กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 954.2 เพื่อนเก่ากลับมาพบเจอกันใหม่
นักพรตหนุ่มเดินไปทางแผงแล้วนั่งลงบนม้านั่งยาวตัวหนึ่ง ยิ้ม
บางๆ เอ่ยว่า “อีกอย่าง ฝ่ายที่ ‘วางท่าชัดเจนว่า’ ไม่ถูกกับป๋ายอวี้
จิงก็มีอารามเสวียนตูและตำหนักสุ้ยฉูแล้ว หากจะเพิ่มภูเขาตี้เฝ่ย
เข้าไปอีกแห่งหนึ่งก็ไม่ถือเป็นอะไร ก็ผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงนี่นะ”
รากฐานกองกำลังแคว้นบางแห่งในมณฑลโยวโจวไม่ด้อยไป
กว่าแคว้นใหญ่ของราชวงศ์ชิงเสินมณฑลปิงโจวเลย ในบรรดานั้นก็
มีสกุลหยางหงหนงที่นับแต่โบราณมาก็เป็นบุคคลสำ คัญของ
ราชสำ นักมาโดยตลอด และแต่ไหนแต่ไรมาสกุลหยางก็คือผู้มีจิต
ศรัทธารายใหญ่สุดของตำหนักหัวหยาง ไม่เพียงแค่เงินค่าควันธูป
เท่านั้น เต้ากวานมากมายของภูเขาตี้เฝ่ยก็ล้วนมาจากสกุลหยางหง
หนงทั้งสิ้น
ขอแค่ตกไปอยู่ในมือของป๋ายอวี้จิงภายในเวลาร้อยปีที่ใคร
บางคนนั่งบัญชาการณ์ คนที่จะมีโทษหรือไม่มีโทษก็ได้ ล้วนต้องถูก
ลงโทษอย่างหนัก คนที่จะฆ่าหรือไม่ฆ่าก็ได้ล้วนต้องถูกฆ่าอันที่จริงเรื่องพวกนี้ก็ไม่ถือเป็นอะไรได้ เพราะถึงอย่างไรไม่ว่า
ใครก็รู้ชัดเจนดีว่า บ้างสังหารบ้างลงโทษอย่างรุนแรงในแต่ละครั้งที่
ผ่านๆ มานั้น นอกจากจะว่ากันไปตามเนื้อผ้าแล้ว ยังเน้นย้ำในคำว่า
‘อบรมสั่งสอนไม่เข้มงวด คือความผิดของอาจารย์’ ด้วย จะให้ภูเขา
ทั้ง
ลูกก้มหัวให้ก็ไม่นับเป็นอะไรได้ ภูเขาตี้เฝ่ยเคยมีคนหนุ่มคนหนึ่งที่
ถูกถอดถอนหนังสือรับรองการออกบวชของใต้หล้า ไม่อาจรับ
ตำแหน่งเต้ากวานได้ตลอดไป เขาไม่ยอมรับคำตัดสินนี้ ไม่ใช่เพื่อตัว
เขาเอง แต่เพื่ออาจารย์และภูเขา ยืนกรานจะทวงความเป็นธรรม
จากเต๋าเหล่าเอ้อให้จงได้
และคนผู้นี้ก็ไม่เพียงแต่มีชาติกำเนิดจากสกุลหยางหงหนง ยัง
เป็นลูกศิษย์คนเล็กสุดของ ‘นักพรตหนุ่ม’ ผู้นี้ด้วย
ผลคือพิพาทกันไปรอบหนึ่ง อดีตเต้ากวานสกุลหยางคนนั้น
ไม่เพียงแต่ได้โทษทัณฑ์เพิ่มมาอีกหนึ่งเท่าตัว ยังเดือดร้อนให้ตระกูล
ถูกประนามว่า ‘บุตรไม่กตัญญู เป็นความผิดของบิดา’ ไม่ถึงขั้นทำให้
สกุลหยางหงหนงได้รับบาดเจ็บกระเทือนไปถึงเส้นเอ็นและกระดูก
แต่อย่างน้อยที่สุดพลังชีวิตก็เสียหายไปส่วนหนึ่งปีนั้นนักพรตเฒ่าที่มากด้วยคุณธรรมและชื่อเสียงโด่งดัง ผู้ที่
เป็นหนึ่งในสิบคนของใต้หล้ามืดสลัว ครั้งนั้นเขายืนอยู่ริมอาณาเขต
ของป๋ายอวี้จิง มองห้านครสิบสองหอเรือนของป๋ายอวี้จิงอยู่ไกลๆ
และเขาก็คือบรรพบุรุษของตำหนักหัวหยางภูเขาตี้เฝ่ย เกากู
ฉายา ‘จวี้เยว่’ เป็นที่ยอมรับว่าคือบุคคลอันดับหนึ่งด้านการหลอม
โอสถของหลายใต้หล้า
เหมาจุยส่ายหน้า “เจ้ายังคงดูแคลนคนผู้นั้นมากเกินไป”
เกากูยิ้มบางๆ กล่าว “ไม่สู้เปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ เป็นเกากูที่
ประเมินตัวเองสูงเกินไป (เกากู) ?”
เหมาจุยกระตุกมุมปาก “คำกล่าวนี้ฟังแล้วตลกไม่เบา”
“นักพรตฉุนหยางเคยกล่าวไว้ว่า โอสถทองหนึ่งเม็ดอยู่ที่ท้อง
ของข้า เพื่อให้รู้ว่าชีวิตของข้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับสวรรค์”
เกากูกล่าว “พวกเราโชคดีได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทั้งยังสามารถ
เดินขึ้นเขาฝึกตน เรื่องที่แสวงหา พูดให้ถึงที่สุด สืบสาวราวเรื่องกัน
แล้ว ก็เพื่อรักษาความเป็นมนุษย์เอาไว้ ส่วนเจ้า ป๋ายกู่เจินเหรินถึงอย่างไรก็ไม่เหมือนซากศพเดินได้ เพราะแสวงหาความเป็นมนุษย์
หมายพิสูจน์มรรคาของตัวข้าเอง สหาย เห็นด้วยหรือไม่?”
เหมาจุยเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “รอให้ข้ากินเนื้อหมักซีอิ๊ว
และกลีบกระเทียมให้หมดก่อน”
……
เขตอวี้จางจังหวัดหงโจวต้าหลีได้ก่อตั้งศูนย์ตัดต้นไม้ขึ้น
มาใหม่
และจังหวัดอวี๋โจวที่อยู่ติดกับจังหวัดหงโจว ก่อนหน้านี้ก็ได้
ก่อตั้งสำ นักทอผ้า หน้าที่หลักคือดูแลควบคุมเครื่องใช้ทุกชนิดที่
จำ เป็นต้องถักทอซึ่งขุนนางและเชื้อพระวงศ์ในอาณาเขตของจังหวัด
ใช้งาน ขุนนางหลักรุ่นแรกคือขุนนางหนุ่มคนหนึ่งที่มีชื่อว่าหลี่เป่า
เจิน มีชาติกำเนิดมาจากสนามรบ มีคุณความชอบด้านบู๊ติดตัว ทว่า
แม้แต่ผู้ว่าของจังหวัดก็ยังไม่มีคุณสมบัติที่จะตรวจสอบเอกสารของ
คนผู้นี้
ตอนที่หลี่จือจ้าว (จือจ้าวคือชื่อตำแหน่ง หมายถึง การทอผ้า
การผลิตผ้า) ดำรงตำแหน่งได้พาผ
ู้ติดตามมาด้วยแค่สองคน ให้มารับหน้าที่เป็นขุนนางผู้ช่วยในที่ว่าการสำ นักทอผ้า ล้วนแซ่จูทั้งคู่
ในอาณาเขตจังหวัดอวี๋โจวของต้าหลี จากบันทึกของ
อักขรานุกรมท้องถิ่น ในช่วงอวี๋จง (หรือยามซื่อ เวลาเก้าโมงเช้าถึง
สิบเอ็ดโมงเช้า) ใกล้กับเวลาเที่ยงวันของทุกวัน อยู่ดีๆ จะมีเสียง
กัมปนาทเหมือนเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ด้วยเหตุนี้
จึงได้ชื่อว่าจังหวัดอวี๋โจว
กลางดึกของคืนนี้ หลี่เป่าเจินขุนนางจือจ้าวนำพาขุนนางผู้ช่วย
สองคนของที่ว่าการแวะมาเยี่ยมเยือนศูนย์ตัดต้นไม้ของเขตอวี้
จางด้วยกัน
กลุ่มคนสามคนมาพบหลินเจิ้งเฉิง หลี่เป่าเจินยึดหลักของ
ผู้เยาว์ประสานมือคารวะ “ท่านอาหลิน หลานละลาบละล้วง
มาเยี่ยมเยียนท่านแล้ว”
หลินเจิ้งเฉิงที่นั่งเฝ้าคืนอยู่ข้างกระถางไฟในห้องหนังสือ
เพียงแค่ผงกศีรษะรับเท่านั้น
เห็นว่าหลี่เป่าเจินคล้ายจะยืนพูดต่อ หลินเจิ้งเฉิงจึงหยิบที่เขี่ย
ถ่านมาขยับถ่านไม้สองสามที แล้วยื่นมือมากดลงบนความว่างเปล่าบอกเป็นนัยแก่แขกทั้งสามคนว่าอย่ามัวยืนอยู่เลย “ถึงอย่างไรคืนนี้ก็
ไม่คุยเรื่องงาน ล้วนเป็นคนบ้านเดียวกัน นั่งลงคุยกันตามสบายเถอะ
”
อันที่จริงด้วยสถานะของทั้งสองฝ่าย ไม่สามารถพูดคุยเรื่อง
การงานอะไรได้ สำ นักทอผ้าของอวี๋โจวและศูนย์ตัดต้นไม้ของหงโจว
ที่ก่อตั้งขึ้นใหม่ คล้ายคลึงกับที่ว่าการผู้ตรวจการงานเตาเผาของเขต
หลงเฉวียนในช่วงแรกเริ่มสุด ต่างก็ถือว่าเป็นองค์กร ‘ล่าง’ ชนิดหนึ่ง
ของราชสำ นักต้าหลี การถวายฎีการลับของที่ว่าการสามารถตรง
สู่โอรสสวรรค์ได้เลย หากขุนนางหลักของทั้งสองหน่วยงาน
มีการไปมาหาสู่กันเป็นการส่วนตัว วางแผนลับทำอะไรบางอย่าง
ถือเป็นข้อต้องห้ามใหญ่หลวงในวงการขุนนาง แต่การคบค้าสมาคม
กันทั่วไปก็ไม่จำ เป็นต้องจงใจวางตัวห่างเหินกันมากนัก ส่วนการกะ
ระยะห่างระหว่างนี้ก็ต้องดูที่ตบะที่แต่ละคนฝึกปรือมาในสายงาน
ของตัวเองแล้ว ก็เหมือนอย่างการพบเจอกันในคืนนี้ หลินเจิ้งเฉิงและ
หลี่เป่าเจินต่างก็เป็นฝ่ายจดลงบันทึกด้วยตัวเอง อีกทั้งต่อให้พวกเขาจงใจปิดบัง สำ นักทอผ้าหรือไม่ก็ศูนย์ตัดต้นไม้ก็จะต้อง
มีขุนนางบางคนที่ทำให้ฮ่องเต้ทราบเรื่องนี้ได้อยู่ดี
ตามประมวลกฎหมายใหม่ของต้าหลี สำ นักทอผ้าของอวี๋โจว
มีระดับขั้นสูงกว่าศูนต์ตัดไม้ของเขตอวี้จางระดับใหญ่ หลี่เป่าเจินที่
เป็นขุนนางหลักของสำ นักทอผ้า ยศขุนนางคือระดับสี่ชั้นโท บวกกับ
อำนาจในทางลับบางอย่าง จะบอกว่าหลี่จือจ้าวเป็นขุนนางใหญ่ใน
เขตศักดินาครึ่งตัวก็ไม่เกินจริงแม้แต่น้อย
คนทั้งสี่นั่งล้อมวงกันรอบกระถางไฟ บนกระถางไฟวาง
ตะแกรงเหล็กอันหนึ่งเอาไว้ ย่างเหนียนเกา (เค้กข้าวหรือขนมเข่ง)
และก้อนเต้าหู้จนเริ่มกลายเป็นสีเหลืองทอง นี่น่าจะถือเป็นอาหาร
มื้อดึกได้แล้ว
พ่อลูกแซ่จูคู่นั้นได้หลุดพ้นจากสัญชาติทาสมานานแล้ว
ติดตามหลี่เป่าเจินคุณชายของตัวเองเตร็ดเตร่เร่ร่อนอยู่ข้างนอก
มายี่สิบกว่าปี ผ่านการขัดเกลาในที่ว่าการและสนามรบในอีกรูปแบบ
หนึ่งที่มองไม่เห็นแสงดาบแสงกระบี่ ทุกวันนี้จูเหอและจูลู่ก็เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองและผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกกันแล้ว ฝ่ายหลังเพิ่ง
จะฝ่าทะลุขอบเขตไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา
ผู้ฝึกยุทธเฒ่า อายุเกือบหกสิบปี จอนผมสองข้างเริ่มออกเป็น
สีขาว
หลินเจิ้งเฉิงหันหน้าไปมองผู้เฒ่าคนนั้น ยิ้มถาม “จูเหอ
พวกเราไม่ได้เจอกันนานหลายปีแล้วกระมัง”
จูเหอพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “จากครั้งก่อนที่ได้เจอกัน ไม่ว่า
อย่างไรก็น่าจะยี่สิบปีแล้ว”
ปีนั้นหลินเจิ้งเฉิงคือคนในท้องถิ่นของเมืองเล็กกลุ่มแรกสุดที่
ออกไปจากถ้ำ สวรรค์หลีจู ย้ายไปอยู่ที่เมืองหลวง ส่วนจูเหอที่แม้ว่า
จะเป็นองค์รักษ์ของตระกูลหลี่ของตรอกฝูลู่ ถือเป็นบ่าวที่เกิดใน
ตระกูล แต่ในอดีตตอนอยู่ในเมืองเล็ก หลินเจิ้งเฉิงเป็นขุนนางผู้ช่วย
ของที่ว่าการผู้ตรวจการ เขาก็มักจะไปตรวจสอบดูเตาเผาพร้อมกับ
ขุนนางผู้ตรวจการเป็นประจำ ฝ่ายตระกูลหลี่ก็มีเตาเผามังกรเป็น
ของตัวเอง ล้วนเป็นจูเหอที่ดูแลกิจธุระต่างๆ ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึง
มักจะได้เจอกันบ่อยๆ จึงไม่ใช่คนแปลกหน้าต่อกันหลินเจิ้งเฉิงหันหน้ามาถาม “จูลู่ เจ้าแต่งงานหรือยัง?”
สตรีส่ายหน้าเบาๆ ด้วยท่าทางระมัดระวังสำ รวม “ยังไม่ได้
แต่งงาน”
หลินเจิ้งเฉิงพยักหน้า “รู้ว่าเจ้าจิตใจทะเยอทะยานมาตั้งแต่
เด็กแล้ว”
จูลู่มีสีหน้าเขินอาย
อันที่จริงหลี่เป่าเจินค่อนข้างจะอิจฉาพ่อลูกคู่นี้ ได้พูดคุยรำลึก
ความหลังกับหลินเจิ้งเฉิงสองสามประโยค ไม่เหมือนกับตนที่วันนี้
มาเยือนศูนย์ตัดต้นไม้ก็เพื่อกราบไหว้ภูเขาเท่านั้น
เกี่ยวกับหลินเจิ้งเฉิงขุนนางในที่ว่าการผู้ตรวจการเก่าที่
อำพรางตัวอย่างลึกล้ำผู้นี้ หลี่เป่าเจินแค่อาศัยข้อมูลเล็กน้อยก็รู้น้ำ
ตื้นน้ำลึกได้คร่าวๆ แล้ว
ก็เหมือนอย่างผู้ว่าจังหวัดอวี๋โจวที่เป็นขุนนางระดับสามชั้นเอก
ผู้ยิ่งใหญ่ที่มิอาจเปิดอ่านเอกสารของขุนนางสำ นักทอผ้าที่เป็นระดับ
สี่ชั้นโทซึ่งอยู่ใต้การปกครองของตัวเองได้ นี่ก็คือความมั่นใจของหลี่
เป่าเจินและในอดีตหลี่เป่าเจินที่เป็นขุนนางหลักผู้ดูแลรายงานข่าว
ตลอดทั้งแถบตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป ก็เคยได้สัมผัส
กับเอกสารขององค์กรลับในการรายงานข่าวของต้าหลีมาไม่น้อย ใน
ประวัติส่วนตัวที่มองดูเหมือนละเอียดยิบย่อย แต่ธรรมดาสามัญของ
หลินเจิ้งเฉิง รวมไปถึงการไปรับตำแหน่งที่หน่วยส่งข่าวของ
เมืองหลวงต้าหลี หลินเป่าเจินกลับได้กลิ่นความไม่ธรรมดาที่ถูก
หลบซ่อนอำพรางไว้ ถึงขั้นที่ว่ามีการอนุมานอย่างหนึ่งที่ทำให้หลี่เป่า
เจินรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ท่านอาหลินที่ไม่ชอบพูดคุยยิ้มแย้มใน
ความทรงจำ ของเด็กหนุ่มคนนี้ ไม่แน่ว่าอาจเป็นหมากที่สำ คัญเม็ด
หนึ่งที่ราชครูชุยฉานจัดวางไว้ในถ้ำ สวรรค์หลีจู และเม็ดหมากที่มอง
ดูเหมือนไม่สะดุดตาแม้แต่น้อยนี้ก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าใน
บางระดับแล้วจะสามารถส่งผลกระทบต่อทิศทางการดำเนินไปของ
ตลอดทั้งราชสำ นักต้าหลี นี่ก็คือลางสังหรณ์ในวงการขุนนาง
อย่างหนึ่งของหลี่เป่าเจิน
หลินเจิ้งเฉิงเหลือบมองหลี่จือจ้าวที่นั่งตัวตรงอย่างสำ รวม อายุ
ไม่น้อยแล้ว อยู่ในวัยไม่สับสนแล้ว ตำแหน่งขุนนางระดับสี่ชั้นโทหากไม่พูดถึงสถานะคนรู้ใจของโอรสสวรรค์ อันที่จริงอยู่ในสอง
ราชสำ นักทั้งของเมืองหลวงและเมืองหลวงสำ รองต้าหลี ถึงอย่างไร
สำ นักทอผ้าก็เป็นองค์กรที่ก่อตั้งขึ้นเป็นพิเศษของราชสำ นักต้าหลี
ถือเป็นที่ว่าการ ‘ม้านั่งเย็น’ ที่อยู่ไกลห่างจากริมขอบชายแดนของ
วงการขุนนาง ดังนั้นจึงไม่เหมือนลูกหลานแซ่สกุลเสาค้ำยันแคว้น
อย่างพวกเฉาเกิงซิน หยวนเจิ้งติ้งที่โดดเด่นสะดุดตา ทว่าคนบางคน
กลับคล้ายว่าเกิดมาก็เหมาะที่จะอยู่ในวงการขุนนางจริงๆ
นอกจากนี้สกุลหลี่ถนนฝูหลูที่รากฐานลึกล้ำ คนเพียงผู้เดียวที่
เหยียบย่างเข้ามาในวงการขุนนาง ก็คือหลี่เป่าเจิน
หลินเจิ้งเฉิงใช้ที่คีบถ่านขยับถ่านที่ไฟลุกแรงเบาๆ เอาขี้เถ้า
กลบทับ เอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “คนผู้หนึ่งใช้สติปัญญาก็คือ
การเผาถ่านหาความอบอุ่น ต้องเรียนรู้ที่จะซ่อนแสงในความมืด
ถ่านถึงจะเผาไหม้ได้อย่างยาวนาน”
หลี่เป่าเจินพยักหน้ารับ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “นอกจากจะประหยัด
มัธยัสถ์ ใช้ถ่านอย่างประหยัดแล้ว ก็ยังต้องเพิ่มพูนสติปัญญา ตัดไม้
บนภูเขามาเผาถ่านคือประเภทหนึ่ง ไม้ถ่านที่ซื้อมาจากคนอื่นก็เป็นอีกประเภทหนึ่ง นอกจากนี้ถึงหน้าหนาวต้องเผาถ่านหาความอบอุ่น
นอกจากตัวเองจะต้องควบคุมแรงไฟให้ดีแล้วก็ต้องระวังคนรอบข้าง
ที่นั่งล้อมกองไฟอยู่ด้วย พยายามไม่ให้ทุกคนรู้สึกว่าเปลวไฟร้อน
ลวกเกินไป”
หลินเจิ้งเฉิงพยักหน้า อธิบายเพียงหนึ่งก็อนุมานได้ถึงสาม คือ
คนฉลาดคนหนึ่ง คุยด้วยแล้วไม่เปลืองแรง
พี่น้องสามคนรุ่นเยาว์ของสกุลหลี่ถนนฝูลู่ ต่างก็เป็นไปตาม
คำทำนายนั้นจริงๆ
หลินเจิ้งเฉิงถามชวนคุย “เป็นขุนนางมานานหลายปีขนาดนี้
มีการตระหนักรู้อะไรบ้างหรือไม่?”
“มิอาจดูแคลนใครก็ตาม”
หลี่เป่าเจินกล่าว “จักรพรรดิแม่ทัพอัครเสนาบดี นายพรานคน
หาฟืนพ่อค้าหาบเร่ เทพเซียนบนภูเขา ภูตผีปีศาจ แต่ละฝ่ายต่างก็
มีข้อดีให้เรียนรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องระวังไว้ข้อหนึ่งว่า คนที่
ต่ำต้อยที่สุดก็มีปัญญาสูงสุดได้”จูลู่ลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ท่านอา
หลิน หลายปีมานี้คุณชายชอบคบค้าอยู่กับคนของสามสำ นักเก้า
สาขา แต่กลับกลายเป็นว่าไม่สนิทสนมกับขุนนางของต้าหลีมากนัก”
หลินเจิ้งเฉิงยิ้มเอ่ย “มังกรซ่อนกายอย่าเพิ่งรีบใช้งาน”
(เปรียบเปรยว่าสถานการณ์เพิ่งอยู่ช่วงเริ่มต้นในการพัฒนา แม้ว่า
มีแนวโน้มว่าจะพัฒนาไปได้ดี แต่ยังค่อนข้างอ่อนแอ ยังไม่อาจเอา
มาใช้ในงานสำ คัญได้)
สีหน้าหลี่เป่าเจินเป็นปกติ
หลินเจิ้งเฉิงกล่าว “หากอยากได้คำวิจารณ์ว่า ‘พบมังกรในผืน
นา’ (เป็นสัญลักษณ์ของพละกำลัง นิมิตหมายมงคลและความสูง
ศักดิ์) ยังขาดความหมายอีกเล็กน้อย แน่นอนว่าข้าก็แค่คนที่ทำงาน
ในศูนย์ตัดต้นไม้ เพียงแต่ว่าเจอผู้เยาว์ที่เป็นคนบ้านเดียวกันก็เลย
อดไม่ไหวพูดจาโดยอาศัยความเป็นผู้อาวุโสไปสองสามประโยค
ไม่ใช่ขุนนางสูงของกรมพิธีการต้าหลี หลี่จือจ้าวอย่าได้เก็บไปคิด
เป็นจริงเป็นจังเกินไปนัก”หลี่เป่าเจินยิ้มเอ่ย “ต้องออกจากบ้านเกิดนานหลายปีถึงเพิ่งจะ
รู้ว่าคำพูดเก่าแก่ของบ้านเกิดล้ำค่าถึงเพียงใด”
ไม่เหมือนคนในพื้นที่ทั่วไปที่ยิ่งออกจากบ้านเกิดไปไกลเท่าไรก็
จะยิ่งรู้สึกว่าบ้านเกิดของตัวเองเล็กมากเท่านั้น คนหนุ่มสาวกลุ่ม
ของถ้ำ สวรรค์หลีจูนี้ ยิ่งได้ดิบได้ดีมากเท่าไร ทุกคนซึ่งไม่มีใครเป็น
ข้อยกเว้นต่างก็รู้สึกถึงความ ‘ใหญ่’ และความลึกล้ำจนมองไม่เห็น
ก้นบึ้งของเมืองเล็กอันเป็นบ้านเกิดมากเท่านั้น
จากนั้นก็คุยกันไปเกือบประมาณครึ่งชั่วยาม หลินเจิ้งเฉิงยังคง
ไม่พูดอะไรมาก ส่วนใหญ่เป็นหลี่เป่าเจินที่หาเรื่องมาชวนคุย จูเหอ
เองก็พูดเรื่องราวในอดีตแทรกมาบ้างเป็นระยะ หลินเจิ้งเฉิงไม่เคย
เผยสีหน้ารำคาญให้เห็น
หลี่เป่าเจินขอตัวลากลับไป พาจูเหอและจูลู่ออกมาจากศูนย์
ตัดต้นไม้ ออกมาจากเขตการปกครองแห่งนั้นแล้ว หลี่เป่าเจินที่
เห็นแก่จูลู่จึงเรียกเรือยันต์ลำหนึ่งออกมา เดินทางกลับไปยังอวี๋โจว
อีกครั้ง แต่กลับไม่ได้ตรงไปที่สำ นักทอผ้า แต่มุ่งหน้าไปยังภูเขาลูก
หนึ่งม่านราตรีหนาหนัก หลี่เป่าเจินอยู่ว่างไม่มีอะไรทำ เขาที่
นั่งขัดสมาธิอยู่บนหัวเรือจึงคีบปราณวิญญาณกลุ่มหนึ่งมารวมตัว
เป็นลูกแสง เรือยันต์พุ่งทะยานว่องไวราวสายฟ้าแลบ ลากลำแสง
ยาวอยู่กลางอากาศของยามค่ำคืน
พ่อลูกสองคนเงียบงันไม่พูดจา ต่างคนต่างคิดกันไป
คนละอย่าง
จูเหอเลื่อนเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดมานานหลายปีแล้ว
ขัดเกลาเรือนกายอีกไม่กี่ปีก็มีหวังที่จะเลื่อนเป็นขอบเขตเดินทางไกล
ของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวได้ ตามการจัดการของคุณชายรอง ขอแค่ได้
กลายเป็นขอบเขตเดินทางไกลก็จะให้เขาออกจากสำ นักทอผ้าไป
รับหน้าที่เป็นขุนนางบู๊ในท้องถิ่น ตำแหน่งขุนนางไม่มีทางสูงมากนัก
แต่มีคุณูปการทางการสู้รบติดตัว อีกทั้งยังเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขต
เดินทางไกล คิดดูแล้วก็ไม่น่าจะต่ำเท่าไร ถ้าอย่างนั้นจูเหอคิด
จะก่อตั้งศาลบรรพชน เรียบเรียงทำเนียบวงศ์ตระกูล ตั้งป้ายวิญ
ญาณของบรรพบุรุษขึ้นมา ก็ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป จูเหอเป็นผู้ฝึกยุทธ ในอดีตก็เคยมีสัญชาติทาส การกระทำเช่นนี้ก็ถือว่า
เป็นการสร้างเกียรติยศให้กับวงศ์ตระกูลแล้ว
แต่ไหนแต่ไรมาจูเหอก็ไม่ใช่คนที่มีจิตใจทะเยอทะยานสัก
เท่าไร หากไม่เป็นเพราะต้องการตอบแทนบุญคุณของตระกูลหลี่
แล้วก็จำ เป็นต้องคิดพิจารณาเพื่อจูลู่บุตรสาวเพียงคนเดียวใน
ระยะยาว อันที่จริงจูเหออยากออกจากวงการขุนนางมากกว่า ไป
ตั้ง
รกรากอยู่ในยุทธภพของแคว้นบางแห่งทางทิศใต้ของแจกัน
สมบัติทวีปซึ่งเป็นของราชสำ นักต้าหลี หากไม่ก่อตั้งพรรคเป็นของ
ตัวเองก็เปิดศูนย์ต่อสู้รับลูกศิษย์
อารมณ์ของจูลู่ซับซ้อน
ออกจากบ้านเกิดมานานหลายปี จูลู่ที่ไม่ใช่เด็กสาวอีกต่อไป
บางครั้งก็คิดว่าหากปีนั้นนางไม่ออกมาจากกลุ่มนักเรียนที่ไปขอ
ศึกษาต่อ สิ่งที่ตนเองประสบพบเจอในชีวิตจะเป็นอย่างไร?
ตอนนั้นคนทั้งกลุ่มออกจากเมืองเล็ก เดินทางผ่านลำคลอง
หลงซวีและแม่น้ำเถี่ยฝู ผ่านภูเขาฉีตุน สุดท้ายไปถึงเมืองหงจู๋
จากนั้นก็เกิดคลื่นมรสุมครั้งนั้น แล้วก็ต้องแยกย้ายกันไปคนละทางหากไม่เคยแยกย้ายกัน นางได้ติดตามทุกคนไปที่สำ นักศึกษา
ต้าสุยล่ะ?
หลี่เป่าผิง นางและบิดา หลินโส่วอี หลี่ไหว และยังมีคนผู้นั้น
จูลู่รู้สึกว่าคนสองกลุ่มในเวลานั้น แม้จะเดินทางร่วมกัน แต่
กลับเป็นคนสองประเภทที่ไม่เหมือนกัน
ระหว่างนั้นพวกเขาได้บังเอิญเจอกับบุรุษที่สวมงอบพกดาบ
จูงลาคนหนึ่ง เขาเรียกตัวเองว่าอาเหลียง เหลียงที่แปลว่าดีงาม คือ
มือกระบี่คนหนึ่ง
ทั้ง
ยังบอกว่าเวทกระบี่ของตัวเองไร้เทียมทาน เป็นเอกเลิศล้ำ
ไม่มีใครเหมือน ยามที่เอาจริงเอาจังขึ้นมาแม้แต่ตัวเองก็ยังกลัว
ตัวเอง เวทกระบี่ของเขาโบกตวัดสาดไปอย่างเสรี สาดน้ำมายัง
ไม่โดน หากน้ำที่สาดมาเปียกชายเสื้อของเขาสักมุมก็ถือว่าเวทกระบี่
ของเขาไม่ชำ นาญพอ…ดังนั้นทุกครั้งที่เดินผ่านริมลำคลอง หลี่ไห
วจะต้องให้อาเหลียงไปยืนอยู่ริมฝั่ง ส่วนตัวเองหยิบก้อนหินมากอง
หนึ่ง ให้อาเหลียงร่ายเวทกระบี่ให้ดู หรือไม่ก็นับนิ้วรอดูฝนตกเอะอะมะเทิ่งกันไปตลอดทาง ทำเอาถึงท้ายที่สุดแม้กระทั่ง
คนซื่ออย่างจูเหอก็ยังรู้สึกว่ามือกระบี่ที่มองดูเหมือนลึกลับเกิน
จะหยั่งผู้นั้น คงไม่ได้เป็นนักต้มตุ๋นในยุทธภพที่คุยโวโอ้อวดตัวเอง
หรอกกระมัง?
ผลคือ ณ สถานที่ที่แม่น้ำสามสายไหลมารวมตัวกัน
ดูเหมือนว่าเส้นทางชีวิตคนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงจะถูกแยก
ออกมาสามสายเหมือนกับแม่น้ำที่แยกจากและบรรจบสายนั้น
นางและบิดาออกจากเมืองหงจู๋มาอย่างหม่นหมอง ไล่ตาม
คุณชายรองสกุลหลี่ถนนฝูลู่ไป
กลุ่มของหลี่เป่าผิงออกเดินทางไปยังสำ นักศึกษาซานหยาต้า
สุยต่อ
ส่วนเจ้าคนที่ทำตัวเอ้อระเหยลอยชายผู้นั้น ถึงกับแหวกผ่า
ม่านฟ้า มุ่งหน้าไปยังใต้หล้ามืดสลัวในวันนั้น แล้วก็ถึงกับสามารถทั้ง
ถามหมัดและถามกระบี่กับเจ้าลัทธิรองแห่งป๋ายอวี้จิง จากนั้นใช้ส
ถานะของผู้ฝึกกระบี่เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ได้อีก…