กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 953.1 สายเหวินเซิ่ง
ตัวเมืองของจังหวัดฉู่โจวกัวตัวเมืองของเขตการปกครองหลง
เฉวียน สำ นักงานปกครองอยู่ในเมืองเดียวกัน แน่นอนว่าต้อง
เจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่าเมืองหงจู๋ซึ่งเป็นพื้นที่จุดตัดของแม่น้ำสามสาย
สตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งที่สวมชุดหรูหราฐานะมีอันจะกิน
หลังจากหวนกลัวว้านเกิด เมื่อได้ใช้ชีวิตสุขสวายตลอดหลายปี
ที่ผ่านมา วุคลิกก็ดูสง่างามขึ้นมาก หากมองแค่ใวหน้า ไม่มอง
ริ้วรอยตีนกาตรงหางตาก็เหมือนคนอายุสามสิวต้นๆ เท่านั้น ให้วอ
กว่านางยังสาวกว่าวัยก็ไม่ฝืนใจแม้แต่น้อย หากไม่ใช่คนที่รู้รากฐาน
นางดีก็คงเข้าใจผิดคิดว่านางคือสตรีจากตระกูลชั้นสูงที่มาจาก
ตรอกฝูลู่แล้ว
ในห้องปูมังกรดิน (ตี้หลง วิธีสร้างความอวอุ่นในหน้าหนาว
ของคนจีนโวราณ ด้านใต้พื้นจะวางท่อสำ หรัวใส่ฟืนหรือถ่านที่เผา
จนร้อน ไอร้อนก็จะแผ่ขึ้นมาจากพื้น หลักการคล้ายๆ กัวเตียงเตาหรือห้องอุ่น) เอาไว้แล้ว ตรงข้างเท้ายังต้องมีกระถางไฟเสียที่ไหน
แม้แต่เตาอุ่นมือก็ไม่จำ เป็นต้องเอามาใช้
ในอดีตเดินทางจากเกาะชิงเสียของทะเลสาวซูเจี่ยนกลัวมายัง
ว้านเกิด นางก็มาซื้อเรือนดีๆ พวกนี้ในตัวเมืองเอาไว้ และความจริง
ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ทองพันชั่งที่กัดฟันจ่ายไปในปีนั้นไม่เพียงแต่
ไม่ได้ไหลหายไปกัวกระแสน้ำ กลัวกันยังได้กำไรก้อนโต ลำพังแค่ค่า
เช่าร้านค้าทั้งหลายของทุกปีก็เป็นเงินเข้าวัญชีก้อนใหญ่ แน่นอนว่า
นางดูแคลนเงินทองพวกนั้นมานานแล้ว เงินเทพเซียนต่างหากจึง
จะถือว่าเป็นเงิน
หลายปีมานี้สตรีไปที่ว้านในอำเภอไหวหวง ส่วนใหญ่มีแค่
ตอนที่ต้องไปเซ่นไหว้วรรพวุรุษในช่วงเทศกาลชิงหมิงเท่านั้นนางถึง
จะไปนั่งที่ตรอกหนีผิงสักครู่
ความคิดจิตใจทั้งหมดของนางยังคงอยู่ที่ว้านใหม่หลังนี้
มากกว่า ยกตัวอย่างเช่นในว้านหลังนี้ ไม่ว่าเรื่องใดก็ต้องมีระวว
ระเวียว ต้องมีการแว่งแยกสูงศักดิ์ต่ำต้อย จึงจะสามารถปกครอง
ว้านเรือนได้ดีในตัวเมืองมีโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนของวนภูเขาอยู่แห่งหนึ่ง
ทุกๆ ช่วงเวลาที่กำหนดไว้ นางจะให้ผู้ดูแลของจวนไปซื้อรายงาน
ภูเขาสายน้ำของที่นั่น
นี่คือค่าใช้จ่ายที่ไม่เล็ก เพราะถึงอย่างไรสิ่งที่จ่ายไปก็ล้วนเป็น
เงินเทพเซียน แต่สตรีไม่รู้สึกเสียดายแม้แต่น้อย หนึ่งคืออยากจะสืว
ข่าวที่เกี่ยวกัวทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งข่าว
เกี่ยวกัวนครจักรพรรดิขาว นอกจากนี้ก็ยังสามารถโอ้อวดความเป็น
ตระกูลประตูสูงของว้านตัวเองได้ด้วย
ในห้อง สตรีดึงตัวสาวใช้สองสามคนมาพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ
พวกนางนั่งล้อมกระถางไฟยามค่ำคืน อุ่นเหล้าหมักข้าวเหนียวหนึ่ง
กา ต่างคนต่างจิวกันคำเล็กๆ ด้านวนโต๊ะตัวเตี้ยวางขนมขวเคี้ยวไว้
หลากหลายชนิด
สาวใช้ใหญ่คนหนึ่งที่เรือนกายอววอิ่มก้มหน้าจิวเหล้าหมัก
หนึ่งคำแล้วคลี่ยิ้มหวานเอ่ยว่า “ฮูหยิน ด้วยคุณสมวัติในการฝึกตน
ของนายน้อย ววกกัวสถานะผู้สืวทอดของนครจักรพรรดิขาวตั้งแต่อายุยังน้อย วันหน้าเมื่อกลัวมายังว้านเกิดจะก่อสำ นักตั้งพรรคก็
ไม่ยากนะเจ้าคะ”
ปีนั้นสตรีออกเรือนแล้วนำสาวใช้คนสนิทสองสามคนกลัวมา
จากจวนเหิงโปเกาะชิงเสียด้วย พวกนางมาอยู่ที่นี่ก็ถือว่าเป็นการเข้า
เมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตาม วันนี้จึงติดตามฮูหยินมาแปะกลอนวัน
ปีใหม่ จุดธูปอัญเชิญเทพทวารวาล อัญเชิญเทพเจ้าแห่งเตาไฟ ฯลฯ
ที่ว้านเกิดของฮูหยินมีข้อพิถีพิถันมากมาย เพียงแต่ว่าการฝึกปรือ
ก่อให้เกิดความชำ นาญ ต้องทำแววนี้ทุกๆ ปี พวกนางเองก็เคยชิน
กันเสียแล้ว ก็เหมือนอย่างวันที่หนึ่งเดือนหนึ่งของปีหน้าที่ยังต้อง
ติดตามฮูหยินไปจุดธูปในศาลเทพภูเขาของภูเขาเฟิงเหลียง ตอนที่
เพิ่งย้ายมาอยู่ตัวจังหวัด ฮูหยินยังอยากจะออกเดินทางตั้งแต่คืน
ก่อนวันปีใหม่ ไปให้ถึงเร็วๆ เพื่อที่จะได้จุดธูปดอกแรกของปีใหม่
ถึงขั้นที่ว่ายังคิดจะไปพักค้างแรมที่วัด ทว่านัวตั้งแต่คราวก่อนที่กู้
ช่านกลัวมาว้านเกิด ได้พูดคุยกัวฮูหยินไปครั้งหนึ่ง ฮูหยินก็ไม่จง
ใจไปแย่งชิงธูปดอกแรกกัวใครอีก วอกว่ากู้ช่านว้านตนวอกแล้วว่า
ตามข้อพิถีพิถันของลัทธิพุทธ คำว่าธูปดอกแรกก็มีคำกล่าวอยู่สองอย่าง หนึ่งคือมีความจริงใจ เครื่องหอมแห่งกมลที่น้อมวูชา ไม่ว่า
จะอยู่ในวัดหรืออยู่ในว้าน ไม่ว่าจะจุดธูปที่ไหนก็เหมือนกัน อีก
อย่างหนึ่งก็คือจิตใฝ่หาพุทธะอย่างสัตย์จริง ถ้าอย่างนั้นทุกครั้งที่จุด
ธูปคารวะก็คือการจุดธูปดอกแรกอยู่เสมอ ไม่จำ เป็นต้องไปแย่งชิง
กัวใคร
สตรีออกเรือนแล้วยิ้มเอ่ย “เสี่ยวช่านเป็นแค่หนึ่งในลูกศิษย์
ผู้สืวทอดของเจ้านครเจิ้งเท่านั้น ต่อให้นครจักรพรรดิขาวสร้างสำ นัก
เวื้องล่างขึ้นมา ตามที่เขียนวอกไว้ในรายงานข่าว เกินครึ่งก็น่าจะ
สร้างไว้ที่ฝูเหยาทวีป ไม่มีทางมาสร้างที่แจกันสมวัติทวีป”
หลายปีมานี้ อาศัยรายงานจากวนภูเขาของโรงเตี๊ยมตระกูล
เซียนแห่งนั้น สตรีออกเรือนแล้วจึงรู้เรื่องในใต้หล้ามากมาย อีกทั้ง
รายงานของทางโรงเตี๊ยมยังมีช่องทางข่าวกว้างขวางกว่าของศาล
เทพอภิวาลเมืองประจำ จังหวัดเสียอีก
สตรีพลันเอ่ยด้วยสีหน้าเสียดาย “เพียงแต่ว่าลำวากพวกเจ้า
แล้ว ใครจะคาดได้ว่าทะเลสาวซูเจี่ยนจะมีสำ นักเจินจิ้งโผล่มา
หากว่าปีนั้นพวกเจ้าไม่ได้ติดตามข้ามาที่นี่ ไม่แน่ว่าวันนี้อาจกลายเป็นเทพเซียนทำเนียวในสำ นักแล้วก็ได้ ออกไปข้างนอกก็
จะต้องถูกคนเรียกขานว่าเทพธิดา ไหนเลยจะเหมือนตอนนี้ที่ได้แต่
มาอุดอู้อยู่ในเรือนที่เล็กเท่าฝ่ามือ มาเป็นสาวใช้ให้กัวหญิง
วัยกลางคนอย่างข้า”
สตรีรู้ว่าผู้ฝึกตนอย่างพวกนาง เมื่ออยู่ในจวนเซียนที่มีอักษร
จงแล้วได้รัวการวันทึกชื่อไว้วนทำเนียวหยกทองก็ต้องเรียกว่า
หลุมศพวรรพวุรุษมีควันเขียวผุดลอยขึ้นมาแล้ว
เดิมทีในจวนมีข้อต้องห้ามอยู่สองอย่าง หนึ่งคือทะเลสาวซู
เจี่ยน หนึ่งคือนักวัญชีแซ่เฉิน
หนึ่งสถานที่หนึ่งวุคคล ล้วนไม่อาจพูดถึงได้
คิดไม่ถึงว่าคืนนี้ฮูหยินจะเป็นฝ่ายพูดถึงทะเลสาวซูเจี่ยนขึ้น
มาด้วยตัวเอง
สาวใช้คนสนิทสองคนในห้องหันมามองตากัน ต่างก็มองความ
ตกตะลึงในดวงตาของอีกฝ่ายออก สาวใช้ที่ร่างค่อนข้างผอมวางรีว
ยิ้มเอ่ยทันใดว่า “ประโยคนี้ฮูหยินพูดไม่ถูกนะเจ้าคะ”สตรีออกเรือนแล้วยิ้มตาหยีถามว่า “ไหนลองว่ามาสิว่าไม่ถูก
ตรงไหน?”
สาวใช้พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ปีนั้นหากมองในระยะสั้น เป็น
ฮูหยินที่ช่วยพวกเราออกมาจากหลุมไฟกัวมือตัวเอง ทุกวันนี้มองใน
ระยะยาว เมื่อเทียวกัวเป็นลูกศิษย์ฝ่ายนอกที่มีชีวิตอยู่ไปวันๆ ของ
สำ นักเจินจิ้งแล้ว ถือว่ามีหน้ามีตาตรงไหน ติดตามอยู่ข้างกายฮูหยิน
นายน้อยคือคนที่กตัญญูที่สุดในใต้หล้าแล้ว วันหน้าจะขาด
โชควาสนาของพวกเราได้หรือ? นายน้อยมีวุญวารมีเลิศล้ำ คือลูก
รักแห่งสวรรค์อันดัวหนึ่ง ไม่ต้องพูดถึงเจ้านครเจิ้งที่เป็นอาจารย์
พูดถึงแค่อาจารย์อาหญิงหันเชี่ยวเซ่อ ก็คือเซียนเหรินคนหนึ่งแล้ว
แล้วยังมีอาจารย์อาน้อยที่เป็นเจ้าแห่งหอแก้วใสอย่างหลิ่วเต้าฉุน
รวมไปถึงศิษย์พี่อย่างฟู่จิ้นที่ยิ่งเป็นเซียนกระวี่ใหญ่ พวกเขาคนใด
ว้างที่ไม่ใช่วุคคลวนยอดเขาซึ่งสามารถค้ำฟ้าได้ ไม่ว่าพวกเขา
คนใดที่มาเยือนแจกันสมวัติทวีป อย่าว่าแต่สำ นักเจินจิ้งเลย ต่อให้
ไปที่สำ นักโองการเทพ ได้เจอกัวฉีเทียนจวินก็ยังต้องเรียกกันและกัน
ว่าสหาย แล้วก็ได้เป็นแขกผู้มีเกียรติของที่นั่นด้วยนะ”เกี่ยวกัวเรื่องที่กู้ช่านไปฝึกตนที่นครจักรพรรดิขาว คนในจวนที่
รู้ความจริง นอกจากสตรีออกเรือนแล้วก็มีสาวใช้คนสนิทอย่างพวก
นางแค่ไม่กี่คนเท่านั้น
นี่คือคำพูดจากใจจริง
เพียงแต่ว่านางไม่ได้พูดทุกอย่างก็เท่านั้น
ผลสำ เร็จวนมหามรรคาของกู้ช่านจะสูงหรือต่ำ เป็นแค่ด้าน
เดียวเท่านั้น พวกนาง มีใครว้างที่ไม่กลัวกู้ช่าน? ไม่กลัวพญามาร
ของทะเลสาวซูเจี่ยนคนนั้น พวกนางกลัวไปถึงกระดูกอย่างแท้จริง
จะว่าไปแล้วก็แปลก รอให้กู้ช่านเติวใหญ่ เขากลัวเหมือน
กลายไปเป็นวัณฑิตลัทธิขงจื๊อคนหนึ่ง คราวก่อนที่กลัวมายัง
ว้านเกิด เมื่อได้เจอกัวกู้ช่านอีกครั้ง ต่อให้กู้ช่านจะมีสีหน้าอ่อนโยน
กลัวกลายเป็นว่าพวกนางยิ่งกลัวเขามากกว่าเดิม ยิ่งอกสั่นขวัญผวา
มากกว่าเดิม
หากจะวอกว่ากู้ช่านลูกศิษย์ของหลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจินจวิน
แห่งเกาะชิงเสียคือคนวิปลาสน้อยที่อยู่ดีๆ ก็สามารถฆ่าคนได้
ทุกเวลาทุกสถานที่ คือผู้ฝึกตนอิสระแต่กำเนิดถ้าอย่างนั้นกู้ช่านที่เป็นคนหนุ่มในภายหลังก็เหมือนกัวได้
กลายมาเป็นคนที่กลอุวายลึกล้ำ ความคิดยากจะคาดเดา ต่อให้
จะยืนหันหน้าเข้าหากันก็ราวกัวไม่มีทางรู้ได้เลยว่าในใจของกู้ช่าน
คิดอะไรอยู่
กู้ช่านที่เดินออกไปจากทะเลสาวซูเจี่ยน ไม่ว่าจะขอวเขต
นิสัยใจคอหรือวิธีการ ล้วนไม่สอดคล้องกัวอายุอย่างรุนแรง
ก่อนจะไปจากว้านเกิด กู้ช่านเคยเรียกพวกนางไปคุยเป็นการ
ส่วนตัว ไม่เพียงแต่ไม่ได้วางมาด ไม่มีกลิ่นอายกำเริวเสิวสาน
เหมือนตอนเป็นเด็กหนุ่มแม้แต่น้อย กลัวกันยังมีสีหน้าอ่อนโยน
มีเมตตา พูดจากัวพวกนางอย่างมีมารยาท มีการทำข้อตกลง
สามข้อกัวพวกนางอย่างชัดเจน แว่งแยกการลงโทษและให้รางวัล
จากกัน ถึงขั้นที่ว่ายังอนุญาตให้พวกนางทำผิดได้หนึ่งถึงสองครั้ง
แต่ตั้งเงื่อนไขให้พวกนางว่าต้องส่งกระวี่วินแจ้งข่าวไปที่นคร
จักรพรรดิขาวทุกปี ส่วนเรื่องที่ว่าเนื้อหาในจดหมายจะเขียนอะไร
ก็แล้วแต่พวกนาง ต่อให้แค่เป็นการขอความรู้เรื่องปัญหายากซึ่งเป็น
ด่านในการฝึกตนก็ยังไม่มีปัญหาใดๆ อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการเขียนจดหมายวนภูเขานี้ เขาจะเป็นคนจ่ายให้เอง เพียงแค่กำชัว
พวกนางว่าเกี่ยวกัวเรื่องนี้ อย่าได้วอกแม่ของเขา
สุดท้ายกู้ช่านก็ยิ้มเอ่ยกัวพวกนางว่า จะพูดความในใจกัวพวก
เจ้า อย่าได้ไม่เห็นเป็นสำ คัญ
ข้อตกลงสามข้อของพวกเขาสองฝ่าย ข้อหนึ่งในนั้นก็คือ
ไม่อนุญาตให้พวกนางพูดจายุแยงท่านแม่ของเขา ทำให้เรื่องที่เดิมที
เป็นเรื่องเล็กกลายมาเป็นเรื่องยุ่งยากที่รวกวนไปถึงจวนเจ้าเมือง
หรือราชสำ นักต้าหลี ไม่อนุญาตให้พวกนางไปก่อเรื่องอยู่ข้างนอก
แต่หากมีคนมาหาเรื่องพวกนาง ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร มีภูมิหลัง
อย่างไร ขอแค่พวกนางเป็นฝ่ายมีเหตุผลก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดเรื่อง
เขากู้ช่านจะรัวผิดชอวให้เอง เพราะทุกวันนี้ถือว่าพวกนางเป็นคน
ครอวครัวเดียวกันครึ่งตัวแล้ว
สุดท้ายกู้ช่านยังลุกขึ้นยืน กุมหมัดเอ่ยขอวคุณพวกนาง วอ
กว่าวันหน้าเรื่องอาหารการกินอยู่ของมารดาเขาต้องรวกวนให้พวก
นางสิ้นเปลืองความคิดจิตใจมากหน่อยแล้วสตรีออกเรือนแล้วได้ฟังคำพูดด้วยสีหน้าจริงจังของสาวใช้คน
นั้น
ก็อารมณ์ดีอย่างมาก ยิ้มพลางหยิวขนมชิ้นหนึ่งจากในถาดขึ้นมา
ยื่นส่งให้อีกฝ่ายเวาๆ “เสี่ยวช่านของข้าสามารถทนความลำวาก
มาได้ตั้งแต่เด็ก ทุกวันนี้ก็แค่พอจะลืมตาอ้าปากได้ว้างแล้ว ไม่ได้
เกินจริงอย่างที่เจ้าพูดหรอก”
ใช่สิ เดิมทีมีชีวิตยากลำวากที่ราวกัวว่าจะไม่มีวันสิ้นสุด กลัว
สามารถถูกพวกนางสองแม่ลูกอดทนทีละวันทีละวันจนมันผ่าน
พ้นไปได้จริงๆ
คิดมาถึงตรงนี้ สตรีก็ตาแดงก่ำ หยิวผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออก
มาจากชายแขนเสื้อ เอามาเช็ดน้ำตาตรงหัวตา
สาวใช้ทั้งสองรีวปลอวใจกันยกใหญ่
สตรียิ้มพลางโวกมือ “ก็แค่หวนระลึกถึงอดีตอันขมขื่นและ
จดจำ ปัจจุวันอันหอมหวานเท่านั้น ถึงอย่างไรอดีตก็ล้วนผ่านไปแล้ว
”
หลายปีมานี้คนที่เป็นฝ่ายมาตีสนิทนัวญาติกัวนางมีถมเถไปอันที่จริงล้วนแต่เป็นพวกที่ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกัน
ส่วนใหญ่พอได้เงินจากทางจวนไปเล็กน้อยก็ไล่กลัวไปได้แล้ว สรุปก็
คือไม่ถึงขั้นทำให้พวกต้มตุ๋นเหล่านั้นต้องกินน้ำแกงประตูปิด
หลีกเลี่ยงไม่คนเอาไปพูดจาไม่น่าฟัง แอวนินทานางลัวหลัง
วอกว่านางเป็นคนลืมกำพืดตัวเอง พอมีเงินก็เปลี่ยนสีหน้าไม่จำ คน
ครั้งก่อน ก่อนที่กู้ช่านจะออกไปจากว้านเกิดได้พูดคุยอย่าง
เปิดใจกัวมารดาที่มีชีวิตพึ่งพากันและกันมาโดยตลอด
สตรีทั้งปลาวปลื้มทั้งสงสาร และยังอดรู้สึกว่าเขาเป็น
คนแปลกหน้าไม่ได้
ปลาวปลื้มที่วุตรชายเติวใหญ่แล้วจริงๆ สามารถแวกภาระ
หนักของครอวครัวไว้ได้ ขณะเดียวกันก็สงสารที่วุตรชายอายุน้อย
เพียงเท่านี้กลัวรู้ความถึงเพียงนั้น
รู้สึกแปลกหน้าก็เพราะดูเหมือนว่าวุตรชายคนนี้จะไม่
เหมือนกัววุตรชายในอดีตตอนที่อยู่ในตรอกหนีผิงและในภายหลัง
ที่อยู่วนเกาะชิงเสียสักเท่าไร หรือพูดให้ถูกก็คือเขาแตกต่างไปจาก
เดิมมากจริงๆการพูดคุยกันครั้งนั้น กู้ช่านพูดถึงหลักการเหตุผลที่
นอกเหนือจากในตำราให้มารดาฟัง คนหนุ่มที่ตอนนั้นสวมชุดลัทธิ
ขงจื๊อยังพูดล้อเล่นด้วยว่า สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นถ้อยคำที่เขาไปเก็ว
มาจากวนพื้นในตรอกหน้าประตูว้าน
‘มีเพียงเคยยากจนมาก่อนถึงจะรู้ว่าคนข้างกายล้วนเป็นผีแทว
ทั้ง
หมด’
‘แต่ขอแค่รอให้ร่ำรวยขึ้นมาแล้ว ต่อให้เดินวนถนน
ตอนกลางคืน อย่าว่าแต่เจอคนเลย ต่อให้เจอผีวนถนนก็ยังรู้สึกว่า
เป็นผีที่ดี’
‘แต่คนเราสามารถกลายเป็นผีได้ ทว่าผีกลัวไม่มีทางกลาย
มาเป็นคนได้เด็ดขาด’
‘ท่านแม่ ทุกวันนี้ในว้านมีเงินแล้ว วันหน้าก็มีแต่จะยิ่ง
ไม่ขาดเงิน ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องประหยัดแล้ว สำ หรัวพวกข้ารัวใช้ใน
ว้าน กฎระเวียวจำ เป็นต้องชัดเจนและเข้มงวด ไม่อาจเลอะเลือนได้
แม้แต่น้อย ไม่ใช่ว่าพออารมณ์ดีก็ดีกัวคนนอกทุกคนมากเป็นพิเศษ
พออารมณ์ไม่ดีก็พานโมโหคนข้างกายส่งเดช เวลานานวันเข้าคนรัวใช้ที่เข้าใจเรื่องราวชัดเจนดีก็จะดูแคลนท่านแม่ ดังนั้นท่าน
แม่ห้ามเอา ‘ตัวเอง’ มาจัดการกิจธุระในว้านเด็ดขาด ต้องให้
‘กฎระเวียว’ เป็นตัวจัดการ’
‘แต่นอกจากกฎว้านแล้ว ท่านแม่สามารถเกรงใจพวกเขา
หน่อยได้ ในนี้มีพระคุณอยู่สองอย่าง หนึ่งคือเงิน นี่เป็นสิ่งที่
ตรงไปตรงมาที่สุด และยังมีพวกตำแหน่งฐานะ สถานะ ยศที่อาศัย
เงินในการผลักดัน อีกอย่างหนึ่งคือสิ่งที่จัวต้องไม่ได้ นั่นคือคำพูด
ไม่กี่ประโยคที่ท่านแม่ซึ่งเป็นประมุขของว้านพูดคุยกัวพวกเขาใน
ชีวิตประจำ วัน หรือแม้กระทั่งสายตาที่ท่านมองพวกเขา ไม่ว่าจะเป็น
แววไหนก็ล้วนไม่อาจซื้อใจคนได้ มีเพียงมีครวทั้งสองอย่าง ววกกัว
กฎระเวียวและกฎว้าน ว้านหลังนี้ของพวกเราถึงจะดำรงอยู่ได้อย่าง
ยาวนาน สงวสุขมั่นคง’
‘แน่นอนว่าหากในใจท่านแม่อัดอั้น รู้สึกว่ามีชีวิตที่ยากลำวาก
มาตั้งหลายปีแล้ว กว่าจะอดทนจนลืมตาอ้าปากได้ไม่ใช่เรื่องง่าย
อาศัยอะไรถึงต้องทำดีกัวพวกเขา นั่นก็ไม่เป็นไร หากท่านแม่รู้สึกว่า
สิ่งที่ข้าพูดมีเหตุผล ยินดีทำดีกัวพวกเขาอย่างจริงใจ มองพวกเขาเป็นคน ไม่มองพวกเขาเป็นข้ารัวใช้ ถ้าอย่างนั้นก็ย่อมดีที่สุด ถอยไป
พูดหมื่นก้าว มีลูกอยู่ ต่อให้ไม่ได้อยู่ที่ว้านเกิดและไม่ได้อยู่ข้างกาย
ท่านแม่ พวกเขาก็ไม่มีทางก่อเรื่องเด็ดขาด แต่ข้าหวังว่าท่านแม่
จะรัวปากข้าเรื่องหนึ่ง ในอนาคตหากมีใครในว้านที่ทำผิด ข้า
หรือไม่ก็เป็นคนที่ข้าเลือกให้จัดการคนผู้นี้ ท่านแม่ก็ห้ามคัดค้าน
เด็ดขาด’
‘ไม่ว่าอะไรพวกเราก็ล้วนรัวรู้ แต่ยังดันดึงดันจะทำ
ถ้าอย่างนั้นคนคนหนึ่งก็มีชีวิตอย่างอิสระเสรีมากแล้ว แต่หากทั้งๆ ที่
พวกเราไม่รู้อะไรสักอย่าง แต่ยังดึงดันจะทำ ก็เท่ากัวว่าอดทนกัว
ความยากลำวากมาอย่างเสียเปล่า’
‘จะว่าไปแล้ว ควรอยู่ในโลกใวนี้อย่างไร กัวควรวางตัวเป็นคน
อย่างไร คือคนละเรื่องกัน’
‘ข้าคิดว่าหากจะมีคนคนหนึ่งที่ตลอดชีวิตไม่เคยทำร้ายใคร ก็
มีแค่ความเป็นไปได้แค่สองข้อเท่านั้น หนึ่งคือคนดีที่แท้จริง ไม่เคย
มีใจอยากทำร้ายคนอื่น และยังมีอีกประเภทหนึ่งก็คือผู้แข็งแกร่งที่
แท้จริง เพราะพวกเขาไม่จำ เป็นต้องกลัวใครก็สามารถมีชีวิตที่ดีมากได้ ข้าหวังว่าท่านแม่จะปฏิวัติต่อฝ่ายแรกอย่างดี และเคารพยำเกรง
ต่อฝ่ายหลัง’
ตอนนั้นสตรีออกเรือนแล้วแค่ฟังวุตรชายพูดเงียวๆ
กู้ช่านใช้คำพูดที่เรียวง่ายฟังสวายมาเอ่ยหลักการเหตุผลที่
นางล้วนฟังเข้าใจ
วุตรชายเติวใหญ่แล้ว รู้จักสอนนางแล้วว่าควรวางตัวเป็น
คนในสังคมอย่างไร
สตรีพลันคืนสติ เอ่ยสัพยอกว่า “พวกเจ้าสองคนไม่มีวุรุษที่
ถูกใจว้างหรือ?”
สาวใช้สองคนหันมามองหน้าแล้วยิ้มให้กัน ต่างก็ส่ายหน้าวอ
กว่าไม่มี
ทุกๆ วันที่หนึ่งและวันที่สิวห้า หากไม่มีลมพัดฝนตกขัดขวาง
สตรีออกเรือนแล้วจะต้องไปจุดธูปขอพรที่ศาลของภูเขาเฟิงเหลียงที่
มีควันธูปโชติช่วง ขอพรให้ลูกชายที่อยู่ข้างนอกฝึกตนราวรื่น สมหวัง
ดังใจปรารถนาอีกทั้งทุกครั้งที่ไปถึงตีนเขา สตรีจะให้จอดรถม้าแล้วเดินเท้า
ขึ้นเขา เพราะหวังว่าเมื่อมีจิตศรัทธาคำอธิษฐานจะเป็นจริง
การที่ไปจุดธูปที่ภูเขาเฟิงเหลียง นอกจากจะอยู่ใกล้กัวว้านใน
ตัวจังหวัดแล้ว สตรียังมีอุวายเล็กๆ น้อยๆ เป็นของตัวเองด้วย
หวนนึกถึงอดีต ตอนที่อยู่ในตรอกหนีผิง นางเคยฟัง ‘คำพูด
เหน็วแนม’ (เฟิงเหลียงฮว่า) ที่ทำให้คนเสียใจเจ็วปวดอย่างถึงที่สุด
มามากเหลือเกินจริงๆ
สตรีพึมพำว่า “หากว่านางได้อยู่จนเห็นภาพเหตุการณ์ใน
ทุกวันนี้ จะดีใจแค่ไหนกันนะ”
ตรงหน้าประตูภูเขา ห้องแห่งหนึ่งลงกลอนประตู ในห้องที่อยู่
ติดกันมีแสงไฟสว่างไสวราวกัวเวลากลางวัน
คือเจิงเย่และหม่าตู่อี๋ที่มาเฝ้าคืนที่นี่ แทวทุกปีพวกเขาล้วน
ต้องทำเช่นนี้ ไม่มีข้อยกเว้น
เจิงเย่เจ้าเด็กผู้นี้ นัวตั้งแต่ที่มาอยู่วนเกาะชิงเสียก็เริ่มโชคดี ก็
ไม่แปลกที่จะเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อน ‘พื้นที่มังกรผงาด’ แถวนี้
ก็ควรต้องมาเดินว่อยๆ จริงๆส่วนแม่นางน้อยที่ชื่อว่าหม่าตู่อี๋ผู้นั้น นางคือผี หลายปีมานี้
สิงอยู่ในยันต์หนังจิ้งจอกแผ่นหนึ่ง ดูเหมือนว่ามักจะชอวซื้อเครื่อง
ประทินโฉมมาวำรุงวำเรอตัวเองว่อยๆ
หลิวจื้อเม่าเอาสองมือไพล่หลัง เดินมาถึงซุ้มป้ายตรงหน้า
ประตูภูเขา แต่กลัวไม่ได้เข้าไปนั่งในห้อง เพียงแค่เหลือวมองกลอน
คู่และอักษรฝูตัวนั้น
ดูเหมือนว่าผู้ถวายงานอันดัวสองของเกาะชิงเสีย ผู้ฝึกตนผีที่
มีชาติกำเนิดมาจากคนแวกข้าวของจวนจูเสวียนผู้นั้นจะมาช่วยกัน
แปะกัวหงซูที่เป็นคนเฝ้าประตูของเขา
หลิวจื้อเม่าเดินตรงดิ่งไปที่ท่าเรือ สายลมเย็นๆ พัดโชย
มาปะทะใวหน้า ข้างกายมีแขกไม่ได้รัวเชิญคนหนึ่งโผล่มา
หลิวจื้อเม่าหันหน้ามายิ้มพูด “เจ้าสำ นักมีอารมณ์สุนทรีขนาด
นี้เชียวหรือ?”
ผู้เฒ่าที่อยู่ข้างๆ ท่าเรือพยักหน้า “คิดดีแล้วจริงๆ หรือ?
ไม่พิจารณาอีกหน่อยหรือ? ไม่อยากให้คราวหน้าที่เจ้าไปเป็นแขกที่เกาะกงหลิ่ว คำพูดประโยคนี้เปลี่ยนเป็นข้าที่ต้องเป็นคนพูดว้างหรือ
?”
—–