กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 942.2 ถ้าอย่างนั้นข้าก็ทำอย่างที่ข้าอยากทำ
ฮ่องเต้หนุ่มของแคว้นเมิ่งเหลียง เหนียงเนียงเทพวารีแซ่สองพยางค์น่าหลัน เหมยซานจวิน ยังคงหนึ่งนั่งสองยืน รอคอยอยู่ในศาลา
หวงชงกลับหวังให้พวกเขาสองคนทำตัวตามสบายกว่านี้อีกสักหน่อย ทว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำทั้งสองกลับเคารพกฎปฏิบัติระหว่างจักรพรรดิและขุนนางอย่างเคร่งครัด อันที่จริงในวงการขุนนางภูเขาสายน้ำ นี่ถือเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก ซานจวินห้ามหาบรรพตของหนึ่งแคว้นกับเทพวารีตำแหน่งสูงอันดับหนึ่งในแคว้น ได้เจอกับฮ่องเต้ ก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้เลย
แต่เหมยซานจวินที่มีชาติกำเนิดจากวิญญาณวีรบุรุษแม่ทัพบู๊ของราชวงศ์ก่อน ยอมรับนับถือในตัวฮ่องเต้หนุ่มพระองค์นี้จากใจจริง เหมยซานจวินไม่ยอมนั่ง น่าหลันอวี้จือที่มีระดับขั้นบนทำเนียบหยกทองเท่ากันก็ได้แต่ทำตามเท่านั้น
จู่ๆ ก็มีนักพรตหนุ่มคนหนึ่งโผล่มา น่าหลันอวี้จือใช้นิ้วทำมุทราเงียบๆ ยิ้มเอ่ยว่า “ใจกล้าไม่น้อย บังอาจบุกเข้ามาในที่พักส่วนตัวโดยพลการ”
เห็นเพียงว่านักพรตหนุ่มคนนั้นแสร้งทำเป็นไขสือ “หา? หรือว่าเสี่ยวเต้าเดินมาผิดทาง? แบบนี้ก็ได้หรือ ดูท่าเสี่ยวเต้าจะมีโชควาสนากับพี่สาวท่านนี้”
สวมกวานหางปลา นั่นก็ต้องเป็นนักพรตที่ได้รับหนังสือรับรองการออกบวชจากสำนักโองการเทพแล้ว
ในแจกันสมบัติทวีป ใครกล้าไม่เห็นกฎทองบัญญัติหยกของสำนักโองการเทพอยู่ในสายตา กล้าสวมรอยเป็นนักพรตของสำนักโองการเทพ
เหมยซานจวินเหลือบมองนักพรตแล้วใช้เสียงในใจเอ่ย “ฝ่าบาท นักพรตผู้นี้มาจากสำนักโองการเทพจริงๆ เพราะด้านหลังมีโคมดวงหนึ่งลอยอยู่ เขียนตัวอักษรที่ทำด้วยกรรมวิธีลับของอารามชิวหาว คือคนที่ได้รับการปกป้องจากทางสำนัก มองดูภายนอกเหมือนจะเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่ง แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นเซียนดินโอสถทอง แต่ก็น่าจะเพิ่งสร้างโอสถได้แค่ไม่กี่ปี ภาพบรรยากาศจึงไม่มั่นคงนัก”
น่าหลันอวี้จือขมวดคิ้ว “ไอ้หมอนี่เข้ามาที่นี่ได้อย่างไร? ทำไมถึงไม่มีริ้วลมปราณกระเพื่อมเลยแม้แต่น้อย?”
เหมยซานจวินหัวเราะหยัน “ผีเท่านั้นที่รู้”
หวงชงบอกเป็นนัยแก่พวกเขาว่าไม่ต้องตึงเครียด ผู้ที่มาเยือนล้วนถือเป็นแขก พวกผู้ฝึกตนบนภูเขาที่ดื่มน้ำค้างกินแสงอรุโณทัยมีมาดแห่งเซียนกลิ่นอายแห่งมรรคา คือคนส่วนใหญ่ แต่พวกที่นิสัยประหลาด วิชาคาถาแปลกไม่เหมือนใคร ชอบออกมาเที่ยวเล่นในโลกมนุษย์ก็มีจำนวนไม่น้อยเหมือนกัน
“ในเมื่อมาผิดที่ ผินเต้าก็จะแก้ไขความผิดแล้วกัน”
นักพรตหนุ่มวิ่งเหยาะๆ ขึ้นบันไดมา พอหยุดยืนนิ่งก็เอาสองมือไพล่หลัง ก้มหน้าลงมองสถานการณ์หมากล้อมที่ผลแพ้ชนะชัดเจน พยักหน้าเอ่ยว่า “ฝั่งที่ถือหมากสีขาวคือยอดฝีมือขั้นสูงสุดคนหนึ่ง”
เหนียงเนียงเทพวารียื่นนิ้วมาดันหว่างคิ้ว เจ้าหมอนี่มรรคกถาสูงหรือไม่บอกได้ยาก แต่ฝีมือเล่นหมากล้อมต้องห่วยแตกแน่นอน
หวงชงยังคงมีสีหน้าผ่อนคลายเป็นปกติ ยิ้มถามว่า “ขอถามท่านนักพรตว่าทำไมถึงพูดเช่นนี้? ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าเม็ดหมากสีดำต้องชนะได้แน่นอน?”
ฝ่ายที่ถือเม็ดหมากสีขาวก็คือตน
“การเล่นหมากล้อมคือเรื่องที่น่าเบื่อที่สุดในใต้หล้า เดิมพันสูงอาจแพ้ แต่ฝีมือสูงไม่มีทางแพ้อย่างไรล่ะ”
นักพรตหนุ่มคีบเม็ดหมากสีขาวมือหนึ่ง อีกมือหนึ่งถือเม็ดหมากสีดำ ช่วยวางหมากลงบนกระดานดังเพี๊ยะๆๆ เสียงใสกังวาน ด้านหนึ่งวางเม็ดหมาก อีกด้านหนึ่งก็ยิ้มบางๆ เอ่ยด้วยว่า “หากเป็นบนโต๊ะพนัน เว้นเสียจากว่าเจ้าใช้กลโกงเอาเปรียบ หาไม่แล้วต่อให้เจ้าเป็นยอดฝีมือล้ำเลิศแค่ไหน แต่โชคไม่ดี ต่อให้เจอกับเด็กน้อยอ่อนหัดที่เพิ่งลงสนาม อีกฝ่ายโชคดี ยกตัวอย่างเช่นโยนลูกเต๋าได้หกหกหกทุกครั้ง ยอดฝีมือก็ยังมีช่วงเวลาที่แพ้ได้อยู่ดี แต่วิถีแห่งหมากล้อม บางครั้งยอดฝีมือก็พลาดปล่อยให้เกิดช่องโหว่ วางหมากโง่ๆ ฝีมือย่ำแย่ ล้วนเป็นเพราะทักษะการเล่นหมากล้อมยังไม่ชำนาญเข้าขั้นสูงสุด ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ เมื่อเจอกับยอดฝีมือตัวฉกาจ ฝีมือแย่กว่าอยู่บ้าง แต่ที่พลาดไปก็แค่หมากเม็ดครึ่งเม็ด ไม่มีทางที่บนกระดานหมาก หมากดำจะตายสิ้น หมากขาวจะรอดได้ทั้งหมด”
“ส่วนยอดฝีมือด้านการเล่นหมากล้อมที่แท้จริงพวกนั้น เผชิญหน้ากับคนที่ฝีมืออ่อนด้อยกลับไม่มีเหตุผลที่จะต้องพ่ายแพ้ ยกตัวอย่างเช่นซิ่วหู่ชุยฉาน หรืออย่างเช่นเจิ้งจวีจง หรืออย่างเช่น…”
นักพรตหนุ่มยืดเอวตรง กระตุกคอเสื้อชุดคลุมเต๋า “ผินเต้าเอง…”
หยุดชะงักไปเล็กน้อยก็เอ่ยต่ออีกว่า “ที่มีศิษย์พี่อยู่คนหนึ่ง”
เหนียงเนียงเทพวารีหลุดหัวเราะพรืด “ชื่อของราชครูชุย เจ้าก็เรียกได้ตามใจชอบหรือ?”
นักพรตหนุ่มส่ายหน้ายิ้มกล่าว “ชื่อไม่เอามาเรียก แล้วยังเอาไว้ทำอะไรได้อีก”
“เอ๊ะ แนวโน้มบนกระดานหมากนี้ ทำไมถึงไม่ค่อยเหมือนที่ผินเต้าคาดการณ์ไว้เลยล่ะ”
ผลคือคนสามคนในศาลาเห็นเจ้าหมอนั่นยื่นมือมากวาดเม็ดหมากบนกระดานจนเละเทะไปหมด
“ผินเต้าขอเอาคำพูดทั้งหมดก่อนหน้านี้กลับคืนมา ฮ่าๆ เอากลับคืนมา”
หวงชงอดไม่ไหวพูดกลั้วหัวเราะ “ท่านนักพรตช่างเป็นคนมหัศจรรย์เสียจริง ไม่ทราบว่าท่านมีนามว่าอะไร?”
“ลู่ฝูแห่งอารามชิวหาวสำนักโองการเทพ ตอนนี้ยังไม่มีฉายา ฉีเทียนจวินยังเคยได้เห็นหน้าของผินเต้าแค่ไม่กี่ครั้งเอง”
น่าหลันอวี้จือปิดปากหัวเราะคิก “มีเหตุผล ท่านนักพรตลู่ได้พบฉีเทียนจวินแค่ไม่กี่ครั้ง แน่นอนว่าท่านนักพรตลู่ต้องได้พบฉีเทียนจวินแค่ไม่กี่ครั้งจริงๆ”
นักพรตหนุ่มหัวเราะคิกคัก “พี่สาวคนนี้พูดจาน่าฟังจริงๆ น้ำเสียงไพเราะคล้ายเสียงก้อนน้ำแข็งกระทบกันในชามกระเบื้องขาวที่ใส่น้ำบ๊วยเย็นๆ ในฤดูร้อน ทั้งยังเข้าอกเข้าใจคนอื่นเป็นอย่างดี ช่างสมกับคำกล่าวว่าดอกไม้เข้าใจภาษา (เปรียบเปรยถึงหญิงงามที่เฉลียวฉลาดเข้าใจผู้อื่น) ที่มีเสียงทองทำนองหยก ปราดเปรื่องเฉียบแหลมจริงๆ”
“เอ๊ะ การแต่งกายของพี่หญิงเหมือนกับผินเต้าอย่างไม่มีผิดเพี้ยนเลย หรือจะเป็นผู้ที่เลื่อมใสซูจื่อ”
“บังเอิญยิ่งนัก ผินเต้าเคยโชคดีได้เดินทางท่องเที่ยวไปร่วมกับซูจื่ออยู่หลายเดือน ร่ำกวีขับร้องบทเพลง ถกมรรคาพูดถึงญาณ เบิกบานสำราญใจอย่างมาก”
หวงชงกระแอมอยู่หลายที ไม่รู้จะเกลี้ยกล่อมไม่ให้นักพรตลู่ผู้นี้พูดจาสนิทสนมเกินไปได้อย่างไร
น่าหลันอวี้จือเอ่ยสัพยอก “โอ้โห นี่จะถือว่าหมาเลิกผ้าม่านต้องอาศัยปากของตัวเองหรือไม่?” (เปรียบเปรยถึงคนที่ดีแต่ปาก ไร้ความสามารถที่แท้จริง)
นักพรตหนุ่มไม่โมโหแม้แต่น้อย กลับกันยังเอ่ยประโยคหนึ่งอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ “หากรู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรกข้าก็คงให้ผู้อาวุโสคนหนึ่งตามมาที่นี่ด้วยแล้ว นั่นจึงจะเหมาะกับสถานการณ์”
สีหน้าของเหมยซานจวินขึงเกร็ง ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ฝ่าบาท ข้าทนไม่ไหวแล้ว สามารถไล่แขก ขับไล่ไอ้หมอนี่ออกไปได้หรือไม่?”
“อย่านะ บรรพบุรุษบุกเบิกภูเขาแห่งการออกคำสั่งไล่แขกของโลกมนุษย์ ผินเต้าก็พอจะคุ้นเคยอยู่บ้าง…”
ในใจเหมยซานจวินสั่นสะเทือน นักพรตผู้นี้ถึงกับลอบฟังเสียงในใจของตนได้?
ไม่รอให้เหมยซานจวินเอ่ยเตือนฮ่องเต้และน่าหลันอวี้จือ เหนียงเนียงเทพวารีก็หันหน้าไปมองทางประตู ใช้เสียงในใจเตือนฮ่องเต้หนุ่มว่า “ฝ่าบาท มีคนมาเยี่ยมเยือน คือ…เจ้าขุนเขาเฉินแห่งภูเขาลั่วพั่วผู้นั้น!”
นักพรตหนุ่มทำท่าลับๆ ล่อๆ ดูท่าแล้วน่าจะเตรียมเผ่นหนี
แต่กลับถูกน่าหลันอวี้จือคว้าแขนเอาไว้ “นักพรตลู่ จะไปไหนล่ะ? ตามคำกล่าวของเจ้า เดินผ่านทางมาแล้วก็อย่าได้เดินคลาดไปเลย”
นักพรตหนุ่มสะบัดข้อมือ แต่ดูเหมือนจะสลัดไม่หลุด จึงตบหลังมือของเหนียงเนียงเทพวารีเบาๆ พูดด้วยสีหน้าจริงใจว่า “มาจากที่ไหนก็จะกลับไปที่นั่น ภูเขาสูงสายน้ำไหลยาว วันหน้าค่อยพบกันใหม่”
เหมยซานจวินไม่ใช้เสียงในใจพูดคุยอีกต่อไป แต่พูดออกมาตรงๆ ว่า “นักพรตลู่คือยอดฝีมือผู้บรรลุมรรคา ในเมื่อได้ยินเสียงในใจของข้าผู้แซ่เหมยแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะเป็นเทพเซียนก่อกำเนิดคนหนึ่งกระมัง?”
นักพรตหนุ่มหัวเราะฮ่าๆ “ได้หมด ล้วนได้หมด”
น่าหลันอวี้จืออยากจะปล่อยมือ แต่กลับค้นพบด้วยความตะลึงพรึงเพริดว่ามิอาจทำได้ คล้ายกับถูกทาน้ำตาลเหนียวติดหนึบ
ไม่เหมือนกับเรือนพักสองแห่งของเฉินหลิงจวินกับหลี่ไหว เรือนพักหลังนี้ แน่นอนว่าต้องมียอดฝีมือแคว้นเมิ่งเหลียงเป็นองค์รักษ์เฝ้าพิทักษ์ เพียงไม่นานก็พาอิ่นกวานหนุ่มที่บอกกล่าวชื่อแซ่ของตัวเองมาส่งถึงที่ศาลาแห่งนี้อย่างนอบน้อม
เฉินผิงอันเหลือบมองจิตหยินของลู่เฉิน
ลู่เฉินรีบโบกมือแรงๆ สะบัดฝ่ามือเรียวบางดุจหยกของเหนียงเนียงเทพวารีทิ้งไป พูดด้วยสีหน้าตกตะลึง น้ำเสียงสั่นเทิ้มว่า “เด็กรุ่นหลังที่หล่อเหลาผู้นี้ มองแล้วคุ้นหน้านัก! หรือว่าจะเป็นเจ้าขุนเขาเฉินแห่งภูเขาลั่วพั่ว ลูกศิษย์ปิดสำนักของสายเหวินเซิ่ง อิ่นกวานคนสุดท้ายของคฤหาสน์หลบร้อน เถ้าแก่รองแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ สหายเฉินเพื่อนรักร่วมทุกข์ร่วมยากของผินเต้า…”
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าดำทะมึน “จะไปไหนก็ไป!”
“ได้เลย”
จิตหยินออกจากช่องโพรงของลู่เฉินกระโดดผลุงออกไป “ไว้เจอกันใหม่ ไว้เจอกันใหม่ ผินเต้าจะไปรอที่ศาลาชิวเชียนแห่งนั้น”
พริบตาเดียวก็หายวับไปไม่เหลือเงา
คนสามคนในศาลา แม้แต่ฮ่องเต้หวงชงก็คล้ายจะอึ้งงันกันไปหมด
หวงชงคืนสติ รีบเดินออกมาจากศาลา เพียงแค่ว่าสีหน้ากระอักกระอ่วน พูดอะไรไม่ออก
เดิมทีเป็นเรื่องที่เรียบง่ายมาก แต่กลับถูกนักพรตลู่ปั่นป่วนสถานการณ์ ทำให้ฮ่องเต้หนุ่มถึงกับไม่รู้ว่าควรจะเปิดปากเรียกเฉินผิงอันว่าอย่างไรดี
“เจ้าประมุขเกาไร้คุณธรรม ขู่ว่าหากข้าไม่มาพบหน้าฝ่าบาทก็จะไม่ยอมปล่อยข้าไป”
เฉินผิงอันเปิดปากพูดก่อน กุมมือยิ้มเอ่ย “ส่วนลู่ฝูแห่งอารามชิวหาวเมื่อครู่นี้ ฝ่าบาทไม่ต้องสนใจเขา สมองเขามีปัญหา เป็นคนที่สติไม่สมประดี มักจะเลอะเลือนเป็นประจำ”
หวงชงประสานมือคารวะเหมือนลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ “หวงชงแห่งแคว้นเมิ่งเหลียงคารวะเจ้าขุนเขาเฉิน”
เหมยซานจวินมีสีหน้าเคร่งเครียด กุมหมัดเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “เหมยอวี้แห่งภูเขาซงซานคารวะอิ่นกวาน”
เหนียงเนียงเทพวารีเบี่ยงตัวหันข้าง ยอบกายคารวะอย่างสำรวม “น่าหลันอวี้จือแห่งจวนวารีแม่น้ำวั่งเยว่คารวะเซียนกระบี่เฉิน”
เดินเข้าไปในศาลาพร้อมกับฮ่องเต้หนุ่ม เฉินผิงอันยกชุดกว้าตัวยาวสีเขียวขึ้น นั่งลงเบาๆ
บทกลอนในศาลาเป็นกลอนแบบประตูมังกร (กลอนคู่ที่มีกลอนแนวตั้งสองข้างและแนวนอนด้านบนอีกหนึ่งบทจึงมีรูปทรงเรียงกันเหมือนบานประตู)
เปิดตามองดู ตระกูลเก่าสืบทอดได้หลายร้อยปีหนีไม่พ้นต้องสะสมบุญกุศลทำความดี เหนือศีรษะสามฉื่อมีเทพมองดูอยู่
ตามหลักแล้วควรเป็นเช่นนี้ เรื่องดีอันดับหนึ่งในใต้หล้ายังคงเป็นการตั้งปณิธานอ่านตำรา ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น
เฉินผิงอันยิ้มพูดเข้าประเด็นว่า “ได้ยินเผยเฉียนลูกศิษย์ของข้าเล่าให้ฟังถึงฝ่าบาท บอกว่าปีนั้นที่สนามรบของเมืองหลวงสำรองต้าหลีเคยมีลูกหลานเชื้อพระวงศ์คนหนึ่ง ไม่เสียดายชีวิตแม้แต่น้อย ใช้สถานะของทหารม้าบุกทะลวงขบวนรบอยู่หลายครั้ง”
หวงชงเอ่ยด้วยสีหน้าขมขื่น “ไม่ค่อยกลัวตาย เป็นความจริง เกือบตายไปแล้ว ก็เป็นความจริงเหมือนกัน”
สนามรบแห่งนั้นมีหรือไม่มีข้าหวงชง ไม่มีประโยชน์สักเท่าไรจริงๆ จะมีหรือไม่มีเขาก็ได้
เพียงแต่ทหารกล้าของแคว้นเมิ่งเหลียงที่กระโจนเข้าหาความตายอย่างเด็ดเดี่ยวกล้าหาญมากมายขนาดนั้น ตายเปล่า? ไม่มีทาง! แต่หากจะพูดว่าได้สร้างคุณูปการคุณความชอบอะไรไว้อย่างจริงจังก็ยังอยู่ไกลเกินกว่าคำว่าพอมากนัก
ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่พาตัวลงสู่สนามรบ ขอแค่เป็นคนที่เคยผ่านสงครามอันเลวร้ายครั้งนั้นกับตัวเองมาก่อนก็ล้วนจำต้องยอมรับเรื่องหนึ่ง ทหารสวมเสื้อเกราะของราชวงศ์ล่างภูเขา เผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนบนภูเขาพวกนั้นแล้ว เมื่อเจอกับเวทคาถาตระกูลเซียนที่เอะอะก็สะท้านฟ้าสะเทือนดิน ย้ายภูเขาคว่ำมหาสมุทร ล้วนเกิดความสิ้นหวัง…เป็นเหตุให้หลายปีผ่านไปแล้ว ฮ่องเต้หนุ่มก็ยังมักจะสะดุ้งตื่นจากฝันด้วยเนื้อตัวที่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่ออยู่เสมอ จากนั้นก็ยากจะข่มตาหลับได้อีก ข้างหูคล้ายยังมีเสียงอาวุธปะทะปนกับเสียงกีบเท้าม้าดังแว่วไม่ห่าง
ดูเหมือนอิ่นกวานหนุ่มจะมองทะลุไปเห็นปมในใจของฮ่องเต้หนุ่ม จึงส่ายหน้าเอ่ยว่า “คิดจะเอาชนะสงครามในปีนั้น มีเพียงทั้งบนและล่างภูเขาต่างก็ไม่กลัวตาย หากล่างภูเขาไม่กล้าตาย ต่อให้ผู้ฝึกตนบนภูเขาของแจกันสมบัติทวีปมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว สุดท้ายอย่าว่าแต่พิทักษ์เส้นแนวรบของลำน้ำใหญ่ภาคกลางเอาไว้ได้เลย มีแต่จะกลายไปเป็นใบถงทวีปแห่งที่สอง ถูกเผ่าปีศาจแห่งเปลี่ยวร้างบดขยี้ผ่านไป ทำสงครามยาวไปจนถึงอุตรกุรุทวีป ใช่ว่าแจกันสมบัติทวีปขาดแคว้นเมิ่งเหลียงไปแห่งหนึ่งก็จะไม่ทำสงครามแล้ว แต่แจกันสมบัติทวีปไม่มีแคว้นเมิ่งเหลียงก็จะแพ้อย่างไม่มีอะไรให้ต้องลุ้น ไม่แน่ว่าใต้หล้าไพศาลในทุกวันนี้อาจเหลือแค่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแห่งเดียวก็เป็นได้”
เหมยซานจวินดวงตาเป็นประกายวิบวับ อดไม่ไหวเอ่ยว่า “พูดได้ดี!”
น่าหลันอวี้จือก็พยักหน้าเบาๆ
นักพรตเนิ่นกลับไปแล้ว ร่างจริงของลู่เฉินในเวลานี้เก็บจิตหยางกลับมา นอนลงบนเก้าอี้ยาว ยกขาไขว่ห้างแกว่งเบาๆ
ศาลามีกรอบป้ายคำว่า ‘เชียนชิว’ อีกทั้งจุดที่แปลกประหลาดที่สุดก็คือกรอบป้ายและกลอนคู่ของที่แห่งอื่นในใต้หล้า ล้วนเป็นตัวอักษรของฝ่ายหลังที่มักจะมากกว่าฝ่ายแรก แต่ศาลาของภูเขาโหลวซานแห่งนี้กลับใช้วิธีการที่ตรงกันข้าม กลอนคู่หนึ่งบทมีตัวอักษรแค่สองคำเท่านั้น
ฝั่งหนึ่งคือคำว่า ‘ฝัน’ อีกฝั่งหนึ่งคือคำว่า ‘ตื่น’
ลู่เฉินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “การเปลี่ยนแปลงที่ซ้ำไปซ้ำมาคือกฎแห่งมรรคา เมื่อการเปลี่ยนแปลงถึงขีดสูงสุดจะย้อนกลับไปในทางตรงกันข้าม”
คนบนโลกล้วนยอมรับว่าเรื่องของการฝึกตนคือการกระทำที่ขัดต่อกฎของสวรรค์ ไม่ว่าใครก็ยอมรับ ไม่ว่าใครก็ไม่ยินดีจะพูดให้มากความ
เจินเหรินมักจะอยู่ประจำบนพื้นดิน เซียนซือย้ายภูเขาคว่ำมหาสมุทร เอื้อมตะวันดึงจันทรา เป็นอมตะไม่เสื่อมสลาย มีชีวิตอยู่เคียงคู่กับฟ้าดิน
ก็ไม่ใช่ ‘การทำผิดมหันต์’ ที่ใหญ่ที่สุดแห่งฟ้าดินหรือ? ผลคือคนกลุ่มนี้กลับกลายมาเป็นคนเหนือคน นี่ถือเป็นเรื่องตลกใหญ่เทียมฟ้าหรือไม่?
เฉินผิงอันเอ่ยขอตัวลากับฮ่องเต้หนุ่มแล้วมาที่นี่ เดินเข้ามาในศาลา ไม่ได้ถอดรองเท้าผ้าคู่นั้นออก เพียงยกเท้านั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้ยาว หยิบกระบอกยาสูบออกมา ถุงยาสูบผูกไว้บนกระบอกไม้ไผ่ ขยี้ยาเส้นที่ผสมสมุนไพรป่าและดอกกุ้ยฮวา ตรงตัวกระบอกยาสูบใช้เชือกสีแดงห้อยแผ่นหยกไม่มีตัวอักษรขนาดเล็กไว้แผ่นหนึ่ง
“เจ้าลองว่ามาสิว่าโจวมี่ผู้นั้นคิดอย่างไรกันแน่?”
ลู่เฉินห่อไหล่ สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เอนหลังพิงเสาศาลา กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้ยาว เงยหน้ามองม่านฟ้า “เขาน่ะหรือ”
“เจี่ยเซิงแห่งไพศาล ชื่อเดิมคือเจี่ยโม่ พูดไม่เก่งก็คือคำว่าเฉินโม่ไงล่ะ เป็นผู้มีพรสวรรค์ที่เข้าใจหลักเกณฑ์แห่งฟ้าดินดีเยี่ยม รอกระทั่งกลายเป็นจิ้งจอกเฒ่าเหนือเมฆของเปลี่ยวร้างก็ถูกขนานนามว่ามหาสมุทรความรู้แห่งใต้หล้า ทำอะไรก็รอบคอบ (โจวมี่) มากจริงๆ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ต้องให้เจ้าพูดเรื่องปฏิทินเหลืองเก่าแก่พวกนี้ด้วยหรือ?”
ลู่เฉินเอ่ย “เพราะผินเต้าไม่เคยพูดคุยกับเขามาก่อน จึงได้แต่เอ่ยการคาดเดาพวกนี้ คงเป็นเพราะเขาคิดว่า รอให้มี ‘พวกเรา’ แล้ว ถึงจะมีการแบ่งแยกระหว่างความดีเลวและผิดถูก”
“กับคนประเภทนี้ไม่มีหลักการเหตุผลอะไรให้พูดถึง พูดให้น่าฟังหน่อย เมื่อสองฝ่ายทะเลาะกันขึ้นมาก็เหมือนไก่กับเป็ดคุยกัน หรือควรจะบอกว่าอาม่าบอกว่าตัวเองมีเหตุผล อากงก็บอกว่าตัวเองมีเหตุผล เถียงกันไปกันมา ต่างคนต่างยึดมั่นในความคิดของตัวเอง ไม่ว่าใครก็โน้มน้าวใครไม่ได้ นี่ก็น่าจะเรียกว่ามหามรรคามีความต่างกระมัง หรือพูดให้ไม่น่าฟังหน่อย อีกฝ่ายก็แค่มีวิถีทางที่ผ่านการพิสูจน์ด้วยตัวเองมาแล้ว ทั้งสามารถพูดกลบเกลื่อนให้ตัวเอง แล้วยังสามารถกระทำการตามวิถีของตัวเอง ส่วนเส้นทางใต้ฝ่าเท้าของโจวมี่เส้นนี้จะเรียกว่าเป็นมหามรรคาได้หรือไม่ ตอนนี้มาลองมองดูแล้ว ก็ยังมองไม่ออก ต้องให้คนรุ่นหลังหันกลับมามองถึงจะได้ ทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นใคร แน่นอนว่าอาจารย์ของผินเต้าคือข้อยกเว้น ส่วนพวกเราที่เหลือ ไม่ว่าจะอนุมานอย่างตั้งใจแค่ไหน การเปลี่ยนแปลงบนมหามรรคาก็อาจไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นเส้นทางอย่างที่โจวมี่คิดไว้ และสถานการณ์ในเวลานี้ ใครก็ไม่อยากเป็นลูกค้าที่ย้อนกลับมาใช้บริการ ไม่อยากให้ในอนาคตตัวเองต้อง ‘ย้อนกลับมามองดู’ ดังนั้นการประชุมริมลำคลองก่อนหน้านี้ แม้แต่สตรีที่ดุร้ายอย่างถึงที่สุดอย่างอู๋โจว นางที่พอเลื่อนสู่ขอบเขตสิบสี่แล้วไม่ว่าอะไรก็หล่อหลอมได้ กลับกลายเป็นผู้ฝึกตนคนแรกที่เสนอให้จัดการกับโจวมี่ แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะนางมีความแค้นกับโจวมี่ ก็แค่รู้ว่าอนาคตของโจวมี่ต้องไม่ใช่อนาคตที่นางอู๋โจวต้องการแน่นอน”
——