กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 943.1 ฝนกำลังจะตกแล้ว
‘ทำอย่างที่ข้าอยากทำ’ ช่างกล่าวได้ดีนัก
สมกับเป็นการกระทำของผู้ฝึกกระบี่ ฟ้าดินไร้พันธนาการอย่างแท้จริง
และในขณะที่เฉินผิงอันเตรียมจะออกไปจากศาลานั้นเอง ลู่เฉินก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ได้ยินมาว่าที่สำนักกระบี่ชิงผิงของพวกเจ้ามีภูเขาโฉวโหมวอยู่ด้วยหรือ”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ภูเขาเซียนตูคือภูเขาหลัก ภูเขาโฉวโหมวและภูเขาอวิ๋นเจิงคือภูเขารอง เป็นสถานการณ์ของสามภูเขา ในเมื่อชุยตงซานคือเจ้าสำนักของสำนักเบื้องล่างก็ย่อมต้องมีแผนการเป็นของตัวเอง”
ตามคำกล่าวของชุยตงซาน ในเมื่อฟ้ากำลังจะเปลี่ยนสีก็ควรจะเตรียมการล่วงหน้า (ภาษาจีนคือเว่ยอวี่โฉวโหมว) ควรต้องมีการวางแผนแต่เนิ่นๆ
ลู่เฉินพยักหน้ารับ “ก่อนหน้านี้ไม่ได้ไปเยือนใบถงทวีป ผินเต้าแค่เห็นไกลๆ จากบนมหาสมุทร ตั้งป้ายศิลาบนยอดเขาเป็นคำว่า ‘อู๋เฉาปู้ชู’ (หากคนอย่างพวกเราไม่ออกแรง ถ้าอย่างนั้นชาวบ้านจะทำอย่างไร) และ ‘เทียนตี้จื่อชี่’ (ปราณม่วงในฟ้าดิน) ลายมือบนป้าย แค่มองก็รู้ว่าเป็นลายมือของชุยตงซาน แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะไม่เหมือนลายมือของซิ่วหู่อีกแล้ว แต่กลับรักษาความเหมือนทางจิตวิญญาณเอาไว้ได้หลายส่วน หลุดพ้นจากรูปแบบตายตัว ตามคำกล่าวของบนภูเขา นี่ก็คือคราบร่างเซียนอย่างหนึ่งแล้ว”
ลู่เฉินหันหน้ามายิ้มเอ่ยว่า “ผินเต้าอยู่ที่นี่ต้องขออวยพรล่วงหน้าให้เฉาฉิงหล่างลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของเจ้าปิดด่านได้สำเร็จ สร้างโอสถได้ระหว่างขั้นที่หนึ่งกับขั้นที่สอง นี่ดีมากแล้ว ไม่ต้องฉายประกายเฉียบคมมากเกินไป ทั้งยังรักษาความเป็นไปได้ไว้ได้อีกนับไม่ถ้วน”
เฉินผิงอันโล่งอก พยักหน้าเอ่ยว่า “ดีมากจริงๆ”
เล่าลือกันว่าขั้นหนึ่งของการสร้างโอสถคือคุณสมบัติของบินทะยานที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วกัน มีน้อยยิ่งกว่าน้อย ขั้นสองก็คือคุณสมบัติของห้าขอบเขตบน แต่โดยมากแล้วผู้ฝึกตนใหญ่บนยอดเขาของใต้หล้าไพศาลในทุกวันนี้ ระดับขั้นของโอสถทองในช่วงแรก อันที่จริงก็เป็นแค่ขั้นสองเท่านั้น
ลู่เฉินถาม “เกี่ยวกับข้า ฉีจิ้งชุน ชุยฉาน และยังมีชุยตงซาน พวกเขาต่างก็พูดอะไรบางอย่างกับเจ้าใช่หรือไม่ ยกตัวอย่างเช่นเตือนเจ้าเรื่องการคบค้าสมาคมกับข้า?”
เฉินผิงอันกล่าว “อาจารย์ฉีเอ่ยแค่ประโยคเดียวว่า ‘วิญญูชนสามารถรังแกได้ด้วยวิธีการที่สมเหตุสมผล’ ไม่ควรจงใจเล่นงานเจ้า แค่เผชิญหน้ากับเรื่องนั้นเท่านั้น”
ความนัยในประโยคนี้ก็คือ เจ้าลู่เฉิน หรือควรจะพูดว่าเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงในเวลานั้นยังไม่ถึงขั้นทำให้อาจารย์ฉีต้องจงใจเอ่ยสั่งความอะไรกับเด็กหนุ่มแห่งตรอกหนีผิงในเวลานั้นเป็นพิเศษ
แล้วนับประสาอะไรกับที่ประโยคนี้ ความตั้งใจแรกสุดที่ใหญ่ที่สุด หรือควรจะพูดว่าความหวังของอาจารย์ฉี ก็คือให้เฉินผิงอันที่ได้รู้ความจริงในอนาคต อย่าได้ดึงดัน อย่าได้ละอายใจเกินไป
ลู่เฉินพึมพำว่า “เรื่องที่ฉีจิ้งชุนยังไม่ใส่ใจ แล้วเจ้าเฉินผิงอันจะคิดเล็กคิดน้อยไปทำไม หากไม่เป็นเพราะเจ้ามองป๋ายอวี้จิงเป็นศัตรูเช่นนี้ ด้วยการกระทำที่เจ้าทำไปในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไปเยือนใต้หล้ามืดสลัว มีที่ไหนที่จะไม่ใช่แขกผู้สูงศักดิ์บ้าง? ถอยไปพูดหมื่นก้าว ขอแค่เจ้าไม่ตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับศิษย์พี่อวี๋ของผินเต้า ต่อให้แค่สู้ตายกับเจียงจ้าวหมอและผังติ่งให้รู้แล้วรู้รอด วันหน้าเจ้าไปเยือนป๋ายอวี้จิงก็ยังได้เป็นแขกผู้สูงศักดิ์ของสี่นครสิบเอ็ดหอเรือนที่เหลืออยู่ดีไม่ใช่หรือ เจ้าไม่รู้อะไร ไม่รู้หรอกว่ามีพี่สาวเทพธิดากี่มากน้อยของป๋ายอวี้จิงที่สงสัยใคร่รู้และเลื่อมใสในตัวของ ‘อิ่นกวานเฉินสืออี’ ที่อายุน้อยที่สุดในบรรดาผู้ที่ได้แกะสลักตัวอักษรลงบนหัวกำแพงเมืองในประวัติศาสตร์หมื่นปี”
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เพียงแค่พูดกับตัวเองว่า “ชุยตงซานเอ่ยประโยคหนึ่งบอกว่า หากในอนาคตอาจารย์จะตั้งตัวเป็นศัตรูกับป๋ายอวี้จิงจริงๆ ก็จะต้องเรียนรู้การเลือกผักจากพ่อครัวเฒ่าด้วยการเด็ดลู่เฉินออกก่อน”
เห็นได้ชัดว่าความหมายของชุยตงซานเรียบง่ายอย่างยิ่ง หากอาจารย์อยากจะถามกระบี่กับป๋ายอวี้จิง ทางที่ดีที่สุดก็ให้อ้อมผ่านลู่เฉินไป ตัดแบ่งเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงออกจากป๋ายอวี้จิงทั้งแห่งก่อน
มีเพียงชิงลงมือเช่นนี้ถึงจะมีโอกาสคว้าชัยชนะในช่วงท้าย
“ใต้เท้าอิ่นกวาน คนที่เป็นกุญแจสำคัญที่สุดผู้นั้น เจ้าไม่อาจละเลยไปได้นะ”
ลู่เฉินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ฉีจิ้งชุนคือวิญญูชนผู้เที่ยงตรง ต่อให้มรรคกถาของเขาจะสูงแค่ไหน ความรู้จะยิ่งใหญ่แค่ไหน ก็ไม่มีทางกระทำการอย่างคนถ่อยได้ แต่ศิษย์พี่ชุยฉานของพวกเจ้ากลับไม่เหมือนกัน”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “นอกจากบรรพจารย์สามลัทธิแล้ว ลู่เฉินก็มีคนที่กริ่งเกรงด้วยหรือ? ถึงขั้นกริ่งเกรงว่าคนผู้นี้เอ่ยประโยคใดไปบ้างแล้วด้วย?”
ลู่เฉินพยักหน้ารับด้วยสีหน้าจริงจัง “หากชุยฉานไม่แบ่งสมาธิไปสนใจเรื่องในใต้หล้า ให้เขาพุ่งเป้าเล่นงานใครบางคนโดยเฉพาะ ถ้าอย่างนั้นคนที่เขาจะเล่นงานนี้ ต่อให้เป็นเจิ้งจวีจงก็ต้องเจอกับเรื่องยากลำบากเหมือนกัน อย่างน้อยก็ต้องเป็นอุปสรรคขัดขวางกันและกัน เพราะชุยฉานทำอะไรมักใช้แนวทางที่ไม่ต่างจากการปฏิบัติตัวของผินเต้า”
ลู่เฉินยิ้มจนตาหยี สองมือกุมหมัดเขย่าเบาๆ “ขอร้องใต้เท้าอิ่นกวานโปรดไขข้อข้องใจให้ผินเต้าที ไม่อย่างนั้นกลับไปถึงป๋ายอวี้จิงแล้ว ผินเต้าก็คงจะยังกินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่เหมือนเดิม”
เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าเองก็เดาออกแล้ว ไยต้องให้ข้าเปลืองน้ำลายพูดด้วย”
“ชุยฉานอำมหิตยิ่งนัก!”
ลู่เฉินลูบกวานดอกบัวเหนือศีรษะ “เฉินผิงอัน เจ้าด้อยกว่าชุยฉานเยอะเลยนะ”
แผนการของชุยฉานก็คือหลังจากที่อิ่นกวานหนุ่มนำพาคนไปเยือนพื้นที่ใจกลางของใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้สำเร็จแล้ว ยกตัวอย่างเช่นหลังจากที่เฉินผิงอันใช้กระบี่ฟันเปิดภูเขาทัวเยว่ ก่อนจะย้ายดวงจันทร์เฮ่าไฉ่ไปไว้ที่ใต้หล้ามืดสลัว
อยู่ดีไม่ว่าดีเฉินผิงอันก็พลันร่วมมือกับหนิงเหยา ฉีถิงจี้ สิงกวานหาวซู่ ลู่จือ!
ร่วมกันจัดการลู่เฉิน!
บวกกับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นของลู่จือ พูดถึงแค่ศักยภาพที่แท้จริงในการโจมตีก็สามารถมองเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งได้เลย
ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับมีเฉินผิงอันบวกกับขอบเขตบินทะยานอีกสี่คน ทั้งยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ด้วย!
อยู่นอกใต้หล้ามืดสลัวและป๋ายอวี้จิง ล้อมสังหารลู่เฉินที่เป็นขอบเขตสิบสี่คนหนึ่ง
ลู่เฉินพูดอย่างสะท้อนใจ “ชุยฉานเล่าแผนการนี้ให้เจ้าฟังในครั้งสุดท้ายที่เขาปรากฎตัวที่กำแพงเมืองปราณกระบี่กระมัง? อีกทั้งด้วยขอบเขตของเจ้าในเวลานั้นก็ยากมากที่จะปิดฟ้าข้ามมหาสมุทร ชุยฉานต้องใช้เวทลับเฉพาะบางอย่างล่วงหน้าก่อนแล้ว พูดเรื่องนี้ให้เจ้าฟังก่อน จากนั้นก็ให้เจ้าลืมมันไป สุดท้ายยังสามารถทำให้เจ้าจำเรื่องนี้ได้ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ถึงจะทำให้เจ้าแตกหักกับข้าในชั่วพริบตา ข้ามแม่น้ำรื้อสะพาน เกิดใจสังหาร”
ต่อให้ไม่พูดถึงเฉินผิงอันที่ได้ขอบเขตกลับคืน พูดถึงแค่การร่วมมือกันล้อมสังหารของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานสี่คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซียนกระบี่ผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่เคยแกะสลักตัวอักษรลงบนหัวกำแพงเมือง และยังมีผู้ครองใต้หล้าแห่งใหม่…บวกกับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ‘เป่ยโต้ว’ เล่มนั้นของลู่จือ สิงกวานหาวซู่ที่ไม่สนความเป็นความตายยามถามกระบี่กับคนอื่น ทั้งยังเป็นช่วงเวลาที่สำคัญบางอย่าง กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มนั้นของเฉินผิงอันก็ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นตัวที่ตัดสินผลแพ้ชนะได้
ใครเจอแล้วรับได้ไหวบ้าง?
เฉินผิงอันเงียบงันไม่ตอบ ไม่ปฏิเสธ อันที่จริงก็คือการยอมรับอย่างหนึ่งแล้ว
ส่วนข้อที่ว่าทำไมเฉินผิงอันถึงตัดสินใจไม่ทำเรื่องนี้ นั่นก็เพราะเขาเคยทำการหยั่งเชิงไปครั้งหนึ่ง สุดท้ายเฉินผิงอันได้ผลลัพธ์ที่เหนือจากการคาดการณ์
ตอนนั้นเฉินผิงอันเอ่ยประโยคหนึ่งว่า
การเดินทางมาเยือนพื้นที่ใจกลางของเปลี่ยวร้างครั้งนี้ ผู้ปกป้องมรรคาที่เดินทางร่วมกับอิ่นกวานเฉินผิงอัน คือลู่เฉินแห่งไพศาล
และลู่เฉินก็มีสีหน้าจริงจังเคร่งขรึมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ตอบรับด้วยประโยคหนึ่งอย่างจริงใจว่า
ลู่เฉินแห่งไพศาล เป็นเกียรติที่ได้เดินทางร่วมกัน
นาทีนั้นเฉินผิงอันมั่นใจอย่างถึงที่สุดว่าลู่เฉินไม่ได้มีการเสแสร้งใดๆ คนผู้หนึ่งที่เป็นเจ้าลัทธิสามของป๋ายอวี้จิงมาหลายพันปี ยอมรับในสถานะคนของ ‘ไพศาล’ ของตัวเองอย่างจริงใจ ยินดีมองใต้หล้าไพศาลเป็นบ้านเกิดที่แท้จริงของตัวเอง
ลู่เฉินเหลือบมองเฉินผิงอัน
ยังดีที่เจ้าหมอนี่เหมือนฉีจิ้งชุนมากกว่า คิดจะเอาอย่างชุยฉานกลับยังเลียนแบบได้ไม่เหมือนพอ
จะว่าไปแล้วทฤษฎีคุณความชอบและลาภยศที่ชุยฉานแห่งสายเหวินเซิ่งเสนอออกมา เมื่อเทียบกับความรู้รากฐานของซิ่วไฉเฒ่าแล้ว ถึงอย่างไรก็เป็นแค่ ‘วิชาเล็กๆ’ วิชาหนึ่งเท่านั้น ชุยฉานสามารถศึกษาทฤษฎีนี้ไปให้ถึงขีดสุด แต่เฉินผิงอันกลับได้แค่เรียนรู้โดยเหมือนทางรูปลักษณ์มาอย่างถูไถเท่านั้น ขาดนิสัยใจคอครึ่งหนึ่งของชุยฉานไป ดังนั้นอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือจึงไม่ใช่สิ่งที่เฉินผิงอันอยากจะเรียนรู้ก็เรียนรู้ได้แล้ว
ในเมื่อใต้เท้าอิ่นกวานปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นผินเต้าก็ไม่ควรจะปิดบังอำพรางอีกต่อไปแล้ว
เห็นเพียงว่าลู่เฉินยกชายแขนเสื้อข้างหนึ่งขึ้น ประกบสองนิ้ว มีสตรีเรือนกายเล็กเท่าเมล็ดงาสองคนปรากฎขึ้นมา พวกนางเดินนวยนาดอ้อมเสาศาลาเข้ามา
คนหนึ่งในนั้นคือสตรีวัยกลางคนมวยผมทรงเมฆา มีสง่าราศี สวมเสื้อสีขาวรากบัวกระโปรงสีเขียวต้นหอม เท้าสวมรองเท้าปักลายดอกไม้
ก็คือสตรีสองคนที่ไปจุดธูปไหว้พระในศาลเทพลำคลองเฝินเหอซึ่งเดินออกมาจากในประตูวงเดือน ตอนที่ลู่เฉินเห็นสตรีทั้งสอง ‘หลังจบเรื่อง’ และ ‘ครั้งแรก’ ก็ได้ท่องประโยคหนึ่งว่ามองเหมือนดอกหลีแต่ไม่ใช่ดอกหลี มองเหมือนดอกซิ่งแต่ไม่ใช่ดอกซิ่ง…
นี่ก็หมายความว่าเฉินผิงอันทุ่มเทความคิดจิตใจเชิญลู่เฉินลงโอ่งเป็นเรื่องจริงก็จริง เป็นเรื่องเท็จก็เท็จ อยู่แค่ว่าลู่เฉินอารมณ์ดีหรือไม่ จะพูดแฉหรือไม่
เพียงแค่เพราะเฉินผิงอันที่นั่งเฝ้าตอรอกระต่ายก่อน จากนั้นค่อยจับตะพาบในไหที่ริมสระน้ำต่างหากจึงจะเป็นนกในกรงที่อยู่ในชายแขนเสื้อของลู่เฉินตัวนั้น มองดูเหมือนตักแตนจับจักจั่นนกขมิ้นรออยู่ด้านหลัง แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นหนังสติ๊กที่รออยู่
แต่ก็ดูเหมือนว่าเฉินผิงอันจะคาดเดาเรื่องนี้ไว้ได้ล่วงหน้านานแล้ว จิตแห่งมรรคาจึงไม่มีการกระเพื่อมขึ้นลง เป็นดั่งบ่อน้ำโบราณที่ไร้คลื่นอยู่ตลอด
ลู่เฉินถาม “ตอนนั้นฉีถิงจี้เคยแอบเตือนเจ้าว่า เขายินดีจะให้การช่วยเหลือด้วยใช่ไหม?”
ด้วยวิธีการของชุยฉานต้องมีเหตุผลมากพอที่จะพูดโน้มน้าวฉีถิงจี้ได้นานแล้ว ทำให้เซียนกระบี่ผู้อาวุโสท่านนี้ยอมเรียก ‘ปิงเจี่ย’ เล่มนั้นออกมาส่งลู่เฉินออกเดินทางด้วยความยินยอมพร้อมใจอย่างแน่นอน
เฉินผิงอันยังคงไม่เอ่ยอะไร
ลู่เฉินเอนหลังพิงเสาของศาลา “เฉินผิงอัน พูดกันด้วยมโนธรรมในใจ เจ้าเองลองว่ามาสิว่าผินเต้าควรจะกริ่งเกรงซิ่วหู่ผู้นี้หรือไม่?”
เฉินผิงอันเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะเปิดปากพูดว่า “ได้ยินมาตลอดว่าเจ้ามีห้าความฝันเจ็ดจิตธรรม แต่ละอย่างล้วนเกิดจากการจำแลงของมหามรรคา ลี้ลับมหัศจรรย์ยิ่ง เล่าลือกันว่าเจ็ดจิตธรรมแบ่งออกเป็นไก่ไม้ ต้นชุนซู่ ตัวตุ่น คุนเผิง นกขมิ้น นกยวนฉู ผีเสื้อ”
ลู่เฉินสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มเอ่ย “ความชำนาญที่เป็นวิชาก้นกรุเช่นนี้จะบอกให้คนอื่นรู้ง่ายๆ ไม่ได้เด็ดขาด ก่อนหน้านี้เพราะเป็นคนหนุ่มอารมณ์วู่วาม เลือดร้อนๆ พุ่งขึ้นหัวก็สนแต่หัวไม่สนบั้นท้าย เลยให้เจ้ายืมมรรคกถาของทั้งร่างไป แต่ผินเต้าย่อมต้องทำการ ‘ผนึกภูเขา’ ไว้บ้างเล็กน้อย หากถูกเจ้าที่ชอบคิดตะวันออกคิดตะวันตกคว้าจับจุดอ่อนเอาไว้ได้ ผลลัพธ์ที่ตามมาย่อมเลวร้ายจนมิอาจคาดเดา”
พูดมาถึงตรงนี้ ลู่เฉินก็ถามหยั่งเชิงว่า “คำกล่าวที่ว่า ‘คิดตะวันออกคิดตะวันตก’ ของผินเต้าคือหนึ่งคำสองความหมาย เจ้าฟังออกไช่ไหม?”
ลู่เฉินพูดถึงปราณม่วงมาจากตะวันออก มรรคกถาอยู่ที่ตะวันออก ดินแดนพุทธะสุขาวดี พระธรรมอยู่ที่ตะวันตก เจ้าเฉินผิงอันคือลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ ความรู้อยู่ในพื้นที่ตรงกลางพอดี
เฉินผิงอันเหล่ตามองลู่เฉิน
ลู่เฉินทอดถอนใจ “ช่วยไม่ได้นี่นา พูดคุยกับคนโง่อย่างสหายชิงถงและนักพรตเนิ่นมากเข้า ทำเอาผินเต้ามักรู้สึกว่าหากไม่พูดให้ชัดเจนก็เท่ากับว่าที่พูดไปนั้นเปลืองน้ำลายเปล่า ยังคงเป็นการพูดคุยกับเจ้าที่ไม่เปลืองแรงจริงเสียด้วย”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ได้ยินมาว่านักรพตซุนมีคำวิจารณ์ที่ยอดเยี่ยมต่อเจ้า”
ลู่เฉินสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย เอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “คือคำว่าลู่เฉิน ‘ใครก็สู้ไม่ได้ สู้ใครก็ไม่ได้’ ที่มองเหมือนเป็นคำซ้ำน่ะหรือ?”
หากเปลี่ยนมาเป็นว่าลู่เฉินสู้ใครก็ไม่ได้ ใครก็สู้ลู่เฉินไม่ได้ อันที่จริงความหมายก็จะง่ายขึ้นมากแล้ว
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้าว่า “ฝันเป็นอาจารย์ลัทธิขงจื๊อเจิ้งห่วน ละโมบยึดครองคุณความชอบของคนอื่นมาเป็นคุณความชอบของตัวเอง สุดท้ายเลือกที่จะฆ่าตัวตาย ฝันหมอนกระดูกซ้อนฝัน ดูแคลนความสุขของการได้ตั้งตัวเป็นกษัตริย์ ฝันเป็นต้นลี่ (ต้นโอ้ค) มีชีวิต ฝันเป็นหลิงกุยตาย ฝันว่ากลายร่างเป็นผีเสื้อไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ห้าความฝันนี้ต่างก็มีการจำแลงบนมหามรรคา หนึ่งในนั้นคือเจินเหรินกระดูกขาวที่ออกท่องใต้หล้ามืดสลัวที่ชัดเจนที่สุด ทว่าตั้งแต่แรกเริ่ม ดูจากบันทึกประวัติศาสตร์ของคฤหาสน์หลบร้อนและสวนกงเต๋อศาลบุ๋น ดูเหมือนว่าคนทั่วทั้งใต้หล้ามืดสลัวจะไม่มีใครรู้ว่า นอกจากเจ็ดวัตถุของจิตธรรมแล้วยังมีห้าความฝันที่ลี้ลับมหัศจรรย์มากยิ่งกว่าอยู่ด้วย”
“เพื่อไม่ต้องลงมือต่อสู้กับคนอื่น ก็ได้แต่แสดงพละกำลังออกมาให้เห็นสักสองสามส่วน เพื่อให้อีกฝ่ายยอมถอยไปเอง หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการทำลายความปรองดองของกันและกัน”
ลู่เฉินหัวเราะร่าพลางยกมือขึ้น งอข้อมือลงเล็กน้อย “ข้อพิพาทหลายอย่างที่ไม่ได้สำคัญอะไร กลัวเรื่องอะไรที่สุด? ก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกว่าในเมื่อแตกหักกันอย่างสิ้นเชิงแล้ว ในสมองก็มีแต่คำว่าไม่ทำคือไม่ทำ แต่พอทำแล้วก็จะไม่ยอมเลิกรา หากอีกฝ่ายไม่คิดแบบนี้ ไม่ว่าใครก็ไม่ยอมเชื่อ ใต้หล้านี้จะยังมีความอยุติธรรมอะไรที่ใหญ่ไปมากกว่านี้อีกหรือ?”
แรกเริ่มสุดเจ้าลัทธิสามท่านของป๋ายอวี้จิงผลัดกันดูแลป๋ายอวี้จิงหนึ่งร้อยปี
ลู่เฉินมองดูเหมือนเป็นคนที่ไม่สนใจอะไรมากที่สุด แต่ถึงอย่างไรก็เป็น ‘ผู้ปกครอง’ ที่ดูแลเวลาหนึ่งร้อยปีของใต้หล้าแห่งหนึ่งในนาม คลื่นใต้น้ำที่เกิดขึ้นจะมีมากแค่ไหนก็สามารถจินตนาการได้เลย
และตามกฎของป๋ายอวี้จิง หากศิษย์พี่ศิษย์น้องบางคน ‘เป็นผู้ปกครองใต้หล้า’ อีกสองคนที่เหลือก็ห้ามสอดมือเข้าแทรกทำเรื่องอะไรเด็ดขาด เล่าลือกันว่านี่คือกฎที่มรรคาจารย์เต๋าตั้งไว้ด้วยตัวเอง
นี่ก็หมายความว่าลู่เฉินที่ชอบออกไปจากป๋ายอวี้จิง ออกเดินทางไกลไปเพียงลำพัง หากเจอใครสังหารระหว่างทาง ร่างดับมรรคาสลายอย่างสิ้นเชิง ถ้าอย่างนั้นใต้หล้ามืดสลัวทั้งแห่งก็จะเกิดสถานการณ์ที่ว่า ‘กลุ่มมังกรไร้ผู้นำ ใต้หล้าไร้ผู้ปกครอง’ เจ้าลัทธิอีกสองคนที่เหลือก็ยังไม่อาจลงมือได้ ไม่ว่าใต้หล้าจะเละเป็นโจ๊กแค่ไหน ก็จะต้องรอคอยเวลาที่กำหนดไว้ ถึงจะมารับเอาป๋ายอวี้จิงไปดูแล ออกหน้าเก็บกวาดเรื่องเละเทะได้
เฉินผิงอันถาม “ฝันเป็นอาจารย์ลัทธิขงจื๊อเจิ้งห่วน ละโมบยึดครองคุณความชอบของคนอื่นมาเป็นคุณความชอบของตัวเอง สุดท้ายเลือกที่จะฆ่าตัวตาย ได้แต่เข้าฝันฝากความหวังให้ต้นสนต้นป๋ายที่หลุมศพออกดอกผล เจ้าที่เป็นบรรพบุรุษสกุลลู่ตีวัวกระทบคราดต่อโจมจื่อแห่งสกุลลู่สำนักหยินหยางอยู่หรือ?”
ลู่ไถมีชาติกำเนิดมาจากสกุลลู่สำนักหยินหยาง หนึ่งในสองอาจารย์ผู้ถ่ายทอดมรรคา นอกจากเผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่แล้ว อีกคนหนึ่งก็คือโจวจื่อที่ ‘พูดเรื่องฟ้าจนหมดสิ้น’
โจวจื่อพูดเรื่องฟ้า สกุลลู่พูดเรื่องดิน คือเรื่องที่ใต้หล้าไพศาลให้การยอมรับ และการที่โจวจื่อถูกขนานามว่าเป็นผู้ที่ได้ยึดครองแผ่นดินครึ่งหนึ่งของสำนักหยินหยางไปเพียงลำพัง ก็ยิ่งเป็นมติมหาชนของบนภูเขา
โจวจื่อให้ความสำคัญกับลู่ไถมาก ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีทางมีผู้ฝึกกระบี่หลิวไฉ แต่ปีนั้นหลังจากที่ลู่ไถได้พบเจอเฉินผิงอัน ลู่ไถก็เหมือนเกิดทางแยกบนมหามรรคากับโจวจื่อผู้เป็นอาจารย์ และเรื่องนี้ก็ค่อนข้างคล้ายคลึงกับเจิ้งห่วนหนึ่งในห้าความฝันของลู่เฉิน ที่สุดท้ายแล้วเขาและน้องชายก็แยกกันอยู่คนละฝ่าย คนหนึ่งลัทธิขงจื๊อ คนหนึ่งสำนักโม่
“มรรคาของข้ากับโจวจื่อแตกต่างคือเรื่องจริง”
ลู่เฉินโบกมือเป็นพัลวัน ขีดเส้นแบ่งความสัมพันธ์อย่างชัดเจน “เพียงแต่ผินเต้าไม่มีความสามารถนี้ สามารถคาดการณ์ได้แม่นยำว่าในตระกูลวันหน้าจะมีลู่ไถหลานทรพีที่อกตัญญูต่อบรรพบุรุษที่สุด แล้วก็ยังมีเจ้าอีกคน”
เฉินผิงอันกล่าว “ก่อนหน้านี้ข้าตอบคำถามเจ้าไปสามข้อแล้ว”
ลู่เฉินกะพริบตาปริบๆ “ไม่ใช่คำถามข้อเดียวหรือ?”
ลู่เฉินลังเลเล็กน้อย “ก่อนจะไปตั้งแผงที่ถ้ำสวรรค์หลีจู ข้าเก็บ ‘สองฝัน’ หนึ่งจิตธรรมกลับมาในใต้หล้ามืดสลัว มาถึงใต้หล้าไพศาล ก่อนจะเข้าไปในถ้ำสวรรค์หลีจูก็เก็บจิตธรรมอีกอย่างหนึ่ง”
“อย่างหลังนี้เจ้าน่าจะเดาได้แล้ว ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางถามผินเต้าถึงที่มาของ ‘ซีเยว่’ หนึ่งในบรรพบุรุษของเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างแปดชิ้น จิตธรรมนี้ของผินเต้าก็คือ ‘นกยวนฉู’ นอกจากนี้ก็มีความเกี่ยวข้องกับชุดคลุมอาคมจินหลี่และจวนเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์จริงๆ บอกตามตรง ยิ่งผินเต้าอยู่ในป๋ายอวี้จิงนานเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกว่าประโยคที่ว่า ‘สถานที่ที่มีภูตผีปีศาจออกอาละวาด ย่อมต้องมีนักพรตของภูเขามังกรพยัคฆ์’ น่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ หวังว่าจะอาศัยสิ่งนี้มาคลี่คลายรากฐานของอักษรคำว่า ‘เซียน’ ยกตัวอย่างเช่นสรุปแล้วผู้ฝึกตนที่คุณสมบัติค่อนข้างธรรมดาคนหนึ่งบรรลุมรรคาบน ‘ภูเขา’ ได้เร็วยิ่งกว่า แต่ระดับความสูงในการบรรลุมรรคามีจำกัด หรือว่าเป็นกับคำว่า ‘คน’ ที่ช้ากว่า แต่ผลสำเร็จบนมหามรรคากลับสูงกว่า ดังนั้นจึงอยากจะใช้สถานะของผู้สูงศักดิ์หวงจื่อมาสัมผัสกับรสชาตินี้ด้วยตัวเอง สุดท้ายคนผู้นี้ก็ไปนั่ง ‘เข้าฌาน’ อยู่ในถ้ำหินบนเกาะแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กับร่องเจียวหลง สละร่างจากโลกนี้ไป”
“แต่ต่อให้ผินเต้าเก็บสองความฝันหนึ่งจิตธรรมมาพร้อมกันทีเดียว ต่อให้เคยมีการอนุมานที่มากพอจะให้ความสำคัญในถ้ำสวรรค์หลีจู”
ลู่เฉินเผยสีหน้ากลัดกลุ้มระทมทุกข์ออกมาหลายส่วน เอ่ยอย่างจนใจว่า “ความจริงกลับพิสูจน์ให้เห็นว่าผินเต้าประมาทเกินไป ดูแคลนฉีจิ้งชุนเกินไป หากรู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรกก็น่าจะเก็บเอาเจินเหรินกระดูกขาวที่พยายามจะ ‘แสดงบทเป็นเจ้าบ้านเสียเอง’ ตนนั้นกลับมาพร้อมกันด้วย เป็นเขาที่พยศยากกำราบที่สุด ก่อกบฏ ก่อกบฏ เจ้าก็ไปเป็นฮ่องเต้เสียเลยสิ ไอ้หมอนี่กลับดีนัก ฝึกตนมาสามพันปี กลับแสวงหาเรื่องเดียวอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย นั่นก็คือเป็นกบฏกับตัวเอง มิน่าเล่าถึงได้คอยส่งสายตาไปมาอยู่กับเหยาชิงเสนาบดีรูปงามของพวกเรา”
——