กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 954.4 เพื่อนเก่ากลับมาพบเจอกันใหม่
ศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง พื้นที่ลับแห่งหนึ่งของสวนกงเต๋อ
นักโทษผู้หนึ่งนั่งอยู่ริมทะเลสาบ กำลังใช้กากข้าวโพดสำ หรับ
หมักเหล้ามาปั้นเป็นเหยื่อล่อ
ชายฉกรรจ์นั่งเฝ้าปลาตัวหนึ่ง เพื่อแกว่งให้เหยื่อล่อสลายตัว
กระจายไปทั่วผิวน้ำ ดังนั้นทุกครั้งที่เหวี่ยงคันเบ็ดแล้วยกคันเบ็ดขึ้น
จึงเหลือเพียงคันเบ็ดว่างเปล่า
วันนี้เด็กหนุ่มคนนั้นมาเยือนอีกแล้ว หลิวชาไม่เคยถามชื่อของ
อีกฝ่าย แล้วก็ไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยว่าทำไมลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่เป็น
เพียงห้าขอบเขตล่างคนหนึ่งถึงมาเยือนสถานที่แห่งนี้ได้
หลิวชาเองก็คร้านจะอธิบายอะไร เพราะแค่มองเด็กหนุ่มก็รู้
แล้วว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้
เด็กหนุ่มถามอย่างใคร่รู้ “ได้ยินมาว่าตกปลาต่างกันก็ต้อง
ใช้เบ็ดตกปลาไม่เหมือนกันหรือ?”หลิวชาหัวเราะร่า “ยอดฝีมือใช้คันเบ็ดแค่อันเดียว คนไม่
เชี่ยวชาญวางแผงขายของ”
เด็กหนุ่มพยักหน้า “แค่ฟังก็รู้ว่าเป็นคำพูดของยอดฝีมือ”
ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ลำคลองเย่ลั่ว
เฟยเฟยเริ่มปิดด่านแล้ว
จากนั้นก็มีผู้ฝึกตนต่างถิ่นกลุ่มหนึ่งมาเยือน
คล้ายกับนัดหมายกันไว้เรียบร้อยแล้วจึงมาเยือนลำคลองเย่ลั่ว
ในวันเดียวกัน มาเพื่อพบป๋ายเจ๋อ
คล้ายกับเป็นการถูกบีบให้ต้อง ‘เข้าเฝ้า’ อย่างหนึ่ง
คนหนึ่งในนั้นสะดุดตาอย่างมาก มีลักษณะเป็นเด็กหนุ่ม เรือน
กายผอมบาง สวมชุดคลุมขนเตียวเก่าแก่ตัวหนึ่ง สองข้างแก้มแดง
เป็นปื้น ร่างทั้งร่างเผยความมีชีวิตชีวาสดใส
เด็กหนุ่มน้ำเสียงใสกังวาน พูดอย่างผึ่งผายว่า “นายท่านป๋าย
ขอปรึกษากับท่านสักเรื่องสิ”
ที่แท้ก็เป็นแม่นางคนหนึ่งที่หน้าตาคล้ายเด็กหนุ่ม
ป๋ายเจ๋อยิ้มเอ่ย “ลองว่ามาสิ”นางเผยสีหน้าขัดเขินอย่างที่หาได้ยาก เอ่ยว่า “ข้าคิดว่าจะไป
เยือนใต้หล้าไพศาลสักรอบ และข้าก็จะไม่เป็นฝ่ายก่อเรื่องอะไร ทว่า
เริ่มจากกำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นต้นไป ใครกล้าขัดขวาง ข้าก็
จะฟันคนผู้นั้น ถือว่าข้าได้ช่วยออกแรงให้กับใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
ก็แล้วกัน ฟันไม่ได้ ถูกซ้อมถูกจับถูกฆ่าตาย ก็ถือเสียว่าฝีมือข้าด้อย
กว่าคนเขา ต้องยอมรับชะตากรรมก็เท่านั้น แต่หากว่าข้าสามารถ
เดินทางไปเยือนทวีปแห่งหนึ่งของใต้หล้าไพศาลได้อย่างราบรื่น
ยกตัวอย่างเช่นที่แจกันสมบัติทวีป ข้าก็จะไม่ทำตัวเหลวไหล.
..เอาเป็นว่าความหมายคร่าวๆ ก็คือแบบนี้แหละ นายท่านป๋ายท่าน
ฉลาดถึงเพียงนี้ น่าจะเข้าใจแล้วว่าข้าหมายความว่าอะไร”
ป๋ายเจ๋อยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จะไปหาเขาหรือ?”
นางยิ้มกว้าง รอยยิ้มบนใบหน้าสดใสราวกับแสงตะวัน
ป๋ายเจ๋อกล่าว “ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาทำข้อตกลงกันก่อน
หากวันใดข้ากับหลี่เซิ่งตีกันขึ้นมา เจ้าก็ต้องหาโอกาสกลับมาที่
เปลี่ยวร้าง ดังนั้นการเดินทางไกลไปเยือนไพศาลครั้งนี้ เจ้า
จำ เป็นต้องหาทางถอยไว้ให้ตัวเองล่วงหน้าก่อน ต่อให้ทิ้งชีวิตไปแล้วครึ่งหนึ่งก็ต้องกลับมาใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ก่อนหน้านั้นข้าสามารถ
บอกกล่าวกับหลี่เซิ่งก่อนได้ เจ้าแค่ต้องรับปากว่าวันหน้าจะไม่ตั้งตัว
เป็นศัตรูกับเปลี่ยวร้าง แล้วก็ไม่ทำอะไรตามใจปรารถนา ทำตัว
กำเริบเสิบสานอยู่ที่ใต้หล้าไพศาล ถ้าเจ้าไม่ข้ามแดนไปท่องเที่ยว
คิดดูแล้วก็ไม่น่าจะเป็นปัญหามากนัก”
เห็นได้ชัดว่านางประหลาดใจอย่างมาก “ข้าไปได้จริงๆ หรือนี่
?!”
นางแค่พูดไปอย่างนั้นเอง คิดว่าบอกกล่าวกับป๋ายเจ๋อแล้วนาง
ก็จะเตรียมเดินทางทันที คิดไม่ถึงว่าป๋ายเจ๋อจะพูดคุยด้วยง่ายเช่นนี้
ดูท่าแล้วการเรียกด้วยความเคารพว่านายท่านป๋ายจะไม่ได้เรียก
อย่างเสียเปล่า
แล้วก็คือ ‘เด็กสาว’ คนนี้ที่เป็นผู้ที่อยู่อันดับสูงสุดในบรรดา
ผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจยุคบรรพกาล ได้ครอบครองฉายายาวเป็นพรวน
อย่างป๋ายจิ่ง เฉายวิน ไหว้จิ่ง เหย้าหลิง…
ป๋ายเจ๋อยิ้มอบอุ่น พูดเสียงเบาว่า “ดูท่าจะชอบจริงๆ สินะ”“ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าชอบหรือเปล่า เพียงแต่ว่าไอ้หมอนั่น
เอาแต่หลบเลี่ยงข้า จึงไม่เคยทำสำ เร็จเสียที”
ป๋ายจิ่งเหนียมอายอย่างที่หาได้ยาก “ใช่แล้ว นายท่านป๋าย
ทุกวันนี้ข้าชื่อว่าเซี่ยโก่ว ชื่อใหม่นี้เป็นอย่างไร พอได้เลยใช่ไหม?”
ป๋ายเจ๋ออืมรับหนึ่งที พยักหน้ากล่าว “เรื่องของการตั้งชื่อ ข้า
ไม่ค่อยถนัดหรอก”
ป๋ายจิ่งยังพูดง่าย ส่วนพวกปีศาจใหญ่บรรพกาลตนอื่นที่ฟื้น
ตื่นขึ้นจากการจำ ศีลยาวนานนับหมื่นปีทั้งหลาย
แต่ละตนล้วนจิตแห่งมรรคาสะเทือนไหว หวาดผวาพรั่นพรึง
สีหน้าล้วนไม่ค่อยน่าดูนัก
คนผู้หนึ่งที่สามารถทำให้ผู้ฝึกกระบี่ป๋ายจิ่งเรียกอย่างเคารพ
นอบน้อมว่า ‘นายท่านป๋าย’ ได้ ต่อให้เป็นแค่คำพูดตามมารยาทก็
ต้องมีคุณสมบัติจะให้ป๋ายจิ่งก้มหัวยอมอ่อนข้อให้ถึงจะได้
ป๋ายเจ๋อยิ้มกล่าว “หากเดาไม่ผิด พวกเจ้าทั้งหลาย แม้แต่ตัว
ป๋ายจิ่งเอง ก่อนหน้านี้น่าจะปรึกษากันไว้ก่อนแล้ว ดูว่าจะสามารถ
ร่วมมือกันมาลงนามสัญญาอย่างหนึ่งกับข้าได้หรือไม่ยกตัวอย่างเช่นโน้มน้าวข้าว่าอย่าได้ควบคุมพวกเจ้ามากเกินไปนัก
แค่พอสมควรก็พอแล้ว?”
ป๋ายจิ่งหัวเราะร่า “นายท่านป๋าย แต่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้วล่ะ
ข้าจะยืนอยู่ข้างนายท่านป๋าย ก็ล้วนแซ่ป๋ายเหมือนกันนี่นะ เป็นคน
ครอบครัวเดียวกัน”
แต่ละคนต่างก็จ้องคนทรยศที่หันหอกเข้าหาพวกเดียวกันเอง
อย่างป๋ายจิ่งเขม็ง นี่ก็คือใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว
“ไม่มีใครที่เป็นขอบเขตสิบสี่ แค่อาศัยว่ามีจำ นวนมาก อยู่กับ
ข้าแล้วไม่มีความหมายเท่าใดหรอก”
ป๋ายเจ๋อหรี่ตาเอ่ย “ถือว่าสมเหตุสมผล แต่อย่าให้มีคราวหน้า
อีก”
ป๋ายจิ่งหรือจะสนใจความเป็นความตายของ ‘พันธมิตร’ กลุ่ม
นั้น
เพียงแค่พึมพำประโยคหนึ่งด้วยความอารมณ์ดีว่า “เสี่ยวโม่
เสี่ยวโม่? ชื่อนี้ช่างตั้งได้ธรรมดาจริงๆ”
……
ศูนย์ตัดต้นไม้ หลินเจิ้งเฉิงเฝ้าคืนอยู่เพียงลำพังในฐานะหุนเจ่อของเมืองเล็กในอดีต มีหลายเรื่องที่หลินเจิ้งเฉิ
งมองเห็นอยู่ในสายตา ยกตัวอย่างเช่นจูลู่ที่ตอนเป็นเด็กสาวมักจะ
ชอบเสียใจและคับแค้นในความผิดพลาดของตัวเอง จนถึงทุกวันนี้
นางก็ยังถูกปิดหูปิดตา ไม่เคยรู้ความเป็นมาที่แท้จริงของตัวเอง
นางคิดมาโดยตลอดว่าในกลุ่มคนรุ่นเดียวกันของปีนั้น การที่
พวกเขาสามารถประสบความสำ เร็จอย่างในทุกวันนี้ได้ ล้วนมีส่วน
จากชาติกำเนิด พรสวรรค์ โชควาสนาและบุญบารมี ยกตัวอย่างเช่น
สถานะของรัชทายาทแคว้นล่มสลายของอวี๋ลู่ หรือยกตัวอย่างเช่น
เพราะเฉินผิงอันได้รู้จักกับหนิงเหยา เว่ยป้อเทพแห่งผืนดินของภูเขา
ฉีตุน โชคดีได้กลายเป็นลูกศิษย์ปิดสำ นักของสายเหวินเซิ่ง ถึงได้
มีวาสนาที่ตามมาเป็นพรวนในภายหลัง…
อันที่จริงที่ใต้หล้ามืดสลัวมีคำสุภาษิตอย่างหนึ่งที่แพร่หลาย
ไม่กว้างขวางนัก กล่าวไว้ว่า ‘มิตรภาพแห่งจูและเฉิน’ (หมายถึง
ความสัมพันธ์ของสองตระกูลที่เกี่ยวพันกันด้วยการแต่งงาน)
นอกจากนี้ก็ได้อนุมานออกมาเป็นคำกล่าวที่ไม่ค่อยคุ้นหูคนนัก จู
เฉินครอบครัวเดียวกัน ไม่ทรยศกันและกันตลอดไปเพราะหากจะพูดถึงชาติกำเนิดแล้ว จูลู่นับว่ามีชาติกำเนิดที่
ไม่เลว ถึงขั้นสามารถพูดได้ว่าในบรรดาคนรุ่นเยาว์ของเมืองเล็ก
หากไม่นับคนกลุ่มน้อยอย่างพวกหร่วนซิ่ว หลี่หลิ่ว หลี่ซีเซิ่ง นางก็
ถือว่าเป็นคนที่โดดเด่นอย่างจริงแท้ ถึงขั้นที่ว่ายังดีกว่าพวกเซี่ยหลิง
แห่งตรอกเถาเย่ หูเฟิงแห่งร้านขายของงานมงคลด้วยซ้ำ เพราะจูลู่
ถือเป็น ‘คนต่างถิ่น’ ครึ่งตัวของถ้ำ สวรรค์หลีจู
ส่วนโชควาสนา ก็มอบให้นางไปแล้ว
ก่อนหน้านี้ลู่เฉินมาเป็นแขกที่นี่ได้เปิดเผยความลับสวรรค์กับ
หลินเจิ้งเฉิงมากกว่าเดิม ที่แท้ชาติก่อนจูลู่นั้นมากจากเขตจู๋ลู่มณฑล
โยวโจวซึ่งเป็นสนามรบโบราณของใต้หล้ามืดสลัว
ดังนั้นนางทั้งไม่ใช่จิตใจทะเยอทะยานสูงกว่าแผ่นฟ้า
ชะตาชีวิตเบาบางกว่ากระดาษ และยิ่งไม่ใช่คนที่เกิดมาก็มีชะตาของ
สาวใช้ที่อยู่ข้างกายคุณหนูอะไร
ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่การตั้งชื่อของนางก็มีที่มายิ่งใหญ่ ค่อนข้าง
คล้ายคลึงกับชื่อของหลี่เป่าผิงแห่งถนนฝูลู่ที่มาจากแจกันสมบัติทวีป
และคนที่ตั้งชื่อ ‘จูลู่’ นี้ก็คือนักพรตหญิงท่านหนึ่งที่มีมรรคกถาสูงส่งเลิศล้ำของป๋ายอวี้จิงซึ่งแม้แต่อวี๋โต้วก็ยังให้ความเคารพยำเกรง
อย่างมาก
เพราะนางคือผู้ปกป้องมรรคาในเมืองเล็กที่ป๋ายอวี้จิง หรือ
ควรจะพูดว่าที่ลู่เฉินจัดหามาให้ศิษย์พี่ใหญ่
แน่นอนว่าบางทีก็อาจเป็นแค่ ‘หนึ่งใน’ เท่านั้น เพราะ
ถึงอย่างไรข้างกายของโจวหลี่นักพรตของสำ นักโองการเทพ หาก
ไม่ผิดไปจากที่คาดก็ต้องมีผู้ปกป้องมรรคาในที่ลับคนหนึ่งเหมือนกัน
ส่วนเรื่องที่มากกว่านี้ ลู่เฉินกลับไม่ได้เล่าให้ฟังแล้ว
ทว่าต่อให้จะเป็นแค่หนึ่งในสามคน ด้วยความเคารพนับถือที่ลู่
เฉินมีต่อเจ้าลัทธิผู้เป็นศิษย์พี่ ก็มากพอจะมองออกถึงความเป็นมาที่
ไม่ธรรมดาและคุณสมบัติในการฝึกตนที่ดีของจูลู่ เป็นเหตุให้ลู่เฉิน
ไม่ลังเลที่จะปิดบังความลับสวรรค์ต่อจูลู่ที่เข้าไปอยู่ในถ้ำ สวรรค์หลี
จูล่วงหน้าก่อนหลายปี
ตอนนั้นหลินเจิ้งเฉิงฟังเจ้าลัทธิสามเล่าด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ
ทั้ง
ยังทำท่าเจ็บปวดรวดร้าวใจ พึมพำสองประโยคว่า ‘จูเฉินคือ
ครอบครัวเดียวกัน จูเจอเฉินต้องนอบน้อมยอมอ่อนข้อให้’หลินเจิ้งเฉิงฟังความนัยในคำพูดประโยคนี้ออก เพราะเดิมทีห
ลี่ซีเซิ่งควรจะแซ่ ‘เฉิน’ เป็นเหตุให้จูลู่ที่เป็นหนึ่งในเม็ดหมากสำ คัญ
ซึ่งป๋ายอวี้จิงต้องจ่ายไปไม่น้อยกว่าจะส่งตัวมายังใต้หล้าไพศาลได้
ขณะเดียวกันก็เป็นผู้ปกป้องมรรคาบนเส้นทางการเดินขึ้นเขาของ ‘ห
ลี่ซีเซิ่ง’ ด้วย ความเคารพนอบน้อมที่จูลู่มีต่อหลี่ซีเซิ่งก็คือกุญแจ
สำ คัญของเรื่องราว
และยังมีอีกประโยคหนึ่งที่บอกว่า ‘บุรุษเจอบุรุษกลายเป็น
สหาย บุรุษเจอสตรีแต่งงาน ผูกสัมพันธ์มิตรภาพแห่งจูและเฉิน
ไม่แยกจากกันตลอดกาล’
ตอนนั้นหลินเจิ้งเฉิงมีสีหน้าปั้นยาก ส่วนลู่เฉินก็หัวเราะอย่าง
ขุ่นเคือง เอ่ยเย้ยหยันตัวเองว่า จับคู่ยวนยางส่งเดช ปีนั้นผินเต้าก็แค่
อยากจะหาคู่สร้างคู่สมให้กับศิษย์น้องเล็ก เจ้าลัทธิสี่แห่งป๋ายอวี้
จิงในอนาคตไม่ใช่หรือ
เนื่องจากหลี่ซีเซิ่งได้ครอบครองโชคชะตาของสกุลเฉินในเมือง
เล็กไปส่วนหนึ่ง เป็นเหตุให้การปรากฏตัวของจูลู่ที่เดิมทีควรเป็นทั้ง
การใช้หนี้ แล้วก็เป็นทั้งเหตุแห่งผลกรรม คล้ายคลึงกับคำกล่าวของลัทธิพุทธที่บอกว่า ‘ชาติก่อนมีเหตุ ชาตินี้มีผล ชาตินี้มีเหตุ ชาติหน้า
มีผล’ การที่บอกว่า ‘จูเจอเฉินต้องนอบน้อมยอมถอยให้’ เอามาใช้บน
ร่างของจูลู่และเฉินผิงอันแห่งตรอกหนีผิง เดิมทีก็เป็นการเอามาใช้
ได้อย่างเหมาะสมดีแล้ว นอกจากนี้หากจูลู่สามารถคุ้มกันหลี่เป่าผิง
ไปจนถึงต้าสุย และถือโอกาสขอศึกษาต่อที่สำ นักศึกษาซานหยา
ด้วย สำ หรับแจกันสมบัติทวีปแล้วก็คือคุณความชอบที่ไม่ใหญ่
ไม่เล็กครั้งหนึ่ง ในอนาคตเมื่อบรรพจารย์สามลัทธิสลายมรรคา รอ
กระทั่งนางหวนกลับใต้หล้ามืดสลัวที่เป็นบ้านเกิด คิดดูแล้วก็น่าจะมี
‘ค่าตอบแทน’ อีกก้อนหนึ่งที่หล่นลงมาจากฟ้า สรุปก็คือป๋ายอวี้จิง
ไม่มีทางให้นางไปเยือนใต้หล้าต่างถิ่นอย่างเสียเที่ยวแน่นอน
หากเส้นทางชีวิตคนของจูลู่สามารถทำตามลำดับขั้นตอนจน
เดินมาได้ถึงก้าวนี้ เดิมทีก็จะกลายเป็นเรื่องเล่าขานที่งดงามบนภูเขา
เรื่องหนึ่ง
เพียงแต่ว่าโอกาสที่มาอยู่ในมือแล้ว นางกลับคว้าไว้ไม่อยู่
ถ้าอย่างนั้นก็ได้แต่ ‘ไม่ไปพูดถึง’ แล้ว ลู่เฉินจึงแสร้งทำเป็นว่าไม่
มีเรื่องนี้เกิดขึ้นก็เหมือนอย่างลูกศิษย์ผู้สืบทอดของผังติ่งแห่งนครหลิงเป่า
ตอนนั้นที่อยู่บนจุดที่สูงที่สุดของป๋ายอวี้จิง เต้ากวานหนุ่มได้เผยจิต
แห่งมรรคาที่แข็งแกร่งมั่นคงซึ่งเข้าใจได้เองโดยไม่ต้องมีโชคช่วยที่
กลับกลายเป็นว่าทำให้อวี๋โต้วและลู่เฉินมองเขาสูงขึ้นกว่าเดิม
ซุนเจียซู่แห่งนครมังกรเฒ่าพลาดโชควาสนาด้านเงินทองที่
เท่ากับ ‘นครมังกรเฒ่าทั้งแห่ง’ ครั้งหนึ่งไป แต่ซุนเจียซู่ก็ไม่ได้
หมดอาลัยตายอยากเพราะเหตุนี้ กลับกันยังทำให้เขาตระหนักได้
ถึงหลักการอันล้ำค่าที่บอกว่า ‘สร้างชะตาอยู่ที่สวรรค์ กำหนด
ชะตาชีวิตขึ้นอยู่กับตัวเอง’
หลินเจิ้งเฉิงเองก็คร้านจะพูดจาวกไปวนมากับลู่เฉิน
ถามโดยตรงว่าอีกฝ่ายคิดจะจัดการกับจูลู่อย่างไร
จะปล่อยจูลู่ไว้อย่างนี้ไม่ไปสนใจ หรือเตรียมจะพานางกลับไป
ยังใต้หล้ามืดสลัวในวันหน้า?
ลู่เฉินตอบไม่ตรงคำถาม แค่เอ่ยประโยคหนึ่งที่คลุมเครือ
ชีวิตคนมีผลลัพธ์ได้มากมาย แต่กลับไม่มีคำว่าถ้าหากอะไร
ทั้ง
นั้นหลินเจิ้งเฉิงถาม ‘เจ้าลัทธิลู่ไม่คิดจะบอกความจริงแก่นางหรือ
?’
ลู่เฉินส่ายหน้า ‘วันหน้าค่อยว่ากันเถอะ บอกความจริงไป
ตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร หากมองเหตุการณ์ในระยะยาว ผิดหรือ
ถูก ดีหรือเลว ตรงหรือเอียง ก็จะกลายเป็นแป้งเปียกก้อนหนึ่งแล้ว’
หลินเจิ้งเฉิงถามอย่างสงสัย ‘ในเมื่อจูลู่สำ คัญขนาดนี้ เหตุใด
เจ้าลัทธิลู่ถึงปล่อยปละละเลยนางไม่สนใจ เบิกตามองดูจูลู่เดินไปบน
ทางแยกที่ไม่สอดคล้องกับที่คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า?’
จดหมายลับฉบับที่หลี่เป่าเจินมอบให้จูลู่นั้นคือจุดหักเหที่
สำ คัญที่สุด
ทั้ง
ไม่ได้มีการป้องกันล่วงหน้า ในช่วงเวลาหลายปีที่ลู่เฉินตั้ง
แผงดูดวงอยู่นั้น ไม่เคยมีการพูดคุยใดๆ กับจูลู่ ราวกับจงใจไม่ไป
สนใจนิสัยใจคอของจูลู่ ไม่ไปขัดกลึงหยกดิบเปื้อนฝุ่น มรสุมที่เกิดขึ้น
ที่เมืองหงจู๋ครานั้น ลู่เฉินเองก็ไม่ได้มีการกระทำใดๆ ที่เป็นการ
ล้อมคอกเมื่อวัวหายเช่นกันด้วยมรรคกถาของลู่เฉินแล้วคงไม่ถึงขั้นคิดคำนวณไม่ได้
พูดถึงแค่เรื่องที่จูลู่ฝึกวรยุทธ หากลู่เฉินยินดีชี้แนะบ้างสักเล็กน้อย
สามขอบเขตแรกบนวิถีวรยุทธของจูลู่ก็ไม่มีทางเจออุปสรรค
ตลอดทางเช่นนั้นแน่นอน
เพราะจากการคาดเดาของราชครูชุยฉาน ปรมาจารย์ใหญ่วิถี
วรยุทธสิบท่านของใต้หล้ามืดสลัว ร่างแยกร่างหนึ่งของลู่เฉินต้องได้
ยึดครองพื้นที่แห่งหนึ่งไว้แน่นอน
‘แค่ทางแยกที่ไม่สอดคล้องกับความตั้งใจเดิมของผินเต้า แต่
กลับเป็นเส้นทางที่ถูกต้องของจูลู่ในชาติภพนี้ เรื่องแบบนี้ หลักการ
เหตุเช่นนี้ จะคิดกันอย่างไรเล่า?’
ลู่เฉินยิ้มเอ่ย ‘ผู้ฝึกตนจะต้องมีชาติหน้าให้พบเจอหลายชาติ
สติปัญญาจะเปิดออกหรือไม่ สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็ยังเป็นการ
หาเรื่องใส่ตัวซึ่งต้องภาวนาให้ตัวเองโชคดีมากๆ อยู่นั่นเอง’
ดูเหมือนว่าหากมองย้อนไปเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน ล้วนเป็น
ความแน่นอนที่เลี่ยงไม่ได้ แต่พอมองไปยังหนึ่งหมื่นปีให้หลัง กลับ
เป็นเรื่องบังเอิญหลักการเหตุผลสามารถเป็นกลอนปีใหม่ เป็นอักษรฝูที่เปลี่ยน
ได้ทุกปี คือลมวสันต์สายฝนโปรยปรายที่ไปมาอย่างเงียบเชียบ คือ
หิมะทับถมในฤดูหนาวที่ต้องละลายจนหมดสิ้น คือสายน้ำไหลที่
จากไปแล้วไม่มีวันหวนคืน คือบ้านหลังเก่าที่ซ่อมแซมผ่านพ้นไปอีก
ปี คือบ้านหลังใหม่ที่มองดูคล้ายผลักสิ่งเก่าให้ล้มลงก่อนสร้างขึ้น
มาใหม่ แต่กลับยังคงตั้งอยู่บนรากฐานเดิมตลอดเวลา
แล้วก็สามารถเป็นตรอกซอกซอยของเมืองเล็กในถ้ำ สวรรค์หลี
จู หากเป็นตระกูลที่ชื่นชอบก็สามารถไปเป็นแขกถึงบ้าน ตระกูลที่
เคยทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่ชอบก็เดินอ้อมผ่านไปทางอื่น คือร้าน
ข้าว ร้านผ้า ร้านเหล้า ร้านขายของงานอวมงคล ร้านขายของ
งานมงคล คือแผ่นหินเขียวที่ปูไว้บนถนนฝูลู่และตรอกเถาเย่ แล้วก็
สามารถเป็นถนนดินเหลืองของตรอกซิ่งฮวา ถึงขั้นที่ว่าสามารถเป็น
ขี้ไก่บนโต๊ะ ขี้หมาที่อยู่ในมุมหน้าประตูบ้าน สามารถเป็นจอกสุราที่
ฝุ่นเกาะจนเต็ม เป็นร่องรอยหยดน้ำที่เกิดซ้ำ แล้วซ้ำ เล่าในตรอกเล็ก
คือตะเกียบไผ่เขียวคู่ใหม่ที่คร้านจะล้างให้สะอาด ทุกครั้งที่จะ
กินข้าวก็แค่เหน็บใต้รักแร้แล้วเช็ดเอาเท่านั้น…ทว่าความจริงมีแต่จะเป็นดวงตะวันเจิดจ้าที่สาดส่องแผ่นหลัง
ของคนยากจนในฤดูร้อนที่อากาศร้อนระอุ คือไอร้อนลวกดวงตาคน
ทุกคนที่เงยหน้ามองดวงอาทิตย์ ต่อให้เจ้าจะมีเหตุผลนับร้อยนับพัน
หลักการนับพันนับหมื่น ไม่ว่าจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ก็ล้วนต้องรับ
เอาไว้
ในเมืองเล็กมีประโยคบ้านๆ อยู่ประโยคหนึ่งที่พวกคน
เฒ่าคนแก่อายุมากมักจะพูดติดปากกันเป็นประจำ ดวงตามองเห็น
ไม่ชัดทั้งหูยังหนวก ก็เป็นพระโพธิสัตว์ได้แล้ว
มองภายนอกนี่คือประโยคที่เต็มไปด้วยความหมายเย้ยหยัน
ตัวเอง มนุษย์ที่กำลังจะตายก็เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง แทบไม่ต่างอะไรจาก
พระโพธิสัตว์ดินปั้นหรือไม้แกะสลักแล้ว
แต่หากสืบสาวลงลึกไปอีก นี่กลับเป็นคำกล่าวที่มีความหมาย
ลึกล้ำอย่างมาก เพียงแต่ว่าเมื่อคำพูดเก่าแก่พูดต่อกันไปนานวันเข้า
สืบทอดต่อกันไปรุ่นแล้วรุ่นเล่าเป็นเวลานานเกิน พวกคนรุ่นเยาว์ก็
มักจะไม่เห็นเป็นจริงเป็นจัง ฟังแล้วก็ปล่อยผ่านไป ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่คนเฒ่าคนแก่ที่เอ่ยประโยคนี้ก็ยังแค่เห็นเป็นเรื่องตลกที่แฝงไว้ด้วย
ความเสียใจหรือไม่ก็ปลงตกได้อย่างสิ้นเชิงเท่านั้น
เกรงว่าการหายสาบสูญไปของภาษาถิ่นในพื้นที่หนึ่งก็คือการ
ล่มสลายของมาตุภูมิแห่งหนึ่ง ก็เหมือนการจากไปของคนแก่ที่ถูก
ฝังลงสู่ดินเพื่อความสงบสุข
ปีนั้นเตาเผามังกรแห่งหนึ่งของเมืองเล็กมีช่างผู้เฒ่าคนหนึ่งที่
ทุกครั้งหลังจากทำงานแล้วก็มักจะสวมเสื้อผ้าสะอาดสะอ้านเสมอ
และยังมีลูกศิษย์เตาเผาที่เป็นเพื่อนอยู่กับถ่านไม้ ดินเหนียวและ
เปลวไฟในเตาอยู่ตลอดทั้งปี
ภายหลังอยู่บนหัวกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่
อาจารย์คนหนึ่งลูกศิษย์สองคน
อาจารย์ดื่มเหล้าไปแล้วก็เอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมาก่อน ลูกศิษย์ผู้
เป็นที่ภาคภูมิใจสองคนอย่างชุยตงซานและเฉาฉิงหล่างก็ทยอยกัน
ร้องรับ
‘ไข่มุกบนเสื้อคนจน เดิมกลมเกลี้ยงมีแสงแวววาว’‘ไม่แสวงหาด้วยตัวเอง แต่กลับนับสมบัติของผู้อื่น นับสมบัติ
ของผู้อื่น สุดท้ายแล้วก็ไร้ประโยชน์ ขอท่านโปรดฟังคำข้า’
‘ไร้สิ่งสกปรกปลอมปน แสงสว่างที่มีในตัว มิอาจไม่บัง
เกิดขึ้นในใจ ยามเอ่ยวาจาจึงเป็นดั่งสิงโตคำราม”
สิงโตคำรามในตรอกหนีผิง