กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 955.2 ใจคิดถึงบ้านแผ่อวลเต็มโต๊ะ
มีสองชิ้นที่ระดับขั้นสูงที่สุด ชิ้นหนึ่งเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีใน
หอปี้อวิ๋นของป๋ายอวี้จิง คือเสื้อเกราะบรรพกาลชิ้นหนึ่งที่ถูกปิดผนึก
มานานหลายพันปี
อีกชิ้นหนึ่งอยู่บนร่างของอู๋โจว หรือควรจะพูดว่าตัวนางก็คือ
วัตถุชิ้นนั้น เพราะหากจะพูดให้ถูกก็คือวัตถุชิ้นนี้ได้ผสานรวมเป็น
ส่วนหนึ่งของมรรคานางมานานแล้ว
ตอนที่นางอายุน้อยแล้วได้เริ่มฝึกตน ด้วยโชควาสนาที่อำนวย
จึงทำให้ได้รับวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตส่วนหนึ่งมาจาก ‘ผู้
หล่อหลอม’ หนึ่งในสิบสองเทพชั้นสูงของยุคบรรพกาล
อาวุธกึ่งเซียนที่อู๋โจวสร้างและหล่อหลอมด้วยมือตัวเองมีมาก
เกินสองมือนับมานานมากแล้ว นี่ยังเป็นส่วนที่ถูกผู้ฝึกตนบนยอดเขา
ของใต้หล้ามืดสลัวตรวจสอบรากฐานมาก่อนแล้วเท่านั้น ส่วน
จำ นวนของอาวุธเซียน นอกจากตัวอู๋โจวเองที่รู้จำ นวนที่เป็นรูปธรรม
แล้ว โลกภายนอกก็ได้แต่คาดเดากันไปส่งเดชเท่านั้นดังนั้นอู๋โจวจึงเป็นอาจารย์หล่อหลอมอันดับหนึ่งในหลายๆ ใต้
หล้าอย่างสมชื่อ
ปีนั้นเข้าร่วมงานแต่งของสวีเจวี้ยนและเจาเกอ นั่งอยู่ที่โต๊ะ
ประธานร่วมกัน อู๋โจวก็ได้ถามอวี๋โต้วด้วยเสียงในใจไปประโยคหนึ่ง
ผลคือถูกอีกฝ่ายปฏิเสธโดยตรง
ข้อเสนอที่อู๋โจวเสนอไปนั้นต้องพูดว่าจริงใจยิ่ง ขอแค่หอปี้อวิ๋น
ยินดีเอาเสื้อเกราะชิ้นนั้นออกมาให้นางหล่อหลอม ถ้าอย่างนั้นนางก็
สามารถช่วยคลี่คลายภัยแฝงบางอย่างในอนาคตให้กับป๋ายอวี้จิงได้
ส่วนภัยแฝงนั้นจะอยู่ที่มณฑลใดหรืออยู่ที่คนผู้ใด ล้วนให้ทางป๋ายอวี้
จิงเป็นฝ่ายจัดการเอง ขอแค่เอาข้อมูลมาให้ นางก็จะช่วยจัดการให้
เรียบร้อยเอง นางยินดีจะจ่ายค่าตอบแทนอย่างไม่เสียดาย
แต่เต๋าเหล่าเอ้อผู้นั้นกลับไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย
เกินครึ่งน่าจะเก็บไว้มอบให้กับลูกศิษย์คนสุดท้ายของมรรคา
จารย์เต๋าที่มีฉายาว่าซานชิง เพื่อให้เป็นของขวัญร่วม
แสดงความยินดีที่เขาได้เป็นเจ้านครหรือเจ้าหอแห่งใดแห่งหนึ่ง
ในอนาคตกระมังอาวุธเทพสิบห้าชิ้นในภายหลังที่มีหลักฐานให้ตรวจสอบ หนึ่ง
ในนั้นก็คือดาบพกของอู๋ซวงเจี้ยงแห่งตำหนักสุ้ยฉู ดาบพิฆาตที่
เป็นหนึ่งในของตกทอดของแท่นลงทัณฑ์บรรพกาล
พูดคุยกับอวี๋โต้วไม่ได้ผล อันที่จริงก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องเหนือ
ความคาดฝันมากนัก ป๋ายอวี้จิงมีกิจการยิ่งใหญ่ เต๋าเหล่าเอ้อก็
มีนิสัยเช่นนั้น เพียงแค่ว่าอู๋โจวขมวดคิ้วน้อยๆ หากจะบอกว่าเต๋า
เหล่าเอ้อปฏิเสธการแลกเปลี่ยนนี้ยังถือว่าสมเหตุสมผล แต่เหตุใด
ทางฝั่งของตำหนักสุ้ยฉูถึงได้ปฏิเสธด้วย?
ดาบแคบพิฆาตเล่มหนึ่งระดับขั้นไม่ถือว่าสูงเกินไปนัก อู๋ซวง
เจี้ยงเองก็ไม่ได้ใช้งาน เหตุใดถึงไม่ยินดีพยักหน้าตอบตกลง?
จะปล่อยให้ฝุ่นเกาะอยู่ในตำหนักสุ้ยฉูหรือ?
ก่อนหน้านี้อู๋โจวเดินทางไปเยือนหอกว้านเชวี่ยอย่างลับๆ
แล้วก็เสนอเงื่อนไขในการแลกเปลี่ยนที่มีความจริงใจอย่างถึงที่สุด
เหมือนกัน คิดไม่ถึงว่าจะยังไม่สมปรารถนาอยู่เหมือนเดิม
อู๋โจวเคยทำการอนุมานบนมหามรรคาคร่าวๆ ไปรอบหนึ่ง
เพียงแต่ว่าต่างก็หนีไม่พ้น ‘อู๋ซวงเจี้ยง’ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายจงใจขัดขวางเอาไว้
เพราะถึงอย่างไรในด้านการคิดคำนวณและอนุมาน อู๋โจวก็
ยอมรับว่าตัวเองไม่ได้เชี่ยวชาญมากนัก แค่ถือว่าพอมีความรู้
พื้นฐานเท่านั้น
อาวุธเทพประเภทนี้ จุดที่แปลกประหลาดที่สุดนั้นอยู่ที่ผู้ฝึก
ลมปราณอยากจะหล่อหลอมมัน เรียกได้ว่าลำบากยากเข็ญนัก
ตัวอย่างที่ทั่วไปที่สุดก็คือกระบี่เซียนสี่เล่มที่ฟูมฟักจิตวิญญาณ
ออกมาได้นั้น ต่อให้เป็นคนที่มรรคกถาสูงส่งอย่างอวี๋โต้วก็ยังได้แต่
รอให้อีกฝ่ายยอมรับเป็นนาย แต่กลับไม่อาจหล่อหลอมมันเป็นวัตถุ
แห่งชะตาชีวิตได้
ผู้ฝึกลมปราณโชคดีได้อาวุธเทพบางชิ้นไปครอบครอง ตบะ
และขอบเขตไม่สูงมากพอ หรือจิตแห่งมรรคาไม่แข็งแกร่งมากพอก็
ง่ายที่นิสัยใจคอจะเปลี่ยนแปลง เป็นการเปลี่ยนแปลงอันลุ่มลึกที่
คล้อยไปตามวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของอาวุธเทพชิ้นนั้น
สุดท้ายก็เหมือนถูกนกพิราบที่มายึดรังนกกางเขน ก่อให้เกิดหายนะ
ใหญ่ เบาหน่อยก็รากฐานมหามรรคาได้รับความเสียหาย หนักหน่อยก็ธาตุไฟเข้าแทรก ถูกล่อลวงสติปัญญา นิสัยเปลี่ยนไปจากเดิมมาก
เดินไปบนทางสุดโต่ง ยกตัวอย่างเช่นกลายมาเป็นคนที่มีจิตสังหาร
เข้มข้นโดยที่ไม่อาจควบคุมตัวเองได้ ในประวัติศาสตร์ของใต้หล้า
มืดสลัว หายนะที่มาเยือนอย่างไม่มีลางบอกเหตุประเภทนี้ ลำพังแค่
ทางฝั่งของป๋ายอวี้จิงที่มีบันทึกระบุไว้อย่างชัดเจนก็มีมากเกือบยี่สิบ
ครั้งแล้ว
แต่จุดที่ประหลาดที่สุดนั้นอยู่ที่ว่าหากผู้ฝึกยุทธเต็มตัวได้ไป
ครอง นั่นก็คือพยัคฆ์ติดปีก ใช้ได้คล่องมืออย่างถึงที่สุด แทบจะไม่
มีโรคภัยแฝงอะไรทิ้งไว้เบื้องหลัง ถึงขั้นที่ว่าสามารถนำไปช่วย
หล่อหลอมเรือนกาย ค่อนข้างคล้ายคลึงกับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต
ของผู้ฝึกกระบี่ที่ช่วยส่งเสริมกันและกันอย่างเป็นธรรมชาติ
หลินเจียงเซียนแห่งหรู่โจว ซินขู่แห่งยอดเขารุ่นเยว่ ป๋ายโอ่ว
ราชครูหญิงแห่งปิงโจว
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง ปรมาจารย์ใหญ่ที่อยู่สามอันดับ
แรกของวิถีวรยุทธในใต้หล้าสามคนนี้ แต่ละคนต่างก็ได้ครอบครอง
อาวุธเทพชิ้นหนึ่งพอดีทางฝั่งของเจียงจ้าวหมอแห่งหอจื่อชี่ก็ดูเหมือนว่าจะมีอาวุธ
เทพที่ระดับขั้นธรรมดาอยู่ชิ้นหนึ่ง ถือเป็นของเก่าแก่ของเขาเมื่อ
ชาติก่อน
หันกลับมามองผู้ฝึกลมปราณ ถืออาวุธเทพไว้ในมือก็
จำ เป็นต้องระวังแล้วระวังอีก
เคยมีผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งที่ได้ครอบครอง
อาวุธเทพแล้วขาดอีกแค่นิดเดียวก็จะสามารถทำลายตราผนึกของ
ฟ้านอกฟ้าได้อย่างสิ้นเชิง มากพอจะทำให้กลายมาเป็นช่องทางที่
เปิดให้เทวบุตรมารนอกโลกมาเยือนใต้หล้ามืดสลัวได้เลย
อวี๋โต้วออกจากป๋ายอวี้จิง พกกระบี่เดินทางไกล อีกนิดเดียวก็
เกือบจะบั่นศีรษะของผู้ฝึกตนใหญ่คนนี้ได้เหมือนกัน
เป็นเจ้าลัทธิใหญ่ที่ลงมือขัดขวางทั้งสองไว้ด้วยตัวเอง จากนั้น
ซ่อมรูโหว่ แล้วพาผู้ฝึกตนเฒ่าคนนั้นกลับไปยังนครชิงชุ่ยของป๋ายอวี้
จิง ติดตามเจ้าลัทธิใหญ่ฝึกตนอยู่หลายร้อยปีกว่าจะฟื้นคืนจิตแห่ง
มรรคาให้กลับมาใสสะอาดได้อีกครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย ภายหลังจึงมารับ
ตำแหน่งเป็นเจ้านครเสินเซียวโค่วหมิงเจ้าลัทธิใหญ่เคยรับหน้าที่อยู่ที่ด่านหานกู่ ในอดีต
มรรคาจารย์เต๋าจูงวัวผ่านด่านก็เป็นโค่วหมิงที่ตรวจสอบ
ปรากฏการณ์ดวงดาวยามค่ำคืนแล้วเปิดเผยความลับสวรรค์
เล่าลือกันว่ามรรคาจารย์เต๋าถ่ายทอดห้าพันคำ โค่วหมิงก็ให้
คำอรรถาธิบาย ‘คัมภีร์ซื่อเซิง’ ได้รับความสำ คัญจากสายพรรคโห
ลวกวาน นับถือบูชาให้เป็นคัมภีร์อันดับหนึ่ง
อู๋โจวยิ้มเอ่ย “บางทีอาจจะไปเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้างสักรอบ”
“ที่นั่นมีตาแก่หนังเหนียวคนหนึ่งที่เพิ่งฟื้นตื่นได้ไม่นาน
ไม่บังเอิญเลย เขามีการช่วงชิงบนมหามรรคาที่ซ่อนแฝงอยู่กับข้า
พอดี”
อู๋โจวหยิบจอกใบบัวใบหนึ่งออกมา รินเหล้าให้ตัวเองจนเต็ม
จอก กลิ่นหอมของสุราโชยมาปะทะจมูก นางไม่รีบร้อนดื่มเหล้า
เพียงแค่หมุนจอกเบาๆ เอ่ยเยาะเย้ยตัวเองด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วย
ความเสียใจเล็กน้อย “หันกลับไปมองคนรู้จักเก่าตัดขาดกันไปนาน
แล้ว คนที่สามารถรำลึกความหลังด้วยได้จึงมีเพียงน้อยนิด”เจ้านครคนก่อนของนครเสินเซียว หรือก็คือผู้ฝึกตนเฒ่าที่
เกือบจะก่อโทษมหันต์ผู้นั้น ชื่อจริงคือเหยาเข่อจิ่ว ฉายา ‘หนี่กู่’
เขาเคยเป็นเต้ากวานที่ไม่ใช่คนของป๋ายอวี้จิงซึ่งมีลำดับอาวุโส
เท่าเทียมกันกับพวกเกากูแห่งภูเขาตี้เฝ่ย
และนครเสินเซียวกับอารามเสวียนตูต่างก็ได้ครอบครองป่าท้อ
แห่งหนึ่ง
และเหยาเข่อจิ่วก็เป็นเต้ากวานของป๋ายอวี้จิงจำ นวนน้อยที่
สามารถเป็นสหายกับซุนไหวจงของอารามเสวียนตูได้
เหยาเข่อจิ่วไม่ได้เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของป๋ายอวี้จิง ถือว่า
มาเข้าร่วมกับป๋ายอวี้จิงกลางทาง
ทำความผิดมหันต์
หากไม่เป็นเพราะเจ้าลัทธิใหญ่โค่วหมิงขัดขวาง ป่านนี้ก็คงใต้
ตายคมกระบี่ของอวี๋โต้วไปนานแล้ว ไม่มีโอกาสให้ทำความดีชดใช้
ความผิดอะไรเลย
ปีนั้นโค่วหมิงพาเหยาเข่อจิ่วที่ธาตุไฟเข้าแทรกกลับมาที่ลาน
ประกอบพิธีกรรมของนครชิงชุ่ย หลังจากนั้นเหยาเข่อจิ่วก็มารับหน้าที่เป็นเจ้านครเสินเซียว อันที่จริงเรื่องนี้ก็มีคน
วิพากษ์วิจารณ์กันไม่น้อย
เพราะไม่เชื่อใจเหยาเข่อจิ่ว หรือควรจะพูดว่าไม่เชื่อในจิตแห่ง
มรรคาของผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานคนนี้ ถึงขั้นเดาเอาว่าเทียน
เซียนเจ้านครของป๋ายอวี้จิงที่มีฉายาว่า ‘หนี่กู่’ ผู้นี้ แท้จริงแล้วไม่ได้
ต่างอะไรจากเทวบุตรมารนอกโลกแล้ว เพียงแต่ว่าถูกเจ้าลัทธิใหญ่
ช่วยสยบกำราบเอาไว้ให้
ดังนั้นจึงมีเต้ากวานไม่น้อยของป๋ายอวี้จิงที่มีความรู้สึกย่ำแย่
ต่อนครเสินเซียวอยู่นานหลายปี คอยจับจ้องมองด้วยสายตาเย็นชา
อยู่ตลอด ราวกับรอคอยให้เหยาเข่อจิ่วทำผิดซ้ำ อีกครั้ง
นักพรตเฒ่าค่อยๆ สะสมคุณความชอบ ในที่สุดก็ใช้หนี้บน
สมุดบัญชีที่มีเพียงเจ้าลัทธิสามท่านของป๋ายอวี้จิงเท่านั้นที่ถึงจะเปิด
อ่านได้จนครบถ้วน
สะสางหนี้จนหมดสิ้น
วันนั้นผู้ฝึกตนเฒ่าออกไปจากป๋ายอวี้จิงเพียงลำพัง ไปที่
ร้านเหล้าในตลาดซึ่งอยู่ในบ้านเกิดอันห่างไกล เลี้ยงเหล้าตัวเองหนึ่งมื้อ ดื่มเหล้ากับตัวเองเพียงลำพัง
เหมือนกับชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งที่ก้มหน้าก้มตาทำงาน
พยายามชดใช้หนี้อย่างยากลำบากมานานหลายปี เมื่อไม่มีหนี้ก็
ตัวเบา ในที่สุดก็สามารถดื่มเหล้าอย่างเต็มคราบได้แล้ว ความรู้สึก
ผ่อนคลายสบายอารมณ์หลังจากความเจ็บปวดทรมานใจได้ผ่าน
พ้นไปเช่นนั้น มิอาจบอกกล่าวให้คนนอกได้ล่วงรู้ ผู้เฒ่าดื่มเหล้า
ชั้นเลวในตลาดประหนึ่งปลาได้น้ำ ชื่นอุราสบายใจ คล้ายกับว่า
นับตั้งแต่ฝึกตนมาก็ไม่เคยมีคราใดที่ผ่อนคลายเช่นนี้มาก่อน
นอกร้านเหล้ามีฝนเม็ดใหญ่ตกกระหน่ำ ผู้ฝึกตนเฒ่าดื่มเหล้า
พลางหันหน้าไปมองข้างนอก ประหนึ่งพิศศึกแห่งสายฝน
เป็นคนเที่ยงตรงทำอะไรตรงไปตรงมา การกระทำชั่วร้ายย่อม
หยุดลงได้เอง
สีหน้าของผู้เฒ่าสบายใจ พูดประโยคหนึ่งซ้ำ ไปซ้ำ มาว่า
ใจคิดถึงบ้าน ใจคิดถึงบ้าน
มีคนสามคนเดินฝ่าม่านฝนเข้ามาในร้านไล่เลี่ยกัน ก่อนจะนั่ง
ร่วมโต๊ะกับผู้ฝึกตนเฒ่าคนหนึ่งคือซุนไหวจง คนหนึ่งคือลู่เฉิน และยังมีเกากู
อันที่จริงก่อนหน้านี้คนทั้งสามไม่ได้พูดคุยกันมาก่อน ถือว่า
เป็นการมาเยือนพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
นั่งบนโต๊ะสุราได้เต็มโต๊ะพอดี
คงเป็นเพราะผู้ฝึกตนไม่ได้มีแค่การฝึกตนเท่านั้น
สุดท้ายเหยาเข่อจิ่วเลือกที่จะไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่
กลายเป็นหนึ่งในอริยะสามลัทธิที่นั่งเฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้าอยู่ที่นั่น
ไม่ได้กลับมา
บางทีอาจเป็นเพราะไม่อยากกลับมาแล้วก็ได้
การเดินทางไกลออกจากบ้านเกิดของคนคนหนึ่งก็เหมือนการ
ย้ายบ้านที่สองมือว่างเปล่า เพียงแค่ย้ายมาตุภูมิทั้งแห่งจากไปอยู่
ภายในใจเท่านั้น
อู๋โจวและจูเสวียน คนทั้งสองเดินขึ้นไปถึงบนยอดเขาจนมาอยู่
ใน ‘อ่างล้างหน้า’ เห็นว่าบนลำธารสายนั้นมีสะพานหินโค้งขนาดเล็ก
ที่เปิดช่องโล่งทรงโค้งใต้สะพานไว้ช่องหนึ่ง สะพานนี้ไม่สะดุดตา
แต่กลับมีชื่อยิ่งใหญ่ ชื่อว่าสะพานมังกรกลับคืน (หุยหลง)ฝั่งตรงข้ามของสะพานก็คือศาลเทพภูเขาที่ถูกราชวงศ์อวี๋ฝู
ให้การคุ้มกันไว้อย่างแน่นหนา กฎระเบียบก็เข้มงวดมาก บนหลังคา
ปูเต็มไปด้วยกระเบื้องแก้วใสสีเขียวมรกต ราวกับว่าจะสามารถ
กักกันเมฆหมอกเอาไว้ภายใน คล้ายหิมะที่ทับถมปูแผ่อยู่บนหลังคา
ทว่ากลับสามารถไหลรินได้อย่างเชื่องช้า ประตูบานใหญ่สีชาด
เด่นชัด บานประตูสองบานก็เหมือนจุดศูนย์รวมของแสงตะวันที่
ไม่สลายหายไปไหน อีกทั้งยังมีสีชาดแต่งแต้ม ลักษณะยิ่งใหญ่
โอฬาร รากภูเขามั่นคง ศาลแห่งนี้ควบคุมเส้นสายน้ำของลำน้ำใหญ่
ยาวหมื่นลี้ กุมอำนาจตัดสินเป็นตาย เทพของศาลเป็นผู้ควบคุมโชค
และเคราะห์ของสี่ทิศ
ด้านข้างศาลมีต้นการบูรที่เก่าแก่อยู่ต้นหนึ่งที่อัศจรรย์อย่างยิ่ง
สูงร้อยจั้งต้นหนาสิบฉื่อ ต้นไม้โบราณต้นนี้ถูกแสงตะวันแสงจันทรา
สาดส่อง หยั่งรากลึกดำรงอยู่มาอย่างยาวนาน พุ่มใบหนาแน่นแผ่ปู
กว้างเหมือนกระโจมหลังหนึ่ง ด้านบนมีจิ้งจอกเสวียนหูและลิงดำที่
ใช้ต้นการบูรแห่งนี้เป็นลานประกอบพิธีกรรมอู๋โจวเงยหน้ามองต้นการบูรแล้วถอนหายใจเบาๆ พอกลับมา
เยือนสถานที่เดิมก็แก่แล้ว ทั้งคนและต้นไม้ก็ล้วนเป็นเช่นนี้
ต้นไม้ต้นนี้มีชื่อเสียงมากในใต้หล้ามืดสลัว เนื่องจากเล่าลือกัน
ว่าต้นการบูรหมื่นปีนี้ แม้จะไม่อาจฟูมฟักสติปัญญาได้เสียที แต่ก็
เป็นผู้ควบคุมโชคชะตาของสี่มณฑล เมื่อฟันต้นไม้ก็จะสามารถ
ทำนายถึงโชคและเคราะห์ของสี่มณฑลได้
ต้นการบูรมีกิ่งไม้แตกออกไปสี่กิ่ง ทุกกิ่งหมายถึงโชคชะตาของ
แคว้นทั้งหลายในหนึ่งมณฑล หากให้ผู้พิทักษ์สี่ท่านถือขวานจามกิ่ง
ไม้ หากฟันแล้วกิ่งไม้สามารถงอกออกมาได้ใหม่ก็แปลว่ามณฑล
แห่งนั้นจะมีโชค แต่หากผ่านไปหลายปีแล้วกิ่งไม้ก็ยังไม่ประสานตัว
กลับคืนมาเป็นสภาพเดิม มณฑลแห่งนั้นก็จะมีโรคภัย
หมายความว่าขุนเขาสายน้ำของหนึ่งมณฑลจะมีภัยแฝงซ่อนอยู่
ถ้าอย่างนั้นจักรพรรดิของแต่ละแคว้นก็สามารถออกโองการ
กล่าวโทษตัวเองได้แล้ว แต่ถ้าหากผ่านไปหลายปีแล้วกิ่งไม้กิ่งนั้นยัง
ไม่งอกกลับมามีชีวิตอีกครั้ง มณฑลแห่งนั้นก็จะต้องล่มสลาย!ครั้งนี้ราชวงศ์อวี๋ฝูมีจูเสวียนผู้เป็นจักรพรรดิทำหน้าที่เป็น
ประธานในพิธีบวงสรวง จัดงานพิธีกรรมผู่เทียนของลัทธิเต๋าที่
มีขนาดใหญ่ที่สุด อันที่จริงก็เท่ากับว่านี่เป็น ‘เอกสารผ่านด่าน’ แผ่น
หนึ่ง หากจัดพิธีกรรมใหญ่ครั้งนี้ได้สำ เร็จก็สามารถช่วยให้ราชวงศ์
อวี๋ฝู มณฑลยงโจว หรือแม้กระทั่งสี่มณฑลในใต้หล้าได้ตรวจสอบ
โชคหรือเคราะห์อย่างมีเหตุผลชอบธรรม
แม้จะบอกว่าภูเขาและศาลแห่งนี้ต่างก็อยู่ในเขตการปกครอง
ของราชวงศ์อวี๋ฝู ตามหลักแล้วสกุลจูอวี๋ฝูคิดจะจัดการกับต้นการบูร
เก่าแก่ต้นนี้อย่างไร คนนอกย่อมไม่อาจมาเจ้ากี้เจ้าการได้ แต่
ในความเป็นจริงแล้ว อดีตฮ่องเต้สกุลจูอวี๋ฝูที่ครองราชย์เป็นเวลาห้า
ร้อยปี บวกกับอดีตจักรพรรดิรุ่นก่อนๆ ที่อยู่มาสามร้อยปี เวลา
ถึงแปดร้อยปีเต็มต่างก็ไม่เคยมีใครจัดงานพิธีกรรมใหญ่ผู่เทียน
มาก่อน เหตุผลสองข้อที่สำ คัญก็คือ หนึ่งในหนึ่งนอก อย่างแรกเป็น
ฮ่องเต้สองพระองค์ของสกุลจูอวี๋ฝูที่ต่างก็ ‘คิดว่าตัวเองคุณธรรมไม่
สมตำแหน่ง’ ไม่กล้าเปิดเผยความลับสวรรค์ง่ายๆ เนื่องจากจัดพิธี
บวงสรวงที่ไม่ควรจัด ถือเป็นพิธีเถื่อน พิธีเถื่อนไร้โชค กลับกันยังจะเจอหายนะ ส่วนอย่างหลังนั้นก็คือมีแรงกดดันจากภายนอก
แน่นอนว่าสกุลจูอวี๋ฝูจำ เป็นต้องดูสีหน้าของป๋ายอวี้จิง
อู๋โจวถาม “เจ้าคิดว่าจะตัดกิ่งไม้ในกี่ทิศทาง?”
หากตัดแค่กิ่งการบูรกิ่งเดียวย่อมไม่มีปัญหา ถึงอย่างไรจะเป็น
โชคหรือเคราะห์ก็ล้วนเป็นสกุลจูอวี๋ฝูที่ต้องแบกรับไว้เอง แต่หากตัด
กิ่งไม้สองกิ่ง ยกตัวอย่างเช่นกิ่งที่เป็นทิศทางของมณฑลเพ่ยโจว
หากกิ่งไม้นั้นไม่เหี่ยวแห้งทั้งยังกลับคืนมามีชีวิตได้ใหม่ก็แล้วก็ไป
เถิด แต่หากกิ่งไม้ได้รับความเสียหายไม่อาจกลับคืนมาดีดังเดิม เจ้า
จะให้ฮ่องเต้ของแคว้นน้อยใหญ่ร้อยกว่าแห่งของเพ่ยโจวทำตัว
อย่างไร? จะต้องออกโองการกล่าวโทษตัวเองจริงๆ หรือ? แต่ปัญหา
นั้น
เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยอย่างการออกโองการกล่าวโทษตัวเองจริง
หรือ? ถ้าหากไม่ทันระวังจนเกิดผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดเล่า เต้ากวาน
ของเพ่ยโจวจะไม่โมโหเดือดดาลได้หรือ? ทุกคนต่างรู้สึกว่าตัวเอง
เผชิญอันตราย คลื่นใต้น้ำโหมซัดสาด บางทีเดิมทีอาจไม่มีเรื่องอะไร
แต่กลับกลายเป็นว่าถูกบีบคั้นให้ก่อเรื่องออกมาได้จริงๆ
จูเสวียนเอ่ยด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว “ตัดสี่กิ่ง”อู๋โจวเดินนำขึ้นไปบนสะพานหินก่อน เอนกายพิงรั้วสะพาน จิบ
เหล้าในจอกอย่างเชื่องช้า เหลือบตามองหญิงสาวที่เดินทาง
มาด้วยกันผู้นี้ คือโฉมสะคราญคนหนึ่ง งามพริ้มเพราอย่าง
เป็นธรรมชาติ
เพียงแต่ว่ามองภายนอกเหมือนบุปผา แต่แท้จริงแล้วกลับเป็น
เทพแห่งหิมะ
เหมือนตนตอนที่ยังอายุน้อยมากจริงๆ
บุกรุดหน้าไปอย่างห้าวหาญ ไร้ความกริ่งเกรงใดๆ
ต้องรู้ว่าการประชุมริมลำคลองก่อนหน้านี้ ในบรรดาผู้ฝึกตน
ใหญ่ขอบเขตสิบสี่ อู๋โจวคือคนแรกที่เสนอว่าให้จัดการกับโจวมี่ที่อยู่
นอกฟ้า
พลังการต่อสู้สูงสุดของใต้หล้ามืดสลัว นับแต่โบราณจวบจน
ปัจจุบัน ไม่เคยเป็นที่ครหาว่าหยางรุ่งโรจน์หยินเสื่อมถอยมาก่อน
นอกจากอู๋โจวจะมีฉายาว่า ‘ไท่อิน’ แล้ว การปรากฏตัวของ
นางครั้งนี้ก็ได้เป็นพิสูจน์การคาดเดาที่โลกภายนอกเดากันว่านางได้
เลื่อนขอบเขตสิบสี่มานานแล้วรองเจ้านครอันดับหนึ่งของนครหนันหัวป๋ายอวี้จิงถูกเรียกขาน
อย่างให้ความเคารพว่าเว่ยฮูหยินมาโดยตลอด ฉายาของนางคือ
‘จื่อซวี’ คือหยวนจวินผู้เป็นสตรีคนแรกของใต้หล้ามืดสลัว
และยังมีนักพรตหญิงแห่งอารามเสวียนตูที่ปิดด่านมาอย่าง
ยาวนาน หวังซุนที่มีฉายาว่า ‘คงซาน’ ก่อนที่ซุนไหวจงซึ่งเป็นศิษย์
น้องร่วมสำ นักของนางจะโดดเด่นขึ้นมา นางก็คือผู้นำสายเซียน
กระบี่ลัทธิเต๋าอย่างสมเกียรติ
บรรพจารย์เปิดภูเขาของภูเขาเหลี่ยงจิง เจาเกอที่มีฉายาว่า
‘ฟู่คาน’
นอกจากนี้ผู้ฝึกยุทธสิบอันดับแรกของใต้หล้า นอกจากป๋ายโอ่
วแล้วก็ยังมีผู้ฝึกยุทธหญิงอีกสองคน เพียงแต่ว่าลำดับรายชื่อจาก
การประเมินวิถีวรยุทธและเรื่องราวของการถามหมัดต่างก็ไม่สูงและ
ไม่โดดเด่นเฉกเช่นป๋ายโอ่ว
และหลังจากที่ป๋ายโอ่วเลื่อนเป็นสิบอันดับแรกแล้ว ทุกครั้งที่
นางไปถามหมัดกับผู้อื่นก็ล้วนจะต้องจงใจอ้อมผู้ฝึกยุทธหญิงไปอู๋โจวถือจอกใบบัวไว้ในมือ หมุนจอกเหล้าเบาๆ นางหรี่ตามอง
ไปยังศาลแห่งนั้น
หากอู๋โจวเดาไม่ผิดล่ะก็ หนึ่งในสถานที่การ ‘ร่วมสังหาร’ ที่น่า
หวาดหวั่นพรั่นพรึงในอดีตครานั้น ทุกวันนี้ก็อยู่ในศาลแห่งนี้นี่เอง
——