กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 942.3 ถ้าอย่างนั้นข้าก็ทำอย่างที่ข้าอยากทำ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อู๋โจวผู้นี้ ข้าจะไม่เป็นฝ่ายไปหาเรื่องนางก่อนเด็ดขาด”
ความนัยในความหมายนี้ก็คือ เจ้าอู๋โจวเองก็อย่ามาหาเรื่องข้า สองฝ่ายเป็นน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง
ลู่เฉินลังเลเล็กน้อย ครั้นจึงยกมือขึ้น สะบัดชายแขนเสื้อม้วนตวัดแรงๆ หนึ่งที บรรยากาศขมุกขมัว แต่กลับพอจะมองเห็นเงาร่างของนักพรตสองคนที่นั่งถกมรรคากันได้
นักพรตคนหนึ่งมีรูปโฉมเป็นวัยกลางคน บนศีรษะสวมกวานพุดตาน บุคลิกลักษณะอบอุ่นอ่อนโยน อีกคนหนึ่งเป็นนักพรตหนุ่ม สวมกวานดอกบัวบนศีรษะ หล่อเหลาสง่างาม
ก่อนที่ศิษย์พี่จะออกไปจากป๋ายอวี้จิงเคยทำการอนุมานมหามรรคาซึ่งต้องสิ้นเปลืองความคิดจิตใจอย่างมหาศาลต่อหน้าลู่เฉินไปครั้งหนึ่ง สุดท้ายก็ได้ผลลัพธ์ออกมาสามชนิด
ชนิดแรกคือทุกคนล้วนสามารถฝึกตน ล้วนเป็นผู้ที่ฝึกบำเพ็ญตน สิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาทั้งหลายซึ่งมีหวังว่าสติปัญญาจะเปิดออกแล้วได้หลอมเรือนกายก็สามารถฝึกตนอย่างสงบมั่นคงเช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนี้จะมีการบุกเบิกโฉมหน้าใหม่หรือไม่ ทั่วทั้งฟ้าดินจะมีระเบียบมีขั้นตอนหรือไม่? ถึงขั้นที่ว่าผู้ฝึกตนมากมายหลายเผ่าพันธ์ของโลกมนุษย์ไม่ต้องถกเถียงกันในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อีก ไม่ต้องมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาเพียงชั่วประกายไฟแลบ แต่สามารถรวบรวมแม่น้ำยาวที่พร่างพราวเส้นแล้วเส้นเล่า จับมือกันเดินทางไกลออกไปนอกฟ้าได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ออกไปบุกที่ดินแห่งใหม่ ต่างคนต่างใช้ดวงดาวดวงหนึ่งเป็นลานประกอบพิธีกรรม ต่างคนต่างแตกกิ่งก้านสาขา…
ชนิดที่สอง ปราณวิญญาณฟ้าดินไปรวมตัวกันอยู่ในที่ใดที่หนึ่งทั้งหมด ราวกับว่าโลกมนุษย์เข้าสู่ช่วงยุคเสื่อมที่มิอาจฝึกตนได้ก่อนกำหนด ตกอยู่ในสภาพการณ์เหมือนสตรีที่มีฝีมือแต่ไม่มีวัตถุดิบให้ปรุงอาหาร เป็นเหตุให้สรรพชีวิตในโลกมนุษย์ นอกจากคนที่ ‘ลอยห้อยฟ้า’ ไม่กี่คนซึ่งมีน้อยจนนับนิ้วได้แล้ว ทุกคนล้วนมิอาจฝึกตนได้เหมือนกันหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น และในบรรดาคนเหล่านี้ก็มิอาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการโคจรของฟ้าดิน อย่างมากสุดก็แค่ถูกจำกัดอยู่ใน ‘พื้นที่คับแคบห่างไกล’ แห่งหนึ่ง ซ่อนตัวอยู่ในฟ้าดินกว้างใหญ่ไม่ออกไปไหน ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรีในฟ้าดินเล็ก นอกจากนี้ก็จำเป็นต้องทำตามข้อตกลงลับๆ บางอย่าง จะลงมือเปลี่ยนแปลงวิถีแห่งฟ้าดินได้ก็ต่อเมื่อเจอกับหายนะใหญ่บางอย่างเท่านั้น
ชนิดที่สามก็คือจมสู่สภาวะหุนตุ้น (กลุ่มธาตุอากาศที่สลัวปะปนกัน เชื่อว่าก่อนโลกจะถือกำเนิด จักรวาลอยู่ในสภาวะหุนตุ้นที่มีแต่กลุ่มธาตุอากาศ) อย่างสิ้นเชิง ความไร้ระเบียบก็คือระเบียบเพียงหนึ่งเดียว
ในความเป็นจริงแล้วยังมีผลลัพธ์อย่างที่สี่ด้วย
แต่ตอนนั้นศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้ให้ลู่เฉินพิศมรรคา เพราะมรรคามิอาจเอื้อนเอ่ยเป็นคำพูด
ลู่เฉินกลับเดาออกแล้ว
คือ ‘ฟ้าดินเป็นหนึ่ง’
หรือก็คือเรื่องที่เจี่ยเซิงแห่งไพศาลในอดีต โจวมี่แห่งเปลี่ยวร้างในภายหลังคิดจะทำ
ลู่เฉินสะบัดชายแขนเสื้ออีกครั้ง สลายภาพบรรยากาศนั้นทิ้งไป ยื่นฝ่ามือที่ขาวนวลราวหยกออกมา แต่กลับใช้หลังมือหันขึ้นด้านบน ฝ่ามือหันลงเบื้องล่าง “หากเปลี่ยนข้ามาเป็นโจวมี่ อันดับแรก กลายเป็นหนึ่ง หลอมใหญ่ให้หนึ่ง”
พลิกหมุนฝ่ามือ ลู่เฉินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อันดับรองลงมา เรือนกายจำแลงได้นับพันนับหมื่น”
“หลังจากนั้นก็คือการฝึกบำเพ็ญตน พิสูจน์มรรคา บรรลุมรรคา สลายมรรคา แล้วก็ไม่จำเป็นต้องกังวลกับภัยร้ายนี้อีก”
ลู่เฉินเอ่ยต่ออีกว่า “จากนั้นก็คือ…”
เฉินผิงอันพลันขมวดคิ้วน้อยๆ
ลู่เฉินใช้ศีรษะโขกเสาศาลาอยู่สองสามที ยิ้มเอ่ยอย่างรู้ทันว่า “คำว่า ‘จำแลงกาย’ นี้ที่ผินเต้าพูดถึง ไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่จำแลงกายเป็นสรรพชีวิตเท่านั้น”
เฉินผิงอันพยักหน้า “พูดต่อเลย”
เข้าใจแล้ว ไม่เพียงแค่ใต้หล้าห้าแห่งในทุกวันนี้เท่านั้น แต่เป็นฟ้านอกฟ้าที่ป๋ายอวี้จิงคอยสยบกำราบและนรกอเวจีที่ดินแดนพุทธะสุขาวดีคอยนั่งบัญชาการณ์
และยังมีดวงดาวบรรพกาลทั้งหลาย ฯลฯ ที่ต่างก็ต้องถูกหลอมใหญ่ ก็เหมือนวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่ถูกผู้ฝึกตนหลอม
รวบรวมให้เป็นหนึ่ง แล้วกระจายจากหนึ่งไปเป็นอีกมากมาย
ในขอบเขตเช่นนี้ อะไรคือหนึ่งกระบี่ฟันเปิดธารดวงดาวบนท้องฟ้า อะไรคือเป่าลมเบาๆ ก็สามารถเป่าให้ดวงดาวบรรพกาลดวงหนึ่งแหลกสลายหายไปได้ ล้วนไม่ถือว่าเป็นมรรคกถาอะไรเลย
ต่อให้เจ้าจะเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ หรืออาจจะถึงขอบเขตสิบห้า เผชิญหน้ากับโจวมี่ผู้นั้นก็ล้วนเป็นความเลื่อนลอย เพราะเดิมทีก็คือส่วนหนึ่งบนมหามรรคาของเขาอยู่แล้ว
เฉินผิงอันยกขานั่งไขว่ห้าง มือถือกระบอกยาสูบ ใช้มันเคาะกับพื้นรองเท้าเบาๆ เคาะเอาเศษขี้เถ้าทิ้งไป ก่อนจะยัดยาเส้นใส่เข้าไปอีกครั้งแล้วเริ่มพ่นควันขโมงต่อ
ลู่เฉินอดไม่ไหวเอ่ยทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังว่า “บ้านเรือนพันปีเปลี่ยนเจ้าของร้อยคน หนึ่งปีรื้อล้างหนึ่งปีใหม่”
เฉินผิงอันบิดหมุนข้อมือ เก็บกระบอกยาสูบใส่ไว้ในวัตถุฟางชุ่น “เจ้าลัทธิลู่ คุยกันเรื่องเลื่อนลอยไปแล้ว พวกเรามาคุยอะไรที่เป็นจริงเป็นจังกันบ้างดีกว่า”
ลู่เฉินพลันรู้สึกหัวโตเท่ากระด้ง พอได้ยินคำเรียกขานด้วยความเคารพว่า ‘เจ้าลัทธิลู่’ นี้ ก็รู้แล้วว่าต้องไม่มีเรื่องอะไรดีเป็นแน่
เฉินผิงอันยื่นมือออกมา “เงินฝนธัญพืชหกเหรียญ”
ลู่เฉินกล่าวอย่างจนใจ “มาเป็นแขกถึงบ้านมอบของขวัญให้ก็คือมารยาทที่สมควรมีนะ อีกอย่างอาจารย์หนีกับสหายชิงถงก็แค่เงินฝนธัญพืชสองเหรียญเท่านั้น สำหรับพวกเขาแล้วขนหน้าแข้งก็ไม่ร่วงหรอก เกี่ยวข้องอะไรกับใต้เท้าอิ่นกวานด้วยเล่า”
เฉินผิงอันกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่พูดถึงพวกเขาสองคน ข้ายังมีของขวัญอีกชิ้นเตรียมจะมอบให้กับพรรคหวงเหลียง ดังนั้นเงินฝนธัญพืชสองเหรียญนั้นของข้าก็ต้องหักเป็นเงินร้อนน้อยยี่สิบเหรียญ เอามา”
ลู่เฉินได้ยินประโยคนี้ก็รู้ถึงความนัยลึกซึ้งที่แฝงอยู่ทันที ได้แต่ทำท่าลูบๆ คลำๆ หยิบเอาเงินร้อนน้อยกองหนึ่งออกมา ล้วนเป็นเงินร้อนน้อยที่หาได้ยากซึ่งเจ้าลัทธิลู่ต้องไปเก็บรวบรวมมาจากทางนั้นทีทางนี้ทีอย่างยากลำบาก
เฉินผิงอันเลือกมายี่สิบเหรียญ เก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้อแล้วก็ลุกขึ้นยืน “ก่อนที่ข้าจะลงจากภูเขา ก่อนที่เจ้าจะกลับไปยังป๋ายอวี้จิง ข้าเองก็มีม้วนภาพหนึ่งที่อยากให้นักพรตลู่ซึ่งเคยตั้งแผงดูดวงในเมืองเล็กของถ้ำสวรรค์หลีจูในอดีตได้ดูอีกรอบ”
ลู่เฉินทำท่าจะพูดแต่ก็ชะงักไป
เขาอยากถามว่า ในเมื่อผินเต้าเคยดูแล้ว ไม่ขอดูอีกได้หรือไม่
เพียงแต่ในศาลากลับมีภาพเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นมาแล้ว กลายมาเป็นเหมือนดินแดนในความฝันอีกครั้ง
ระหว่างฟ้าดิน
กายธรรมใหญ่ยักษ์ร่างหนึ่งนั่งตัวตรงอย่างสำรวมอยู่บนฟ้าทางทิศเหนือสุดของแจกันสมบัติทวีป
ทัณฑ์สวรรค์เยื้องกรายมาถึง ทะเลเมฆค่อยๆ ลดตัวลงต่ำ ขยับเข้าใกล้ศีรษะของกายธรรมร่างนั้น
ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อเงยหน้าขึ้น ใบหน้าประดับรอยยิ้ม
จากนั้นก็มีฝ่ามือสีทองอร่ามข้างหนึ่งปั่นคว้านทะเลเมฆแห่งนั้นให้เกิดเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่ยักษ์ เซียนเหรินเรือนกายตระหง่านโอฬารที่ขนาดนั่งอยู่ก็สูงเท่าเทียมกับยอดบนสุดของชั้นเมฆผู้นี้ เรียกตัวเองว่า ‘เปิ่นจั้ว’
กายธรรมของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่จอนผมตรงหูสองข้างเป็นสีดอกเลา เปลี่ยนจากฝ่ามือมาเป็นหมัด ยื่นมือไปกุมไข่มุกเม็ดนั้นไว้กลางมือหลวมๆ
และเวลานี้เอง เมืองเล็กในถ้ำสวรรค์หลีจูของอดีต พริบตาเดียวเวลากลางวันก็เหมือนกลางคืน
เซียนเหรินที่นั่งอยู่บนยอดสูงสุดของช่องโพรงทะเลเมฆประหนึ่งนั่งอยู่บนปากบ่อน้ำแห่งหนึ่ง คล้ายกำลังหลุบตาลงต่ำมองกบใต้บ่อ ใบหน้าเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน หัวเราะเสียงดังลั่น
คำพูดประโยคหนึ่งดังสนั่นเหมือนฟ้าคำราม ‘เปิ่นจั้วจะเล่นเป็นเพื่อนพวกเจ้าก่อนแล้วกัน!’
กระบี่บินสิบสองเล่มแทงทะลุชั้นเมฆจากบนฟ้าลงมายังโลกมนุษย์ คนยักษ์ร่างทองเบิกดวงตาสีทองบริสุทธิ์คู่หนึ่งขึ้นมา ท่วงท่าเกียจคร้าน นั่งขัดสมาธิ สองหมัดยันไว้บนหัวเข่า ยื่นนิ้วข้างหนึ่งจากหมัดขวาออกมาดีดเบาๆ กระบี่บินเล่มหนึ่งเหมือนได้รับคำสั่งจึงแทงทะลุไปที่มือซึ่งกำเป็นหมัดหลวมๆ ของกายธรรมบัณฑิตลัทธิจงจื๊อ คนยักษ์สีทองที่อยู่เหนือทะเลเมฆ มือทั้งสองต่างก็ยื่นนิ้วออกมาข้างหนึ่ง ทุกครั้งที่ขยับขึ้นลง นิ้วบิดหมุนเบาๆ ก็จะมีกระบี่บินวาดวงโค้ง แขนทั้งแขนของกายธรรมลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อถูกกระบี่บินแทงทะลุเป็นรูนับพันรู
ต้องการจะใช้ฝนอาคมกระบี่บินสาดน้ำเย็นใส่ลมวสันต์
เส้นด้ายสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนลอดทะลุออกมาจากชั้นเมฆ
ปรากฏเป็นเจียวหลงเวทอสนีสามสี สายฟ้าสาดประกายพร่างพราว ตัดสลับถักทอเป็นตาข่ายขนาดใหญ่สามปาก ประหนึ่งมีดคมที่กรีดเฉือนร่างกายธรรมของบัณฑิตลัทธิขงจื๊อไปทีละนิด
ขณะเดียวกันก็สร้างค่ายกลใหญ่แห่งฟ้าดินขึ้นมาดูดดึงเอาปราณวิญญาณฟ้าดินไปอย่างบ้าคลั่ง สะบั้นการชักนำบนมหามรรคาระหว่างบัณฑิตกับใต้หล้าไพศาล พร้อมกันนั้นยังป้องกันไม่ให้สองเท้าของคนผู้นี้เหยียบลงบนพื้นของแจกันสมบัติทวีป
ต่อให้ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อจะเป็นบัณฑิตแห่งใต้หล้าไพศาล ทว่าสองคนที่ลงมือกลับเป็นเทียนเซียนจากป๋ายอวี้จิงที่ข้ามใต้หล้ามา ฟ้าอำนวยดินอวยพร ล้วนไม่ยอมมอบให้ฝ่ายแรก!
หมัดของคนยักษ์ร่างทองต่อยลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า ต่อยทะลุมือที่ยกขึ้นมาของกายธรรมสีขาวหิมะไปโดยตรง ฝ่ามือของฝ่ายหลังถูกต่อยจนเป็นรูขนาดใหญ่ ฝ่ามือปริแตกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หลังจากนั้นช่วงแขนแต่ละช่วงก็ถูกหมัดพวกนั้นต่อยจนแหลกเละ
เหลือเพียงแขนครึ่งท่อนล่าง
ส่วนมือซ้ายของบัณฑิตลัทธิขงจื๊อกลับกำเป็นหมัดหลวมๆ อยู่ตลอด นิ่งมั่นคงไม่ขยับ
ทว่านับจากหมัดที่กำหลวมๆ ไปจนถึงแขนและหัวไหล่กลับถูกกลบทับไว้ด้วยคาถาเวทอสนีที่เป็นบทโองการคำเขียวบทแล้วบทเล่า ตัวอักษรทุกตัวที่ซุกซ่อนปณิธานที่แท้จริงของเวทอสนีล้วนใหญ่เหมือนบ้านหลังหนึ่ง
สองนิ้วเหนือชั้นเมฆประกบกันเป็นคาถากระบี่แล้วฟันลงมา ฟันกายธรรมของบัณฑิตลัทธิขงจื๊อตั้งแต่ไหล่มาจนถึงมือที่กำเป็นหมัด
จากนั้นแขนที่หักก็ถูกตัวอักษรแห่งคาถาพวกนั้นทำให้ระเบิดแหลกเป็นจุล
บัณฑิตลัทธิขงจื๊อเหลือเพียงแขนขวาครึ่งเดียว เขายกขึ้นสูงแล้วยื่นเอียงไปข้างหน้าเหมือนร่มที่กันฝน สกัดบังอยู่เหนือไข่มุกเม็ดนั้น ขณะเดียวกันก็ดึงไข่มุกกลับมาปกป้องไว้เบื้องหน้าของตัวเอง
เหนือทะเลเมฆ ยักษ์ร่างทองปล่อยหมัดใส่ศีรษะของกายธรรมบัณฑิตลัทธิขงจื๊อครั้งแล้วครั้งเล่า
ในฟ้าดินที่เป็นค่ายกลอาคมเกิดริ้วลมปราณกระเพื่อมซัดสาดอย่างรุนแรง
หมัดทุกหมัดที่ต่อยออกมา กายธรรมของบัณฑิตลัทธิขงจื๊อก็จะลดระดับลงหนึ่งส่วน
เรือนกายไร้แขนทั้งสองข้าง เหลือเพียงหมัดไร้แขนลอยค้างกลางอากาศที่เชื่อมโยงอยู่กับเรือนกาย
กายธรรมตนหนึ่งสภาพน่าเวทนาจนแทบมิอาจทนมอง เพียงปกป้องหมัดข้างนั้นเอาไว้อย่างแน่นหนา
ริมฝีปากของกายธรรมบัณฑิตลัทธิขงจื๊อขยับเบาๆ พึมพำไร้เสียง คล้ายกับว่ายังคงอยู่ในโรงเรียน เผชิญหน้ากับเด็กๆ ที่ใบหน้าอ่อนเยาว์ ดวงตาใสซื่อบริสุทธิ์เหล่านั้นแล้วทำการอบรมสั่งสอนเป็นครั้งสุดท้ายให้กับพวกนักเรียนที่เรียกตนว่า ‘อาจารย์ฉี’
ดวงดาวเคลื่อนย้ายตำแหน่ง ตะวันจันทราสาดแสง สี่ฤดูกาลหมุนเวียนผันผ่าน หยินหยางแปรเปลี่ยน ลมฝนพัดโชย หมื่นสรรพสิ่งได้ถือกำเนิด ได้รับการบำรุงหล่อเลี้ยงจนเติบใหญ่…
ในโรงเรียนที่ไม่มีเด็กนักเรียนประถมอยู่แห่งนั้น บัณฑิตลัทธิขงจื๊อสวมชุดเขียวจอนผมสองข้างเป็นสีดอกเลา เส้นผมทั้งศีรษะขาวโพลน เลือดสดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด ไหลปนจนแยกเลือดเนื้อออกจากกันได้ไม่ชัด
จิตวิญญาณแหลกสลาย มิอาจประคับประคองเรือนกายเอาไว้ได้ ประหนึ่งเครื่องกระเบื้องชิ้นหนึ่งที่หล่นตกพื้นอย่างแรง เพียงแต่ว่าหล่นแตกอย่างไร้เสียง ประหนึ่งลมวสันต์ที่พัดโชยมาในโลกมนุษย์ระลอกหนึ่งแล้วก็จากไปไกล
ราวกับว่าตั้งแต่ต้นจนจบ บัณฑิตลัทธิขงจื๊อไม่ได้ตอบโต้เอาคืน เพียงแต่วางมาดให้เห็นเท่านั้น
มรรคกถาไม่สูงมากพอ?
เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่อย่างเงียบเชียบแล้ว และตอนนั้นก็ได้ครอบครองตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตถึงสามตัว
นิสัยดี?
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดสายของเหวินเซิ่ง อันที่จริงคนที่นิสัยดีที่สุดคือจั่วโย่ว คนที่เจ้าอารมณ์ขี้โมโหที่สุดจึงจะเป็นคนผู้นี้
คือคนที่เหยียบวานรย้ายภูเขาของภูเขาตะวันเที่ยงแนบติดพื้น ทั้งยังพูดกลั้วหัวเราะว่าก่อนจะครบหกสิบปีจะเหยียบภูเขาตะวันเที่ยงให้ราบเรียบ
ลู่เฉินเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย มีหลายครั้งที่ทำท่าจะเปิดปาก แต่ก็หยุดไป สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร
เฉินผิงอันยืนอยู่ในศาลา มองไปยังทิศไกล เอ่ยว่า “ไม่ต้องแกล้งทำเป็นใจฝ่อ ข้ารู้ว่าเจ้าลู่เฉินไม่เคยกลัวเรื่องนี้”
สีหน้าของลู่เฉินกลับคืนมาเป็นปกติดังเดิมอีกครั้งจริงดังคาด พูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมยว่า “ไม่ควรทำอะไรโดยใช้อารมณ์ ให้เจ้ายืมใช้มรรคกถา”
ส่วนคนชุดเขียวที่ไม่ใช่เด็กหนุ่มสวมรองเท้าสานอีกต่อไปก็มีสีหน้าสงบนิ่งเช่นเดียวกัน
เพราะอารมณ์ทั้งหมดล้วนถูกเขาไล่ตัดทิ้งไปหมดแล้ว
ใต้หล้านี้มีข้าฉีจิ้งฉุน มีความสุขเป็นทบทวี
แต่ข้าได้พบกับอาจารย์ฉีแค่เพียงคนเดียว
ศิษย์พี่จั่วโย่วเคยเอ่ยประโยคหนึ่งว่า
หากใช้เหตุผลมีประโยชน์ แล้วข้าจะฝึกกระบี่ไปทำไม
เพราะฉะนั้นจึงต้องฝึกกระบี่!
สามารถบอกกับโจวโหยวแห่งภูเขาสุ้ยซานแผ่นดินกลางได้อย่างตรงไปตรงมาว่า ข้าเฉินผิงอันจะกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่บริสุทธิ์ขอบเขตสิบสี่
ชีวิตนี้ข้าเฉินผิงอันเดินขึ้นเขาลงห้วยอย่างยากลำบากมาตลอดทาง จะไม่ให้เพียงแค่เพื่อได้ดำรงชีวิตอยู่ต่อ จะไม่ให้เพียงแค่เพื่อได้มีชีวิตรอดต่อไปเด็ดขาด
เพราะฉะนั้นจึงต้องเรียนหมัด!
เฉินผิงอันถึงจะสามารถเอ่ยประโยคหนึ่งกับบุคคลประหลาดในสถานที่ประหลาดผู้นั้นในท้ายที่สุดได้ว่า ‘หมัดข้าจะต้องสูงกว่าเจ้าหนึ่งขอบเขต’
ห้านครสิบสองหอเรือนของป๋ายอวี้จิง เจียงจ้าวหมอเจ้าหอจื่อชี่ มีฉายาว่า ‘ฉุยเซี่ยง’ ถูกขนานนามว่านอกจากอวี๋โต้วเจ้าลัทธิรองแล้ว เวทกระบี่สูงที่สุด ควบกับวิถีวรยุทธ
นอกจากนี้ยังมีเจ้านครอีกคนที่เชี่ยวชาญเวทอสนี ผังติ่ง ฉายา ‘ซวีซิน’ มีประสบการณ์โชกโชน อายุในการฝึกตนยาวนาน ถูกขนานนามให้เป็นบุคคลอันดับหนึ่งด้านเวทอสนีของใต้หล้ามืดสลัว ขณะเดียวกันก็ฝึกควบวิชาห้าธาตุ ทุกธาตุล้วนมีพรสวรรค์ดีเยี่ยม
และทั้งสองคนนี้ต่างก็เป็นสายของอวี๋โต้วเต๋าเหล่าเอ้อ
ม้วนภาพแห่งกาลเวลาม้วนนี้ เดิมทีก่อนที่เฉินผิงอันจะเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะมิอาจได้เห็น
อีกทั้งเกี่ยวกับเรื่องของการพลิกเปิดม้วนภาพนี้ออกดูใหม่ ตอนนั้นขนาดลู่เฉินก็ยังถูกปิดหูปิดตาเอาไว้
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็แสดงว่าเฉินผิงอันเริ่มศึกษาศาสตร์การคำนวณของสำนักหยินหยางมานานมากแล้ว
ในความเป็นจริงแล้วก็เป็นเช่นนี้จริงๆ เมื่อหลายปีก่อน เฉินผิงอันก็เคยพูดกับผู้ครองกระบี่ว่า วันหน้าข้าอาจต้องเรียนรู้ศาสตร์แห่งการอนุมานของสำนักหยินหยางมาบ้างสักเล็กน้อย
หวนนึกถึงปีนั้น ตอนที่เพิ่งได้รู้จักกับมือกระบี่พกดาบสวมงอบจูงลาบางคน เขาเคยเอ่ยประโยคหนึ่งกับเด็กหนุ่มรองเท้าสาน
เด็กหนุ่มบอกว่า ความแค้นบางอย่างจำต้องชำระ ขอแค่วันหนึ่งยังไม่ได้แก้แค้น ถ้าอย่างนั้นเขามีชีวิตอยู่หนึ่งร้อยปีก็จะจดจำไปเก้าสิบหกปี!
มือกระบี่ผู้นั้นยิ้มถามว่า อีกสี่ปีถูกเจ้ากินไปแล้วหรือ
เด็กหนุ่มตอบอย่างเป็นเหตุเป็นผลว่า ก่อนอายุห้าขวบ ข้ามีพ่อมีแม่ ทั้งยังไม่รู้ความ สามารถไม่นับรวมได้
เฉินผิงอันเงยหน้ามองม่านฟ้า
ผู้ใหญ่ไร้คุณธรรมเด็กย่อมไม่เคารพ เจียงจ้าวหมอและผังติ่ง รอให้ข้าไปถึงใต้หล้ามืดสลัวแล้ว วันหน้าเวลาพวกเจ้าออกมาเดินตอนกลางคืนก็ต้องระวังไว้หน่อย เรือพลิกคว่ำในร่องมืด ตายอยู่ในร่องน้ำ นั่นก็คือโลงศพของพวกเจ้า
นี่จึงเป็นเหตุให้โลงศพสามโลงในเรือนหลังเล็กที่ว่างเปล่าซึ่งตั้งอยู่ใน ‘ซากปรักศาลหลวี่กงเก่า’ อันที่จริงเป็นเฉินผิงอันที่กำลังบอกกับลู่เฉินว่า
โลงศพสามโลง เจียงจ้าวหมอหนึ่งโลง ผังติ่งหนึ่งโลง อวี๋โต้วหนึ่งโลง
ขอแค่เจ้าลู่เฉินไม่เดินเข้าไปนอนเองก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้า
ลู่เฉินลุกขึ้นยืน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เข้าใจแล้ว จากลากันครั้งนี้ ภูเขาสายน้ำยาวไกล เจ้าและข้าต่างก็…พูดว่าอย่างไรแล้วนะ?”
เฉินผิงอันเอ่ย “ทำอย่างที่ข้าอยากทำ”
——