กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 951.2 เรื่องในอนาคต
พี่ชายแท้ๆ ของหวังหยวนลู่ชื่อว่าหวังหยวนฝู พ่อตาคือตระกูล
คนขายเนื้อในพื้นที่ ตอนนี้พ่อตาเขากำลังถือไส้ชิ้นใหญ่กับเหล้าหนึ่ง
จินที่ซื้อมาจากร้านเหล้าข้างทางเดินเตร่มาจนถึงหน้าประตูบ้านที่ทำ
จากดินเหลืองของบ้านลูกเขย ทำหน้าบูดบึ้ง เห็นลูกสาวและลูกเขย
ที่ออกจากประตูมาต้อนรับก็บ่นว่า “ข้านี่ช่างหาเรื่องใส่ตัวจริงๆ ดวง
ซวยแท้ๆ ถึงได้ยกลูกสาวที่เดิมทีควรออกเรือนกับคนมีเงินให้มาแต่ง
กับผียากจนไม่เป็นโล้เป็นพายอย่างเจ้า หลายปีที่ผ่านมาไม่รู้ว่าต้อง
เหนื่อยข้าเท่าไร ทุกวันนี้ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบุญกุศลที่บรรพบุรุษข้า
สะสมมาหรือไม่ เจ้าถึงได้คว้าสถานะเต้าถง (เด็กรับใช้ของนักพรต)
มาได้ วันหน้าก็ยิ่งมีเหตุผลที่จะไม่ทำเรื่องเป็นการเป็นงานแล้ว
ใจกล้าแล้วสินะ วันหน้าก็ไม่รู้ว่าจะต้องเอาเงินที่ข้าหามาอย่าง
ยากลำบากไปใช้อีกเท่าไร คงไม่ใช่ว่าชาติก่อนข้าเคยติดหนี้เจ้า ชาติ
นี้เจ้าก็เลยกลับมาทวงนี้หรอกนะ หากว่ายังมีชาติหน้าอีกก็จำ ไว้ว่า
ต้องใช้คืนให้ข้าด้วยล่ะ”หวังหยวนฝูค้อมเอวก้มหัว เขาหรือจะกล้าเถียง ตาเหลือบมอง
กาเหล้าแล้วกลืนน้ำลาย รู้สึกกระหายเสียแล้ว
หากไม่ผิดไปจากที่คาด กาเหล้าที่บรรจุเหล้าหนึ่งจิน ดื่มเสร็จ
แล้วท่านพ่อตาจะต้องเอากลับไปบ้านอีกแน่นอน
ตำแหน่งเต้าถงที่พ่อตาบอกว่าเขา ‘คว้า’ มาได้นั้น อันที่จริงคือ
ตัวสำ รองนักพรต คล้ายคลึงกับตำแหน่งเต้าเซิงของใต้หล้าไพศาล
เมื่อมีสถานะนี้ ทุกๆ สามปีก็จะมีโอกาสเข้าร่วมการสอบของ
ที่ว่าการอำเภอ หากสอบติดแล้วได้รับหนังสือรับรองการออกบวช
ของที่ว่าการประจำ จังหวัดจึงจะได้รับสถานะนักพรตที่ถูกต้องซึ่ง
ได้รับการยอมรับจากราชสำ นัก แต่ว่ายังอยู่ห่างจากการเป็น ‘นาย
ท่านเต้ากวาน’ อีกหนึ่งก้าว ต้องรอเข้าเสริมตำแหน่งที่ขาด เมื่อได้
เข้ารับตำแหน่ง ไม่ว่าจะทำงานในที่ว่าการหรือไปอยู่ที่อารามเต๋า นั่น
จึงจะถือว่าได้เป็นเต้ากวานอย่างแท้จริง
คนขายเนื้อที่ตัวอ้วนเนื้อหนาพูดกับบุตรสาวที่เหมือนน้ำที่สาด
ออกไปว่า “ไป เอาไส้ไปต้ม แล้วเอาเหล้าไปอุ่นให้ร้อนด้วย”หวังหยวนฝูพาพ่อตาเดินเข้าไปในด้าน เขาต้องเดินห่าง
มาด้านหลังเล็กน้อย พ่อตาพูดจาเสียงดัง น้ำลายกระเด็นไปทั่ว หวัง
หยวนฝูแอบยกชายแขนเสื้อขึ้นเช็ดใบหน้า
รอกระทั่งท่านพ่อตานั่งแล้ว หวังหยวนฝูถึงจะสะบัดชุดนั่งลง
เบาๆ คนขายเนื้อใช้หางตามองประเมินเขา ดีแต่พิถีพิถันในเรื่องไม่
เป็นเรื่อง คิดว่าตัวเองเป็นนายท่านขุนนางจริงๆ หรือไร เพียงแต่ว่า
เห็นแก่สถานะเต้าถง ถึงได้ข่มกลั้นเอาไว้ไม่พูดออกมา ถามว่า
“น้องชายที่มักจะไม่อยู่ติดบ้านของเจ้าคนนั้นล่ะ?”
หวังหยวนฝูยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ไม่ได้ข่าวเขามานานมากแล้ว”
พ่อตาหลุดหัวเราะพรืด “ไม่รู้จักส่งจดหมายกลับมาบ้าง ช่าง
เลี้ยงน้องชายมาเสียเปล่า โชคดีที่เขาหวังหยวนลู่ยังเคยเล่าเรียน
อ่านหนังสือออก หลายปีมานี้อยู่ข้างนอกก็คงมีชีวิตน่าสงสารนัก
ขนาดเงินจะซื้อกระดาษเขียนจดหมายสักแผ่นก็ยังตัดใจซื้อไม่ลง”
จากทำเนียบลำดับวงศ์ตระกูลในศาลบรรพชนของหมู่บ้านแห่ง
นี้ พวกเขาคือคนรุ่นอักษรหยวน ในชื่อจะต้องมีอักษร ‘หยวน’ อยู่
ด้วย อันที่จริงชื่อเดิมของหวังหยวนลู่ (箓 ข้อความ/หนังสือที่ไม่เป็นทางการ/ข้อเขียนเตือนความจำ ) คือหวังหยวนล
ู่ ( 路 เส้นทาง
)
หวังหยวนฝูยังคงไม่กล้าโต้เถียง
อยู่ในใต้หล้ามืดสลัว เต้ากวานมีสถานะและยศมากมายหลาย
รูปแบบ ไม่ใช่ว่ามีแค่ผู้ฝึกลมปราณเท่านั้นถึงจะเป็นเต้ากวานได้
มนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีคุณสมบัติในการฝึกตน ขอแค่ผ่านการทดสอบ
จากทางการก็สามารถได้รับหนังสือรับรองการออกบวชของนักพรต
เช่นกัน แต่ว่าธรรมโองการที่ได้รับจะไม่เหมือนกัน นอกจาก
ราชสำ นักจะเป็นคนมอบให้แล้วก็มีที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น และ
ยังมีเกาเจินผู้บรรลุมรรคาบางส่วนที่เลือกลูกศิษย์มาแล้วถ่ายทอด
เคล็ดวิชาให้อย่างลับๆ เป็นการขยับขยายวงศ์ตระกูล
อย่างหวังหยวนฝูที่ถูกพ่อตาเกลียดขี้หน้าคนนี้ ต่อให้
ในอนาคตจะโชคดีได้เป็นเต้ากวาน แต่เกินครึ่งก็จะยังคงเป็นขุนนาง
ชั้นผู้น้อยน้ำขุ่น ไม่ติดอันดับน้ำใส วันหน้าเส้นทางของการเลื่อนขั้นก็
จะค่อนข้างแคบ มีโอกาสอย่างมากที่จะถูกส่งไปอยู่ในอารามเต๋าเล็ก
ห่างไกล หรือไม่ก็ไปทำงานที่ไม่มีอำนาจบารมีตามที่ว่าการน้ำใสอย่างกองบทสรรเสริญประจำ อำเภอ หรือไม่ก็ฝ่ายอวิ้นเนี่ยง (ฝ่าย
งานที่รับผิดชอบคัดเลือกบุคคล สื่อสาร เจรจาและให้คำปรึกษาใน
ขอบเขตของงานที่กำหนด) แต่สำ หรับหวังหยวนฝูที่มีชาติกำเนิด
ยากจน ไม่มีที่พึ่งรากฐาน หากว่ามีวันนั้นจริงๆ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่
สร้างเกียรติยศให้กับวงศ์ตระกูลแล้ว สามารถไปจุดธูปไหว้
บรรพบุรุษที่ศาลบรรพชนของหมู่บ้านได้เลย
ก็เหมือนอย่างหวังหยวนลู่ผู้เป็นน้องชาย เขาเองก็ศึกษาคัมภีร์
เต๋าตำรากฎหมายมาเกือบยี่สิบปี เข้าร่วมการสอบอยู่หลายครั้ง แต่
ก็ยังไม่อาจได้เป็นเต้ากวานอย่างเป็นทางการได้ หลักๆ แล้วยังเป็น
เพราะทางฝั่งของเขตอู่หลิงนี้ จำ นวนหนังสือรับรองการออกบวชของ
นักพรตมีจำ กัด ถือเป็นคำว่าภิกษุมากโจ๊กน้อยตามแบบฉบับ พวก
ลูกหลานคนรวยที่เรียนหนังสือมาตั้งแต่เด็ก อีกทั้งยังมีอาจารย์คอย
ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้ แน่นอนว่าได้เปรียบมาแต่กำเนิด อีกทั้งยัง
เชี่ยวชาญเรื่องการเดาข้อสอบ เพราะถึงอย่างไรก็มีนักพรตที่
ทำหน้าที่เป็นขุนนางผู้คุมสอบหลักซึ่งมียศเป็นอาจารย์กฎหมาย
จะออกข้อสอบอย่างไรก็เป็นความรู้อย่างหนึ่งเหมือนกัน นอกจากนี้ก็ต้องโทษที่หวังหยวนลู่ผู้เป็นน้องชายเย่อหยิ่งเกินไป หมกมุ่นดึงดัน
ใจคิดแต่ว่าจะต้องสอบเป็นเวยอี๋ซือ (ชื่อตำแหน่งของภิกษุหรือ
นักพรตผู้ที่มีหน้าที่อบรมสั่งสอนเรื่องธรรมเนียมหรือข้อปฏิบัติที่ภิกษุ
หรือนักพรตควรศึกษา) ของอารามเต๋าที่ใหญ่ที่สุดของบ้านเกิด หาก
สอบติด ออกไป ‘เดิน’ หาประสบการณ์แค่ไม่กี่ปี ก็มีหวังที่จะได้
รับผิดชอบเป็นผู้ดูแลระบบกฎเกณฑ์และข้อบังคับของอารามเต๋า
คอยชี้แนะท่าทางมารยาทที่เหมาะสมให้กับเหล่าเต้ากวาน
เพียงแต่ว่าเวยอี๋ซือในอารามเต๋าที่ใหญ่ที่สุดของเขตอู่หลิง
ไหนเลยจะสอบติดได้ง่ายขนาดนั้น อย่าว่าแต่หวังหยวนลู่เลย ต่อให้
เป็นลูกหลานตระกูลชนชั้นสูงที่บรรพบุรุษร่ำรวย และจนถึงตอนนี้
ตระกูลก็ยังไม่ตกอับ ก็ยังต้องแย่งชิงกันหัวร้างข้างแตกเลยไม่ใช่หรือ
?
พ่อตาพูดว่า “น้องชายคนนั้นของเจ้าก็คือโคลนเละๆ ที่ปั้น
ไม่ขึ้น ไม่ต้องกลับมานั่นแหละดีที่สุดแล้ว พูดกันว่าก็แค่ต้องเพิ่ม
ตะเกียบอีกคู่หนึ่ง แต่อันที่จริงก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องเพิ่มให้สิ้นเปลือง
อยู่ดีไม่ใช่หรือ”ปีนั้นบุตรสาวขอร้องให้ตนช่วยเหลือน้องสามี เขาจึงช่วยหา
งานในร้านเครื่องเงินของตัวอำเภอให้ เป็นงานที่ดีจะตายไป
ไม่อย่างนั้นจะมีคำพูดโบราณบอกไว้ว่า ‘โจรไม่ผ่านร้านเครื่องเงิน’
หรอกหรือ? คิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนั่นจะไม่รู้ดีชั่ว ให้ตายอย่างไรก็
ไม่ยอมไปทำ ยืนกรานจะอยู่บนภูเขาให้ได้
บังเอิญยิ่งนัก พ่อตาลูกเขยสองคนกำลังคุยกันถึงหวังหยวนลู่
หวังหยวนลู่ก็กลับบ้านมาพอดี เวลานี้ยืนอยู่นอกธรณีประตู
เอ่ยเรียกคำหนึ่งว่า “พี่”
เห็นน้องชายแท้ๆ ที่ยืนอยู่นอกประตูซึ่งไม่ได้เจอกันมานาน
หลายปี แม้ว่าหวังหยวนฝูจะรู้สึกดีใจ แต่กลับยังตีหน้าเคร่ง เตรียม
จะลุกขึ้นยืน ทว่าก้นที่เพิ่งกระดกขึ้นกลับต้องรีบนั่งลงไปบน
ม้านั่งยาวอีกครั้ง เพียงแค่พยักหน้า เอ่ยว่า “ไปทักทายพี่สะใภ้เจ้าที่
ห้องครัวก่อน”
หวังหยวนลู่อืมรับหนึ่งที หมุนตัวได้ก็จากไป
คนขายเนื้อตบโต๊ะ เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เจอหน้ากัน
แล้วก็ไม่รู้จักทักทายข้าเสียบ้าง ไอ้คนไม่รู้กฎรู้ระเบียบ”หวังหยวนฝูยิ้มเอ่ย “หยวนลู่เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว นิสัย
รักสันโดษไปสักหน่อย ไม่สนิทกับใครทั้งนั้น”
คนขายเนื้อพูดเยาะหยัน “ด้วยนิสัยขี้ขลาดของเขา อยาก
จะสนิทสนมกับใครก็ต้องดูว่ามีคนเขายินดีจะสนิทสนมด้วยหรือไม่
ถึงจะได้ คนอายุสามสิบกว่าแล้ว แม้แต่สตรีอัปลักษณ์ที่เอาไว้อุ่น
ผ้าห่มก็ยังหาไม่ได้ หากเป็นข้า ไหนเลยจะมีหน้าไปไหว้บรรพบุรุษที่
หน้าหลุมศพ เอาหัวโหม่งให้ตายไปยังดีกว่า จุดธูปขอพรพระว่า
ชาติหน้าให้เกิดมาในครรภ์ที่ดี อย่างน้อยที่สุดก็อย่าได้หน้าตาขี้เหร่
เช่นนี้ เดินบนถนนตอนกลางคืน อย่าว่าแต่ทำให้คนตกใจตายเลย
แม้แต่ผีก็ยังจะถูกเขาทำให้ตกใจตายด้วย”
หวังหยวนฝูมีสีหน้ากระอักกระอ่วน เพราะถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็
เป็นพ่อตา เขาไม่อาจแสดงอารมณ์เกรี้ยวกราดใส่ได้
หลังจากนั้นก็กินข้าวด้วยกันหนึ่งมื้อ คนขายเนื้อนั่งร่วมโต๊ะกับ
หวังหยวนฝู ให้ตายอย่างไรหวังหยวนลู่ก็ไม่ยินดีมานั่งกินข้าวที่โต๊ะ
แค่คีบกับข้าวสองสามอย่างใส่ถ้วยแล้วไปนั่งยองถือถ้วยกินตรงหน้า
ประตูหวังหยวนฝูเกลี้ยกล่อมไปคำหนึ่ง รู้ว่าน้องชายเป็นคนที่
ตัดสินใจอะไรแล้วไม่เปลี่ยนใจง่ายๆ แล้วก็ไม่รู้จักการเข้าสังคม ใน
เมื่อโน้มน้าวไม่เป็นผลก็ช่างเถิด
หวังหยวนลู่นั่งก้มหน้าพุ้ยข้าวอยู่นอกประตู ชีกู่ไม่ได้มาที่บ้าน
ด้วย ต่างคนต่างกลับบ้านใครบ้านมัน
ข้าวในชามอัดแน่น เพราะตอนที่ตักข้าวใช้ทัพพีกดให้แน่น
มาก่อน รอกระทั่งกินมาถึงก้นถ้วย หวังหยวนลู่ที่ถือถ้วยข้าวใบใหญ่
ก็มองไปข้างหน้าอย่างเหม่อลอย
ไม่โทษคนบ่นฟ้าที่มีชีวิตยากลำบาก คนใบ้ยิ้มกินหวงเหลียน
หวังหยวนลู่หันหน้ากลับไป แล้วเงยหน้าขึ้น กลืนข้าวคำนั้น
ลงคอ ถามว่า “เจ้าแห่งถ้ำ ปี้เซียวมาได้อย่างไร?”
ก่อนหน้านี้ดวงจันทร์ดวงหนึ่งถูกย้ายมาที่ใต้หล้ามืดสลัว
วันนั้นหวังหยวนลู่ได้เห็นผู้อาวุโสท่านนี้อยู่ไกลๆ ครั้งหนึ่ง มาดใหญ่
มาก มรรคกถาสูงมาก ยืนอยู่ข้างกายเต๋าเหล่าเอ้อแห่งป๋ายอวี้จิง
ได้ยินเจ้าอารามซุนเล่าว่าคือเจ้าแห่งถ้ำ ปีเซียวของชายหาดลั่ว
เป่า มีชีวิตอยู่มายาวนานหนึ่งหมื่นบวกกับอีกหลายพันปี ชอบงัดข้ออยู่กับมรรคาจารย์เต๋า ในอนาคตหากได้เจอกับผู้อาวุโสท่านนี้
ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็โขกหัวกราบสองสามที ต้องไม่ผิดเป็นแน่
เจ้าอารามผู้เฒ่าพูดด้วยสีหน้าเฉยชา “มาเดินเล่น”
หวังหยวนลู่พยักหน้ารับ เอ่ยว่า “ตามสบายเลย”
ราวกับว่ายิ่งอีกฝ่ายมรรคกถาสูงเท่าไร นักพรตหนุ่มก็ยิ่ง
ไม่ขลาดกลัวมากเท่านั้น
เจ้าอารามผู้เฒ่าถาม “มองเห็นอะไร ถึงได้เสียใจขนาดนี้?”
หวังหยวนลู่ตอบ “บนฟ้าเหมือนมังกร เรือนกาย
ใหญ่โตมโหฬารหล่นร่วงลงสู่พื้นดินอย่างเงียบงัน บนร่างเต็มไปด้วย
ยุงแมลงวันและหนอนชอนไช ไล่อย่างไรก็ไล่ไม่ไป”
“เวลานานวันเข้า บางทีก็อาจมีบุปผาต้นหญ้าผลิบาน”
“ก็เลยเสียใจ”
“หมายความว่าอย่างไร?”
“ต้นหญ้าเติบโตบุปผาผลิบานเต็มทั้งขุนเขา ภายหลังกลับ
ไม่เหลืออยู่แล้ว แน่นอนว่าสามารถรอคอยครั้งต่อไปได้ แต่หาก
พวกเราก็คือดอกไม้ใบหญ้าพวกนั้นเล่า”เจ้าอารามผู้เฒ่าได้ยินคำกล่าวนี้ก็เผยสีหน้าชื่นชมออกมา
เสี้ยวหนึ่ง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าไม่ได้ฝึกตนใครเล่าจะฝึกตน”
หวังหยวนลู่ถือประคองชามข้าวต่อไป ถามว่า “ใต้หล้าจะเกิด
กลียุคแล้วใช่หรือไม่?”
เจ้าอารามผู้เฒ่าย้อนถาม “เรื่องในอนาคตประเภทนี้ เกี่ยว
อะไรกับเจ้าด้วยหรือ?”
หวังหยวนลู่พยักหน้า “ตอนนี้ยังไม่เกี่ยว”
ก้มหน้าพุ้ยข้าว กินข้าวคำสุดท้าย เคี้ยวช้าๆ อย่างละเอียด
นักพรตหนุ่มก็ถือโอกาสเคี้ยวคำว่า ‘อนาคต’ สองคำไปด้วย
เจ้าอารามผู้เฒ่าลูบหนวดยิ้มกล่าว “สร้างโชคชะตาอยู่ที่
สวรรค์ กำหนดชะตาชีวิตอยู่ที่ตัวเราเอง”
……
ในพื้นที่ชานเมืองหลวงของแคว้นชิงเสิน ตำหนักแห่งหนึ่งของ
ราชวงศ์ที่ชื่อว่าตำหนักฉางจ้ามีอารามซานอู๋แห่งหนึ่งที่ปูด้วย
กระเบื้องแก้วใสวาดลายเมฆสีเหลืองสว่าง คืออารามเต๋าอันดับหนึ่ง
ของแคว้นวันนี้เหยาชิงเสนาบดีรูปงามและป๋ายโอ่วผู้เป็นราชครูมารับรอง
แขกผู้สูงศักดิ์สองคนอยู่ที่นี่ คือคู่บำเพ็ญตนคู่หนึ่งที่อายุห่างกันมาก
สวีเจวี้ยนเจ้าสำ นักต้าเฉา เจาเกอบรรพจารย์หญิงผู้บุกเบิกภูเขา
เหลี่ยงจิง
เหยาชิงพาคู่รักทั้งสองเดินเที่ยวไปในอารามซานอู๋ ก่อนเข้ามา
ในห้องที่สะอาดประณีติแห่งหนึ่ง ป๋ายโอ่วต้มชารับรองแขก
ด้วยตัวเอง
อารามเต๋าตั้งชื่อเช่นนี้เพราะในอดีตอารามมีต้นอู๋ถงสามต้นที่
ฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นปลูกกับมือตัวเอง แบ่งออกเป็นชื่อว่าอี่ถง อู๋ถง
จิงถง
มีเวลาหนึ่งวันปลูกกล้วย มีเวลาหนึ่งขวบปีปลูกต้นไผ่ มีเวลา
สิบปีปลูกต้นหลิ่ว ร้อยปีปลูกต้นสน ส่วนเวลาพันปีหมื่นปีปลูกต้น
อู๋ถง
สกุลหลิวแห่งชิงเสิน ชะตาแคว้นสืบทอดต่อเนื่องกัน เป็น
อันดับหนึ่งในปิงโจวและต้นอู๋ถงสามต้นนั้นก็หลอมเรือนกายสำ เร็จมานานมาก
แล้ว ทั้งยังได้รับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานเชื้อพระวงศ์อีกด้วย
สถานที่แห่งนี้ก็เป็นสถานที่ที่อดีตฮ่องเต้ของราชวงศ์ชิงเสิน
สวรรคตและฝากฝั่งคำสั่งเสียสุดท้าย
ส่วนเหยาชิงเสนาบดีรูปงาม แน่นอนว่ายังคงเป็นผู้นำของเหล่า
ขุนนางใหญ่ที่ถูกฝากฝังภาระหน้าที่สำ คัญอย่างไม่มีอะไรให้ต้องลุ้น
ในใต้หล้ามืดสลัวไม่มีกฎที่จักรพรรดิมิอาจฝึกตนได้อย่างใต้
หล้าไพศาล
ดังนั้นสิบสี่มณฑลของใต้หล้าจึงมักจะมีฮ่องเต้ที่เป็นทั้งเจ้า
เหนือหัวผู้บุกเบิกแคว้น แล้วก็เป็นทั้งจักรพรรดิผู้ที่แคว้นล่มสลาย
ในใต้หล้าไพศาล ผู้ที่ได้เป็นจักรพรรดินั่งครองบัลลังก์หกสิบปี
ก็ถือว่าเป็นโอรสสวรรค์ที่อายุยืนซึ่งหาได้ยากมากแล้ว ทว่าที่นี่ คน
ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรได้ไม่เกินหกสิบปีกลับถือว่าเป็นฮ่องเต้ที่
อายุสั้น
บนภูเขาของมณฑลปิงโจว มีข่าวลือเล็กๆ ข่าวหนึ่งที่ไร้
หลักฐานให้สืบหา เล่าลือกันว่าก่อนที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนจะจากไปเคยมีบทสนทนาที่เปิดใจอย่างไม่เก็บงำ กับเหยาชิงเสนาบดีรูปงาม
อดีตฮ่องเต้เคยตรัสว่า ‘กษัตริย์เยาว์วัยสร้างความกังขาให้แก่
บ้านเมือง มิใช่ความโชคดีของแผ่นดิน ท่านสามารถมาแทนที่’
เหยาชิงตอบว่า ‘หากข้ามีพลังและความสามารถที่แข็งแกร่ง
มากพอ ย่อมจะช่วยประคับประคองกษัตริย์ให้กลายเป็นกษัตริย์ผู้
ปรีชา’
ส่วนบทสนทนาส่วนตัวระหว่างจักรพรรดิและขุนนางนี้แพร่
ออกมาได้อย่างไร เจ้าอารามซุนพูดจาน่าเชื่อถือว่าต้องเป็นเพราะลู่
เหล่าซานของพวกเราไปทำตัวเป็นวิญญูชนบนขื่อคาน แอบ
ฟังบทสนทนาแล้วบังคับปากตัวเองไม่ได้แน่นอน
นักพรตหญิงที่มีฉายาว่า ‘ฟู่คาน’ รับถ้วยชามาจากมือของป๋าย
โอ่ว ยิ้มถามว่า “เจ้าคิดอย่างไรถึงอยากจะถามหมัดกับตัวประหลาด
ผู้นั้น?”
นางไม่สนใจว่าคำถามของตัวเองจะสมควรหรือไม่ จะเป็นการ
สาดเกลือลงบนบาดแผลของป๋ายโอ่วหรือไม่
ป๋ายโอ่วรูปโฉมงามล้ำ สวยเพริศพริ้งอย่างเป็นธรรมชาติตรงเอวของนางพกง้าวสั้นเล่มหนึ่งที่มีประวัติความเป็น มี
ชื่อว่า ‘เถี่ยซื่อ’
นางกับเผยเปยแห่งราชวงศ์ต้าตวนของใต้หล้าไพศาลต่างก็
เป็นปรมาจารย์หญิง ล้วนเป็นราชครูของหนึ่งแคว้น
ทุกๆ สิบปี ป๋ายโอ่วจะต้องทำการถามหมัดกับหนึ่งในสิบคนบน
วิถีวรยุทธที่ติดอันดับด้วยกันหนึ่งครั้ง
การถามหมัดสี่ครั้งก่อนหลัง ป๋ายโอ่วล้วนชนะทั้งหมด คนตาย
ไปสามคน มีเพียงคนเดียวที่รอดชีวิต แต่ก็ขอบเขตถดถอย
ดังนั้นสิบปรมาจารย์แห่งใต้หล้าที่จะได้รับการประเมินทุกๆ
หกสิบปี อยู่ดีๆ จึงลดน้อยลงไปถึงสี่คน จากนั้นการประเมินของวิธีวร
ยุทธก็กลายมาเป็นเรื่องตลกและเครื่องประดับอย่างหนึ่งเท่านั้น
แม้ว่าป๋ายโอ่วจะเป็นสตรี แต่กลับอยู่บนยอดสูงสุดของ
การเรียนวรยุทธในใต้หล้ามืดสลัว เผยท่วงท่าของผู้กล้าที่ไร้ศัตรู
ทัดทานซึ่งโดดเด่นยอดเยี่ยมอย่างถึงที่สุด
ง้าวสั้นชิ้นหนึ่งฉายประกายเฉียบคม กวาดทำลายไปทั่วใต้หล้าเพียงแต่ว่าครั้งนี้ป๋ายโอ่วเลือกที่จะถามหมัดกับซินขู่แห่ง
ยอดเขารุ่นเยว่ สำ หรับโลกภายนอกแล้วย่อมไม่ใช่การกระทำที่ฉลาด
อย่างแน่นอน
เพราะถึงอย่างไรก็เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งที่แม้กระทั่ง
มรรคาจารย์เต๋าก็ยังชื่นชมอย่างมาก
สีหน้าของป๋ายโอ่วจืดเจื่อน ส่ายหน้า ไม่ค่อยจะยินดีพูดถึง
เรื่องนี้สักเท่าไร
ยังไม่ทันขึ้นไปบนยอดเขารุ่นเยว่ เดินไปได้แค่ครึ่งทางก็โดน
หมัดหนึ่งต่อยมาเสียแล้ว
“เป็นข้าที่เสนอให้ป๋ายโอ่วไปที่ยอดเขารุ่นเยว่ ลองดูว่าตัวเอง
มีน้ำหนักแท้จริงกี่จินกี่ตำลึงกันแน่”
เหยาชิงยิ้มเอ่ย “ก่อนหน้านี้หลินเจียงเซียนลงมือสองครั้ง กะ
น้ำหนักได้ดีมาก ย่อมทำให้ป๋ายโอ่วเข้าใจผิด มองประเมินตัวเอง
สูงเกินไป”
ป๋ายโอ่วและซินขู่แห่งยอดเขารุ่นเยว่ ทั้งสองฝ่ายต่างก็อยู่ในขั้น
เทพมาเยือนของผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง คนหนึ่งเป็นอันดับสองในใต้หล้า อีกคนคืออันดับสาม
เหยาชิงยิ้มเอ่ย “ห่างชั้นกันอยู่ไม่น้อย ยังคงไม่อาจหยั่งเชิง
ความตื้นลึกของวรยุทธซินขู่ได้”
ป๋ายโอ่วเชื่อฟังคำพูดของเสนาบดีรูปงามที่เป็นทั้งอาจารย์และ
เป็นทั้งบิดาผู้นี้อย่างมาก
เจาเกอเอ่ยว่า “หวังหยวนลู่ที่เป็นโจรขโมยข้าวผู้นี้ กระแสจิต
แผ่ออกมาได้รวดเร็วจนแทบจะใกล้เคียงกับขอบเขตบินทะยานแล้ว
ราชวงศ์ชิงเสินไม่คิดจะรับตัวเขามาบ้างหรือ?”
เหยาชิงยิ้มเอ่ย “ไอ้หมอนี่คือตัวก่อเรื่อง ยิ่งหลบเลี่ยงปัญหา
ปัญหาก็ยิ่งดาหน้าเข้ามาหาเขา ราชวงศ์ชิงเสินของพวกเรามิอาจ
รับได้ไหว”
——