กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 944.2 ผลักดันสิ่งเก่าแนะนำสิ่งใหม่
หลายปีมานี้ต้องร่อนเร่พเนจร ถูกคนดูถูกดูแคลน เจอความยากลำบากมาสารพัดอย่าง หากประสบการณ์ในชีวิตคนสามารถเอาบัญชีเล่มเก่ามาเปิดออกดูได้ แต่ละหน้าที่เขียนเอาไว้ก็มีแต่คำว่าไม่มีเงิน ยากจนจนไม่ได้ยินเสียงเหรียญกระทบกัน ราคาขึ้นอีกแล้ว อย่าว่าแต่เข้าพักโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนไม่ได้เลย แม้แต่ประตูบานใหญ่ก็ไม่กล้าเดินเข้าไป ในร้านที่ตั้งอยู่ตามท่าเรือตระกูลเซียน ได้แต่กล้ามองไม่กล้าลูบคลำ ดูเหมือนว่ามักจะถูกคนดูแคลนเป็นประจำ จะโทษพวกเขาไปทั้งหมดก็ไม่ได้…สรุปก็คือในสมุดบัญชีเล่มนั้นเขียนสามคำว่า ‘ไร้หนทาง’ เอาไว้จนเต็มทุกหน้า
กว่าจะมีสถานที่ให้พักอาศัยได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เดิมทีนึกว่ามาอาศัยอยู่ใต้ชายคาของคนอื่นก็คงต้องเก็บหางทำตัวสำรวม ขอกินขอดื่มไปวันๆ จะไม่ต้องคอยทนรับอารมณ์ของคนอื่นได้อย่างไร คิดไม่ถึงว่ามาอยู่ที่นี่กลับไม่ต้องเจอกับความอยุติธรรมเลยสักนิดจริงๆ ต่างก็พูดกันว่าความสนใจในการเป็นขุนนางบางเบาเหมือนผ้าโปร่งหนึ่งชั้น คิดไม่ถึงว่าข้าเซียนเว่ยจะกลับกลายเป็นว่าโชคชะตาผลิกพัน ขอแค่วันหน้าหน่วนซู่น้อยถูกคนรังแก ได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจแม้เพียงน้อยนิด ข้าผู้อาวุโสไม่เชี่ยวชาญการต่อสู้ แต่ก็จะต้องเป็นคนแรกที่เปิดปากด่าแน่นอน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้อยคำหนึ่งประโยคสองความหมายของเด็กหญิงสวมชุดกระโปรงชมพูที่ทำให้นักพรตปลอมซึ่งมีฉายาว่าเซียนเว่ย ชื่อจริงคือเหนียนจิ่งเกือบจะน้ำตาไหล
‘ปีนี้บ้านของพวกเรามีการเก็บเกี่ยวประจำปี (เหนียนจิ่ง) ที่ดี หวังว่าปีหน้าจะมีการเก็บเกี่ยวที่ดียิ่งกว่านี้ เชื่อว่าจะต้องดียิ่งกว่านี้ได้แน่นอน!’
จูเหลี่ยนยังเรียกเด็กชายเด็กสาวสกุลเฉาที่เป็นเหมือนคู่หยกงามซึ่งพักอยู่ที่ภูเขาด้านหลังมาด้วย ทุกคนกินอาหารมื้อคืนข้ามปีด้วยกันอย่างครึกครื้น อยู่ด้วยกันนานวันเข้า คู่หยกที่มาจากแซ่สกุลของเสาค้ำยันแคว้นต้าหลีคู่นั้นก็ไม่ระมัดระวังสำรวมตนเหมือนตอนที่เพิ่งขึ้นมาบนภูเขาอีก
เฉินยวนจีไปที่บ้านตัวเองซึ่งตั้งอยู่ในตัวจังหวัด ทางฝั่งของตรอกฉีหลง จูเหลี่ยนไม่ได้เรียกใครมา
สือโหรวเห็นร้านแห่งนั้นเป็นบ้านของตัวเองไปแล้ว เจ้าใบ้น้อยที่เป็นลูกศิษย์ใหญ่ของเผยเฉียนก็ไม่ค่อยยินดีจะขึ้นภูเขามา พอดีกับที่สามารถกินอาหารมื้อข้ามปีร่วมกับพวกชุยฮวาเซิงและเด็กชายผมขาวที่ตั้งชื่อให้ตัวเองว่าคงโหวซึ่งอยู่ร้านข้างๆ ได้พอดี เพราะรวมตัวกันแล้วก็รวมกันนั่งโต๊ะใหญ่ได้
กินอาหารมื้อข้ามปีอิ่มหนำ จูเหลี่ยนกับหน่วนซู่ช่วยกันเก็บตะเกียบและชาม เพ่ยเซียงนึกอยากจะช่วย ผลกลับถูกบุรุษใจดำบางคนถลึงตาใส่ จึงได้แต่ล้มเลิกความคิด
หลังจากนั้นก็คือการเฝ้าคืนแล้ว
ทางฝั่งของเมืองเล็ก พวกคนเฒ่าคนแก่คนที่ตายก็ตายไป คนที่ย้ายบ้านก็ย้ายไป ตอนนี้จึงไม่มีประเพณีการแวะเวียนไปถามมื้อข้ามปีระหว่างแต่ละครอบครัวอีกแล้ว
หน่วนซู่น้อยต้องการไปเฝ้าคืนที่ชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่ อันที่จริงก็ไม่ถือว่านางอยู่อย่างโดดเดี่ยว เพราะข้างกระถางไฟที่เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูนั่งอยู่มีคนจิ๋วดอกบัวมานอนฟุบอยู่บนศีรษะของนาง อ่านหนังสือไปด้วยกัน
เซียนเว่ยกินอาหารแล้วก็รีบร้อนลงจากภูเขา เฝ้าคืนพลางอ่านหนังสือไปด้วยเหมือนกัน
เจิ้งต้าเฟิงคนเฝ้าประตูคนก่อนทิ้ง ‘ภูเขาตำรา’ เอาไว้ให้ลูกหนึ่ง เซียนเว่ยจำต้องทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังว่ามหาสมุทรความรู้ไร้ที่สิ้นสุด
พี่น้องต้าเฟิงที่ยังไม่เคยพบหน้าผู้นั้น คือต้นแบบของความสง่างามแห่งคนรุ่นข้า สมกับเป็นเทพในร่างคนอย่างแท้จริง
ในเมื่อมาก็มาแล้ว หงเซี่ยจึงไปที่ภูเขาหวงหู เฝ้าคืนพร้อมกับอวิ๋นจื่ออยู่ที่จวนวารี
ทางฝั่งเรือนพักของจูเหลี่ยน บนเก้าอี้นอนปูไว้ด้วยพรมผืนเก่า
เพียงแต่ว่าจูเหลี่ยนนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ที่อยู่ด้านข้าง ในมือถือเตาอุ่นมือ ให้เพ่ยเซียงนอนบนเตียงหวายตัวนั้น
เพ่ยเซียงนอนอย่างสบายอารมณ์ สองมือวางทับซ้อนกันเบาๆ ยิ้มจนดวงตาที่คลอประกายน้ำคู่นั้นหรี่ลง ถามชวนคุยว่า “กินอาหารคืนข้ามปี แล้วค่อยเฝ้าคืนกับคนอื่น เป็นเรื่องที่มิอาจจินตนาการได้เลย”
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “รอกระทั่งเรื่องที่สดใหม่ไม่สดใหม่อีกต่อไปแล้ว ยังสามารถทำเหมือนเดิมได้อีก นั่นต่างหากจึงจะถือว่าเป็นเรื่องที่มิอาจจินตนาการได้”
เพ่ยเซียงเบี่ยงตัวหันข้าง สองมือวางทับซ้อนกัน แนบแก้มไว้บนหลังมือ “ถึงอย่างไรตอนนี้รอบด้านก็ไม่มีใคร ขอข้าดูหน่อยสิ?”
เพ่ยเซียงเห็นว่าเจ้าหมอนี่ไม่ยอมคุยด้วย แสร้งทำเป็นคนหูหนวกเป็นใบ้ก็เอ่ยกับเขาว่า “รับรองว่าจะไม่เล่นติกตุกเด็ดขาด แค่ขอดูให้เพลิดเพลินตาสักหน่อย”
ตาจูเหลี่ยนมองตรงไปข้างหน้าไม่ลอกแลก ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คิดว่าข้าเป็นนางโลมหรือ?”
เพ่ยเซียงขุ่นเคือง ถลึงตาเอ่ยว่า “พูดอะไรน่ะ ทำให้ข้าสะอิดสะเอียนก็ช่างเถอะ ไหนเลยยังมีคนที่พูดให้ตัวเองสะอิดสะเอียนอย่างเจ้าด้วย”
จูเหลี่ยนหัวเราะเฮอๆ
เพ่ยเซียงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เหยียนฟ่าง เจ้าเล่าเรื่องให้ข้าฟังสักเรื่องเถอะ?”
จูเหลี่ยนหัวเราะร่วน “เอาอีกแล้วรึ?”
เพ่ยเซียงบ่น “พูดเรื่องที่เป็นการเป็นงานหน่อยได้ไหม?”
“เป็นการเป็นงาน? นี่ก็ต้องพูดถึงวัตถุประสงค์ของท่านศาสดาที่เดินทางมาจากทิศตะวันตกแล้วนะ หมื่นปีที่ผ่านมาของใต้หล้าไพศาล มีมังกรคชสารของลัทธิพุทธมากมายขนาดนั้น ก็ยังมีคัมภีร์แค่เล่มเดียวเองนะ”
จูเหลี่ยนคิดแล้วก็พูดเรื่อยเจื้อยต่ออีกว่า “เพ่ยเซียง เจ้าน่าจะรู้ว่าศาสดาของสำนักฌาน (หรือฉาน นิกายเซน) อันที่จริงอยู่ที่ดินแดนพุทธะสุขาวดี หากใช้การแบ่งแยกตามประสบการณ์และความอาวุโสที่มนุษย์ธรรมดาอย่างพวกเราชอบใช้กัน อันที่จริงก็คือศาสดาอันดับที่ยี่สิบแปด? อืม หน้าตามึนงงเช่นนี้ ดูท่าเจ้าคงจะไม่รู้สินะ เมื่อก่อนตอนที่ข้าอยู่ในพื้นที่มงคลบ้านเกิดเคยอ่านนิยายเรื่องเทพและมารเล่มหนึ่ง ไม่รู้ว่าใครเป็นคนแต่ง อ่านตอนแรกเหมือนจะเลื่อมใสศาสนาพุทธ แต่แท้จริงแล้วกลับด้อยค่าศาสนาพุทธ ส่วนตอนนี้มาย้อนนึกดูอีกครั้งกลับบอกได้ยากแล้ว คงจะพูดถึงภิกษุคนหนึ่งจากแผ่นดินกลางที่ตั้งปณิธานยิ่งใหญ่ว่าจะไปเอาคัมภีร์พระไตรปิฎกมาจากชมพูทวีป ตลอดทางผ่านหายนะภัยพิบัติมากมาย สุดท้ายถูกศาสดาพุทธและศาสดาแรก ศาสดารองของลัทธิฌานในภายหลังมอบคัมภีร์ไร้ตัวอักษรมาให้ ภิกษุผู้นั้นจึงใช้วัตถุที่ล้ำค่าบนร่างของตัวเองเอามาแลกเปลี่ยนกับ ‘คัมภีร์ที่แท้จริง’ อีกครั้ง ตอนนั้นข้าเป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง ไม่รู้ความ อ่านตำรามาไม่มาก พออ่านมาถึงตรงนี้ก็นึกอยากจะลากตัวเจ้าคน ‘นิรนาม’ ที่น่ารังเกียจผู้นั้นออกมาซ้อมสักรอบ รู้สึกเพียงว่ากว่าข้าผู้อาวุโสจะฝืนนิสัยอดทนอ่านจนถึงช่วงท้ายได้ไม่ง่ายเลย เจ้าที่เป็นคนแต่งเรื่อง กลับกลายเป็นว่าให้ข้าได้อ่านเรื่องพวกนี้? รอกระทั่งข้าถึงวัยกลางคนถึงเพิ่งค้นพบความหมายที่ซ่อนอยู่ภายใน ไม่พูดไม่ได้ว่าชวนให้ขบคิดยาวนานเหลือเกิน คัมภีร์ไร้ตัวอักษรเล่มที่ภิกษุผู้นั้นได้มาตอนแรก เป็นของปลอมแน่หรือ? คัมภีร์แท้จริงที่มีตัวอักษรซึ่งได้มาในภายหลังเป็นของจริงแน่หรือ? ต้องรู้ว่าสายของสำนักฌานไม่ใช้ตัวอักษร เพื่อที่คนนอกสายจะได้เอาไปสืบทอดต่อไม่ได้ เพียงแต่รอกระทั่งอายุของข้าเพิ่มขึ้นอีกก็มีคำถามขึ้นมาอีกครั้งว่า คงไม่เป็นเพราะว่าตอนนั้นภิกษุผู้นั้นก็มองปัญหายากข้อนี้ออกแล้ว เพียงแต่เพราะว่าคนคนเดียวบรรลุธรรมไม่สู้ให้สรรพชีวิตบรรลุธรรม? สำหรับคนทั่วไปแล้ว บางทีอาจยังต้องใช้ลำดับและขั้นบันไดบางอย่าง เหมือนการปูถนนสร้างสะพาน? ดังนั้นเจ้าเห็นหรือไม่ว่า สำนักฌานของโลกยุคหลังจึงมีความขัดแย้งเรื่องระบบสืบทอดดั้งเดิมของตำแหน่งหกศาสดาไม่ใช่หรือ แบ่งออกเป็นสายตระหนักรู้อย่างฉับพลันของสำนักใต้และสายค่อยๆ ตระหนักรู้ของสำนักเหนือ? แม้จะบอกว่าคนมีการแบ่งสำนักเหนือใต้ แต่ธรรมะไม่อาจแบ่งเหนือใต้ได้ แต่ถึงอย่างไรก็มีการแบ่งแยกระหว่างฉับพลันกับเชื่องช้า ได้ยินมาว่าสถานที่บางแห่งที่เรียกว่า ‘ยุทธจักร’ ในใต้หล้าไพศาล ด้านล่างภูเขาหนันผิงมีวัดโบราณเก่าแก่เป็นพันปีอยู่แห่งหนึ่ง มีกรอบป้ายคำว่า ‘สรรพสิ่ง’ ล้วนเท่าเทียม ช่างดีจริงๆ”
เพ่ยเซียงฟังอย่างตั้งใจ
จูเหลี่ยนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ทุกอย่างคือธรรมะ ประหนึ่งความฝันประหนึ่งภาพมายาฟองอากาศ ประหนึ่งน้ำค้างประหนึ่งสายฟ้า ไม่ควรยึดมั่นอยู่กับสิ่งใด”
เพ่ยเซียงยิ้มกล่าว “ประโยคนี้ข้าพอจะเข้าใจอยู่บ้าง”
จูเหลี่ยนส่ายหน้า “พวกเราแค่เคยได้ยินมาเท่านั้น ไม่เคยได้เข้าใจอย่างแท้จริง”
เพ่ยเซียงยิ้มตอบ “เจ้าว่าอย่างไรก็เป็นตามนั้น”
จูเหลี่ยนยกเตาอุ่นมือในมือขึ้น “ทดสอบเจ้าสักข้อดีไหม? ดอกไม้ (ฮวา) อะไรเติบโตอยู่ใต้ดิน”
เพ่ยเซียงเข้าใจผิดคิดว่าเป็นคำถามลี้ลับที่ต้องไขปริศนาธรรม จึงส่ายหน้าแสดงว่าไม่รู้ หลีกเลี่ยงไม่ให้กลายเป็นที่หัวเราะเยาะ
จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ย “ก็ดอกฮวาเซิง (ถั่วลิสง คือการเล่นคำ คำว่าฮวาคำเดียวจะหมายถึงดอกไม้ แต่ถ้าฮวาเซิงจะหมายถึงถั่วลิสง) อย่างไรเล่า”
เพ่ยเซียงอึ้งงันพูดไม่ออก
จูเหลี่ยนหัวเราะร่วน “ยังคงเป็นหมี่ลี่น้อยของพวกเราที่ร้ายกาจ”
“อะไรคือหนึ่งในเรื่องที่งดงามของโลกมนุษย์ แต่กลับเป็นไม่ใช่ทิวทัศน์ที่งดงามสบายตาที่สุด เจ้าลองเดาดูสิว่าเป็นเรื่องอะไร?”
จูเหลี่ยนถามเองตอบเอง “คือการงีบหลับเอาแรง”
หลังจากที่เรือข้ามทวีปลำหนึ่งเดินทางข้ามทวีปก็คล้ายกับว่าได้มีภูเขาเล็กลูกใหม่เพิ่มมา โจวหมี่ลี่ ไฉอู๋ ป๋ายเสวียน ซุนชุนหวัง พวกเขาอยู่ด้วยกันจนสนิทสนมคุ้นเคยกันมากแล้ว
หากใช้คำกล่าวของป๋ายเสวียนก็คือ แม่นางน้อยตาปลาตายอย่างซุนชุนหวังผู้นี้ มีเพียงอยู่กับผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของพวกเราเท่านั้นถึงจะมีรอยยิ้มที่น่าเกลียดยิ่งกว่าร้องไห้ได้
อยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว หมี่ลี่น้อยที่แอบตั้งตำแหน่งขุนนางผู้ตรวจตราภูเขาให้กับตัวเอง จะต้องเดินลาดตระเวนภูเขาเช้าเย็นสองครั้งทุกวัน ต่อให้ฟ้าผ่าก็ไม่มีสะเทือน
พอมาถึงยอดเขามี่เซวี่ยของภูเขาเซียนตู หมี่ลี่น้อยก็จะไปที่เรือเฟิงยวนสองครั้งเช้าเย็นเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกับตอนอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วนัก ตอนอยู่ภูเขาลั่วพั่วหลังจากลาดตระเวนภูเขาเสร็จจะต้องไปเที่ยวหาพวกเผยเฉียน พี่หญิงหน่วนซู่ พอมาอยู่ที่ภูเขาเซียนตูกลับไปเดินวนอยู่รอบเรือเฟิงยวนที่จอดเทียบท่าอยู่ที่ท่าเรือ
แม่นางน้อยชุดดำคนหนึ่งสะพายห่อผ้าฝ้าย บนบ่าแบกคานหาบสีทอง ในมือถือไม้เท้าเดินป่าสีเขียว แล้วก็ไม่ขึ้นไปบนเรือ แค่หาเรื่องสนุกให้ตัวเองทำรอบๆ ตัวเรือ แทะเมล็ดแตง วางหินซ้อนกัน กระโดดข้ามช่อง ทุกวันตอนเช้าตรู่จะลงจากภูเขา พอถึงตอนเที่ยงก็จะกลับภูเขาไปกินข้าวหนึ่งมื้อ กินข้าวเสร็จก็จะวิ่งตะบึงลงจากภูเขาไปอีก
ป๋ายเสวียนมักจะลงจากยอดเขามี่เซวี่ยไปเป็นเพื่อนหมี่ลี่น้อยเป็นประจำ ไปเดินเล่นเตร็ดเตร่อยู่ที่ท่าเรือ แต่ก็ไม่ขัดต่อการที่เขาจะอ้าปากบ่น “เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ปิดด่านอยู่ที่บ้านของตัวเอง เจ้าจะกังวลอะไร ไม่พูดถึงห่านขาวใหญ่กับเผยเฉียน ลำพังแค่คนที่มาเป็นแขกที่ภูเขาของพวกเราก็มีกั่วหรานแห่งภูเขาต้นไม้เหล็กแผ่นดินกลาง เย่อวิ๋นอวิ๋นแห่งเรือนอวิ๋นฉ่าวภูเขาผูซาน และยังมีหวงถิงแห่งภูเขาไท่ผิง พวกเขาแต่ละคน มีใครบ้างที่ต่อสู้ไม่เก่ง? ใครจะกล้ามารบกวนการปิดด่านของเซียนกระบี่ใหญ่หมี่ที่ภูเขาเซียนตูของพวกเรา? วันสิ้นปีอย่างนี้ คงไม่ถึงขั้นมีใครอยากมาหาเรื่องถูกซ้อมที่นี่หรอกกระมัง?
หมี่ลี่น้อยเพียงแค่ยิ้มกว้าง แล้วก็ไม่ได้อธิบายอะไร
ภายหลังป๋ายเสวียนบ่นมากเข้า หมี่ลี่น้อยก็ยังไม่รำคาญ เพียงแค่ทำท่าเหมือนได้ความคิดดีๆ กะทันหัน เอ่ยกับป๋ายเสวียนว่า “คนเราง่ายที่จะทำเรื่องดี แต่ไม่ง่ายที่จะได้รับคำพูดดีๆ นะ”
ตอนนั้นป๋ายเสวียนเอาสองมือสอดรองไว้ใต้ท้ายทอย เดินอาดๆ ไปบนถนน เอ่ยอย่างประหลาดใจมากว่า “ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาเข้าใจเรื่องราวและผู้คนได้มากขนาดนี้เลยหรือ?”
หมี่ลี่น้อยร้องฮ่าหนึ่งที
เป็นพี่หญิงหน่วนซู่ที่พูด ยืมเอามาใช้สักหน่อย
ป๋ายเสวียนอดไม่ไหวถามขึ้นมาอีกว่า “ในเมื่อรีบร้อนเดินทาง จะไปเดินเล่นที่เรือข้ามฟาก ทำไมแม้แต่ขึ้นเขาและลงเขาก็ไม่ใช้การทะยานลมเล่า?”
หมี่ลี่น้อยอธิบายด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ทะยานลมบนฟ้า นั่นคือการมองภูเขา ไม่ใช่ลาดตระเวนภูเขานะ”
ป๋ายเสวียนคิดอยู่พักใหญ่ก็ยังหาคำพูดมาโต้เถียงไม่ได้
วันนี้ป๋ายเสวียนหยุดการฝึกกระบี่บนภูเขาแล้วก็ทะยานลมมาจากยอดเขามี่เซวี่ย มานั่งแทะเมล็ดแตงอยู่บนราวรั้วของท่าเรือกับหมี่ลี่น้อย อยู่นานถึงหนึ่งชั่วยาม ตั้งแต่พระอาทิตย์เริ่มตกจนท้องฟ้ามืดสนิท ป๋ายเสวียนเงยหน้ามองท้องฟ้า เอ่ยว่า “ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา เจ้าจะกลับขึ้นภูเขาไปเมื่อไหร่?”
ตามความหมายของห่านขาวใหญ่ตัวนั้น หากวันนี้ใต้เท้าอิ่นกวานกลับมาที่ภูเขาเซียนตู พวกเราก็จะกินอาหารมื้อคืนข้ามปีกัน ไม่อย่างนั้นก็เหลือค้างเอาไว้ก่อน
หมี่ลี่น้อยเกาหน้า เอ่ยว่า “วันนี้ข้าคิดว่าจะกลับไปช้าสักหน่อย”
ป๋ายเสวียนกล่าว “ข้าต้องขึ้นเขาไปฝึกกระบี่แล้ว เจ้ากลับไปคนเดียว ไม่กลัวหรือ?”
หมี่ลี่น้อยหัวเราะฮ่าๆ ป๋ายเสวียนเดี๋ยวนี้เจ้ารู้จักพูดตลกแล้วนะ
ป๋ายเสวียนกลับไปก่อนแล้ว เขาทำมุทราขี่กระบี่กลับคืนสู่ยอดเขามี่เซวี่ยอย่างสง่างาม
ทางฝั่งของยอดเขาหมี่เซวี่ย กั่วหรานเซียนเหรินแห่งภูเขาต้นไม้เหล็กที่มีฉายาว่า ‘หลงเหมิน’ กับหวงถิงต่างก็สัมผัสได้อย่างเฉียบไวในเวลาเดียวกันว่าทางฝั่งของท่าเรือมีปณิธานกระบี่ที่บริสุทธิ์เฉียบคมอย่างถึงที่สุดขุมหนึ่งโผล่ขึ้นมา เพียงแต่ว่าแค่ครู่เดียวก็สลายหายไป
ผู้ฝึกกระบี่เซียนเหรินคนหนึ่งและหยกดิบคนหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก นี่เพิ่งจะปิดด่านได้แค่กี่วันเอง? หมี่อวี้ผู้นั้นไม่เพียงแต่ฝ่าทะลุขอบเขตสำเร็จ ยังทำสำเร็จได้เร็วถึงเพียงนี้อีกด้วย มีภาพบรรยากาศของการสร้างความมั่นคงให้ขอบเขตได้แล้ว?
คนผู้หนึ่งปลงอนิจจังว่าเซียนกระบี่หมี่ไม่เสียแรงที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่
อีกคนหนึ่งเอ่ยชื่นชมหมี่อวี้ว่าไม่เสียทีที่มีฉายาว่าหมี่ผ่าเอว มิน่าเล่าถึงสามารถเข้าไปอยู่คฤหาสน์หลบร้อนได้
เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ที่สวมชุดคลุมยาวสีขาวหิมะเดินออกมาจากห้องในตัวเรือ เงยหน้ามองไปยังเรือนหลังหนึ่งบนยอดเขามี่เซวี่ยก็ต้องอึ้งตะลึงไป จากนั้นหมี่อวี้ก็รีบถอนสายตากลับมาทันที แล้วก็เห็นเงาร่างเล็กๆ ที่เล่นกระโดดข้ามช่องอยู่ใกล้กับท่าเรือเพียงลำพังจริงดังคาด
สีหน้าของหมี่อวี้เปลี่ยนมาเป็นอ่อนโยนทันที
ดีดปลายเท้าเบาๆ หนึ่งครั้ง พลิ้วกายไปทางแม่นางน้อยชุดดำ แล้วก็ไม่กลัวว่าจะทำให้นางตกใจ ลดเรือนกายลงในจุดที่ห่างจากตรงหน้านางไปไม่ไกล ยิ้มเอ่ยว่า “ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา ทำอะไรน่ะ ดึกขนาดนี้แล้วยังลาดตระเวนภูเขาอยู่อีกหรือ?”
หมี่ลี่น้อยวิ่งเร็วๆ มาหยุดอยู่ตรงหน้าหมี่อวี้ด้วยสีหน้าสดใส “เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ บังเอิญจังเลย ข้ากำลังจะกลับยอดเขามี่เซวี่ยแล้ว หากท่านช้ากว่านี้อีกสักหน่อย แค่นิดเดียวเท่านั้น ก็จะไม่เห็นข้าที่นี่แล้ว ได้แต่ไปเจอกันบนภูเขาเท่านั้น”
หมี่อวี้เอ่ยอย่างกระจ่างแจ้ง “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง บังเอิญจังเลย บังเอิญจังเลย”
มองแม่นางน้อยที่ทำท่าอยากถามแต่ไม่กล้าถาม หมี่อวี้ก็ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ในที่สุดก็ฝ่าทะลุขอบเขตแล้ว”
หมี่ลี่น้อยกอดคานหาบสีทองและไม้เท้าเดินป่าสีเขียวไว้ในอ้อมอกทันใด ยกนิ้วโป้งทั้งสองมือ ร้องว้าวเสียงดัง “ร้ายกาจ ร้ายกาจ!”
หนึ่งคนตัวโตหนึ่งคนตัวเล็กเดินไปทางภูเขาเซียนตูด้วยกันช้าๆ
หมี่อวี้ถามว่า “หมี่ลี่น้อย เจ้ารู้หรือไหมว่าทุกคนของภูเขาลั่วพั่ว แน่นอนว่ารวมถึงตัวข้าด้วย พวกเราต่างก็ชอบเจ้ามากเลยนะ?”
ฝีเท้าของหมี่ลี่น้อยแผ่วเบาว่องไว ไหล่โยกซ้ายทีขวาที “ต้องรู้อยู่แล้วสิ”
หัวกบาลน้อยๆ นี้ของข้าเฉลียวฉลาดมากนะ
หมี่อวี้พยักหน้ารับ “แบบนี้เองหรือ”
หมี่ลี่น้อยลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเสียงเบาว่า “แต่ว่าถูกคนชอบเป็นเรื่องที่หาได้ยากแล้วก็ต้องทะนุถนอมเห็นค่าให้มากเลยนะ ยากกว่าไม่ถูกคนรังเกียจเสียอีก ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาโอ้อวดกันได้ ควรจะเป็นเรื่องดีใจที่แอบเก็บซ่อนไว้ในใจเท่านั้น บางครั้งที่อารมณ์ไม่ดี พอเปิดประตูก็จะมีความสุข พอเปิดประตูก็จะอารมณ์ดีแล้ว ดังนั้นถึงได้เรียกว่า ‘ดีใจ’ (ดีใจภาษาจีนอ่านว่าไคซิน แต่ถ้าแปลตรงตัวคือเปิดใจ ซึ่งว่าไคเป็นคำเดียวกับคำว่าไคเหมินที่แปลว่าเปิดประตู) อย่างไรเล่า”
——