กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 954.1 เพื่อนเก่ากลับมาพบเจอกันใหม่
ใต้หล้ามืดสลัว อารามเสวียนตู
ในป่าดอกท้อ นักพรตเฒ่าคนหนึ่งกับเด็กหนุ่มหน้าตาหมดจด
คมคายสวมหมวกหัวเสือเดินเคียงบ่าอยู่ด้วยกัน ด้านหลังมีเจ้าอ้วน
คนหนึ่งตามมาด้วย เขาเหลียวซ้ายแลขวาไปตลอดทาง คอยมองดู
ว่าบนพื้นมีกิ่งท้อที่สามารถเก็บมาได้อยู่หรือไม่
ผู้ฝึกกระบี่ที่ออกเดินทางไกลซึ่งมาจากกำแพงเมืองปราณ
กระบี่กลุ่มนั้นแยกย้ายกันไปอยู่นครเสินเซียวแห่งป๋ายอวี้จิง ตำหนัก
สุ้ยฉูและอารามเสวียนตูในใต้หล้ามืดสลัว
ทางฝั่งของอารามเสวียนตูแห่งนี้ได้แค่ตัวเจ้าอ้วนที่หมกมุ่นใน
ทรัพย์สินมาแค่คนเดียวเท่านั้น แต่ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มถูกชะตากับ
เจ้าอารามผู้เฒ่าอย่างมาก แน่นอนว่าบางทีก็อาจเป็นการถูกชะตา
แบบยอมรับชะตากรรมอย่างหนึ่ง
ถึงอย่างไรตลอดหลายปีมานี้เยี่ยนจั๋วก็แอบอ้างชื่อเสียงของ
เจ้าอารามผู้เฒ่าไปทำการค้าไม่น้อย บุคคลยิ่งใหญ่อย่างอารามเสวียนตูนี้ ภูเขาใต้อาณัติมีมากจนสองมือนับก็ยังนับไม่หมด บวกกับ
ราชวงศ์และแคว้นใต้อาณัติอีกหลายสิบแห่งที่พึ่งพาอารามเสวียนตู
หรือต่อให้พูดถึงแค่สายของอารามเสวียนตูเอง เต้ากวานใต้
การปกครองก็มีมากเกือบแสนคนแล้ว
เจ้าอารามผู้เฒ่าเองก็หลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง
ถึงอย่างไรการไปมาของทรัพย์สินเงินทองพวกนั้นก็ล้วนถือเป็นน้ำดี
ที่ไม่ไหลเข้านาคนอื่น หากว่ามีวันใดเจ้าอ้วนเยี่ยนสามารถไปหลอก
เอาเงินจากป๋ายอวี้จิงมาได้ จะให้มอบกรอบป้ายอักษรทองให้เขาก็
ยังไม่มีปัญหา ถึงขั้นที่ว่าอาจารย์ผู้เฒ่าสามารถให้ลู่เหล่าซานเขียน
ตัวอักษรให้ได้ด้วย
เจ้าอารามผู้เฒ่าเงียบคิดอยู่นาน สุดท้ายก็เลือกจะพูดอย่าง
ตรงไปตรงมา “ป๋ายเหย่ ในอนาคตเจ้ายินดีจะรับหน้าที่เป็นผู้ดูแล
หลักของอารามเสวียนตูหรือไม่?”
ดูเหมือนว่าป๋ายเหย่จะไม่แปลกใจเลยสักนิด เพียงส่ายหน้า
ตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้หรอก”เจ้าอารามผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “รู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นคำตอบนี้
เพียงแค่อดถามไม่ได้ เผื่อว่าจะมีเรื่องไม่คาดคิดนี่นะ”
เจ้าอารามผู้เฒ่าเงียบไปพักหนึ่งก็ถามอีกว่า “ไม่ยินดีเป็น
เจ้าอาราม ตำแหน่งเจียนย่วนที่ต้องดูแลกิจธุระในโลกมนุษย์เป็น
กองพะเนิน ยุ่งยากกว่าเจ้าอารามเสียอีก ก็ยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้แล้ว
ถ้าอย่างนั้นซ่างจั้วล่ะ?”
เจ้าอารามของอารามเต๋าแห่งหนึ่ง จะเป็นแค่รูปธรรมหรือ
นามธรรมก็ได้ หากยินดีจัดการเรื่องราว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็สามารถ
ควบคุมจัดการได้ จะคว้าจับทุกเรื่องเอาไว้ก็ยังไม่เป็นปัญหา ไม่ยินดี
จัดการก็เป็นแค่ยศว่างเปล่า สามารถปล่อยมือยกหน้าที่ให้แก่เจียน
ย่วนของอารามเต๋าได้ ส่วนซ่างจั้ว ถูกขนานนามว่าเป็นเสาคานของ
อารามลัทธิเต๋า มีเพียงเกาเจินผู้บรรลุมรรคาที่มีคุณูปการเกริกก้อง
เชี่ยวชาญเรื่องกฎหมาย เป็นแบบอย่างที่ดีของนักพรตเต๋าเท่านั้น ที่
ถึงจะมารับหน้าที่ได้ อาศัยสิ่งนี้มาแสดงตัวเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่
ฉงหลิน เป็นดวงตาแห่งวิถีฟ้าและวิถีคนมีความคล้ายคลึงกับพรรคบนภูเขาของใต้หล้าไพศาลที่คนผู้
หนึ่งควบตำแหน่งทั้งผู้ถวายงานอันดับหนึ่งและเค่อชิงไปด้วย
ป๋ายเหย่ยังคงส่ายหน้า “ไม่อยากจะแบ่งสมาธิไปสนใจเรื่องอื่น
จริงๆ”
เจ้าอารามผู้เฒ่าทอดถอนใจ “ให้เจ้าไปทำหน้าที่เป็นจื๋อซื่อ
ต่อให้เจ้าป๋ายเหย่ยินดี ผินเต้าก็ยังไม่มีหน้ายกตำแหน่งนี้ให้เจ้า
จะทำให้ใต้หล้ามืดสลัวเห็นเรื่องตลกเสียเปล่าๆ”
อารามเต๋าแห่งหนึ่งที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ นอกจากจะจัดตั้ง
ตำแหน่งจื๋อซื่อใหญ่แปดคนแล้ว ยังต้องมีสามตูห้าจู่สิบแปดโถวด้วย
เยี่ยนจั๋วสังเกตเห็นว่าบรรยากาศค่อนข้างอึมครึม จึงเสนอ
ตัวเอง “เจ้าอารามผู้เฒ่า ตำแหน่งซ่างจั้วอะไรของอารามเต๋า
หากว่าท่านไม่รังเกียจล่ะก็ ผู้เยาว์…”
เจ้าอารามผู้เฒ่าพยักหน้าต่อคำ “รังเกียจ”
เยี่ยนจั๋วไม่ได้เสียสติเสียหน่อย ไหนเลยจะกล้าคาดหวังใน
ตำแหน่งเจ้าอารามและซ่างจั้วของอารามเสวียนตู เพียงแต่เมื่อ
หลายปีก่อนเขาก็เริ่มดีดลูกคิดรางเล็กๆ ไว้แล้ว รู้สึกว่าด้วยมิตรภาพอันลึกล้ำระหว่างตนกับเจ้าอารามผู้เฒ่า ไม่ว่าอย่างไรก็ควรต้องใคร่
ครวญถึงตำแหน่งเจ้าโถงของโถงสือฟางอวิ๋นสุ่ยบ้าง เจ้าโถงนี้
มีหน้าที่รับผิดชอบจัดหาที่พักให้กับนักพรตพเนจรของแต่ละฝ่าย
โดยเฉพาะ แม้จะบอกว่าค่าน้ำร้อนน้ำชามีไม่มาก แต่เยี่ยนจั๋วย่อม
มีวิธีการของตัวเองที่จะเปิดเส้นทางทำเงิน แน่นอนว่าไม่ใช่เงินที่
ได้มาโดยมิชอบ
เจ้าอารามผู้เฒ่าพลันเอ่ยว่า “เจ้าอ้วนเยี่ยน วันใดที่เจ้าเลื่อน
เป็นขอบเขตหยกดิบ ผินเต้าก็จะหาโอกาสเปิดการประชุมในศาล
บรรพจารย์สักครั้ง ถือโอกาสแนะนำให้เจ้าได้เป็นจื๋อซื่อของห้อง
บัญชี แต่ตกลงกันไว้ก่อนว่า ผินเต้าไม่ได้จัดการกิจธุระมานานมาก
แล้ว บารมีในอารามไม่มากพอ ไม่แน่เสมอไปว่าจะสำ เร็จหรอกนะ
วันนี้เจ้าก็แค่ฟังผ่านหูไป ไม่ต้องเก็บไปใส่ใจมากนัก หากว่าสำ เร็จได้
ย่อมดีที่สุด แต่หากไม่ได้เป็นก็อย่าโทษว่าผินเต้าพึ่งพาไม่ได้ล่ะ”
เยี่ยนจั๋วถูมือยิ้มกล่าว “ข้าเข้าใจ ข้าเข้าใจ ได้เลย ได้เลย”
จื๋อซื่อห้องบัญชีซึ่งเป็นหนึ่งในแปดจื๋อซื่อใหญ่ ด้วยขนาดอัน
ใหญ่โตมโหฬารและรากฐานอันลึกล้ำของอารามเสวียนตู ตำแหน่งนี้ก็พอๆ กับการได้เป็นเจ้ากรมคลังของราชวงศ์ใหญ่ล่างภูเขาแห่ง
หนึ่งแล้ว
เจ้าอารามผู้เฒ่าหันหน้าไปมองมุมหนึ่งแล้วก็ขอตัวลา ป๋ายเห
ย่ทำท่าจะพูดแต่ไม่พูด เจ้าอารามผู้เฒ่ายิ้มอย่างเข้าใจ “หากว่า
มีโอกาส ชดเชยด้วยการปลูกดอกท้อก็แล้วกัน”
เจ้าอารามผู้เฒ่าหดย่อพื้นที่ เดินก้าวเดียวก็มาถึงจุดอื่นในป่า
ท้อ ริมลำธารมีนักพรตหญิงที่เส้นผมทั้งศีรษะเป็นสีขาวโพลน
แต่กลับมีใบหน้าเป็นเด็กสาวคนหนึ่งยืนอยู่
เจ้าอารามผู้เฒ่าก้มหัวคารวะ เอ่ยเสียงทุ้มหนัก “ศิษย์พี่หญิง”
เด็กสาวเพียงแค่ผงกศีรษะรับ ครั้นจึงแหงนหน้ามองฟ้า
อารามเสวียนตูป่าวประกาศให้ภายนอกรู้ว่านางปิดด่านอยู่
ตลอด
อันที่จริงนางออกเดินทางท่องไปทั่วสารทิศ ทุกวันนี้บุญกุศล
คุณูปการครบถ้วนสมบูรณ์แล้วถึงได้หวนกลับมายังอารามเสวียนตู
รอคอยเวลาเหมาะๆ อย่างเงียบเชียบ แค่รอให้ฝนตกลงมา
เท่านั้นเป็นทั้งแผนการลึกล้ำยาวไกลที่เตรียมการมาก่อนล่วงหน้า
และก็เป็นการกระทำอันจนใจที่ไม่ได้ตัดสินใจด้วยตัวเอง
ดังนั้นการเผยกายครั้งนี้ก็ไม่ใช่ว่าต้องการวางมาดของศิษย์พี่
หญิงอะไรกับเสี่ยวซุน
‘เด็กสาว’ ถอนสายตากลับมา ก้มหน้าลงมองลำธาร พึมพำว่า
“ดอกท้อปลิวปรายสายน้ำไหลพากันจากไปไกล”
ประโยคนี้มาจากบทมนุษย์ธรรมดาถามภูเขาตอบของป๋ายเหย่
นางมีนามว่าหวังซุน ฉายา ‘คงซาน’ เคยเป็นเต้ากวานที่ได้รับ
การยอมรับว่าคุณสมบัติดีเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ของอาราม
เสวียนตู ถึงขั้นสามารถพูดได้ว่าศิษย์น้องทั้งหลาย นับตั้งแต่เด็ก
มาต่างก็ถูกนางซ้อมจนเติบใหญ่ คนหนึ่งในนั้นก็มีซุนไหวจง
เจ้าอารามในทุกวันนี้
เรียนรู้หลักธรรมตั้งแต่อายุยังน้อย คือคำชื่นชมที่โลกภายนอก
มีต่อนาง ผมขาวไม่ประสบความสำ เร็จ คือคำวิจารณ์ที่นางมีต่อ
ตนเองนอกหอกว้านเชวี่ยของตำหนักสุ้ยฉู น้ำในแม่น้ำไหลเชี่ยวกราก
ซัดไปทางตะวันตก มีเสาหินกลางกระแสน้ำที่เป็นหนึ่งในหินพัก
มังกรซึ่งมีอยู่ไม่มากของบนโลก บนก้อนหินมีสิ่งปลูกสร้างตั้ง
เรียงราย อักษรแกะสลักบนหน้าผามีมากมาย
ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดเฒ่าเฉิงเฉวียน เวลานี้ยืนอยู่ริมหน้าผา
ชมน้ำอยู่กับคนรู้จักเก่าคนหนึ่ง เพียงแต่ว่าทั้งสองฝ่ายความสูง
ต่างกันมาก ข้างกายของผู้ฝึกกระบี่เฒ่าคือเด็กน้อยที่ใบหน้า
อ่อนเยาว์ทว่าบุคลิกเหมือนคนแก่
ก็คือน่าหลันเซาเหว่ยหนึ่งในสิบเซียนกระบี่บนยอดเขาสูงสุด
ของกำแพงเมืองปราณกระบี่
เมื่อเทียบกับเฉาซีแห่งนครบินทะยานแล้ว เขา ‘เผยกายบนโลก
’ ช้ากว่าเล็กน้อย เพียงแต่เพราะทางฝั่งของตำหนักสุ้ยฉูนี้เกรงใจกัน
มากเกินไปจริงๆ ระดมกำลังใหญ่โตช่วยตามหาคราบร่างเซียนของ
ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานร่างหนึ่งให้กับเขา อีกทั้งยังเป็นคราบ
ร่างอันล้ำค่าที่ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งทิ้งไว้หลังจากสละร่างไปจากโลกใบ
นี้หอสูงริมสายน้ำมีเต้ากวานหนุ่มคนหนึ่งยืนพิงราวรั้ว ทั่วร่าง
ของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายตำรา มองไปยังฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำ
สายตาเหม่อลอย แม่น้ำสายหนึ่งดุจดั่งปราการธรรมชาติกั้นขวาง
ด้านหนึ่งเหมือนฝูงมดที่รวมตัวกัน อีกด้านหนึ่งอยู่อย่าง
โดดเดี่ยว เพราะในสายตาของคนผู้นี้ แม่น้ำสายนี้ก็เหมือนเส้นแบ่ง
เขตเส้นหนึ่งที่ด้านหนึ่งคือผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ อีกด้านหนึ่งคือ
สรรพชีวิตที่มีสติปัญญาซึ่งขอบเขตต่ำกว่าขอบเขตสิบสี่ลงไป
น่าหลันเซาเหว่ยเหลือบมองเต้ากวานหนุ่มที่อยู่ตรงหอกว้าน
เชวี่ย เหมือนบัณฑิตอย่างมาก จึงพูดชวนคุยว่า “ผู้ฝึกตนของ
ตำหนักสุ้ยฉู หากไม่ได้ปิดด่านก็เตรียมตัวจะปิดด่าน แต่ทำไมถึงได้
เห็นเจ้าหมอนี่ขึ้นหอมาเดินเล่นที่นี่บ่อยๆ”
เฉิงเฉวียนกล่าว “เขาชื่อเกาผิง มีสองฉายาคือ ‘ไท่หัง’ และ
‘โจ่วเกอ’ ฟังดูประหลาดไปสักหน่อย เกาผิงคือเต้ากวานจ่างจี๋ของ
ตำหนักสุ้ยฉู ดูเหมือนว่าจะอยู่ในตำแหน่งมาหลายปีโดยที่ไม่ได้
เลื่อนขั้น รับผิดชอบเรื่องการบันทึกเอกสารและการยื่นคำร้องขอ
หนังสือรับรองการออกบวช แต่นอกจากเกาผิงจะมีสถานะจ่างจี๋ที่ถูกต้องแท้จริงแล้ว ดูเหมือนยังได้รับตำแหน่งขุนนางอีกอย่างหนึ่งที่
มีเฉพาะในตำหนักสุ้ยฉูอย่างตำแหน่ง ‘เหวินเซวี๋ย’ ด้วย เอาเป็นว่าก็
คือตำแหน่งที่เมื่อก่อนข้าไม่เคยแม้แต่จะได้ยินมาก่อนก็แล้วกัน
หากว่าใต้เท้าอิ่นกวานอยู่ที่นี่ เขาต้องเข้าใจเรื่องราววกวนอ้อมค้อม
พวกนี้แน่นอน”
น่าหลันเซาเหว่ยพยักหน้า “คือตำแหน่งขุนนางเก่าแก่ตำแหน่ง
หนึ่งของทางฝั่งใต้หล้าไพศาล มีประวัติความเป็นมาค่อนข้าง
ยาวนาน หมวกขุนนางเล็กมาก แต่หากไม่มีความรู้บ้างเลยต้อง
ไม่มีทางเป็นขุนนางตำแหน่งนี้ได้แน่นอน ทว่าทุกวันนี้ไม่ค่อยใช้กัน
แล้ว”
เฉิงเฉวียนมองน่าหลันเซาเหว่ยด้วยสีหน้าตกตะลึง
น่าหลันเซาเหว่ยยิ้มด่าว่า “สายตาอะไรของเจ้า ข้าผู้อาวุโส
เข้าใจความเป็นมาของ ‘เหวินเซวี๋ย’ มีอะไรน่าแปลกใจกัน ทำราวกับ
ค้นพบว่าเจ้าเด็กเฉินผิงอันนั่นจะไม่รู้เสียอย่างนั้น”
เฉิงเฉวียนหัวเราะร่า “หากจะพูดถึงด้านเวทกระบี่ เจ้า
สูงส่งกว่าใต้เท้าอิ่นกวานระดับหนึ่งชั่วคราว ข้อนี้ข้ายอมรับ แต่หากจะเทียบกันเรื่องน้ำหมึกในท้องกลับมิอาจเทียบได้จริงๆ เจ้าก็แค่
ประจวบเหมาะรู้พอดีเท่านั้น”
น่าหลันเซาเหว่ยเปลี่ยนเรื่อง “เจ้าเคยพูดคุยกับเขามาก่อน
หรือ?”
เฉิงเฉวียนพยักหน้า “เคยเจอกันในหอและริมน้ำอยู่หลายครั้ง
คือน้ำเต้าตันคนหนึ่ง คุยกันไม่มาก เกี่ยวกับเขา ตำหนักสุ้ยฉู
มีข่าวลือบางอย่าง เขาแค่คุยถูกคอกับคนเฝ้าคืนที่มีชื่อเล่นว่าเสี่ยว
ป๋ายเท่านั้น ดูเหมือนจะชอบเล่นหมากล้อม มีบางครั้งเจ้าตำหนักอู๋ก็
มาเล่นด้วย แต่ก็มีกฎประหลาดอยู่ข้อหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายจะวางหมาก
แค่สี่สิบเม็ดแรกเท่านั้น”
น่าหลันเซาเหว่ยพยักหน้า “ปีนั้นข้าก็มักจะเล่นกับพวกซุนจวี้
เฉวียนบ่อยๆ ชนะมากแพ้น้อย”
เฉิงเฉวียนถาม “เจ้ารู้เรื่องเส้นสายที่อยู่บนกระดานหมากจริงๆ
หรือ?”
น่าหลันเซาเหว่ยหัวเราะอย่างฉุนๆ “เจ้านี่มันปากหมาจริงๆ”
เฉิงเฉวียนยิ้มกล่าว “มาลองประมือกันดูสักหน่อยไหมล่ะ?”น่าหลันเซาเหว่ยไม่สนใจยอดฝีมือในการด่าสามอันดับแรก
ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ผู้นี้ เพียงแค่มองไปยังเต้ากวานจ่างจี๋ที่
มีรูปโฉมเป็นคนหนุ่มผู้นั้น หากมีโอกาสจะต้องไปเล่นหมากล้อมกับ
เขาสักหน่อย
ทางฝั่งของหอกว้านเชวี่ย เกาผิงใช้เสียงในใจยิ้มบางๆ เอ่ยว่า
“วันไหนเซียนกระบี่น่าหลันมีเวลาว่างแล้วก็สามารถมาเป็นแขกที่นี่
ได้ ข้าอยากจะร่วมทบทวนกระดานหมากในศึกครั้งสุดท้ายของ
กำแพงเมืองปราณกระบี่กับเซียนกระบี่น่าหลันดูสักครั้ง”
น่าหลันเซาเหว่ยยิ้มเอ่ย “ข้าไม่เข้าใจเรื่องเลื่อนลอยพวกนั้น
หรอก เจ้าหาผิดคนแล้ว เจ้าต้องไปคุยเรื่องนี้กับกลุ่มคนหนุ่มสาว
ของคฤหาสน์หลบร้อนต่างหาก”
เกาผิงยิ้มบางๆ “เซียนกระบี่น่าหลันถ่อมตัวแล้ว ก็แค่การวาง
กลยุทธบนหน้ากระดาษเท่านั้น”
น่าหลันเซาเหว่ยไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ
เกาผิงก้มหัวคารวะแล้วหมุนตัวเดินเข้าไปในหอกว้านเชวี่ย พอ
ปิดประตูลงแล้ว ในการมองเห็นของเต้ากวานจ่างจี๋ผู้นี้ก็คือภาพสถานการณ์ของเก้ามณฑลภาพหนึ่ง ซึ่งแทบทุกปีจะต้อง
มีการเปลี่ยนแปลงอันละเอียดอ่อนเกิดขึ้น
ในอนาคตเมื่อตำหนักสุ้ยฉูไปถามมรรคาที่ป๋ายอวี้จิง ตัวของ
เจ้าตำหนักอู๋ซวงเจี้ยงเอง บางทีอย่างมากสุดอาจได้ยึดครองแค่ครึ่ง
เดียว
ส่วนอีกครึ่งนั้นก็คือเก้ามณฑลของใต้หล้าซึ่งถูกควบรวมอยู่ใน
ภาพนี้
สายลมพัดพาหิมะปลิวปรายสุดลูกหูลูกตา เกล็ดหิมะใหญ่เท่า
ฝ่ามือ
ภิกษุชุดม่วงคนหนึ่งเปลือยเท้าย่ำเหยียบลงไปบนพื้นหิมะ
แต่กลับไร้ร่องรอยทิ้งเอาไว้ เขาเดินอยู่บนเส้นชายแดนของสอง
มณฑลเพียงลำพัง มาถึงสถานที่แห่งหนึ่งที่ปราณวิญญาณบางเบา
จนแทบจะเป็นพื้นที่แร้นแค้น ทอดมองไปยังหน้าผาของภูเขาแห่ง
หนึ่ง
ในภูเขามียอดฝีมือบำเพ็ญเพียรเก้าสิบชาติภพ นั่งนิ่งอยู่ในภูเขาลึก พันสารทหมื่น
กาล ลมพัดกระโชกมิร่วงหล่น
เจียงซิวที่บอกลาเหยาชิงเสนาบดีรูปงามแล้วออกมาจาก
ราชวงศ์ชิงเสิน ต้องการมาฟังความเห็นของอีกฝ่ายที่นี่
เมื่อได้รับคำตอบที่มีความหมายสองนัยนั้นแล้ว เจียงซิวก็แค่
ยิ้มรับ แล้วออกเดินทางต่ออีกครั้ง
เข้ามาในอาณาเขตของมณฑลโยวโจวอย่างเงียบเชียบ
ในเขตจู๋ลู่ที่เล่าลือกันว่าเคยเป็นซากปรักของสนามรบ
บรรพกาลห่างไกลมีสถานที่แห่งหนึ่งชื่อว่าค่ายเจี่ยหม่า มีสะพาน
ข้ามลำคลองฉานเหออยู่แห่งหนึ่ง
สตรีของหมู่บ้านชนบทคนหนึ่งเดินออกมาจากตรอกถงถัว
แบกคานหาบเดินข้ามสะพาน
สองด้านของคานหาบห้อยตะกร้าไม้ไผ่ไว้สองใบ ในตะกร้า
มีเด็กสองคนนั่งอยู่
เจียงซิวยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “นี่คือแบกบรรพบุรุษสองคนอยู่หรือ”ในอาณาเขตห่างไกลของมณฑลโยวโจว อารามเต๋าขนาดเล็ก
แห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าจู้ซวี
บนถนนที่ไม่กว้างขวางนักนอกประตู ตรงมุมถนนมีแผงหนังสือ
แห่งหนึ่งตั้งอยู่ มีทั้งนิยายการผจญภัยในยุทธภพ หนังสือภาพ
หนังสือภาพชุด แค่ให้เช่าไม่ขาย จ่ายเหรียญทองแดงเหรียญเดียวก็
สามารถอ่านหนังสือได้หนึ่งเล่ม
บนม้านั่งสูงๆ ต่ำๆ มีเด็กน้อยสวมกางเกงเปิดก้นส่วนหนึ่งนั่ง
อยู่ แล้วก็มีพวกคนหนุ่มที่เอ้อระเหยลอยชายไม่ทำการทำงานอีก
สองสามคนนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงนั้นพลางพูดจาทะลึ่งตึงตังกันไป
ด้วย
เจ้าของแผงคือนักพรตหนุ่มที่มีใบหน้าขาวนวล คิ้วเข้มตาโต
เรือนกายกำยำล่ำสัน มีชื่อว่าเหมาจุย ตอนนี้ยังไม่มีฉายา
อารามจู้ซวีคืออารามเล็กในอำเภอเล็กๆ นกกระจอกแม้ตัว
จะเล็กแต่ก็มีอวัยวะครบถ้วนสมบูรณ์ เหมาจุยก็คือเตี่ยนจ้าวของ
อารามเต๋าขนาดเล็กแห่งนั้น หรือก็คือคนที่ทำหน้าที่ดูแลเรื่อง
อาหารการกินแต่จะดีจะชั่วก็เป็นเต้ากวานน้ำใสคนหนึ่ง ยามเดินอยู่บนถนน
ถูกคนเรียกขานก็สามารถเติมคำว่า ‘นายท่าน’ เข้าไปได้
ส่วนอาจารย์ของเขาก็ยิ่งเป็นนักพรตจือเค่อ (นักพรตที่
ทำหน้าที่รับรองแขก) ของอาราม ตำแหน่งฐานะเป็นรองแค่
เจ้าอารามและเจียนย่วน คือบุคคลมีอำนาจอันดับสาม
นักพรตหนุ่มมาตั้งแผงหนังสืออยู่ที่นี่ อันที่จริงก็ได้เงินมาไม่
เท่าไร ตอนที่อายุยังน้อยเคยเป็นคนวิ่งขึ้นเขา ขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร
จับตะขาบ ถักกรงจิ้งหรีด ไม่ว่างานอะไรที่หาเงินได้ก็ล้วนยอมทำ
ทั้ง
หมด
ตามหลักแล้ว เขาเป็นเต้ากวานคนหนึ่ง อีกทั้งรูปโฉมก็ไม่เลว ก็
ไม่น่าจะถึงขั้นเป็นชายโสด แต่ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าพวกเพื่อนบ้านต่างก็
พูดกันว่านายท่านเตี่ยนจ้าวแซ่เหมาผู้นี้ดูเหมือนสมองจะไม่ค่อย
สมประดี มักจะนั่งเหม่อลอยเป็นประจำ หรือไม่บางทีนั่งกินข้าว
อยู่ดีๆ ก็น้ำตาไหลอาบเต็มใบหน้า ปัญหาคือเขาไม่ได้ส่งเสียงร้อง
ด้วย นานวันเข้าจึงไม่มีใครกล้ามาเจรจาเรื่องแต่งงานด้วยไม่อย่างนั้นนายท่านเต้ากวานที่มีหนังสือรับรองการออกบวช มีใคร
บ้างที่ไม่ใช่หนุ่มเนื้อหอมเป็นที่นิยม
บนฝ่ามือของเหมาจุยมีเนื้อหมักซีอิ๊วชิ้นหนึ่งที่วางไว้บน
กระดาษห่อน้ำมัน ด้านในใส่กระเทียมไว้เจ็ดแปดกลีบ เขากำลัง
เคี้ยวอย่างละเอียดและกลืนช้าๆ
บนถนนมีนักพรตหนุ่มคนหนึ่งเดินมา บนศีรษะสวมหมวกหุน
หยวนขอบกลมปีกแข็ง เผยให้เห็นมวยผมและหยกไม้หยางมู่ที่เสียบ
ขวางไว้ในแนวนอน
นักพรตต่างถิ่นหยุดเดิน เงยหน้ามองกรอบป้ายของอารามเต๋า
ขนาดเล็กแล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อี้อิ๋งจู้ซวี ใช้สิ่งที่เหลืออยู่มาชดเชย
สิ่งที่ขาด ช่างกล่าวได้ดีจริงๆ”
หลักแห่งการรักษาความเต็มสมบูรณ์ คือใช้การควบคุมและ
ลดทอนความเสียหาย จึงจะหลีกเลี่ยงความผิดพลาดยิ่งใหญ่
ความผิดพลาดแห่งจักรวาลได้
นักพรตหนุ่มหันหน้าไปยิ้มมองเหมาจุยแคว้นเล็กในมณฑลใหญ่ อำเภอเล็กในเขตการปกครองใหญ่
ในอารามเต๋าเล็กๆ แห่งหนึ่ง กลับมีผู้ฝึกตนใหญ่เช่นนี้อยู่
ไม่ใช่ ‘กลับมี’ แต่ต้องเป็น ‘กลับเป็น’
เพราะทุกคนในอารามเต๋ากับตัวของอารามเต๋าเอง ล้วน
มาจากการจำ แลงของนักพรตผู้นี้
เหมาจุยหันหน้ามามองนักพรตหนุ่มแล้วถอนหายใจ “เก็บแผง
แล้ว”
พวกเด็กๆ ไม่พอใจกันขึ้นมาทันที เหมาจุยจึงได้แต่พูดว่า
“คราวหน้าทุกคนสามารถอ่านหนังสือได้สามเล่มโดยไม่ต้องจ่ายเงิน
”
ถึงอย่างไรก็ไม่มีครั้งหน้าอีกแล้ว
พวกเด็กๆ อารมณ์ดีทันใด พากันแยกย้ายไปด้วยความเต็มใจ
ส่วนพวกคนหนุ่มทั้งหลายก็ไม่ได้ถือสาอะไร แค่สบถไม่กี่คำ
ตามความเคยชินแล้วเดินจากไป หลักๆ แล้วเป็นเพราะรู้สึกว่า
นักพรตต่างถิ่นคนนั้นไม่น่าจะใช่คนดีอะไรนักพรตหนุ่มยิ้มถาม “เปลืองแรงตั้งมากมายกว่าจะหาที่แห่งนี้
พบ หรือว่าเจ้าลัทธิลู่หาเจ้าไม่พบ”
เหมาจุยเอ่ย “ไม่ใช่ว่าเขาหาข้าไม่พบ แต่เป็นเพราะตอนนี้ยัง
ไม่จำ เป็นต้องตามหาข้า”
นักพรตหนุ่มยิ้มกล่าว “ถึงอย่างไรก็เหมือนกัน ล้วนเป็นผินเต้า
ที่มาถึงก่อน”
“ราชวงศ์ชิงเสินคุ้มครองเจ้าไม่ได้หรอก เหยาชิงมีเรื่องให้ต้อง
กังวลมากเกินไป ขอบเขตก็ขาดความหมายบางอย่างไป ดังนั้นจึง
มาบอกกล่าวกับผินเต้า”
“ภูเขาตี้เฝ่ยของผินเต้า เมื่อเปิดใช้ค่ายกลใหญ่ แล้วเจ้าไปหลบ
อยู่ในถ้ำ ของบรรพจารย์ตำหนักหัวหยาง คุ้มครองเจ้าเป็นเวลา
หนึ่งร้อยปี คิดดูแล้วน่าจะไม่เป็นปัญหามากนัก ถึงอย่างไรค่าใช้จ่าย
ทั้ง
หมดในการเปิดใช้ค่ายกลใหญ่ของภูเขา ผินเต้าก็สามารถไปเบิก
เอากับราชวงศ์ชิงเสินได้”
เหมาจุยหัวเราะเสียงเย็น “เจ้าไม่กังวลว่านาทีถัดไปเขาจะ
มาโผล่อยู่ตรงหน้าหรือ?”“หนึ่งเพราะพรสวรรค์ในด้านค่ายกลและวิธีการในการอำพราง
เจตนารมณ์สวรรค์ของผินเต้าต่างก็ไม่ถือว่าแย่”
——