที่เคยหยิบพู่กันและหมึกออกมา หลังจากนั้นตอนที่ใช้ถ้ำสวรรค์ฉางชุนของภูเขาเซียนตูเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมชั่วคราว เฉินผิงอันก็ไม่ได้อยู่ว่าง ถามคำถามไม่ง่าย ตอบคำถามกลับยากยิ่งกว่า ดังนั้นหลี่ไหวมอบสมุดมาให้สองเล่ม วันนี้ตอนที่เฉินผิงอันมอบกลับคืนจึงมีมากถึงห้าเล่ม อีกทั้งในสมุดสามเล่มนั้น ตัวอักษรของเฉินผิงอันยังมีขนาดเล็กเท่าหัวแมลงวัน ช่วงท้ายของเล่มสุดท้ายยังเขียนชื่อหนังสืออีกยาวเป็นพรวนซึ่งเป็นหนังสือที่เขานำมาอ้างอิงไว้ให้อย่างเอาใจใส่ด้วย
หลี่ไหวรับสมุดมา “ข้าจะตั้งใจอ่าน จะอ่านเดี๋ยวนี้เลย”
เฉินผิงอันเดินออกมาจากห้องเพียงลำพัง หลังก้าวข้ามธรณีประตูมาแล้วก็พบว่าลู่เฉินอยู่ว่างไม่มีอะไรทำจึงออกไปเดินเล่นข้างนอกแล้ว
ก่อนหน้านี้ได้ยินมาว่าผู้ฝึกตนหญิงของพรรคหวงเหลียงมีค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภูเขาโหลวซานแห่งนี้ที่เกือบจะตกเป็นที่ต้องสงสัยว่าหยินโชติช่วงหยางเสื่อมถอยแล้ว
นักพรตเนิ่นที่เดิมทีนั่งอยู่บนธรณีประตูลุกขึ้นยืน ยืนอยู่ในระเบียงกับเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ตำราที่หลวี่จู่เป็นผู้เรียบเรียงเล่มนี้ ก่อนข้าจะลงจากภูเขาจะมอบให้หลี่ไหวอีกครั้ง ให้เขาเปิดอ่านบ่อยๆ ตอนมีเวลาว่าง ถึงเวลานั้นหากเจ้าจะขอยืมอ่านก็ขอจากหลี่ไหวได้เลย”
นักพรตเนิ่นยิ้มบางๆ “ได้เลย”
กลายเป็นว่าเรื่องนี้วกวนไปมา ก็ไม่ถือว่าคลาดกับวาสนาครั้งนี้ไปอย่างนั้นหรือ?
เฉินผิงอันเอ่ยต่ออีกว่า “คำพูดเก่าแก่บอกไว้ว่า พกมีดคมติดตัว จิตสังหารย่อมบังเกิด หลักการเหตุผลข้อนี้ต้องให้ความสำคัญและระมัดระวังให้ดี”
ตอนนี้นักพรตเนิ่นอารมณ์ไม่เลวถึงได้ยินดีตอบรับอิ่นกวานอย่างขอไปที มิเช่นนั้นแล้วมาพร่ำพูดหลักการเหตุผลยิ่งใหญ่เลื่อนลอยพวกนี้กับข้า เจ้าหนูเจ้ามาหาคนผิดแล้วกระมัง? ข้าเถาถิงไม่ใช่ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของพวกเจ้านะ แล้วก็ไม่ใช่ผู้ฝึกตนแห่งไพศาลอะไรด้วย จึงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “อิ่นกวานกล่าวได้ถูกต้องแล้ว ไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์ของอริยะที่อ่านตำราหมื่นเล่มมาจนปรุ”
เฉินผิงอันไม่ถือสา ทำเป็นฟังน้ำเสียงเหน็บแนมในคำพูดของนักพรตเนิ่นไม่ออก เพียงพูดกับตัวเองว่า “เฒ่าตาบอดจัดการให้เจ้ามาอยู่ข้างกายหลี่ไหว แค่ให้เจ้าทำหน้าที่ปกป้องมรรคา ก็อย่าทำเรื่องของการ ‘ถ่ายทอดมรรคา’ ให้เป็นการวาดงูเติมขาเลย”
“หากไม่เป็นเพราะในเรื่องของจะรับมัลละเกราะทองมาหรือไม่ ยังนับว่าเจ้ามีคุณธรรมอยู่บ้าง แค่ในใจร้อนรนเท่านั้น ถึงอย่างไรก็ไม่ได้ยุยงให้หลี่ไหวตอบรับเรื่องนี้”
“ไม่อย่างนั้นข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่า หากกล้าทำลายจิตใจอันบริสุทธิ์ของลูกศิษย์สายเหวินเซิ่งข้า กล้าทำให้จิตใจที่สงบเป็นกลางของหลี่ไหวต้องปั่นป่วน จุดจบจะเป็นเช่นไร”
“ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ขอแค่ข้ารู้สึกว่าเจ้าทำผิดในเรื่องนี้ แค่อาศัยความชื่นชอบของตัวเองพาหลี่ไหวเดินไปผิดทาง ก็อย่าถือว่าข้าไม่เตือนเจ้า เว้นเสียแต่ว่าเจ้าเถาถิงสามารถหนีไปถึงภูเขาใหญ่แสนลี้ได้ก่อนที่ข้าจะลงมือ หาไม่แล้วต่อให้เป็นเฒ่าตาบอดก็ปกป้องเจ้าไม่ได้”
สีหน้าของนักพรตเนิ่นเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างไม่แน่นอน ไม่เอ่ยอะไรสักคำ
อยากจะทิ้งถ้อยคำอาฆาตเอาไว้ แต่หลายครั้งที่คำพูดมารออยู่ตรงปากแล้ว นักพรตเนิ่นกลับสะกดกลั้นเอาไว้
ถึงท้ายที่สุด นักพรตเนิ่นที่รู้สึกอัดอั้นตันใจสุดขีดก็ได้แต่เอ่ยคำพูดเสียดสีที่ไม่มีความมั่นใจมากพอ ไม่กล้าปะทะกับอิ่นกวานหนุ่มในด้านคำพูดซึ่งๆ หน้าแม้แต่น้อย “เพิ่งจะไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่วัน บารมีของอิ่นกวานยิ่งน่าเกรงขามมากขึ้นแล้ว”
ทว่าอิ่นกวานหนุ่มที่วันนี้พูดจาด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง แต่คำพูดกลับฉายประกายเฉียบคมกลับยังพูดอยู่กับตัวเองต่ออีกว่า “ถอยไปพูดหมื่นก้าว ต่อให้เจ้าหนีไปถึงภูเขาใหญ่แสนลี้ได้แล้ว เฒ่าตาบอดปกป้องเจ้าได้ครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถปกป้องเจ้าไปได้ตลอดชีวิต”
นักพรตเนิ่นใช้หางตาลอบมองประเมินอีกฝ่ายแวบหนึ่ง สวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียวรองเท้าผ้า สองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ เอนหลังพิงผนัง
เขาถึงเพิ่งจะนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ หากอิงตามลำดับอาวุโสของสายบุ๋นแล้ว ดูเหมือนว่าไอ้หมอนี่จะเป็นอาจารย์อาน้อยของหลี่ไหวจริงๆ?
ช่างเถอะๆ คนสายเหวินเซิ่งปกป้องคนกันเองแค่ไหน นักพรตเนิ่นรู้ดี หลายๆ ใต้หล้าก็รู้กันดี นักพรตเนิ่นไม่อยากจะไปสัมผัส ไปพิสูจน์กับตัวเองว่าเรื่องนี้เป็นจริงหรือเท็จหรอกนะ
อีกอย่างเฉินผิงอันคืออาจารย์อาน้อยของหลี่ไหว ข้าคือผู้ปกป้องมรรคาของหลี่ไหว ก็คือคนบ้านเดียวกันครึ่งตัวแล้ว ปิดประตูพูดจาไม่น่าฟังกันแค่ไม่กี่ประโยคเท่านั้น ทนๆ เอาก็แล้วกัน
เพียงแต่นักพรตเนิ่นกลับยังรู้สึกว่าไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่วัน เจ้าคนที่อยู่ข้างกายผู้นี้กลับคล้ายจะเปลี่ยนแปลงไปมาก
เพราะไปเยือนพื้นที่ใจกลางของเปลี่ยวร้างและภูเขาทัวเยว่มารอบหนึ่งหรือ? ไม่ใช่แค่นั้น ดูเหมือนว่าในการเดินทางท่องเที่ยวครั้งนี้ได้ทำให้อิ่นกวานหนุ่มได้รับผลประโยชน์บางอย่างจากเส้นทางบางเส้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว?
ทันใดนั้นนักพรตเนิ่นก็เห็นเพียงว่าอิ่นกวานหนุ่มพลันยิ้มกว้างจนตาหยี “ตกใจคำพูดวางโตของผู้เยาว์หรือ? คุยโวไม่ต้องร่างคำพูด เคยเห็นแค่โทษฟันหัว ไม่เคยเห็นโทษฟันปาก ใช่ไหมล่ะ?”
อิ่นกวานหนุ่มขยับเท้า ยิ้มพลางตบไหล่ของนักพรตเนิ่น “แล้วนับประสาอะไรกับที่ผู้อาวุโสตัวตรงก็ไม่ต้องกลัวว่าเงาจะเอียงนี่นะ”
นักพรตเนิ่นหัวเราะแห้งๆ
ดูเหมือนจะยิ่งอัดอั้นมากกว่าเดิม
นี่ถือว่าถูกอิ่นกวานหนุ่มตบหัวแล้วลูบหลังหรือไม่?
สุดท้ายเฉินผิงอันเอ่ยว่า “คำพูดไม่น่าฟังเอามาพูดกันก่อน ถึงอย่างไรก็ดีว่าให้เกิดความไม่พอใจกันภายหลัง ต่างฝ่ายต่างชิงชังกันก็ต้องต่อสู้กันเอาเป็นเอาตาย แล้วยังรู้สึกว่าตัวเองไม่ผิดกันอีก”
นักพรตเนิ่นพยักหน้า เหตุผลข้อนี้ถือว่าเรียบง่ายตื้นเขิน แต่ถือว่าเป็นความจริง
หลังจากเฉินผิงอันรำลึกความหลังกับนักพรตเนิ่นไปรอบหนึ่งแล้ว ไม่มีเจ้าลัทธิลู่แห่งป๋ายอวี้จิง เฉินหลิงจวินที่อยู่ในลานบ้านก็ยังกลัวหัวหด สีหน้าระมัดระวัง มีปากก็ยากจะเอื้อนเอ่ย คนตั้งมากมายขนาดนี้ ใบหน้าที่หล่นอยู่บนพื้น จะเก็บก็เก็บขึ้นมาไม่ได้
เฉินผิงอันเดินลงบันไดมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินหลิงจวิน ยิ้มพูดเหมือนทำนายได้ “ทำไม ได้เจอกับฮ่องเต้แคว้นเมิ่งเหลียงแล้ว? บอกมาเถอะว่าตอนอยู่บนโต๊ะสุราโม้กับหวงชงไปมากเท่าไรแล้ว รับปากเขาว่าข้าจะต้องยอมเป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งหรือเค่อชิงที่ได้รับการบันทึกชื่อของแคว้นเมิ่งเหลียงแน่นอน?”
เฉินหลิงจวินยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “นั่นก็ไม่รู้ความเกินไปแล้ว ทำไม่ได้ ทำแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด”
รีบหันไปขยิบตาให้กวอจู๋จิ่ว เจ้าเป็นลูกศิษย์คนเล็กของนายท่านบ้านข้า พูดจาต้องได้ผลกว่าข้าอยู่แล้ว
กวอจู๋จิ่วรักษาสัญญาอย่างที่บอก ช่วยไกล่เกลี่ยสถานการณ์ให้โดยการเล่าบทสนทนาที่เฉินหลิงจวินพูดคุยกับฮ่องเต้หนุ่มคนนั้นบนโต๊ะสุราให้ฟังคร่าวๆ
เฉินผิงอันยื่นมือมากดศีรษะของเฉินหลิงจวิน
เฉินหลิงจวินหดคอ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้าสามารถรับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานเชื้อพระวงศ์แคว้นเมิ่งเหลียงได้ รับการบันทึกชื่อได้ ส่วนตำแหน่งอันดับหนึ่งนั้นช่างเถอะ เผ่าพันธุ์เจียวหลง หากมีความสัมพันธ์กับชะตาแคว้นแห่งหนึ่งลึกล้ำเกินไป วันหน้าจะค่อนข้างยุ่งยาก อีกอย่างทางฝั่งของหมี่อวี้ เจ้าก็ไปปรึกษากับเขาเอาเอง หากตัวหมี่อวี้เองยินดีจะมีสถานะผู้ถวายงานหรือเค่อชิงเพิ่มมา ข้าก็ไม่ขัดขวาง นอกจากนี้ผู้ฝึกตนบนทำเนียบที่จะรับหน้าที่เป็นเค่อชิงผู้ถวายงานของบ้านอื่น ขอแค่เป็นคนที่ได้รับการบันทึกชื่อจะต้องมีบันทึกไว้ที่ศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อ หากผู้คุมกฎฉางมิ่งถามขึ้นมาก็แค่ผลักภาระมาที่ข้าก็พอ”
เฉินหลิงจวินเงยหน้าพรวด เอ่ยอย่างตกตะลึงระคนยินดี “นายท่านตอบตกลงกับเรื่องนี้แล้วหรือ?!”
เฉินผิงอันพยักหน้า เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เจ้าตัวดี!”
เฉินหลิงจวินกอดแขนของนายท่านบ้านตนเอาไว้ เอ่ยอย่างซาบซึ้งใจว่า “เมื่อไหร่ที่นายท่านกลับบ้าน ข้าจะเตรียมอาหารดีๆ ไว้ให้ ให้พ่อครัวเฒ่าทำอาหารอร่อยๆ ไว้โต๊ะใหญ่เลยดีไหม?”
หากรู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรก ก่อนหน้านั้นตอนเจอกับเจ้าลัทธิลู่ที่มีเพียงตัวคนเดียวโดดเดี่ยวเดียวดายจะต้องกลัวอะไร นายท่านใหญ่อย่างข้ากระโดดขึ้นมาก็พ่นฟองน้ำลายเต็มหน้าเจ้าลู่เฉินได้แล้ว
——