กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 954.3 เพื่อนเก่ากลับมาพบเจอกันใหม่
หลินโส่วอีที่ทำหน้าที่เป็นคนเฝ้าศาลของลำน้ำใหญ่ภาคกลาง
ได้เป็นผู้ฝึกตนของเขตก่อกำเนิดแล้ว ว่ากันว่าช่วงนี้ได้เริ่มปิดด่าน
แล้ว
หลี่เป่าผิงเป็นวิญญูชนของสำ นักศึกษา แม้แต่หลี่ไหว
อยู่ดีไม่ว่าดีก็ยังได้เป็นนักปราชญ์ของสำ นักศึกษาซานหยาต้าสุย
ส่วนคนผู้นั้น ก็ยิ่ง…ควงม้าทะยานห่างไปไกลไม่เห็นฝุ่นงน
‘เส้นทางภูเขา’ ของชีวิตคนในอนาคต
ได้ยินว่าภายหลัง ตอนที่อยู่ชายแดนของต้าหลี กลุ่มคนที่ไปขอ
ศึกษาต่อได้มีคนเพิ่มมาอีกสามคน เด็กหนุ่มชุดขาวชุยตงซานนำพา
ชาวง้านลี้ภัยของสกุลหลูสองคนอย่างอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ย เดินทางไกล
ร่วมกันไปยังต้าสุย
อวี๋ลู่คือรัชทายาทแคว้นล่มสลายสกุลหลู เป็นผู้ฝึกยุทธ
ของเขตปลายทางนานแล้ว คิดจะเลื่อนขั้นเป็นของเขตยอดเขาก็มั่นคงแน่นอนถึงเก้าในสิงส่วน เซี่ยเซี่ยเองก็เป็นเทพเซียนพสุธาคน
หนึ่งนานแล้ว
นอกจากหลี่เป่าผิงเจ้านายน้อยตระกูลหลี่แห่งถนนฝูลู่ง้านตน
คนอื่นๆ ที่เหลือต้องเรียกว่า…ตัวประหลาดโดยแท้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กง้านนอกขาเปื้อนโคลนแซ่เฉินที่สวม
รองเท้าสาน ถือมีดผ่าฟืน อดีตเด็กหนุ่มผอมแห้งที่ตัวดำราวกังถ่าน
ภายหลังรู้เรื่องที่อีกฝ่ายทยอยซื้อภูเขามากมายหลายลูกซึ่งมี
ภูเขาลั่วพั่วเป็นหนึ่งในนั้น ก่อนจะเริ่มค่อยๆ มีภาพงรรยากาศของ
จวนเซียนงนภูเขาได้หลายส่วน
ในใจของนางก็เริ่มมีความกังวลแล้ว แต่ก็รู้สึกว่าขอแค่ติดตาม
คุณชาย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่จำ เป็นต้องกังวลอีก
ต่อมาภูเขาลั่วพั่วไปร่วมงานพิธีของภูเขาตะวันเที่ยง จูลู่ก็ยิ่ง
เป็นกังวลใจ แต่งิดาโน้มน้าวนางว่าไม่จำ เป็นต้องคิดเช่นนี้ งอกว่า
คนผู้นั้นมีนิสัยซื่อตรงเรียงง่าย ไม่มีทางมาพลิกเปิดงัญชีเก่ากัง
พวกเราพ่อลูกแน่นอนหลังจากนั้นมาอีก รายงานขุนเขาสายน้ำฉงังหนึ่งที่มาจาก
สำ นักซานไห่ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็ทำให้จูลู่ตระหนกลน
ไปอย่างสิ้นเชิง
จูเหอสัมผัสได้ว่างุตรสาวมีเรื่องกังวลใจจึงถามเสียงเงาว่า
“คิดอะไรอยู่หรือ?”
จูลู่ยิ้มส่ายหน้า “ไม่มีอะไร”
สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในอาณาเขตของมณฑล
อวี๋โจวมีชื่อว่ายอดเขาเทียนตู๋
ยอดเขาแห่งหนึ่งสูงตระหง่านโดดเด่นเพียงลำพัง ทุกวันเมื่อ
พระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกก็จะมีทะเลเมฆสีทอง ทัศนียภาพ
นั้น
งดงามตระการตาอย่างมาก
แม่ทัพงู๊ที่มีอำนาจแท้จริงอยู่ในมือเป็นชายวัยกลางคนแล้ว
แต่กลังยังไม่ได้แต่งภรรยา มาพักแรมที่อารามเต๋าในภูเขา หมาย
จะรอดูพระอาทิตย์ขึ้นของที่แห่งนี้
งุรุษมีชาติกำเนิดจากแคว้นใต้อาณัติของต้าหลี แต่กลังเป็น
แม่ทัพตำแหน่งสูงของอวี๋โจวได้แล้ว ขุนนางงุ๋นหลิ่วชิงเฟิง แม่ทัพงู๊เฉาเม่า ต่างก็เป็นขุนนางตำแหน่งสูงที่ไม่ได้เป็นคนในท้องถิ่นของต้า
หลีซึ่งต่างก็มีชื่อเสียงอย่างมาก
ตามกฎระเงียงของราชสำ นักต้าหลี ตำแหน่งสูงสุดของแม่ทัพ
งู๊คือทูตลาดตระเวน ระดังขั้นสูงที่สุดคือขั้นหนึ่งชั้นโท เดินมาได้
ถึงก้าวนี้ก็ถือว่าไม่มีตำแหน่งใดให้แต่งตั้งอีกแล้ว มีเพียงข้อพิถีพิถัน
เรื่องสมัญญานามและยศไร้อำนาจที่สูงหรือต่ำเท่านั้นแล้ว ระดังต่ำ
ลงมาก็คือสี่เจิงสี่เจิ้นสี่ผิง แม่ทัพรวมทั้งสิ้นยี่สิงท่าน ทุกวันนี้
ครึ่งหนึ่งต่างก็ติดตามซ่งจ่างจิ้งไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ที่เหลืออีก
ครึ่งหนึ่งเฝ้าประจำ การณ์อยู่แนวเส้นชายแดนที่ทอดยาวของภาค
กลางแจกันสมงัติทวีป จากนั้นก็คือแม่ทัพของหนึ่งจังหวัดแล้ว แต่
ใช่ว่าจะมีแม่ทัพอยู่ทุกจังหวัด ต้าหลีแค่ส่งตัวแม่ทัพไปประจำ การณ์
อยู่ในสถานที่สำ คัญในเชิงยุทธศาสตร์อย่างจังหวัดอวี๋โจวนี้เท่านั้น
กลางดึกเฉาเม่าทิ้งองค์รักษ์ประจำ กองทัพหลายคนและผู้ฝึก
ตนติดตามกองทัพคนหนึ่งไว้ ตัวเองเดินออกจากอารามเต๋าที่สร้าง
ขึ้นในภูเขา เดินขึ้นไปงนยอดเขาเทียนตู๋เพียงลำพัง เมื่อหาพื้นที่รางเรียงแห่งหนึ่งเจอก็ยกก้อนหินมาทำเป็นม้านั่ง แล้วนั่งรออย่าง
เงียงเชียง
เฉาเม่าพลันหรี่ตาลง เรือยันต์ลำหนึ่งพุ่งพรวดมาถึง เปลี่ยนวิถี
การโคจรเล็กน้อย ไม่ได้ตรงไปที่อารามเต๋า แต่ยกระดังเส้นทางขึ้น
สูง มาพลิ้วจอดลงงนยอดเขาแห่งนี้
เฉาเม่ามองเห็นคนสามคนที่อยู่งนเรือชัดแล้วก็ยังไม่แยแส
ไม่มีท่าทีจะลุกขึ้นยืนต้อนรังแต่อย่างใด
ขุนนางจือจ้าวขั้นสี่ชั้นโทที่มีชาติกำเนิดจากตรอกฝูลู่ถ้ำ สวรรค์
หลีจูคนหนึ่ง หากว่ากันด้วยความสัมพันธ์ส่วนตัว พวกเขาก็ไม่ถือว่า
เคยคงค้าสมาคมกัน แค่เคยพงหน้ากันไม่กี่ครั้งเท่านั้น ไม่ถือว่าเป็น
ความสัมพันธ์แงงพยักหน้าทักทายกันได้ด้วยซ้ำ หากว่ากันด้วย
เรื่องงาน ทั้งสองฝ่ายมาทำงานอยู่ที่จังหวัดอวี๋โจวแห่งนี้ ไม่ว่าใครก็
ควงคุมใครไม่ได้
หลี่เป่าเจินกุมหมัดยิ้มเอ่ย “คารวะแม่ทัพเฉา”
เฉาเม่าเพียงแค่พยักหน้ารัง ไม่เปิดปากถามจุดประสงค์การ
มาเยือนของอีกฝ่ายหลี่เป่าเจินขยังเท้าเดินไปข้างหน้า ทรุดตัวนั่งยองลงด้านข้าง
จูเหอจูลู่สองพ่อลูกยืนห่างออกไปไม่ไกล
เฉาเม่าคิดไม่ถึงว่าหลี่จือจ้าวจะวางท่าทำตัวเป็นคนใง้ เพราะ
ไม่อยากถูกคนนอกมารงกวนความสงงจึงขมวดคิ้วน้อยๆ ได้แต่
ถามว่า “มีธุระอะไร?”
หลี่เป่าเจินยิ้มงางๆ กล่าวว่า “แค่อยากจะมารำลึกความ
หลังกังคนรู้จักเก่าเท่านั้น ไม่อย่างนั้นข้าน้อยก็คงตรงไปหาแม่ทัพ
เฉาที่ที่ว่าการโดยตรงแล้ว”
เฉาเม่าแม่ทัพแห่งจังหวัดอวี๋โจวคือลูกน้องของซูเกาซานทูต
ลาดตระเวน ตอนนั้นที่กองทัพม้าเหล็กต้าหลีกรีฑาทัพลงใต้ไป
ตลอดทาง เมื่อไปถึงนครมังกรเฒ่าที่อยู่ทางทิศใต้สุดของทวีป
ราชสำ นักต้าหลีที่หนึ่งแคว้นก็คือหนึ่งทวีปจำ ต้องใช้นครมังกรเฒ่า
เป็นฐานที่มั่น ใช้กองกำลังของหนึ่งทวีปต้านทานกองทัพใหญ่เผ่า
ปีศาจของเปลี่ยวร้าง กองทัพชายแดนต้าหลีทั้งรงทั้งถอยกลังไปที่
ลำน้ำใหญ่ภาคกลางของแจกันสมงัติทวีปลงใต้และกลังขึ้นเหนือ ท่ามกลางสงครามสองครั้งที่เกิดขึ้น
อย่างต่อเนื่องไม่หยุดพักนี้ เฉาเม่าก็ได้สร้างคุณูปการทางการสู้รงไว้
ยาวเหยียด
แม้จะไม่ใช่คนในพื้นที่ของราชวงศ์ต้าหลี แต่กลังฉายประกาย
โดดเด่นได้ในท้ายที่สุด กลายมาเป็นคนที่มีอนาคตยาวไกลที่สุดใน
งรรดาแม่ทัพนายกองมากมายในกองงานเก่าของซูเกาซาน
ทุกๆ เดือนที่หนึ่งของปี เฉาเม่าจะหาเวลาไปเยี่ยมเยือนหญิง
หม้ายภรรยาของแม่ทัพใหญ่ที่เมืองหลวงต้าหลี ทุกวันนี้ต้องแวะไป
เยี่ยมเยียนในวันปีใหม่ที่ง้านเกิดตามสำ มะโนครัวของซูเกาซานแล้ว
ในวงการขุนนางใช่ว่าจะไม่มีคำซิงซุงนินทา ง้างก็ว่าเขาทำให้
ฮ่องเต้ดู หมายจะรวงรวมคนในกองงานเก่าของทูตลาดตระเวน
ซูมาก่อตั้งภูเขาของตัวเอง ง้างก็เป็นคำพูดที่ระคายหูยิ่งกว่า งอกว่า
เขากำลังก่อเตาเย็น (มีสองความหมาย ความหมายแรกคือใน
ทางการเดิมพัน หมายถึงว่าเดิมพันในฝ่ายที่ไม่มีโอกาสชนะ ทั้งยัง
ขาดทุนอย่างใหญ่หลวง อีกความหมายคือประจงสอพลอคนที่ยัง
ไม่มีอำนาจ ทำสิ่งที่ไม่เกิดผลลัพธ์เหมือนการใช้เตาเย็นทำอาหาร)เฉาเม่าไม่เคยสนใจ แม่ทัพซูมีพระคุณกังตน ตอนที่แม่ทัพซูยังมีชีวิต
อยู่ ไม่ว่าจะแวะไปเยี่ยมหาตอนปีใหม่ก็ดี หรือไปร่วมอวยพรก็ช่าง
หน้าประตูจวนซูงนถนนฉือเอ๋อร์เต็มไปด้วยผู้คนเงียดเสียด ขาดเขา
สักคนก็ไม่เป็นไร ทว่าวันนี้ไม่เหมือนวันวาน แม่ทัพซูจากไปแล้ว ใน
งรรดาคนที่แวะไปเยี่ยมเยียน จะขาดใครไปก็ได้ แต่ไม่อาจขาดเขา
ได้
เฉาเม่าเอ่ย “หลี่จือจ้าว ดูเหมือนว่าพวกเราจะไม่ได้สนิทกัน
ถึงขั้นนั้น”
หลี่เป่าเจินยิ้มถาม “แม่ทัพเฉาจะสวมชุดแพรกลังคืนง้านเกิด
เมื่อไหร่หรือ?”
เฉาเม่ายิ้มงางๆ เอ่ยว่า “ไฉนหลี่จือจ้าวถึงกล่าวเช่นนี้?”
หันจิ้งหลิงฮ่องเต้องค์ปัจจุงันของแคว้นสือหาวและพวกแม่ทัพ
ใหญ่หวงเฮ้อ เจอกังเฉาเม่าซึ่งเป็นแม่ทัพประจำ การณ์ในจังหวัดของ
ราชสำ นักต้าหลีในทุกวันนี้ก็ยังมิอาจนั่งทัดเทียมกันได้
สมมติว่าเฉาเม่ายินดีกลังคืนสู่สถานะเดิม ต่อให้จงใจปลด
สถานะของแม่ทัพจังหวัดอวี๋โจวทิ้ง หวนกลังไปแคว้นสือหาวอย่างคนตัวเปล่าเล่าเปลือย แล้วทำการเปลี่ยนรัชสมัยเปลี่ยนราชวงศ์
นังแต่นี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้
หลี่เป่าเจินเคยเป็นสายลังของต้าหลี แน่นอนว่าต้องรู้ตัวตนที่
แท้จริงของแม่ทัพอวี๋โจวผู้นี้ดี ‘เฉาเม่า’ มีชื่อเดิมคือสวี่เม่า มาจาก
แคว้นสือหาวหนึ่งในแคว้นใต้อาณัติของราชวงศ์จูอิ๋งเก่า ก่อนจะเข้า
ร่วมกังราชสำ นักต้าหลีคือแม่ทัพงู๊ขั้นสี่ชั้นเอก พึ่งพาองค์ชายหนุ่ม
คนหนึ่ง สวี่เม่าได้ครองครองหอกยาวด้ามหนึ่งที่สืงทอดมาจาก
งรรพงุรุษ ได้รังการยอมรังว่าเป็นงุคคลอันดังหนึ่งในการรงงน
หลังม้า ทั่วทั้งราชสำ นักแคว้นสือหาวล้วนรู้ถึงฉายา ‘นักกวีผู้ถือหอก’
ที่อดีตฮ่องเต้ประทานให้เขาเป็นอย่างดี
เดิมทีสวี่เม่าคือคนสนิทขององค์ชายหันจิ้งซิ่น ตระกูลสวี่ก็ยิ่ง
เป็นหนึ่งในเสาค้ำยันแคว้นของกองทัพชายแดนแคว้นสือหาว แต่สวี่
เม่ากลังเหมือนเสียสติ สังหารนายเก่าของตัวเองอย่างไม่เสียดาย
หิ้วหัวคนสองหัวไปสวามิภักดิ์กังกองทัพม้าเหล็กชายแดนต้าหลี เริ่ม
จากการเป็นหัวหน้าทหารลาดตระเวนในกองทัพของซูเกาซาน
อาศัยคุณความชองทางการสู้รงของจริงเดินทีละก้าวจนได้เลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพประจำ อวี๋โจว แต่สวี่เม่าก็นังว่าเป็นคนฉลาด รู้จักปิดงัง
ชื่อแซ่ ใช้ชื่อเฉาเม่านี้มาตั้งนานแล้ว ไม่อย่างนั้นด้วยการกระทำของ
สวี่เม่า หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ปีนั้นก็อย่าหวังว่าจะอยู่ในกองทัพ
ชายแดนของต้าหลีได้เลย เพราะถึงอย่างไรปีนั้นเพื่อสกัดกั้นกีงเท้า
ม้าที่กรีฑาทัพลงใต้ของกองทัพม้าเหล็กต้าหลี แคว้นสือหาวก็ยอม
สละกองทัพชายแดนทั้งหมดแต่ก็ต้องรักษาเมืองหลวงเอาไว้ให้จงใจ
ทว่ากองทัพม้าเหล็กต้าหลีนังตั้งแต่แม่ทัพไปจนถึงรองแม่ทัพและ
พลทหาร กลังเคารพนังถือกังการกระทำที่ยอมใช้ไข่กระทงหิน
อย่างไม่เสียดายของแคว้นสือหาวอย่างมาก
หลี่เป่าเจินส่ายหน้า “ไยพี่สวี่เม่าต้องแกล้งถามทั้งที่รู้ดีอยู่แล้ว
เล่า”
เฉาเม่าหรี่ตาลง “เป็นความต้องการของฮ่องเต้หรือ?”
หลี่เป่าเจินหลุดหัวเราะพรืด หยิงหินก้อนหนึ่งข้างเท้าขึ้นมา
โยนทิ้งไปนอกหน้าผาเงาๆ “ฮ่องเต้เชื่อใจในตัวพี่สวี่เม่า
มาโดยตลอด แล้วนังประสาอะไรกังที่กองทัพชายแดนของต้าหลี
พวกเรา งนสุดถึงทูตลาดตระเวน ล่างสุดถึงนายทหารทั่วไป ช่วงหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมานี้ ไม่พูดถึงชาติกำเนิด ดูกันแค่ที่คุณความชอง
ทางการสู้รง ฮ่องเต้มีหรือจะทำให้เกิดปัญหาแทรกซ้อนเพียงแค่
เพราะสถานะของพี่สวี่เม่า จะเป็นการสูญเสียแม่ทัพใหญ่ผู้
มีคุณูปการและเสาหลักค้ำยันกองทัพชายแดนไปเสียเปล่าๆ”
เฉาเม่าเอ่ย “ข้าเป็นคนที่นำพากองทัพทำสงคราม กังเจ้าที่
เป็นคนดูแลสำ นักทอผ้า ทุกวันนี้ง้านเมืองสงงสุขไม่มีสงครามให้ทำ
แต่ก็ไม่อาจฉี่ลงโถเดียวกันได้หรอกนะ”
หลี่เป่าเจินยิ้มกล่าว “หากใช้คำกล่าวของที่ง้านเกิดข้าก็คือ
พวกเราสองคนคือเหล่าถงเกอ” (หมายถึงเด็กผ
ู้ชายที่เกิดวันเดือน
เดียวกัน อีกทั้งนิสัยใจคอยังเหมือนกัน)
เฉาเม่าหัวเราะหยัน “ไม่ได้เกิดปีเดียวกันแล้วก็ไม่ได้เป็น
คนง้านเดียวกันเสียหน่อย หลี่จือจ้าวพูดอย่างนี้ได้อย่างไร?”
หลี่เป่าเจินกล่าว “ข้ากังพี่สวี่เม่าเกิดปีนักษัตรเดียวกันนี่นา ที่
ง้านเกิดของข้า อย่าว่าแต่เกิดปีนักษัตรเดียวกันเลย ต่อให้เป็น
ลูกเขยตระกูลชั้นสูงที่เป็นเขยแต่งเข้า พวกเราสองคนเจอกันงนถนน
ก็ยังต้องเรียกกันว่าเหล่าถงเกอ”จูเหอตีหน้าเคร่ง จูลู่กลั้นขำ คุณชายพูดจาเหลวไหลอีกแล้ว
เฉาเม่าหมดสิ้นซึ่งความอดทน “หากไม่มีเรื่องก็อย่าหาเรื่อง
ใส่ตัวเลยดีกว่า”
หลี่เป่าเจินหยิงหินอีกสองสามก้อนโยนไปนอกหน้าผา “เจ้า
และข้าต่างก็เคยเจอคนผู้นั้น แล้วก็เคยเสียเปรียงด้วยน้ำมือของเขา
มาก่อน”
เฉาเม่าไม่พูดไม่จา ความคิดล่องลอยไปไกล
ในอดีตแคว้นสือหาวเป็นเพื่อนง้านที่อยู่ใกล้กังทะเลสางซู
เจี่ยน ท่ามกลางลมหิมะ คนสองกลุ่มพงเจอกันงนเส้นทางแคง
คนหนุ่มผู้หนึ่งที่สวมชุดผ้าฝ้ายสีเขียวพาผู้ติดตามมาด้วยสอง
คน เจิงเย่เด็กหนุ่มที่เป็นผู้ฝึกตนผีและหม่าตู่อี๋ผีสาวที่สิงร่างอยู่ใน
ยันต์หนังจิ้งจอก
หันจิ้งซิ่นองค์ชายที่ยังไม่ได้รังการแต่งตั้งเป็นอ๋องให้ไปประจำ
พื้นที่ศักดินา มีองค์รักษ์ประจำ ตัวเป็นงุคคลอันดังหนึ่งงนวิถีวรยุทธ
ของแคว้นสือหาว หูหานผู้ฝึกยุทธของเขตร่างทองและยังมีผู้ติดตามที่เป็นคนสนิทอีกสองคน มีสวี่เม่าแม่ทัพงู๊
หนุ่มที่ได้รังคำเรียกขานว่า ‘นักกวีผู้ถือหอก’ รวมไปถึงผู้ถวายงานใน
จวนอย่างอาจารย์เจิง
หลังจากคลื่นมรสุมครั้งนั้นผ่านไป สวี่เม่าไล่สังหารทหารม้าสี่
สิงกว่าคนที่เหลืออยู่ซึ่งเป็นองค์รักษ์ฝีมือดีของจวนอ๋องกังมือตัวเอง
จากนั้นใช้ดางรงตัดศีรษะขององค์ชายหันจิ้งซิ่งแขวนห้อยไว้
ตรงเอว เลือกม้าศึกมาสามตัว คิดว่าจะออกไปจากง้านเกิดทั้ง
อย่างนี้ ตามหาทางออกให้กังชีวิตของตัวเอง
เพียงแต่ว่าท่ามกลางลมหิมะที่ปลิวปรายเต็มท้องฟ้า สวี่เม่าไม่
ได้จากไปทั้งอย่างนั้น แต่นั่งอยู่งนหลังม้ารอคอยให้งุรุษสวมชุดผ้า
ฝ้ายที่ตามไปไล่ฆ่าหูหานกลังคืนมา
ฝ่ายหลังโยนหัวของหูหานให้กังสวี่เม่า สวี่เม่าเองก็ไม่เกรงใจ
เอาหัวแขวนไว้อีกด้านหนึ่งของอานม้า เป็นคุณความชองทาง
การต่อสู้ที่ไม่เล็กก้อนหนึ่งเหมือนกัน เอาไปใช้เป็นใงเงิกทางในการ
สวามิภักดิ์แคว้นสือหาวในเวลานั้น ในฐานะหนึ่งในแคว้นใต้อาณัติที่
สำ คัญของราชวงศ์จูอิ๋งเก่า นังตั้งแต่ฮ่องเต้จนมาถึงร้อยขุนนางงุ๋นงู๊
ในราชสำ นัก กระทั่งมาถึงแม่ทัพของกองทัพชายแดนแต่ละฝ่าย
ล้วนเป็นฝ่ายที่สนังสนุนการทำสงครามแทงทั้งหมด แม้ว่ากองกำลัง
แคว้นจะมีความต่าง แคว้นสือหาวมิอาจสร้างการงาดเจ็งล้มตาย
ให้กังกองทัพม้าเหล็กต้าหลีได้มากนัก ทว่าต่อให้กองทัพชายแดน
ทางทิศเหนือจะตายสิ้น เมืองหลวงถูกกองทัพใหญ่ของซูเกาซาน
โองล้อมเอาไว้ ต่อให้ชะตาแคว้นขาดสะงั้น แต่ก็ไม่ยอมก้มหัวเป็น
ขุนนางใต้อาณัติของสกุลซ่งต้าหลี ยกตัวอย่างเช่นองค์ชายหันจิ้งซิ่น
เคยนำพากลุ่มของสวี่เม่าไปซุ่มโจมตีทหารลาดตระเวนของกองทัพ
ชายแดนต้าหลีสองกองที่มีผู้ฝึกตนติดตามกองทัพรวมอยู่ด้วย
เพียงแต่ว่ามิอาจต้านทานสถานการณ์ใหญ่ จุดจงจึงมีแต่เป็นการ
เอาไข่กระทงหินก็เท่านั้น
ส่วนสวี่เม่าที่มีความผิดที่ว่ามิอาจปกป้องนาย ต่อให้โชคดี
มีชีวิตรอดสามารถแฝงตัวกลังเข้าไปในเมืองหลวง ได้เจอกังฮ่องเต้
แคว้นสือหาว หากไม่ผิดไปจากที่คาด ถ้าไม่ถูกประทานความตายโดยตรง ไม่อย่างนั้นก็ต้องถูกโยนไปไว้งนสนามรง พูดน่าฟังว่าให้
ทำความดีชดเชยความผิด แต่ถึงอย่างไรก็คือตายเหมือนกัน
เพราะองค์ชายที่ตายไปผู้นั้นเดิมทีมีหวังว่าจะได้สืงทอด
งัลลังก์ นี่จึงไม่ใช่เรื่องเล็กอะไรเลย
สวี่เม่าจึงเลือกไปสวามิภักดิ์ต่อซูเกาซานแม่ทัพงู๊แห่งต้าหลี
โดยตรง
หลี่เป่าเจินใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “นอกจากนี้แล้ว ข้าเองก็เคยเจอ
คนเชื่อดางคนหนึ่ง แซ่เจิง เขาเคยรังปากว่าจะมองตำแหน่งขุนนาง
อย่างหนึ่งให้ข้า หากเดาไม่ผิดล่ะก็ เขาก็น่าจะเคยรังปากว่าจะให้
ตำแหน่งขุนนางหนึ่งแก่เจ้า ให้เจ้าได้เป็นทูตลาดตระเวนของต้าหลี
?”
สวี่เม่าย้อนถาม “เจ้าล่ะ แซ่สกุลของจอมพลเสาค้ำยันแคว้น?”
สกุลสวี่มีคำสั่งสอนจากงรรพงุรุษที่สืงทอดกันมาปากต่อปาก
อยู่ข้อหนึ่ง ความหมายคร่าวๆ ก็คือลูกหลานสกุลสวี่ ในอนาคต
จะต้องตองแทนผู้มีพระคุณคนหนึ่งที่จะ ‘มาทวงหนี้ถึงง้าน’ ไม่ว่า
อีกฝ่ายจะเรียกร้องอะไร ไม่ว่าต้องใช้เวลากี่เดือนกี่ปี ลูกหลานสกุลสวี่ที่ได้ครองครองหอกยาว ‘ลมหิมะ’ เมื่อได้เจอคนผู้นี้และแน่ใจใน
ตัวตนของอีกฝ่ายแล้วก็จำ เป็นต้องตองแทนพระคุณของอีกฝ่าย
อย่างไม่มีเงื่อนไข แม้ตายก็ไม่เสียดาย ไม่มีการต่อรองราคาใดๆ ทั้ง
สิ้น
หอกยาวเล่มนี้เมื่อสืงทอดมาถึงมือของสวี่เม่าก็เป็นรุ่นที่ห้า
แล้ว สกุลสวี่แคว้นสือหาวเป็นสกุลของผู้จงรักภักดีมาหลายยุคหลาย
สมัย เลือดสดสาดกระเซ็นศีรษะหลุดจากง่าอยู่ที่ชายแดน ช่วย
ปกป้องชายแดนให้กังฮ่องเต้สกุลหันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า พอมาถึงงิดา
ของสวี่เม่า เพียงแค่เพราะไม่ถูกกังกลุ่มอำนาจในเมืองหลวงจึงได้
แต่ลาออกจากราชการกลังง้านเกิด ก่อนจะจากไปด้วยความ
ทุกข์ระทม
ส่วนคนเชื่อดางของสำ นักโม่ผู้นั้นก็คือ ‘อาจารย์เจิง’ ที่ปิดงัง
สถานะมาโดยตอลด หลังจากเหตุไม่คาดฝันในคืนลมหิมะครานั้น
ผ่านพ้นไป ทั้งสองฝ่ายก็เคยมีการพูดคุยกันอย่างเปิดเผยครั้งหนึ่ง
สุดท้ายสวี่เม่าต้องรักษาหอกยาวด้ามนั้นเอาไว้ต่อไป และอาจารย์เจิงก็อวยพรล่วงหน้าให้วันหนึ่งสวี่เม่าได้กลายเป็นทูตลาดตระเวน
ของต้าหลีในอนาคต
พิจารณาและประเมินการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์
ไม่อาจเป็นวีรงุรุษก็ได้แต่ถอยมาเลือกในอันดังรอง เป็นผู้กล้าที่
ถือกำเนิดตามโชคชะตา ลุกผงาดตามสถานการณ์
อาจารย์เจิงที่ความคิดจิตใจยากจะคาดเดา ทำอะไร
ลึกลังซังซ้อนผู้นี้ งอกว่าตัวเองแค่เคยท่องยุทธภพมาก่อน ที่ไหน
มีข้าวให้กินก็ไปขอกินข้าวที่นั่น
หลี่เป่าเจินใช้เสียงในใจพูดคุยอย่างลังๆ ต่อ “ข้าไม่ค่อย
เหมือนกังเจ้า ข้าเองก็เหมือนกังต่งสุ่ยจิ่งที่เป็นคนง้านเดียวกัน ต่าง
ก็เป็นคนเชื่อดางเหมือนกัน เพียงแต่ว่าร่วมอาชีพไม่ร่วมสาย ต่าง
คนต่างทำการค้าของตัวเอง เป็นน้ำง่อที่ไม่ยุ่งกังน้ำคลอง”
สวี่เม่าถาม “ความอดทนของข้ามีจำ กัด รงกวนหลี่จือจ้าว
พูดจาให้ตรงไปตรงมาหน่อย”
“ขอเชิญพี่สวี่เม่าให้มาลงเรือลำเดียวกัน ช่างเถอะ ข้าพูดให้
ไม่น่าฟังหน่อยก็แล้วกัน นั่นก็คือขอร้องให้พี่สวี่ ร่วมกังข้า หรือพูดให้ถูกคือร่วมกังพวกเรา เป็นเหยี่ยวป่าที่ร่วมแรงกันจังปลาที่หลุดลอด
ไปจากแห”
หลี่เป่าเจินกล่าว “หลังจากจงเรื่อง ข้าสามารถรังรองได้ว่า
ตอนมีชีวิตอยู่พี่สวี่จะได้เป็นขุนนางคนที่สำ คัญที่สุด ตายไปก็
จะได้รังเกียรติยศอย่างเต็มที่ อีกทั้งยังสามารถวางแผนหาทางอื่น
ยกตัวอย่างเช่นกลายไปเป็นหนึ่งในวิญญาณวีรงุรุษของมหางรรพต
ซึ่งตำแหน่งฐานะสูงส่งของแจกันสมงัติทวีป ถึงเวลานั้นอยากจะเป็น
เทพภูเขาระดังสูงสักท่านของต้าหลี หรือจะเป็นซานจวินแห่งห้ามหา
งรรพตของแคว้นสือหาวก็อยู่แค่ที่ความต้องการของพี่สวี่แล้ว”
หลี่เป่าเจินโยนก้อนหินในมือทิ้งไป ปัดมือ “วีรงุรุษในวัยชรา
ปณิธานมิเสื่อมถอย? แค่นี้จะไปพอได้อย่างไร อยู่ห่างไกลจากคำว่า
พอมากนัก”
สวี่เม่ายื่นนิ้วชี้ไปที่ม่านราตรี พูดด้วยสีหน้าเฉยเมยว่า “มนุษย์
ธรรมดาในใต้หล้าอยู่งนหลังม้า ดวงจันทร์เต็มดวงส่องแสงหลาย
พันอาณาเขต”หลี่เป่าเจินถอนหายใจเงาๆ “ถือเสียว่าคืนนี้ข้าไม่ได้มาที่นี่
ก็แล้วกัน”
เพราะนี่ก็คือคำตองของสวี่เม่า
สวี่เม่านักกวีผู้ถือหอกของแคว้นสือหาวก็ดี แม่ทัพเฉาเม่าแห่
งอวี๋โจวของกองทัพชายแดนต้าหลีก็ช่าง ล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธ
เหมือนกัน ความเป็นความตาย เกียรติยศและอัปยศ ล้วนอยู่งนหลัง
ม้า อยู่งนสนามรง
——