กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 945.2 อะไรคือแผนร้าย
ปรมาจารย์มหาปราชญ์พลันเอ่ยว่า “คำถามบางอย่าง ไยต้องถามลู่เฉิน ถามอาจารย์ของเจ้าเองที่สวนกงเต๋อ คำตอบจะไม่ยิ่งชัดเจนมากกว่าหรอกหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้ากล่าว “กลัวว่าอาจารย์จะกลัดกลุ้ม”
อันที่จริงแรกเริ่มก็ใช่ว่าจะไม่เคยคิดเช่นนี้ ทว่าตอนนั้นที่อยู่ในสวนกงเต๋อของศาลบุ๋น อาจารย์ได้สถานะเทพกลับคืนมาในศาลบุ๋น บรรยากาศครึกครื้นกันมาก เฉินผิงอันจึงอดทนเอาไว้
ภายหลังอยู่ที่หอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋นในตรอกเล็กของเมืองหลวง อาจารย์อ่านตำราเล่มเก่านั้น ลูกศิษย์ที่อยู่ด้านข้างมองอาจารย์ที่เปลี่ยวเหงา เฉินผิงอันก็ล้มเลิกความคิดนี้ไปอย่างสิ้นเชิง
หากไม่เป็นเพราะถูกปรมาจารย์มหาปราชญ์โยนไปไว้ที่แคว้นเมิ่งเหลียง ได้เจอกับลู่เฉินโดยบังเอิญ สำหรับเฉินผิงอันแล้ว ถึงอย่างไรก่อนจะออกเดินทางไปยังใต้หล้ามืดสลัวก็ยังมีเวลาในการฝึกตนอีกมาก สั้นสุดร้อยปี หากยาวหน่อย…ก็บอกได้ยากแล้ว หลายร้อยปี ถึงขั้นที่ว่าหนึ่งพันปี แต่ก็ย่อมจะค่อยๆ พิสูจน์การคาดเดาพวกนั้นได้ช้าๆ
ไม่ต้องรีบร้อน
ไปถึงหอเก็บหนังสือแห่งหนึ่ง ปรมาจารย์มหาปราชญ์ก็เอ่ยสัพยอกว่า “อาศัยการดำเนินการอย่างยากลำบากมาหนึ่งหมื่นปีของสหายชิงถง ทางฝั่งของหอสยบปีศาจแห่งนี้ไม่ว่าอะไรก็มีมากมาย สารพัดรูปแบบ ละลานตา ทำให้คนเห็นแล้วตาลาย แต่ตำรากลับมีค่อนข้างน้อย”
ชิงถงเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “วันหน้าจะเอามาเสริมให้มากกว่าเดิม”
เฉินผิงอันกล่าว “ทางฝั่งของหอสยบปีศาจสามารถเปิดร้านหนังสือร้านหนึ่ง พวกตำราหายากตำราฉบับสมบูรณ์แบบที่อยู่ในหอหนังสือก็ถือเป็นคุณความชอบที่ไม่เล็กอย่างหนึ่ง ทั้งยังจ่ายเงินไปไม่มาก จ่ายไม่ถึงสองเหรียญเงินฝนธัญพืชด้วยซ้ำ”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ยิ้มเอ่ย “หากว่าสหายชิงถงทำแบบนี้ตั้งแต่แรก ในการประชุมของศาลบุ๋นคราวก่อน ไม่แน่ว่าจอมปราชญ์น้อยอาจยินดีเชื้อเชิญสหายชิงถงด้วยตัวเอง ทว่าผู้อำนวยการใหญ่คนหนึ่งของสถานศึกษาจะต้องมาปรากฎตัวที่ใบถงทวีปแห่งนี้แน่ ถ้าอย่างนั้นทางฝั่งของภูเขาสุ้ยซานก็ไม่ถึงขั้นที่ว่าคิดจะกินบะหมี่สักชามก็ยังต้องให้ใต้เท้าอิ่นกวานเปิดปากขอร้องให้ ไม่แน่ว่าซานจวินโจวโหยวอาจยินดีมานั่งกินด้วย ไม่จำเป็นต้องให้สหายชิงถงควักเงินไม่กี่แดงจ่ายค่าบะหมี่ด้วยซ้ำ”
ชิงถงกล่าว “เดี๋ยวข้าจะจัดการเรื่องนี้ทันที”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ถาม “คุณความชอบที่เหลืออยู่บนมือของเจ้า หากข้ากับนักพรตฉุนหยางไม่ได้ปรากฎตัว เจ้าก็เคยมีความคิดบางอย่างอยู่ก่อนแล้วใช่หรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “เคยคิดนั้นเคยคิด แต่ไม่สอดคล้องกับมารยาทพิธีการ ง่ายที่จะหาเรื่องถูกวิพากษ์วิจารณ์ที่ไม่สมควรให้กับตัวเอง แล้วก็ง่ายที่จะทำให้สภาพการณ์ของเพื่อนรักอย่างจงขุยยิ่งลุ่มลึกซับซ้อนกว่าเดิม”
“มารยาทพิธีการ? ใครเป็นคนตั้งกฎระเบียบและมารยาทพิธีการให้กับใต้หล้าไพศาล?”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์หัวเราะ “เป็นหลี่เซิ่งที่เป็นผู้นำ กำหนดเค้าโครง อริยะปราชญ์ผู้ล่วงลับทั้งหลายร่วมกันวางแผน ตรวจสอบหาช่องโหว่ ถึงขั้นที่ว่ายังปฏิเสธแผนการและเส้นสายบางอย่างที่หลี่เซิ่งกำหนดไว้ด้วย สุดท้ายมอบให้หลี่เซิ่งเป็นผู้ตรวจสอบ ทว่านี่ใช่ที่มาแรกเริ่มสุดของ ‘กฎระเบียบของไพศาล’ จริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันกล่าว “ที่มาแรกเริ่มสุดคือหวังให้ใจคนหันเข้าหาแสงอาทิตย์ หวังให้วิถีทางโลกเดินขึ้นสู่เบื้องบน เดินขึ้นเนินไปตลอดทาง บางครั้งอาจเดินช้าหน่อย แต่เดินได้อย่างมั่นคง ไม่ได้เป็นเหมือนคนพเนจรที่ส่ายไหวไปตามแรงลมฝน”
หลวี่เหยียนพยักหน้ารับ
อันที่จริงเกาเจิ่นเจ้าประมุขคนปัจจุบันของพรรคหวงเหลียงได้พูดความในใจประโยคนั้นกับเฉินผิงอัน ในความเห็นของหลวี่เหยียนแล้ว เป็นความหวังดีที่ไม่มีปัญหาใด แต่กลับไม่เสมอไปว่าจะถูกต้องทั้งหมด
สิ่งที่ผลักดันให้วิถีทางโลกเดินขึ้นสู่เบื้องบนอย่างแท้จริง มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นความผิดพลาด และการแก้ไขความผิดพลาด
ปรมาจารย์มหาปราชญ์เดินนำเข้าไปในสิ่งปลูกสร้างที่ลักษณะคล้ายกับเจดีย์เหวินชางก่อน บันใดขดวนขึ้นสู่เบื้องบนเหมือนก้นหอย พอขึ้นไปถึงยอดสูงสุดแล้วก็มาที่ระเบียงใต้ชายคา ยืนพิงราวรั้วมองไป “จอมปราชญ์น้อยแห่งใต้หล้าไพศาล นักบัญชีแห่งทะเลสาบซูเจี่ยน นี่ก็คือกระดาษคำตอบส่วนหนึ่งที่ชุยฉานลูกศิษย์คนแรกของสายเหวินเซิ่งอยากจะให้ศาลบุ๋นได้เห็น”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ฟ้าดินมีความแตกต่าง แตกต่างราวก้อนเมฆกับดินโคลน”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ยิ้มเอ่ย “ผลลัพธ์สองอย่างความคิดจิตใจแบบเดียวกัน ตราบใดที่คนรุ่นเยาว์ไม่นิ่งนอนใจเกินไปก็ไม่ต้องดูถูกตัวเองมากเกินไป”
“รู้หรือไม่ว่าเหตุใดสุดท้ายแล้วหลี่เซิ่งถึงทำไม่สำเร็จ?”
“เพราะมองเห็นข้อเสียบางอย่าง?”
“ยกตัวอย่างเช่น?”
เฉินผิงอันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตอบว่า “คล้ายคลึงกับการสร้างเรือข้ามทวีปขึ้นมาลำหนึ่ง?”
ของที่ประณีตงดงามมากเกินไป วัตถุที่มีขนาดใหญ่ซึ่งเกิดจากการทับซ้อนอย่างละเอียดอ่อนร้อยเรียงต่อกัน มองดูเหมือนแข็งแรงมั่นคง แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ใช่
ตอนเด็กอยู่ที่สุสานเทพเซียน มองคนวัยเดียวกันเล่นสนุกอยู่ไกลๆ เคยเห็นตั๊กแตนตัวหนึ่งที่ถูกคนหักขา แต่กลับยังสามารถกระโดดไปมาท่ามกลางพุ่มหญ้าได้ เด็กชายก็จะรู้สึกว่าประหลาดมาก แต่ทำไมพอเป็นคนกลับกลายเป็นว่าทำไมได้ ภายหลังรอกระทั่งเด็กหนุ่มเดินออกไปจากบ้านเกิด เริ่มออกเดินทางไกล ถึงเพิ่งรู้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำและเทพเซียนบนภูเขาที่เป็นผู้ฝึกบำเพ็ญตนคล้ายว่าจะทำได้เหมือนกัน หลังจากนั้นมาอีกก็ได้รู้ถึงทัศนคติที่ศิษย์พี่จั่วยอมรับว่า ‘ผู้ฝึกตนบนภูเขาไม่ใช่คน’ สุดท้ายรอกระทั่งเฉินผิงอันได้สัมผัสกับเรื่องของการสร้างเรือกับมือตัวเองถึงพอจะมีคำตอบที่ชัดเจนได้บ้าง
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มิน่าเล่าซิ่วไฉเฒ่าเจอใครก็มักจะชมเจ้าให้ฟัง หางแทบจะกระดกชี้ฟ้าไปแล้ว”
เฉินผิงอันมีสีหน้าปั้นยาก อาจารย์ของตนถูกปรมาจารย์มหาปราชญ์เรียกว่าซิ่วไฉเฒ่า ให้ความรู้สึกประหลาดอยู่ไม่น้อย
ในความเป็นจริงแล้วพวกผู้ฝึกตนใหญ่บนยอดเขาที่มีความสัมพันธ์อันดีกับอาจารย์ของตนก็เคยชินที่จะเรียกเหวินเซิ่งว่าซิ่วไฉเฒ่าเหมือนกัน หากใช้คำพูดของอาจารย์ก็คือไม่ประหลาด ไม่รู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อย ถูกคนเรียกว่าซิ่วไฉเฒ่า ลำดับอาวุโสก็สูงขึ้น ได้เปรียบมาเปล่าๆ ก็เหมือนกับการได้ดื่มเหล้ากาหนึ่งโดยที่ไม่ต้องจ่ายเงิน ไยไม่ยินดีเล่า? ก็เหมือนอย่างที่หลี่เซิ่งมักจะถูกเรียกว่าจอมปราชญ์น้อย เป็นฉายาที่ดีจะตายไป เป็นหนุ่มได้ตลอดกาล
ปรมาจารย์มหาปราชญ์กล่าว “เรื่องดื่มเหล้ายังต้องยับยั้งตัวเองไว้บ้าง”
ชิงถงแอบชอบใจ อันที่จริงอยากใช้คำสั่งสอนของอริยะปราชญ์ที่บอกว่า ‘อย่าได้ถูกสุราควบคุม’ มา ‘เย้ยหยัน’ อิ่นกวานหนุ่มตั้งนานแล้ว
ต้องรู้ว่าปรมาจารย์มหาปราชญ์เอาเรื่องนี้มาไว้ในระดับเดียวกันกับเรื่องใหญ่อีกสามเรื่อง นี่จึงเป็นเหตุให้มันกลายมาเป็นหนึ่งในปัญหาใหญ่ของการเป็นคนบริสุทธิ์ซื่อตรง หากว่าใครดื่มเหล้าแล้วติดงอมแงม ดื่มจนเมามายเหมือนโคลนเหลวๆ ก็คือเรื่องใหญ่ที่ทำลายความประพฤติและคุณธรรม
เพียงแต่ว่าพอได้เดินทางไปเยือนหอเซียนจิ่วเจินของคู่รักเซียนเหรินอวิ๋นเหมี่ยวและเว่ยจื่อพร้อมกับ ‘เฉินผิงอัน’ รอบหนึ่ง ชิงถงก็ไม่กล้าพูดเรื่องมารยาทแห่งลัทธิขงจื๊อพวกนี้กับยักษ์ใหญ่แห่งวิถีมารท่านนี้อีกแล้ว
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ไม่ได้เอ่ยคำสาบานที่น่าเชื่อถือหรือพูดจามีหลักมีฐานอะไร แค่เอ่ยว่า “จะพยายาม”
ชิงถงรู้สึกนับถืออิ่นกวานหนุ่มผู้นี้นิดๆ แล้ว อยู่กับปรมาจารย์มหาปราชญ์ เจ้ายังทำตัวเหมือนเป็นคนที่ได้รับความอยุติธรรมอีกหรือ?
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ถาม “อ่านตำรามามากมายขนาดนั้น มีประโยคไหนที่ชอบเป็นพิเศษหรือรังเกียจอย่างยิ่งไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “แน่นอน”
“เลือกประโยคที่ไม่ได้อยู่บนแผ่นไม้ไผ่มาพูดหน่อยสิ”
“พูดถึงแค่ตำราที่อ่านช่วงล่าสุดมานี้ ที่ชอบมากเป็นพิเศษก็มีคำกล่าวที่ว่า ‘ชาวบ้านมีความสุขได้เพราะเกิดมาในยุคแห่งความผาสุก’ ของ ‘บันทึกศาลาแห่งสุขสมบูรณ์’ และยังมีประโยคที่ว่า ‘บ้านตะวันออกมีคนแต่งภรรยา บ้านตะวันตกมีบุตรสาวที่ออกเรือนไปแล้วกลับมาเยี่ยมญาติบ้านมารดา รวมตัวพูดคุยยิ้มแย้มต่อหน้าแสงไฟ’ จากตำรา ‘สิ่งที่ได้พบเจอระหว่างเดินทางท่องภูเขาอี่โหย่ว’ ถึงได้รู้ว่าที่แท้ถ้อยคำดีๆ ไม่ได้มีเพียงแค่ถ้อยคำปลุกใจอันฮึกเหิมยามทำสงคราม หรือถ้อยคำล้ำค่าดั่งทองคำที่คนยากจนได้มาจากในความฝัน ดังนั้นตอนที่ผู้เยาว์เปิดตำราจึงถูกใจตั้งแต่แรกเห็น ส่วนประโยคที่ไม่ชอบก็มีอยู่ไม่น้อย แต่ประโยคที่ไม่ชอบอย่างมากกลับมีแค่ว่า ‘ยามแสงแดดแผดเผา มองชาวนาเก็บเกี่ยวพืชผล รู้สึกเย็นสบาย’ ในความเห็นของข้า คำพูดสุภาพไพเราะประเภทนี้ไร้หัวจิตหัวใจอย่างสิ้นเชิง”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์หัวเราะร่าเอ่ยว่า “หากจำไม่ผิด ดูเหมือนว่าประโยคนี้จะมาจากผู้ประพันธ์ใหญ่ท่านหนึ่งที่เป็นลูกศิษย์ของซูจื่อ เป็นหนึ่งในลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจที่สุดของซูจื่อด้วยนะ”
หลวี่เหยียนตบราวรั้ว กลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้
คนผู้นี้มาจากสกุลหวงที่ซ่อมบำรุงน้ำ มาจากตระกูลปัญญาชนที่สืบทอดตระกูลมาจากการเป็นทั้งชาวนาและเป็นทั้งบัณฑิต คือตระกูลแห่งตำราและบทกวีอันดับหนึ่งที่มีชื่อเสียง ควันธูปของตระกูลสืบทอดกันมายาวนานยิ่ง จนถึงกระทั่งมาถึงคนผู้นี้ก็เรียกได้ว่าโชคชะตาบุ๋นรุ่งโรจน์ จากนั้นก็แตกกิ่งก้านสาขาออกไป ได้รับคำวิจารณ์ที่ดีเยี่ยมอย่างมาก
ชิงถงมีสีหน้าเคร่งขรึม รู้สึกเพียงว่าเฉินผิงอันไม่ควรพูดจาไร้ความยำเกรงต่อหน้าปรมาจารย์มหาปราชญ์เช่นนี้
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยว่า “เพียงแค่ไม่ชอบประโยคนี้เท่านั้น ไม่ได้ไม่ชอบคนที่แต่งกวี แล้วนับประสาอะไรอะไรกับที่ผู้อาวุโสท่านนี้ได้ยินแล้ว ด้วยความใจกว้างของเขา คาดว่าก็คงแค่ยิ้มรับเท่านั้น ก็เหมือนคำเอ่ยที่ว่า ‘หยาดเหงื่อหยดลงดิน’ ที่ข้าชอบมากตอนเป็นเด็กหนุ่ม และประโยค ‘ใช้สายฟ้าขับไล่สิ่งชั่วร้าย’ ทว่าคนที่แต่งบทกวีนี้ก็มีดีแค่นั้นเอง นี่จึงเป็นเหตุให้คนก็คือคน ภาษาก็คือภาษา ไม่อาจมองเหมือนกันทั้งหมด ไม่อาจใช้มุมมองด้านเดียวไปมองปัญหาทั้งหมดได้”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์คลี่ยิ้มบางๆ “ไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์ปิดสำนักของซิ่วไฉเฒ่า พูดจาเป็นชุดๆ ราวกับว่าไม่ว่าจะพูดทางตรงทางอ้อม พูดดีพูดไม่ดี หลักการเหตุผลล้วนเป็นของเจ้าทั้งหมด”
เฉินผิงอันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงถามหยั่งเชิงว่า “การวิเคราะห์และถกเถียงเชิงตรรกะระหว่างสำนักที่มีชื่อเสียงง่ายที่จะจมเข้าสู่ปลักโคลนแห่งการเถียงข้างๆ คูๆ คำพูดเร้นลับซับซ้อนของคนที่เรียกตัวเองอย่างภาคภูมิว่าคนมีชื่อเสียงก็ยิ่งมิอาจเอามาใช้ได้ แต่ข้ากลับรู้สึกว่าทางฝั่งของสำนักศึกษาศาลบุ๋นสามารถให้ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อสัมผัสและศึกษาศาสตร์แห่งตรรกะของลัทธิพุทธิ และยังมีวิชาความรู้ในเส้นสายของเจ้าอารามผู้เฒ่าได้”
“ยกตัวอย่างเช่น? เจ้าต้องยกตัวอย่างสักข้อถึงจะพูดโน้มน้าวข้าได้”
“ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่ว่า ‘สรุปแล้วการศึกษาเล่าเรียนนั้นมีประโยชน์หรือไม่’”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ยิ้มอย่างรู้ทัน โบกมือเอ่ยว่า “ความหมายคร่าวๆ ที่เจ้าจะพูดถึง ข้าเข้าใจแล้ว แต่ว่าปัญหาข้อนี้ เจ้าสามารถใคร่ครวญและขัดเกลาอีกสักหน่อย เอาไว้ไปพูดโต้เถียงกับคนอื่นที่นครอู๋ย่งของเรือราตรี”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์หันหน้ามาเอ่ยว่า “สหายชิงถง ผู้แข็งแกร่งรังแกผู้อ่อนแอ เอาใจผู้บังคับบัญชาเหยียบย่ำผู้ใต้บังคับบัญชา ยากที่จะมีคนและเรื่องราวที่เป็นข้อยกเว้น หากเจ้าไม่มีจิตใจที่สงบเป็นกลางและไม่มีเหตุผลให้กับผู้แข็งแกร่ง ก็ง่ายที่จะสูญเสียความอดทนต่อผู้อ่อนแอ”
“ก็เหมือนเฉินผิงอันที่ยืนอยู่ข้างกายเจ้า ไม่ใช่ว่าเป็นอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ วันนี้ถึงได้สามารถพูดจาตรงไปตรงมากับผู้เฒ่าที่ได้แต่มีภาพแขวนไว้บนผนังของศาลบุ๋นอย่างข้าได้ ต้องรู้ว่าปีนั้นซิ่วไฉเฒ่าเป็นฝ่ายเปิดปากว่าต้องการรับเขาเป็นลูกศิษย์ เฉินผิงอันก็ปฏิเสธอย่างละมุนละม่อมไปเช่นกัน ดังนั้นลำดับขั้นตอนก่อนหลังของเรื่องนี้จึงจะปะปนกันไม่ได้ ในเมื่อทุกวันนี้ความรู้ของสายเหวินเซิ่งถูกยกเลิกคำสั่งห้ามแล้ว วันหน้าผลงานทั้งหลายของซิ่วไฉเฒ่า หากว่าสหายชิงถงไม่ได้ยุ่งสักเท่าไร เมื่อมีเวลาว่างจากการฝึกตนก็สามารถเปิดอ่านดูบ่อยๆ ได้”
ชิงถงเพียงแค่รับปากอีกครั้ง บอกว่าจะต้องศึกษาความรู้ของเหวินเซิ่งอย่างละเอียดให้จงได้
ผลงานพวกนั้นของซิ่วไฉเฒ่า แน่นอนว่าชิงถงเปิดอ่านมานานแล้ว ก็แค่ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจก็เท่านั้น
อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ปรมาจารย์มหาปราชญ์หัน อันที่จริงชิงถงอยากถามเรื่องหนึ่งว่า ‘เหตุใดข้าต้องมีความอดทนต่อผู้ที่อ่อนแอด้วย’”
“หนึ่งเพราะทุกวันนี้ข้าชิงถงคือผู้แข็งแกร่งแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับยามที่ข้าชิงถงยังเป็นผู้อ่อนแอก็ไม่เคยเห็นว่าจะมีผู้แข็งแกร่งคนใดมีความอดทนต่อข้า”
“ดังนั้นชิงถงจึงถามว่าเพราะเหตุใด อาศัยอะไร”
ชิงถงหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง เพียงแค่รักษาจิตแห่งมรรคาให้มั่นคง อารมณ์ยังคงซับซ้อน พยักหน้าเอ่ยว่า “ในใจชิงถงคิดเช่นนี้จริงๆ”
ไม่เพียงแต่ไม่ตำหนิที่อิ่นกวานหนุ่มปากมาก ชิงถงกลับรู้สึกโล่งใจได้หลายส่วน ถูกต้อง ข้าคิดแบบนี้ หากว่าทำให้ปรมาจารย์มหาปราชญ์รู้สึกไม่พอใจ ควรเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ถึงอย่างไรมันก็ยังเป็นความคิดในใจของข้าชิงถงอยู่ดี
——