กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 951.1 เรื่องในอนาคต
ผู้ฝึกตนเรือนกายผอมบางคนหนึ่งสวมหมวกขนสัตว์ สวมชุด
คลุมเต๋าผ้าฝ้ายสีเขียวมีรอยปะชุนเต็มไปหมด บนเท้าสวมรองเท้า
ผ้าฝ้ายคู่หนาหนัก ยามที่เดินบนทางจึงโคลงเคลงเหมือนเดินบน
ท่อนไม้ไผ่
ข้างกายมีชายวัยกลางคนเรือนกายกำยำติดตามมาด้วย ตรง
เอวพกดาบ ด้ามดาบถูกถูจนเงาวับ เมื่อหลายเดือนก่อนบุรุษเริ่มไว้
หนวดเครา เพียงไม่นานสองข้างแก้มก็เต็มไปด้วยเครารกครึ้ม
ทั้ง
สองเดินไปบนเส้นทางของการกลับบ้านเกิดด้วยกัน
บ้านเกิดของคนทั้งสองห่างจากที่นี่ไม่ไกลนัก แค่สามสิบสี่สิบลี้
เท่านั้น ต่างก็อยู่ในอาณาเขตของเขตอู่หลิง
อันที่จริงนักพรตอ่อนวัยกว่าชายหนุ่มยี่สิบกว่าปี เพียงแต่
เพราะเป็นคนหน้าแก่ มองดูแล้วจึงเหมือนว่าอายุมากกว่าอีกฝ่าย
อย่างน้อยสิบปีประเด็นสำ คัญคือนักพรตผู้นี้แม้จะไม่มีหนังสือรับรองการ
ออกบวชที่ทางการให้การยอมรับ มีแค่หนังสือรับรองการออกบวช
ส่วนตัว แต่กลับเป็นผู้ฝึกตนที่แท้จริงคนหนึ่ง สหายรักข้างกาย
กลับเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัว
คนทั้งสองกลับมาจากการออกเดินทางไกลด้วยกัน
ออกเดินทางครั้งนี้ใช้เวลานานหลายปี เดินทางไปเยือนสถานที่ต่างๆ
มากมาย เจอคนแปลกๆ และเรื่องประหลาดมาไม่น้อย
พวกเขาก็คือหวังหยวนลู่โจรขโมยข้าวสารและชีกู่ผู้ฝึกยุทธ
สายของคนถือดาบ
ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบขั้นสมบูรณ์แบบคนหนึ่ง ผู้ฝึกยุทธ
ขอบเขตเก้าขั้นสูงสุดคนหนึ่งที่อาจฝ่าทะลุขอบเขตได้ทุกเมื่อ
อยู่ในใต้หล้ามืดสลัวแห่งนี้ นักพรตสายของโจรขโมยข้าวสาร
แค่เห็นคำว่า ‘โจรขโมยข้าว’ ก็รู้แล้วว่าสภาพการณ์ไม่ค่อยดีเท่าใด
นัก คล้ายคลึงกับเซียนสละศพ คนแบกหามและอาจารย์คำเดียว ไม่
ถึงขั้นว่าเป็นพวกนอกรีตที่ใครเจอก็อยากทุบตี แต่ทางที่ดีที่สุดก็อย่าได้ขยับเข้าไปใกล้อาณาเขตของป๋ายอวี้จิง หากค้นพบร่องรอย เกิน
ครึ่งก็ต้องไปเป็นแขกที่ห้านครสิบสองหอเรือนแล้ว
ชีกู่ถาม “เจ้าคิดว่าข้าควรจะตอบรับคำเชิญของจูเสวียนดี
หรือไม่?”
ระหว่างที่เดินทางท่องเที่ยว เคยเดินทางผ่านมณฑลยงโจว ใน
บรรดาสิบสี่มณฑลของมืดสลัวถือเป็นพื้นที่ฮวงจุ้ยมงคลที่โชคชะตา
น้ำเปี่ยมล้นที่สุด
ราชวงศ์ชิงซานที่ตั้งอยู่ปิงโจว ราชวงศ์อวี๋ฝูที่ตั้งอยู่ยงโจว ล้วน
เป็นราชวงศ์ที่กองกำลังแคว้นแข็งแกร่งที่สุดในมณฑล คือบุคคล
ยิ่งใหญ่ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้
ไม่รู้ว่าเหตุใด คนทั้งสองถึงถูกฮ่องเต้หญิงของราชวงศ์อวี๋ฝู
ค้นพบร่องรอย จูเสวียนปรากฏตัวด้วยตัวเอง เชื้อเชิญให้ชีกู่ไป
รับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานของเชื้อพระวงศ์
แต่ทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้กันดีอยู่แก่ใจว่าจูเสวียนฮ่องเต้หญิงของ
ราชวงศ์อวี๋ฝูต้องการชิงตัดหน้าคู่แข่ง เพราะชีกู่สามารถเลื่อนเป็น
ผู้ฝึกตนขอบเขตปลายทางที่ ‘แข็งแกร่งที่สุด’ ได้ทุกที่ทุกเวลา หากว่าฝ่าทะลุขอบเขตอยู่ในราชวงศ์อวี๋ฝู ก็จะสามารถเพิ่มโชคชะตาบู๊ที่
มีจำ นวนมากน่าดูชมให้ได้ ดังนั้นจูเสวียนที่นอกจากจะเอาตำแหน่ง
ผู้ถวายงานออกมาให้แล้วยังเปิดราคาอย่างอื่น ไม่พูดถึงเงินเดือน
ก้อนนั้น ลำพังแค่อาวุธชิ้นหนึ่งที่จูเสวียนรับปากว่าจะเอามาจากคลัง
ลับของราชวงศ์ให้ชีกู่ได้ใช้เป็นระยะเวลาสามร้อยปีก็มากพอ
จะล่อลวงคนได้แล้ว หอกที่มีชื่อเสียงโด่งดังซึ่งมีชื่อว่า ‘พ่อเจิ้น’
(ฝ่าขบวนรบ/ทำลายค่ายกล) เล่มนี้เป็นสมบัติพิทักษ์แคว้นของ
ราชวงศ์อวี๋ฝูมาโดยตลอด สามารถสยบกำราบค่ายกลของผู้ฝึก
ลมปราณได้แต่กำเนิด หากว่าชีกู่กลายเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขต
ปลายทางแล้วได้ครอบครองหอกเล่มนี้ไว้ในมือ เผชิญหน้ากับผู้ฝึก
ลมปราณที่ต่ำกว่าขอบเขตเซียนเหรินลงไปก็สามารถไร้ศัตรูทัดทาน
ได้เลย
อย่าว่าแต่จะแบ่งแพ้ชนะเลย คาดว่าอีกฝ่ายคิดจะหนีก็ยังยาก
ไม่ว่าใครก็ตามที่สามารถเลื่อนติดอันดับสิบคนของคนรุ่นเยาว์
และตัวสำ รองได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนหรือผู้ฝึกยุทธ มีใครบ้างที่
ไม่มีท่าไม้ตายบ้างเลย?ย้อนกลับมามองทางฝั่งของราชวงศ์ชิงเสินแห่งนี้ ดูเหมือนจะ
ไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าชีกู่จะฝ่าทะลุขอบเขตที่ไหน จนถึงทุกวันนี้
แม้แต่เต้ากวานสักคนก็ยังไม่เคยปรากฏตัว นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ฮ่องเต้และเหยาชิงเสนาบดีรูปงามเลย
ทำเอาชีกู่โมโหไม่เบา
จะดีจะชั่วข้าผู้อาวุโสก็เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้า แต่กลับ
ไม่อาจเข้าตาพวกเจ้าได้เลยหรือ?
หวังหยวนลู่เอ่ย “ถึงอย่างไรเวลาเจ้าเจอกับสตรีหน้าตาดีก็
มักจะขยับเท้าไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว”
ชีกู่พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าเองก็เก่งแต่ในโปงผ้าห่ม
เหมือนกันนั่นแหละ”
หวังหยวนลู่กล้าทำตัวกร่างเฉพาะกับเขาจริงๆ พอเจอกับ
คนนอกกลับมักจะลิ้นพันกัน พูดจาไม่ชัดเจน ยกตัวอย่างเช่นอยู่กับ
ฮ่องเต้หญิงจูเสวียนผู้นั้น หวังหยวนลู่ก็จะเอาแต่ก้มหน้าอยู่ตลอด หู
แดงก่ำ เป็นภาพเหตุการณ์ประมาณว่าถามสามคำตอบหนึ่งคำ
ก่อนหน้านี้อยู่กับลู่ไถและหยวนอิ๋ง นักพรตผู้นี้ก็ยิ่งดื่มจนเมามายไม่รู้ว่าควรจะพูดกับคุณชายลู่อย่างไร ดื่มไปดื่มมาพลันรู้สึกเสียใจ
แล้วยังเป็นคนคออ่อน จึงร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหล ดีที่ไม่ได้
เมาอาละวาด
แต่ข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียวก็คือนักพรตซุนแห่งอารามเสวียน
ตูที่ถูกหวังหยวนลู่เรียกอย่างเอาเปรียบว่าเป็น ‘ท่านบรรพบุรุษ’
มานานหลายปีผู้นั้น
ตอนที่อยู่กับเจ้าอารามผู้เฒ่า หวังหยวนลู่มีมาดองอาจของ
วีรบุรุษจริงๆ ถึงกับกล้าด่าว่าตาแก่โง่ด้วยซ้ำ
เจ้าอารามผู้เฒ่าคือบุคคลอันดับห้าแห่งใต้หล้าที่ฟ้าผ่าก็ไม่
สะเทือน โดยเฉพาะวลีติดปากที่บอกว่า ‘ผินเต้าชอบทำตัวดีกับ
คนอื่น แล้วก็ไม่เคยมีความแค้นข้ามคืนกับคนอื่น’ ที่เลื่องลือไปทั่วใต้
หล้ามืดสลัว
ดังนั้นชีกู่จึงเคยพูดโน้มน้าวหวังหยวนลู่เป็นการส่วนตัวว่า
ตอนอยู่กับเทพเซียนผู้เฒ่าท่านนั้นควรพูดจาเกรงใจกันสักหน่อย
เพียงแต่ว่าไม่ได้ผล“หากว่าการกลับบ้านครั้งนี้ แม้แต่หลิวจิ้งก็ยังไม่ได้เจอหน้า ข้า
ผู้อาวุโสก็จะไม่เอาหน้าร้อนๆ ไปแนบก้นเย็นๆ แล้ว”
ชีกู่ยิ่งพูดยิ่งโมโหจึงก่นด่าว่า “มารดามันเถอะ ดอกไม้ในบ้าน
ไม่หอมเท่าดอกไม้ป่าจริงๆ ถ้าอย่างนั้นก็อย่าโทษว่าข้าผู้อาวุโสเป็น
บุปผาที่บานอยู่ในกำแพงแต่ส่งกลิ่นหอมไปนอกกำแพงแล้วกัน”
เขตอู่หลิงซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่เมืองหลวงของราชวงศ์ชิงเสินคือ
สถานที่ที่มีตระกูลชนชั้นสูงรวมตัวกัน มีตระกูลคนรวยตั้งเรียงราย
ร่มเงาของบรรพบุรุษโชติช่วงเป็นอันดับหนึ่งในมณฑล
เขตอู่หลิงมีห้าอำเภออยู่ใต้การปกครอง ได้แต่ ฉาง เม่า จวิน
หยาง ผิง เป็นทั้งที่ตั้งของสุสานเชื้อพระวงศ์ และแรกเริ่มสุดอันที่จริง
ก็เป็นสถานที่ที่ราชวงศ์ชิงเสินเอาไว้ใช้รวบรวมและจัดเตรียมไว้ให้กับ
ผู้มีคุณูปการในการบุกเบิกแคว้นโดยเฉพาะ
ทุกวันนี้หลิวจิ้งใต้เท้าผู้ว่าเขตก็คือพระญาติของฮ่องเต้ แล้ว
ยังมีสถานะเป็นขุนนางกงกวานถีเตี่ยน นักพรตของเมืองหลวงและ
พื้นที่รอบเมืองหลวงล้วนมีเขาเป็นผู้ดูแลนอกจากนี้ขุนเขาสายน้ำใหญ่ทั้งหลายของราชวงศ์ชิงเสินก็ยัง
ก่อตั้งตำแหน่งขุนนางกงกวานถีจวี่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือตำแหน่งที่ทาง
ราชสำ นักจัดเตรียมไว้ให้ขุนนางใหญ่ว่างงานที่อายุมากแล้ว คล้าย
ตำแหน่งเกียรติยศอย่างหนึ่ง
หวังหยวนลู่เอ่ย “ระวังว่าอัครเสนาบดีเหยาจะหมายหัวเจ้าเอา
นะ”
ชีกู่ถาม “คงไม่ถึงขั้นนั้นหรอกกระมัง?”
หวังหยวนลู่ขมวดคิ้วน้อยๆ เอ่ยว่า “บอกได้ยาก”
ชีกู่ลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังใช้วิธีการรวมเสียงให้เป็นเส้นพูดคุย
อย่างลับๆ กับสหายรักข้างกาย “โชคดีที่มณฑลปิงโจวของพวกเรา
อยู่ในการดูแลของนครชิงชุ่ย ไม่อย่างนั้นป่านนี้คงถูกเต๋าเหล่าเอ้อ
แห่งป๋ายอวี้จิงจัดการจนมีสภาพอเนจอนาถไปแล้ว เขตอู่หลง
ไม่มีทางมีภาพบรรยากาศที่เต็มไปด้วยพลังชีวิตอย่างทุกวันนี้
แน่นอน”
หวังหยวนลู่เอ่ย “ต้นกำเนิดเดียวกันแต่ไหลไปคนละทาง ธาตุ
น้ำมีความต่าง พวกชาวบ้านอยู่อาศัยตามกระแสน้ำ แน่นอนว่าย่อมต้องชอบพื้นที่ที่สายน้ำนิ่งสงบไหลช้ามากกว่า สองวันสามวันก็
น้ำท่วม ใครที่เป็นคนย่อมทนไม่ไหว ต้องโอดครวญร้องทุกข์กัน
อยู่แล้ว”
ชีกู่ยิ้มเอ่ย “บางครั้งก็พูดประโยคที่มีหลักการเหตุผลได้
เหมือนกันนะเจ้า”
ชีกู่นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ “ได้ยินมาว่าเจ้าลัทธิอวี๋รับลูกศิษย์ใหม่
มาคนหนึ่ง”
นักพรตเบ้ปาก “ชะตาชีวิตดี อิจฉาก็อิจฉาไม่ได้”
ชีกู่เอ่ยสัพยอก “ชะตาชีวิตของสวีเจวี้ยนต่างหากที่เรียกว่าดี”
นักพรตคิดแล้วก็ส่ายหน้า “เจ้าสำ นักสวีไม่เพียงแต่ชะตาชีวิต
ดี…ไม่ถูกสิ ชะตาชีวิตของเจ้าสำ นักสวี อันที่จริงไม่ได้ดี ชะตาแข็งจึง
จะเป็นความสามารถที่แท้จริง”
ชีกู่กล่าว “สักวันหนึ่งข้าจะต้องแต่งป๋ายโอ่วมาเป็นภรรยา
ให้จงได้ นี่จึงจะถือว่าสร้างเกียรติยศให้วงศ์ตระกูล!”
นักพรตก้มหน้าซ่อนมือไว้ในชายแขนเสื้อตามความเคยชิน
เรือนกายงองุ้ม “สตรีเผ็ดร้อน หากแต่งเข้าบ้านมาจริงๆ ก็เหมือนต้องเคี้ยวพริกชี้ฟ้าทุกวัน”
สายตาชีกู่เป็นประกายระยิบระยับ สะบัดข้อมือ ยิ้มกว้างเอ่ยว่า
“ขอแค่ผู้อาวุโสเอาชนะนางได้สักครั้ง แต่งนางเข้าบ้านมา แล้วค่อย
แพ้ให้นางหนึ่งร้อยครั้ง หนึ่งพันครั้ง ก็ยังไม่เป็นปัญหา!”
นักพรตบ่นพึมพำ “ทำไมเจ้าชอบพูดจาต่ำช้าเช่นนี้นะ”
ชีกู่ร้องเอ๊ะหนึ่งที “นี่เจ้าฟังเข้าใจด้วยหรือ?”
ร้อยปีที่ผ่านมานี้ประหนึ่งชาวไร่ชาวนาที่เจอปีเก็บเกี่ยวอัน
อุดมสมบูรณ์ เขตอู่หลงมีลูกรักแห่งสวรรค์ที่สะดุดตามณฑลต่างๆ
ปรากฏขึ้นมากลุ่มใหญ่ ลำพังแค่ตัวสำ รองสิบคนของหลายใต้หล้าก็
มีถึงสองคน
นอกจากนี้ตำหนักหัวหยางแห่งภูเขาตี้เฝ่ยหนึ่งในศาลบรรพชน
ของพรรคยันต์ก็มีผู้ฝึกตนอายุน้อยคนหนึ่งที่มีฉายาว่าโยวหราน
ส่วนภูเขาไฉ่โซ่วก็มีเต้ากวานหญิงฉายาว่าหนันซานอยู่คนหนึ่ง คน
ทั้ง
สองได้รับการยอมรับว่าเป็นตัวอ่อนเทียนเซียน ทุกวันนี้เป็นผู้ฝึก
ตนก่อกำเนิดรุ่นเยาว์แล้วถือเป็นคนรุ่นเยาว์ที่เดินออกไปจากเขตอู่หลิงของคนทั้งสอง
ที่อยู่บนถนนในเวลานี้ โยวหรานกับหนันซานต่างก็เป็นหนึ่งใน
สามพันเต้ากวานที่เดินทางไปยังใต้หล้าห้าสี แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะมา
จากสำ นักที่เป็นศัตรูกัน แต่พวกเขากลับเกิดวันเดือนปีเดียวกัน
แม้แต่ชั่วยามที่เกิดก็ยังไม่ต่างกัน คู่สวรรค์สรรค์สร้างเช่นนี้
เป็นเหตุให้พวกเต้ากวานของภูเขาตี้เฝ่ยและภูเขาไฉ่โซวสองกลุ่ม
ต่างมีการเปลี่ยนแปลงอันลุ่มลึกด้านใจคน
อันที่จริงหวังหยวนลู่และชีกู่อยากจะเดินทางไปเยือนใต้หล้าห้า
สีสักรอบ เพียงแต่ว่ากฎระเบียบที่ศาลบุ๋นใต้หล้าไพศาลตั้งไว้วางอยู่
ตรงนั้น อีกทั้งขอบเขตของคนทั้งสองยังเลยธรณีประตูไปแล้ว อยาก
จะไปก็ไปไม่ได้
ในสายตาของเต้ากวานบนภูเขา เขตอู่หลิงแห่งนี้ก็คืออ่างรวม
สมบัติ คือรังของเทพเซียน
ในสายตาของหลายๆ ใต้หล้าก็ยิ่งเป็นลานประกอบพิธีกรรม
หยกทองที่สามารถเทียบเคียงถ้ำ สวรรค์หลีจูในอดีตได้เลยมีทั้งลูกหลานชนชั้นสูงเสเพลที่นอนอยู่บนบุญกุศลที่บรรพบุรุษ
สร้างไว้ใช้ชีวิตไร้ค่าไปวันๆ แล้วก็มีลูกหลานอู่หลิงที่ ‘ตอนเป็น
เด็กหนุ่มมีความองอาจห้าวหาญ ในอนาคตย่อมรุ่งเรืองก้าวหน้า’
สละชีวิตตายอยู่ริมชายแดนอย่างไม่เสียดาย ทั้งยังยอมทุ่ม
ทองพันชั่งไปช่วยเหลือคนที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก จอมยุทธพเนจร
เยาว์วัยที่เปี่ยมไปด้วยความองอาจกล้าหาญ
ถึงอย่างไรก็ล้วนเป็นเด็กหนุ่มอู่หลิงที่ชื่อเสียงสะท้านไปทั้งใต้
หล้า
ทว่าในสายตาของหวังหยวนลู่และชีกู่แล้ว ที่นั่นเป็นแค่
บ้านเกิดเท่านั้น
คนมีเงินก็มีเงินอย่างมาก คนยากจนก็ไม่มีแม้กระทั่งข้าวสาร
จะกรอกปากหม้อ ต่างคนต่างก็มีชีวิตของตัวเอง
บนทุ่งกว้างที่หญ้าขึ้นรกเรื้อ คนรวยชั้นสูงที่สวมชุดสีสด
ใช้อานม้าทองแส้ฟาดม้าหยกกลุ่มหนึ่งควบม้าตะบึงมาบนถนน
ทางหลวง ฝุ่นผงปลิวคละคลุ้งกลุ่มคนที่ขี่อาชาชั้นเลิศออกมาท่องเที่ยวกลุ่มนี้ล้วนเป็นชาย
หญิงที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์ พกกระบี่สะพายธนู ขี่ม้าตามหาดอกไม้
มาดสง่างามน่าเกรงขาม บุคลิกสอดคล้องตรงกัน ทั่วร่างเต็มไปด้วย
กลิ่นอายของความเฉียบคม
นักพรตคนนั้นกลับตรงกันข้าม ท่าทางขลาดเขลาหวาดกลัว
เหมือนคนต่ำต้อยมองแล้วน่ารำคาญใจ
หวังหยวนลู่รีบขยับเท้าหลบไม่แย่งชิงเส้นทางกับอีกฝ่าย เป็น
ฝ่ายหลบม้าสูงใหญ่ที่เปี่ยมไปด้วยพละกำลังพวกนั้น ชีกู่จึงได้แต่
ขยับไปยืนข้างทางตามไปด้วย รอกระทั่งลูกหลานชนชั้นสูงกลุ่มนั้น
ควบม้าจากไปไกล ชีกู่ก็ยกชายแขนเสื้อพัดฝุ่นที่ปลิวคลุ้ง มือข้าง
หนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกงด้วยความเคยชิน ยิ้มเอ่ยว่า “พูดถึงแค่
รูปลักษณ์ภายนอก ต้องดูว่าเมล็ดพันธ์ดีหรือไม่ดี พวกเราสองคน
ต่างก็ไม่ได้เรื่อง นี่ทำให้เสียเปรียบมาก ดังนั้นอนาคตหากแต่ง
ภรรยาจะต้องหาคนที่หน้าตาดีสักหน่อย”
หวังหยวนลู่ไม่ต่อคำ เงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “นิสัยที่ชอบล้วง
กระเป๋ากางเกงนี้ของเจ้า ถ้าเปลี่ยนได้ก็เปลี่ยนเถอะ หากสตรีเห็นเข้า อย่างน้อยความรู้สึกดีๆ ต้องลดลงไปครึ่งหนึ่ง”
ชีกู่ยิ้มเอ่ย “เจ้าหนูใหญ่เกินไป วางไม่ถูกตำแหน่งเสียที”
หวังหยวนลู่กล่าว “ทำไมทุกครั้งที่ต้องปล่อยน้ำ เจ้าต้องถก
เข็มขัดขึ้นก่อนทุกทีเลยเล่า”
ชีกู่บื้อใบ้พูดไม่ออก เจ้ามางัดข้อกับข้าเรื่องนี้ทำไม?
คนทั้งสองเดินผ่านศาลาริมทางหลังหนึ่ง ด้านในมีผีพนันกลุ่ม
หนึ่งกำลังเล่นทอยลูกเต๋ากันอยู่ ชีกู่ถูมือ หวังหยวนลู่เหล่ตามอง
ชีกู่หัวเราะหึหึ “วางใจเถอะ กฎข้อเดิม ในเมื่อรับปากกับเจ้าไว้
แล้วก็ต้องพูดได้ทำได้ แต่วันนี้ช่างเถอะ จะส่งเจ้ากลับบ้านก่อน
แล้วกัน”
นับตั้งแต่เด็กชีกู่ก็มีนิสัยเสียๆ อย่างหนึ่ง ชอบเล่นพนันเป็น
ชีวิตจิตใจ
ภายหลังรู้จักหวังหยวนลู่ กลายเป็นเพื่อนกัน จึงตบอก
รับประกันว่าวันหน้าอยู่กับข้า รับรองว่าขาดอะไรก็จะได้มีอย่างนั้น
ผลคือชีกู่เคยเจอกับเรื่องลำบากใหญ่สองครั้งตอนอยู่ที่
เมืองหลวงราชวงศ์ชิงเสินและมณฑลลู่โจวเพราะเรื่องการพนันพอดีกับที่ทั้งสองครั้งล้วนเป็นหวังหยวนลู่ที่ได้ยินข่าวแล้วรีบ
เร่งรุดไปหา ช่วยจัดการให้เรียบร้อย คำว่า ‘จัดการให้เรียบร้อย’ ก็
เรียบง่ายมาก ก็คือเรื่องที่ข้าหวังหยวนลู่ใช้เงินจัดการได้ไม่เรียบร้อย
ก็ต้องเอาชีวิตมาจัดการให้เรียบร้อย
ช่วยชีกู่ออกมาสองครั้ง ล้วนฟันฝ่าเส้นทางสายเลือดออกมา
ทั้ง
สองครั้ง
ถึงขั้นสามารถพูดได้ว่าการที่หวังหยวนลู่กลายเป็นนักพรตของ
สายโจรขโมยข้าวก็ล้วนเป็นสิ่งที่ชีกู่มอบให้
แต่ว่าหลายปีนั้น หวังหยวนลู่อย่างมากสุดก็แค่บ่นชีกู่คำเดียว
บอกกว่าอยู่กับพี่ใหญ่ สามวันหิวเก้ามื้อ
ความคิดของหวังหยวนลู่เรียบง่ายอย่างมาก รับปากเป็นสหาย
ของเจ้า เป็นการเลือกของข้าเอง ในเมื่อเป็นสหายกันแล้วก็ต้อง
มีท่าทีของสหาย
สหายไม่เห็นข้าเป็นสหาย นั่นก็เป็นปัญหาของสายตาข้า
ไม่มีอะไรให้ไม่พอใจ เจอกับเรื่องยากลำบากสองสามครั้ง รู้สึกว่า
ทนไม่ไหวแล้วก็แค่แยกย้ายกันไปคนละทางภายหลังหวังหยวนลู่จึงตั้งกฎข้อหนึ่งให้กับชีกู่
ขอแค่เจ้านั่งอยู่บนโต๊ะพนันแล้วไม่หวังจะร่ำรวยจากการพนัน
ถ้าอย่างนั้นเจ้าอยากจะเล่นอย่างไรก็ตามใจเจ้า จะลงเงินหลายร้อย
หลายพันตำลึงหรือแม้กระทั่งใช้เงินเทพเซียนก็ยังไม่เป็นปัญหา ไม่มี
เงินแล้วก็มายืมเอาจากข้าแล้วค่อยไปเดิมพันต่อก็ยังได้
แต่ขอแค่เจ้าคิดหวังรวย ต่อให้เป็นแค่การเดิมพันเล็กๆ น้อยๆ
ที่เป็นเงินไม่กี่อีแปะ ก็อย่าได้เล่นเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นวันหน้าพวกเรา
อย่าได้เป็นเพื่อนกันอีกเลย
เป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวในการคบหาสหายของหวังหยวนลู่ก็
คือต้องไม่ใจแคบ มีสหายที่สนิทสนมไว้ใจกันได้สองสามคน คน
ประเภทนี้จึงจะคู่ควรให้คบหาด้วย
ชีกู่ถาม “ยังไม่คิดจะเจาะกระดาษหน้าต่างให้เป็นรูอีกหรือ?
(เปรียบเปรยถึงการพูดจาอย่างชัดเจนหรือลงมือกระทำอย่างชัดเจน)
จะไม่บอกสถานะให้พี่ชายเจ้ารู้สักหน่อย?”
หวังหยวนลู่เอ่ยอย่างจนใจ “กลัวน่ะสิ”
ชีกู่กล่าวอย่างอัดอั้น “ต้องโทษข้า”หากหวังหยวนลู่ไม่ใช่นักพรตนอกรีตสายโจรขโมยข้าว ได้รับ
หนังสือรับรองการออกบวชจากราชสำ นักชิงเสิน ครอบครัวของ
พี่ชายเขาก็จะถือว่า ‘หนึ่งคนบรรลุเซียน หมาและไก่พลอยได้ขึ้น
สวรรค์’ ไปแล้ว ไม่พูดถึงว่าจะต้องร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีอะไร แต่คิด
จะก่อร่างสร้างตัวแตกกิ่งก้านสาขา สืบทอดควันธูปต่อไปหลายๆ รุ่น
อยู่ในเขตอู่หลิงแห่งนี้ ไม่แน่ว่าอาจได้เป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงในพื้นที่
ก็ได้ แต่ตอนนี้กลับทำไม่ได้แล้ว ถูกตนถ่วงให้เดือดร้อน เพราะศัตรู
บนภูเขาของหวังหยวนลู่มีเยอะมากจริงๆ
หวังหยวนลู่ส่ายหน้า “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก คนธรรมดาก็มีชีวิต
สงบสุขของคนธรรมดา พี่ใหญ่ของข้าก็มีชะตาชีวิตเป็นของตัวเอง”
ชีกู่ได้แต่คิดว่าสหายรักกำลังปลอบใจตน