กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 942.1 ถ้าอย่างนั้นข้าก็ทำอย่างที่ข้าอยากทำ
บรรยากาศในศาลากลับปรองดองกว่ามาก
พอได้ยินว่านักพรตลู่จากอารามชิวหาวถึงกับเป็นแขกผู้สูงศักดิ์ที่ขึ้นเขามาพร้อมกับเจ้าขุนเขาเฉิน ทุกคนก็พากันเงียบเสียง
แน่นอนว่าไม่กล้าเชื่อ เพียงแต่ว่าต่อให้จะน่าเหลือเชื่อแค่ไหนก็จำต้องเชื่อ เพราะถึงอย่างไรเรื่องแบบนี้ ใครจะกล้าแต่งเรื่องพูดโกหก?
ผู้ฝึกตนหญิงหลายคนที่เดิมทียังมีท่าทางเกียจคร้าน แต่ละคนกลับเปลี่ยนมามีสีหน้าจริงจัง พอมองนักพรตหนุ่มอีกครั้งก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาหล่อเหลามากกว่าเดิมหลายส่วน
นักพรตหนุ่มทำเหมือนนักเล่านิทานของล่างภูเขาที่เริ่มพูดย้อนทวนความทรงจำของตัวเอง “เสี่ยวเต้ากับเจ้าขุนเขาเฉิน แม้จะไม่ใช่คนบ้านเดียวกัน แต่ก็เป็นสหายร่วมทุกข์ร่วมยากที่รู้จักกันตอนที่ยังเป็นคนไม่มีชื่อเสียง เป็นสหายรักที่แค่เจอหน้าก็เหมือนรู้จักกันมานาน หากเปลี่ยนคำกล่าวที่ฟังไพเราะกว่านี้ก็คือยามที่พบเจอกันครั้งแรกทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นเด็กหนุ่มด้วยกันทั้งคู่ ตอนนั้นเสี่ยวเต้ากับเจ้าขุนเขาเฉินต่างก็ยังไม่ได้ร่ำรวย จากนั้นข้ากับเจ้าขุนเขาเฉินที่ถูกชะตากันมากก็ออกเดินทางไกลไปด้วยกัน เคยไปพักค้างแรมกันในศาลเทพอภิบาลเมืองแห่งหนึ่ง ฝันว่าได้ไปเยือนกองงานโชคลาภ ได้เจอกับขุนนางหลักของกองโชคลาภที่สวมชุดคลุมสีม่วงรัดเข็มขัดหยกแต่งกายเหมือนขุนนางผู้พิพากษา…”
มีสตรีคนหนึ่งฟังมาถึงตรงนี้ก็อดไม่ไหวขัดขังหวะคำพูดของนักพรตหนุ่ม ถามอย่างสงสัยว่า “ในบรรดาที่ว่าการของกองงานมากมายในศาลอภิบาลเมือง ยังมีสถานที่อย่างกองงานโชคลาภอยู่ด้วยหรือ?”
ในบรรดาที่ว่าการมากมาย ศาลเทพอภิบาลเมืองประจำเมืองหลวงของแคว้นเมิ่งเหลียงมีที่ว่าการอยู่น้อย แต่ศาลเทพอภิบาลเมืองประจำเขตประจำอำเภอที่มีที่ว่าการอยู่มาก แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีที่ว่าการนี้อยู่
สตรีในศาลาต่างก็พากันส่ายหน้า เห็นได้ชัดว่าไม่เคยได้ยินมาก่อน
นักพรตหนุ่มทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “ก็นั่นน่ะสิ เรื่องราวก็มักจะแปลกประหลาดเช่นนี้เสมอ เอาเป็นว่าเคยได้เจอเรื่องประหลาดมามากมายก็แล้วกัน ยกตัวอย่างเช่นขุนนางชั้นผู้น้อยในศาลเทพอภิบาลเมืองคุมตัวนักโทษกลุ่มหนึ่ง ท่านเทพอภิบาลเมืองทำการพิพากษายามค่ำคืน ในบรรดานั้นก็มีสตรีที่ตรงลำคอมีเชือกเส้นหนึ่งห้อยอยู่ สวมชุดสีแดง ใบหน้าเศร้ารันทด นางชอบเงยหน้าขึ้นตามความเคยชิน แลบลิ้นออกมาน้อยๆ และยังมีสตรีอีกคนหนึ่งที่สวมตรวนครอบศีรษะเดินอยู่ในระเบียง เดินประหนึ่งล่องลอยไปตามสายน้ำ เส้นผมสีนิลเต็มศีรษะเหมือนพืชน้ำที่ลอยพลิ้ว หลังจากนั้นก็มีลูกหลานตระกูลร่ำรวยลักษณะคล้ายคุณชายผู้สูงศักดิ์ห้าคนที่พาอนุภรรยาและสาวใช้หน้าตางดงามมาด้วยกลุ่มใหญ่ มาดื่มเหล้ากับขุนนางหลักของจวนอื่นในศาลเทพอภิบาลเมือง ยามดึกดื่นค่ำคืนก็มีสตรีคนหนึ่งที่สวมชุดกระโปรงสีขาวขี่ม้าขาว บอกว่าตัวเองแซ่ป๋าย คือเซียนอิสระที่ฝึกตนอยู่ล่างภูเขาของนครชิงเฉิง คืนนี้มาพักค้างแรมที่นี่…เรื่องราวสารพัดหลากหลาย เต็มไปด้วยความประหลาดมหัศจรรย์ เกิดขึ้นต่อเนื่องติดกันจนแทบไม่อาจกะพริบตาได้ ช่างเป็นดั่งคำกล่าวที่ว่าหนึ่งค่ำคืนพบเห็นเรื่องราวร้อยปีในโลกมนุษย์จริงๆ”
“หลังจากเสี่ยวเต้าฟื้นตื่นจากความฝัน คิดไปคิดมา พอไปเปิดอ่านตำราโบราณทั้งหลายคิดร้อยตลบแล้วก็ยังไม่เข้าใจอย่างพวกเจ้านี่แหละ แล้วก็ไม่กล้าคิดเป็นจริงเป็นจัง โชคดีที่มีญาติมิตรคอยให้การสนับสนุน บังเอิญที่เสี่ยวเต้ากับญาติของ…นักพรตคนหนึ่งของฝ่ายตรวจสอบแห่งอารามชิวหาวสำนักโองการเทพพอจะมีความเกี่ยวข้องกันอยู่บ้าง คนของฝ่ายตรวจสอบผู้นั้นเห็นว่าฐานกระดูกของเสี่ยวเต้าไม่ธรรมดา ถึงกับไม่ยินดีจะรับเป็นลูกศิษย์โดยตรง แต่รับศิษย์แทนอาจารย์ หลังจากนั้นมาเสี่ยวเต้าก็ถือว่าได้เริ่มฝึกตนอย่างเป็นทางการแล้ว ส่วนเจ้าขุนเขาเฉิน ปีนั้นหลังจากจากลากันที่กองโชคลาภของศาลเทพอภิบาลเมืองก็ยิ่งเจอวาสนาใหญ่ เหมือนกับมังกรที่ตกลงไปสู่บ่อโคลนจริงๆ ยากจะพลิกตัวดิ้นหนี ยุงและแมลงวันเกาะตอมเต็มเกล็ด ถูกกักขังไว้ภายไว้ ในที่สุดวันนี้ก็มีสายลมพัดโชยสายฝนชะล้างความมืดมน รอแค่เสียงอสนีบาต มังกรโคลนในสระก็กลับคืนมามีชีวิตชีวา สะบัดร่างทะยานโผบินขึ้นกลางอากาศ!”
“บุปผาสองดอกผลิบาน หนึ่งดอกหนึ่งกิ่ง เสี่ยวเต้ายังไม่พูดถึงวีรกรรมมากมายในภายหลังของเจ้าขุนเขาเฉินอย่างละเอียด”
“พูดถึงแค่ตอนที่เสี่ยวเต้าฝึกวิชาเซียนประสบความสำเร็จ คนบนภูเขาเก็บตัวอยู่อย่างสันโดษ นิ่งสงบอยู่นานวันเข้าก็อยากจะขยับตัว จึงเริ่มลงจากภูเขาไปหาประสบการณ์ในโลกโลกีย์ เจอปีศาจกำจัดปีศาจ เจอผีพิฆาตผี ช่างสะใจยิ่งนัก พอจะถือว่าได้รับชื่อเสียงยิ่งใหญ่มาจากยุทธภพได้อยู่บ้าง ท่องพเนจรไปตลอดทาง กระทั่งเดินทางไปถึงซากปรักของสถานที่ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง มีแม่น้ำใหญ่กั้นขวาง ภูเขาสองลูกคุมเชิงกัน นับแต่โบราณมาก็มีคำกล่าวที่ว่าเต่าและงูกักขังมหานที (เต่าและงูมาจากชื่อของภูเขากุยซานและเสอซาน) ผลคือเป็นอย่างไรพวกเจ้าลองเดาดูสิ? สถานที่ที่มีโชคชะตาน้ำเข้มข้นถึงเพียงนี้ กลับต้องมาเจอภัยแล้งใหญ่ที่หลายร้อยปีก็ยากจะพานพบ ชาวบ้านใช้ชีวิตอยู่กันไม่เป็นสุข เสี่ยวเต้าฝึกคาถาเซียนมาแล้ว แต่กลับยังมีจิตใจที่กระตือรือร้นอยากช่วยเหลือผู้อื่น เสี่ยวเต้าจึงทำมุทรา ร่ายคาถาหลบน้ำที่เป็นวิชาลับสืบทอดมาจากอารามชิวหาว แบ่งแยกคลื่นน้ำ มุ่งหน้าไปยังจวนวารีที่ตั้งอยู่แม่น้ำตอนบน ไปขอฟังคำอธิบายจากทางฝั่งนั้น ดีนักนะ พวกเขาไม่เห็นเสี่ยวเต้าอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ได้กินน้ำแกงประตูปิดโดยตรง เสี่ยวเต้าก็ยังอดทน ไปที่แม่น้ำตอนล่างขอยืมน้ำจากหูจวินที่จวนหูจวินซึ่งเป็นที่ตั้งเก่าของวังมังกรมาอีก หวังให้เขากรอกน้ำเข้าใส่ท้องน้ำที่อยู่ตอนบน แต่กระนั้นก็ยังไร้ผล เสี่ยวเต้าโมโหยิ่งนัก ได้แต่แสดงฝีมือเอง หลายวันที่ไม่ได้ข่มตาหลับ เพียงแค่เพื่อตรากตรำศึกษายันต์ตระกูลเซียนบทหนึ่ง คงเป็นเพราะจิตใจที่บริสุทธิ์ทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งฟ้าดินซาบซึ้ง ยันต์ใหญ่ที่ธรณีประตูสูงมากบทนี้กลับถูกเสี่ยวเต้าเรียนรู้จนสำเร็จได้จริง เสี่ยวเต้าจึงอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ถือศีลกินอาหารเจ ก่อนจะไปที่หอเรือนสูงริมแม่น้ำ เผากระดาษยันต์ละลายไปในสุรา จากนั้นเสี่ยวเต้าก็ดื่มไปแค่เกือบครึ่งกาแล้วโยนกาเหล้าทิ้งไปนอกหอ สุราเหมือนน้ำตกที่ไหลหล่นลงไป สายน้ำจากสุราที่ไหลไม่ขาดสายกรอกเทเข้าสู่ท้องน้ำที่แห้งขอดจนเห็นก้นบึ้ง ไม่มีแม้แต่ปลาเป็นๆ สักตัว นับแต่นั้นมากระแสน้ำในแม่น้ำก็ไหลเชี่ยวกราก พืชหญ้าเขียวชอุ่มอุดมสมบูรณ์…”
พวกผู้ฝึกตนหญิงที่อยู่ในศาลาหันมามองหน้ากันเอง
ควรจะไชโยโห่ร้องให้การสนับสนุนดี หรือถามอย่างกังขาดี? นักพรตลู่ แม้ว่าเจ้าจะเป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลาง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นขอบเขตถ้ำสถิตที่ต่ำที่สุดแล้วนะ พูดถึง ‘ยันต์ใหญ่’ ‘ธรณีประตูสูงมาก’ อะไรนั่น ฟังแล้วออกจะเกินไปหน่อยหรือไม่?
ต้องรู้ว่าเวลานี้ในศาลามีผู้ฝึกลมปราณขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่งกับขอบเขตถ้ำสถิตสองคนนั่งอยู่ด้วยนะ
ชิงถงเริ่มขยับเท้าเดินไปยังที่แห่งอื่น ไม่คิดจะอยู่ฟังต่อไป เจ้าลัทธิลู่ยิ่งพูดก็ยิ่งเลื่อนเปื้อนไปใหญ่
คนอื่นคุยโวไม่ต้องร่างคำพูด ล้วนเป็นการคุยโวโอ้อวดให้ตัวเอง แต่ลู่เฉินกลับไม่เหมือนกัน เหมือนจะเป็นในทางตรงกันข้าม?
ผู้เฒ่าชุดเหลืองคนหนึ่งเดินมาถึงที่ศาลา เหล่าสตรีก็พากันแยกย้ายจากไปแล้ว มีเพียงนักพรตหนุ่มที่สวมกวานหางปลาเท่านั้นที่ยังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเก้าอี้ยาว เขาอ้าปากหาว ตรงข้างเท้าวางกาเหล้าว่างเปล่าไว้กาหนึ่ง ก่อนหน้านี้ทั้งช่วยดูดวงและก็เป็นนักเล่านิทานให้พวกเทพธิดากลุ่มนั้นฟัง เปลืองน้ำลายไปถังใหญ่ ต้องดื่มเหล้าสักหน่อยให้ลำคอชุ่มชื้น จิตใจกระปรี้กระเปร่า
ลู่เฉินเห็นว่านักพรตเนิ่นมาหยุดอยู่นอกศาลาแล้วไม่เดินหน้าต่อก็กวักมือยิ้มเอ่ย “นั่งลงคุยกันสิ”
นักพรตเนิ่นถึงได้กล้าเดินขึ้นบันไดมา
ก่อนหน้านี้อยู่ในภาพมายา อันที่จริงทั้งสองฝ่ายไม่ได้พูดคุยกัน เพราะเพียงไม่นานลู่เฉินก็ส่งนักพรตเนิ่นออกมาจากเขตแดนอย่างมีมารยาท
ลู่เฉินถาม “สถานะของผินเต้า ผู้อาวุโสเถาถิงคงไม่ได้บอกกับหลี่ไหวกระมัง?”
นักพรตเนิ่นส่ายหน้า “ไม่กล้าทำให้เกิดปัญหาแทรกซ้อน”
ก่อนหน้านี้ก็มีคำเตือนที่แทบจะใกล้เคียงกับคำข่มขู่ของอิ่นกวานหนุ่ม แล้วยังมามีการกระทบกระเทียบจากเจ้าลัทธิลู่แห่งป๋ายอวี้จิง นักพรตเนิ่นในเวลานี้ไม่มีความมั่นใจมากพอ พลังอำนาจก็ไม่น่าเกรงขาม
ลู่เฉินยิ้มตาหยีเอ่ย “เฉินผิงอันพูดจารุนแรงกับเจ้า ในใจเจ้าคงไม่สบอารมณ์สินะ?”
นักพรตเนิ่นกระตุกมุมปาก “ถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็หวังดีกับคุณชายของข้า”
ลู่เฉินนวดคลึงปลายคาง “คำกล่าวนี้ ถูกก็ถูกอยู่หรอก เพียงแต่ว่าพูดได้ไม่แม่นยำนัก”
นักพรตเนิ่นขอความรู้อย่างถ่อมตัว “ขอเจ้าลัทธิลู่โปรดไขข้อข้องใจให้ข้าด้วย”
ลู่เฉินกล่าว “เฉินผิงอันมีชาติกำเนิดจากตรอกหนีผิง เจ้ารู้ใช่ไหม?”
นักพรตเนิ่นพยักหน้ารับ “แน่นอน”
ตรอกเล็กแห่งนั้นก็คือสถานที่พยัคฆ์ซ่อนมังกรหมอบ
เฉินผิงอัน ซ่งมู่อ๋องเจ้าเมืองต้าหลี มังกรที่แท้จริงหวังจู กู้ช่านแห่งนครจักรพรรดิขาว แล้วก็เป็นที่ตั้งของบ้านบรรพบุรุษของเฉาซีเซียนกระบี่แห่งทักษินาตยทวีป
ลู่เฉินเอนหลังพิงราวรั้ว เอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “เมื่อก่อนในตรอกเล็กแห่งนั้นมีเจ้ากระต่ายน้อยที่ถูกเฉินผิงอันและหลิวเสี้ยนหยางเรียกขานว่าเจ้าขี้มูกยืดน้อย อืม หรือก็คือลูกศิษย์คนเล็กของอาจารย์เจิ้งแห่งนครจักรพรรดิขาวพวกเรานั่นเอง”
นักพรตเนิ่นกล่าว “ลมและน้ำช่างน่าตกตะลึงเหลือเกิน”
ลู่เฉินยกมือข้างหนึ่งขึ้น ชี้ไปยังทิศทางหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ “หนึ่งในห้าโชควาสนาที่ใหญ่ที่สุดซึ่งเปิดเผยให้เห็นของถ้ำสวรรค์หลีจูในอดีต ก็คือหนีชิวน้อยตัวนั้น มันถูกเฉินผิงอันตกมาได้จากในร่องคันนากับมือตัวเอง กู้ช่านอยากได้ เฉินผิงอันเห็นเขาเป็นเหมือนน้องชายแท้ๆ ครึ่งตัวมาโดยตลอด แน่นอนว่าย่อมไม่ขี้เหนียวกับเขา จึงมอบมันให้กับกู้ช่าน กู้ช่านเอาไปเลี้ยงไว้ในอ่างน้ำบ้านตน ภายหลังเจอกับหลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจินจวินแห่งทะเลสาบซูเจี่ยน ก็ได้กราบเขาเป็นอาจารย์ สองแม่ลูกติดตามหลิวจื้อเม่าไปอยู่ที่เกาะชิงเสีย การจากลากันครั้งนั้น เด็กหนุ่มรองเท้าแตะอายุสิบสี่ปีก็ได้เริ่มออกเดินทางไกลไปยังต้าสุย เพราะต้องปกป้องลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งของฉีจิ้งชุนคุ้มกันไปส่งที่สำนักศึกษาซานหยา ในกลุ่มคนมีคนที่อายุน้อยที่สุด ก็คือหลี่ไหว”
ลู่เฉินสะบัดชายแขนเสื้อ “เฉินผิงอันไม่อยากทำความผิดแบบเดิม”
นักพรตเนิ่นกล่าว “หวังว่าเจ้าลัทธิลู่จะช่วยอธิบายต้นสายปลายเหตุอย่างละเอียด”
ลู่เฉินถอนหายใจ ผินเต้าพูดขนาดนี้แล้ว เจ้ายังฟังไม่เข้าใจอีกหรือ ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความระอาใจ แกว่งกาเหล้า แล้วก็ยังยกกาเหล้ากระดกดื่ม แต่กลับมีเหล้าแค่ไม่กี่หยดที่หล่นใส่ปาก เช็ดปากแล้วถึงเอ่ยว่า “โชควาสนาส่วนของหนีชิวน้อยนี้ เป็นเฉินผิงอันที่มอบให้กู้ช่านเองกับมือ ตอนนั้นกู้ช่านอายุยังน้อย จะมีจิตแห่งมรรคาอะไรให้พูดถึง ประโยคก่อนหน้านั้น เฉินผิงอันพูดกับเจ้าว่าอย่างไร ‘พกมีดคมกริบอยู่กับตัวก็เกิดใจสังหาร’ ใช่ไหม? ทะเลสาบซูเจี่ยนที่สามารถมองเป็น ‘ใต้หล้าเปลี่ยวร้างน้อย’ ได้แห่งนั้น ได้ครอบครองเจียวน้ำขอบเขตก่อกำเนิดตัวหนึ่งที่ยอมรับตัวเองเป็นเจ้านาย สำหรับเด็กตัวเท่าก้นแล้วก็เป็นทั้งยันต์คุ้มกันกายแผ่นหนึ่ง แล้วก็เป็นทั้ง…มีดผ่าฟืนที่คมกริบอย่างถึงที่สุดเล่มหนึ่งด้วย ก็เหมือนเด็กเกเรคนหนึ่งที่เดินเข้าไปในสวนดอกผักน้ำมัน (ดอกคาโนลาหรือดอกเรปซีด ก้านยาวดอกเป็นสีเหลืองสดใส) ไม่มีใครควบคุม ในมือถือมีดผ่าฟืน สิ่งที่ดวงตามองเห็นก็ย่อมต้องเป็นดอกผักน้ำมันที่ลำต้นเล็กบอบบาง ตวัดฟันตามใจชอบ ไม่แน่เสมอไปว่าจะมองเห็นแมลงที่ซ่อนอยู่ในทุ่ง หรือเห็นเจ้าของของดอกผักน้ำมันพวกนั้น”
“ขณะเดียวกันหนีชิวน้อยตัวนั้น เพื่อให้ตัวเองได้เดินขึ้นบันไดบนมหามรรคาไปได้ตลอด แน่นอนว่าต้องกินให้อิ่ม เหมือนอย่างเจ้าเถาถิงที่ต้องย้ายภูเขาหลอมภูเขา เผ่าพันธุ์เจียวหลงยังจะมีเส้นทางการฝึกตนแบบใดที่เร็วกว่าการกินผู้ฝึกลมปราณโดยตรงอีก นี่ก็คือนิสัยแต่กำเนิดของหนีชิวน้อย อีกทั้งยังสอดคล้องกับเจตจำนงเดิมของกู้ช่าน นายบ่าวสองคนจึงเหมือนได้…ผสานมรรคากันเล็กๆ ครั้งหนึ่ง บวกกับที่หลิวจื้อเม่ามองดูดายไม่สนใจ แน่นอนว่าคนหนึ่งย่อมเกิดจิตสังหาร อีกคนหนึ่งก็นิสัยดุร้ายกำเริบ”
“ดังนั้นปีนั้นเฉินผิงอันถึงได้ถูกศิษย์พี่อย่างชุยฉานทรมาทรกรรมจนขาดอีกนิดเดียว อีกแค่นิดเดียว จิตใจก็จะแหลกสลายอย่างสิ้นเชิงแล้ว หากผิดเต้าเดาไม่ผิดล่ะก็ เขาเคยเอ่ยประโยคหนึ่งกับกู้ช่านว่า ‘ขอโทษนะ ข้ามาช้าไป’”
“แน่นอนว่านิสัยของหลี่ไหวกับกู้ช่าน เด็กสองคนที่ปีนั้นมองดูเหมือนไม่ต่างกันเท่าไร แต่หากสืบสาวกันขึ้นมาจริงๆ กลับต่างกันอย่างมาก คนวัยเดียวกันสองคน มองดูเหมือนขี้ขลาดเหมือนกัน แต่กู้ช่านกลับเป็นเพราะรู้ว่าตัวเองมีกำลังน้อย หลี่ไหวนั้นเป็นเพราะกล้าแต่เก่งในโปงผ้าห่ม ซึ่งก็เพราะเขามีครอบครัวที่อบอุ่น อีกทั้งตอนที่หลี่ไหวยังเด็กก็รู้ถึงความดีของคนในครอบครัวแล้ว กู้ช่านกับหลี่ไหวก็เหมือนชีวิตคนสองประเภท ประเภทหนึ่งคือคนที่มีชีวิตไม่ดีงาม ก็เลยอยากจะให้ชีวิตในอนาคตดีขึ้นมาหน่อย อีกประเภทหนึ่งคือครอบครัวยากจน มองดูเหมือนว่าใช้ชีวิตได้ไม่ง่าย แต่อันที่จริงคนในครอบครัวกลับอบอุ่นใกล้ชิดสนิทสนมกัน อันที่จริงนี่เป็นเรื่องโชคดีที่หาได้ยากยิ่งแล้ว ดังนั้นในอนาคตจึงต้องการประคับประคองความงดงามที่ได้มาโดยไม่ง่ายส่วนนี้เอาไว้”
“ดังนั้นหากหลี่ไหวถูกเจ้าชักนำจิตแห่งมรรคา กลายเป็นคนที่จะทำให้อาจารย์ฉีผิดหวังอย่างที่เฉินผิงอันคิดไว้ เจ้าจะต้องตาย ตายแน่นอน”
“เจ้าคิดว่าตัวเองมีขอบเขตสูงกว่าจึงดูแคลนอิ่นกวานหนุ่มที่ขอบเขตไม่สูงมาโดยตลอด แต่กลับไม่รู้เลยว่า อันที่จริงนับตั้งแต่วันแรกที่เจ้ากลายเป็นผู้ติดตามของหลี่ไหว เฉินผิงอันก็เริ่มช่วยเตรียมสมุดเล่มหนึ่งไว้ให้เจ้าแล้ว รอกระทั่งเขาเข้าร่วมการประชุมศาลบุ๋น ตอนอยู่บนเกาะยวนยาวง เจ้าคิดว่าตัวเองกำลังโอ้อวดบารมี ในใจลำพองใจอย่างมาก แต่เฉินผิงอันกลับมองดูด้วยสายตาเย็นชามาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้พอมาถึงโหลวซานถึงได้พูดกับเจ้าอย่างตรงไปตรงมา หลีกเลี่ยงไม่ให้…ในอนาคตเขาฆ่าเจ้าตายแล้วผู้อาวุโสเถาถิงยังรู้สึกว่าได้รับความไม่เป็นธรรม”
ลู่เฉินทอดถอนใจ ยื่นนิ้วออกมาชี้ไปที่ผู้เฒ่าชุดเหลือง “ก่อนหน้านี้ที่ผินเต้านั่งยองอยู่ข้างทาง ด่าหินก้อนหนึ่งว่าเป็นหินขัดเท้า เจ้าคิดว่าผินเต้ากินอิ่มว่างงานก็เลยพูดไปอย่างนั้นเองหรือ และยังมีประโยคเหน็บแนมที่บอกว่าคนกินข้าวร้อนสุนัขกินอาจมร้อน เจ้าขบคิดรสชาติที่แฝงอยู่ออกหรือยัง? เฮ้อ ผู้อาวุโสเถาถิงเจ้าคิดอะไรน่ะ ทำสีหน้าแบบนี้ทำไม…เจ้าเข้าใจผินเต้าผิดแล้วนะ ผินเต้าไม่ได้บอกว่าเจ้ากินอาจมแล้วลิ้มรสชาติแบบใดได้ ผินเต้าแค่พูดจาแฝงความนัย ในคำพูดมีคำพูด นักพรตอย่างผินเต้า พูดคุยเรื่องอะไร จะให้พูดโพล่งๆ ออกไปก็คงไม่ได้ จะมากจะน้อยต้องแฝงความหมายที่ลี้ลับไว้บ้างจึงจะเหมาะสมกับสถานะของข้า”
ใบหน้าของนักพรตเนิ่นกระอักกระอ่วน ได้แต่ฝืนมโนธรรมในใจเอ่ยว่า “เจ้าลัทธิลู่คือผู้ที่เชี่ยวชาญการพูดจาลี้ลับ ทั้งมีอารมณ์ขัน ทั้งยังแฝงความหมายลึกล้ำ”
ลู่เฉินหัวเราะร่า หันหน้าไปมองทัศนียภาพขุนเขาสายน้ำนอกศาลา “หากพวกเราทุกคนเอาหนึ่งภูเขาหนึ่งสายน้ำและคนทุกคนเป็นตัวอักษรทุกตัวที่อยู่ในบทความหนึ่งบท ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าก็พลาดไปมากเหลือเกิน หลายปีมานี้ที่ผินเต้าฝึกตนมา นักพรตที่แสวงหาคำว่า ‘ไม่เคยทำผิดพลาด’ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยอยู่ตลอด อีกทั้งยังทำได้ใกล้เคียงกับคำว่าไร้ข้อผิดพลาดมากที่สุด มีน้อยจนนับนิ้วได้ เฉินผิงอันสามารถถือเป็นคนหนึ่งในนั้น แน่นอนว่าเขายังเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดด้วย และตอนนี้ก็ยังเป็นคนที่มรรคกถาต่ำที่สุด”
นักพรตเนิ่นถามอย่างระมัดระวัง “เหตุใดเจ้าลัทธิลู่ถึงยินดีชี้แนะข้า?”
ลู่เฉินทอดถอนใจ “เจ้าเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยาน ก็เป็นตัวอักษรหนึ่งเหมือนกันไม่ใช่หรือ? แล้วยังเป็นตัวอักษรใหญ่ขนาดนั้น มาโผล่อยู่ตรงหน้าผินเต้า ผินเต้าหรือจะยอมปล่อยผ่านไปได้?”
มนุษย์เรายากนักที่จะไม่เคยทำผิดพลาด ชีวิตคนมีความผิดพลาดเกิดขึ้นมากมาย
เรื่องราวผิดพลาด คนทำผิดพลาด ย้อนคิดซ้ำไปซ้ำมา ล้วนเป็นความผิดพลาด ความผิดพลาดที่ผ่านไปแล้ว
สีหน้าของลู่เฉินกลัดกลุ้มนัก เงยหน้ามองฟ้าอยู่หลายครั้ง คิดว่าควรจะจากไปโดยไม่ลา เผ่นหนีเพื่อความปลอดภัยก่อนดีหรือไม่
ต่อให้ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะหลบพ้นวันที่หนึ่ง (ชูอี) หลบไม่พ้นวันที่สิบห้า (สืออู่) แต่ขอแค่หลบพ้นวันที่หนึ่งมาได้ ก็ไม่เท่ากับว่ามีวันเวลาที่สงบสุขเพิ่มมาอีกตั้งสิบสี่วันหรอกหรือ?
——