กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 956.3 รวบรวมเวทกระบี่
หลินเจียงเซียนมองไปยังทิศทางของป๋ายอวี้จิงซึ่งตั้งอยู่ใจกลาง
ของใต้หล้า
อวี๋โต้วปกครองใต้หล้า ดูแลกิจธุระภายในเวลาร้อยปี วิธีการที่
ใช้เผด็จการเกินไป ไม่ว่าจะสำ หรับคนอื่นหรือสำ หรับคนกันเองก็
ล้วนไม่เหลือพื้นที่ว่างใดๆ
นี่ถึงได้ทำให้เขาถูกวิจารณ์อย่างเลวร้ายว่าเป็น ‘ทรราช’
แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าป่าวประกาศเรื่องนี้ออกมาอย่างโจ่งแจ้ง
จะว่าไปแล้วก็แปลก แม้แต่ซุนไหวจงแห่งอารามเสวียนตูที่
‘ชมเชย’ ป๋ายอวี้จิงเป็นประจำ เหมือนเป็นเรื่องที่ชอบยกมาคุยหลังมื้อ
อาหารก็ยังไม่เคยให้คำวิจารณ์ต่อคำเรียกขานนี้ของอวี๋โต้ว แล้วก็
ไม่เคยราดน้ำมันลงบนกองเพลิง
ว่ากันว่าสองสามครั้งสุดท้ายที่ดื่มเหล้ากับสหายเฒ่าหลาย
คนจนเมามาย เจ้าอารามผู้เฒ่าก็ได้แต่เอ่ยประโยคที่เป็นการพบกันครึ่งทางซึ่งไม่ถือว่าเป็นเชิงลบหรือเชิงบวก มีแค่สามคำว่า ไม่ถึงขั้น
นั้น
เจ้าลัทธิสามลู่เฉินเกียจคร้านเกินไป ซานชิงศิษย์น้องเล็กของ
พวกเขา ทุกวันนี้เพิ่งจะเป็นเซียนเหรินที่เพิ่งออกจากด่าน อยู่ไกลเกิน
กว่าจะสามารถจัดการกิจธุระได้เพียงลำพัง
ปีนั้นเต้ากวานสามพันคนของใต้หล้ามืดสลัวจับมือกันเดินทาง
ไปยังใต้หล้าห้าสี ยึดครองภูเขาที่อยู่ทางทิศตะวันออกสุด สืบทอด
ระบบสายเต๋าของใครของมัน ในบรรดาคนเหล่านั้นก็เป็นฝ่ายของป๋า
ยอวี้จิงที่ยึดครองที่นั่งเกือบครึ่งหนึ่ง
บางทีสำ หรับศิษย์น้องเล็กของมรรคาจารย์เต๋าที่มีฉายาว่าซาน
ชิงแล้ว นี่อาจเป็นการฝึกประสบการณ์อย่างหนึ่ง ดูว่าเขาจะสามารถ
ควบคุมสถานการณ์ใหญ่ ช่วยให้ป๋ายอวี้จิงหยัดยืนได้อย่างมั่นคง
กดข่มเต้ากวานหลายคนที่ออกเดินทางไกลซึ่งมีคนของอาราม
เสวียนตู ตำหนักสุ้ยฉูเป็นหนึ่งในนั้นได้หรือไม่
ถ้าอย่างนั้นต่อจากนี้ ป๋ายอวี้จิงก็มีเรื่องให้ต้องยุ่งหัวหมุนแล้วก่อนหน้านี้อวี๋โจวปรากฎตัวที่ราชวงศ์อวี๋ฝู ในนามบอกว่าไป
เพื่อบุกเบิกลานประกอบพิธีกรรม มองดูคล้ายถูกต้องชอบธรรมดี
แต่อันที่จริงนางก็แค่มาห้ามไม่ให้ป๋ายอวี้จิงไปขัดขวางจูเสวียน
เท่านั้น
หลินเจียงเซียนยิ้มอย่างรู้ทัน
เห็นได้ชัดว่านักพรตหญิงที่มีฉายาว่า ‘ไท่อิน’ ผู้นี้ ไม่ว่าจะกับ
ป๋ายอวี้จิงหรือกับผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงคนนั้นล้วนเจรจาเรื่อง
การค้าครั้งนั้นไม่สำ เร็จ ดังนั้นถึงได้บอกว่าไปมีเรื่องกับใครก็อย่า
มีเรื่องกับสตรี โดยเฉพาะผู้ฝึกตนหญิงขอบเขตสิบสี่คนหนึ่ง
ซินขู่ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะยกกาเหล้าในมือตัวเองขึ้น ถามว่า
“หลินซือ ดื่มเหล้าหรือไม่?”
คือเหล้าสนที่ซินขู่หมักเอง นอกจากดอกต้นสนแล้วยังมีเปลือก
ของต้นสน เอามาทุบให้แหลกเหมือนดินเหนียว ดื่มเหล้าสนนี้
สามารถบำรุงหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและอวัยวะภายใน สามารถคง
ความเยาว์วัยเอาไว้ได้
หลินเจียงเซียนปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม “ข้าไม่ชอบดื่มเหล้า”แล้วนับประสาอะไรกับที่ชีวิตคนก็คือความเมามายที่ไม่
จำ เป็นต้องใช้สุราอยู่แล้ว
เคยเห็นสารทฤดูมาแล้วสามร้อยกว่าครั้ง เส้นผมตรงจอนหูก็
เริ่มเป็นสีขาวประปรายแล้ว
หลินเจียงเซียนเตรียมจะจากไปจึงเก็บกระบอกเซียมซี ลุกขึ้น
ยืน ยิ้มเอ่ยเชื้อเชิญว่า “ในอนาคตเมื่อลงจากภูเขาไปหา
ประสบการณ์ สามารถแวะไปดูที่หรู่โจวได้”
เพราะมีแขกมาเยือนแล้ว
ซินขู่กล่าว “แล้วแต่วาสนา ไม่รับปาก”
และเวลานี้เอง คนกลุ่มหนึ่งก็พลันปรากฏตัว นักพรตเฒ่าเรือน
กายสูงใหญ่มีหนวดยาวสามกลุ่ม บุคลิกเคร่งขรึม แผ่กลิ่นอายแห่ง
มรรคาโชติช่วง ถึงกับกดสยบปณิธานหมัดบนยอดเขารุ่นเยว่ลงไปได้
โดยตรง เป็นเหตุให้น้ำนิ่งที่อยู่นอกภูเขาเกิดเป็นคลื่นยักษ์ถาโถม
เจ้าแห่งถ้ำ ปี้เซียวหาดลั่วเป่าของยุคบรรพกาล หรือตงไห่
เจ้าอารามแห่งอารามกวานเต๋าในภายหลังข้างกายของนักพรตเฒ่ามีคนสามคนยืนเรียงกันอยู่ เมื่อยืนอยู่
ด้วยกันก็คล้ายเนินที่ลาดเอียงเนินหนึ่ง
คนที่ตัวเตี้ยที่สุดคือนักพรตน้อย ชื่อเดิมคือสวินหลันหลิง
ฉายาว่า ‘จินจิ่ง’ คือนักพรตน้อยเซาฮว่อที่คอยติดตามอยู่ข้างกาย
เจ้าอารามผู้เฒ่าตลอดเวลา
และยังมีหวังหยวนลู่โจรขโมยข้าวสาร ผู้ฝึกยุทธชีกู่ ต่างก็เป็น
เด็กหนุ่มอู่หลิงของราชวงศ์ชิงเสิน
นักพรตเฒ่าพูดเข้าประเด็นทันทีว่า “พาลูกศิษย์ที่เพิ่งรับตัว
แวะมากราบภูเขาลูกนี้”
เลี้ยงลูกศิษย์ก็เหมือนเลี้ยงลูกสาว ต้องควบคุมการเข้าออก
บ้าน ระมัดระวังเรื่องการคบหาสหายของเขาเป็นพิเศษ ภายในเวลา
ร้อยปีที่จะถึงนี้ โอกาสที่หวังหยวนลู่จะออกจากบ้านไปเที่ยวเล่นจึงมี
ไม่มากแล้ว
ในฐานะลูกศิษย์ผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของตน ไม่มีขอบเขต
บินทะยานจะมีหน้าออกไปเตร็ดเตร่ข้างนอกได้หรือ?“ส่วนเจ้าคนแซ่ชีผู้นี้ก็คือขวดน้ำมัน (เปรียบเปรยถึงตัวถ่วง
ตัวปัญหา ในสมัยโบราณยังหมายถึงลูกติดของหญิงหม้าย) ที่
ถือโอกาสพามาด้วย เขาเลื่อมใสเจ้ามานานมากแล้ว ทำหน้าหนาขอ
ตื๊อจะตามมาด้วยให้ได้ อยากเห็นมาดของซินขู่แห่งยอดเขารุ่นเยว่
กับตาตัวเอง เพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าเป็นเทพหรือเป็นผีกันแน่”
ซินขู่ยังคงไม่ลุกขึ้นยืน ถึงกับแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเจ้าแห่ง
ถ้ำ ปี้เซียว แล้วก็ยิ่งแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของนักพรตเฒ่า
ส่วนการกราบภูเขาอะไรนั่น คำพูดประหลาดที่
ไม่มีต้นสายปลายเหตุของผู้ฝึกตนบนยอดเขาประเภทนี้ ซินขู่เองก็
เห็นเป็นเพียงลมที่พัดผ่านข้างหูเท่านั้น
หลินเจียงเซียนยืนอยู่บนหินก้อนนั้น คลี่ยิ้มอย่างไม่ยี่หระ กุม
หมัดคารวะ “หลินเจียงเซียนแห่งยาซานคารวะเจ้าแห่งถ้ำ ปี้เซียว”
นักพรตเฒ่าลูบหนวดยิ้ม “ก่อนหน้านี้ก็มีนักพรตฉุนหยาง
ตามหลังมาก็มีหลินเจียงเซียน ชอบเดินถอยหลังขนาดนี้เชียวหรือ?”
หลินเจียงเซียนยิ้มไม่เอ่ยอะไรต่อให้จะถูกเจ้าแห่งถ้ำ ปี้เซียวท่านนี้เปิดเผยความลับสวรรค์ก็
ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรอีกไม่นานคนทั้งใต้หล้าก็จะรู้เรื่องนี้กันอยู่แล้ว
หวังหยวนลู่ก้มหัวกราบตามขนบลัทธิเต๋าต่อหนึ่งเจ้าบ้านหนึ่ง
แขกของยอดเขารุ่นเยว่
ส่วนใบหน้าของชีกู่กลับเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน
สำ หรับวิธีการตรวจสอบฝีมือของปรมาจารย์วิถีวรยุทธของใต้
หล้ามืดสลัว หนึ่งคือการถามหมัดกับผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดียวกัน
นอกจากนี้ก็สามารถเป็นอย่างยอดเขารุ่นเยว่แห่งนี้ที่การเดินขึ้นเขา
มาตั้งแต่ตีนเขา ต้องดูว่าจะสามารถเดินขึ้นมาได้กี่ก้าว
หลังจากความกระอักกระอ่วนผ่านพ้นไป ชีกู่ก็รู้สึกแค่ว่าครั้งนี้
ติดตามเจ้าแห่งถ้ำ ปี้เซียวมาที่ยอดเขารุ่นเยว่ก็ช่างได้กำไรก้อนใหญ่
จริงๆ ไม่ได้มาเสียเที่ยว
ถึงกับได้พบเจอทั้งหลินเจียงเซียนและซินขู่พร้อมกันทีเดียว
สองคน น่าเสียดายที่ป๋ายโอ่วว่าที่ภรรยาซึ่งยังไม่แต่งเข้าบ้านมาไม่
ได้อยู่ที่นี่ด้วยใต้หล้าให้การเห็นพ้องต้องกันว่าเส้นทางวรยุทธก็คือทางเส้น
หนึ่งที่ต้องเดินไปให้ถึงที่สุด เรื่องที่ปวดหัวมากที่สุดก็คือชะตาชีวิต
ช่างแสนสั้น
ชั่วชีวิตนี้ชีกู่มีความปรารถนา มีแผนการณ์ไกลอยู่ไม่กี่อย่าง
ข้อแรก แน่นอนว่าคือการแต่งป๋ายโอ่วมาเป็นภรรยา
หรือหากจะเป็นจูเสวียนฮ่องเต้หญิงของราชวงศ์อวี๋ฝูก็ได้
เหมือนกัน แต่งเข้าบ้านอะไรนั่น ชีกู่ไม่มีข้อพิถีพิถันหรือเรื่อง
ต้องห้ามอะไรทั้งนั้น
ตนไม่ต้องไปอิจฉาสวีเจวี้ยนแห่งสำ นักต้าเฉาผู้นั้นอีกแล้ว
พอชีกู่คิดถึงเรื่องนี้ก็พลันฮึกเหิมขึ้นมา รู้สึกเพียงว่าเรียนหมัด
ลำบากแค่นิดเดียวเท่านั้น
สำ นักของลัทธิเต๋ามีมากมาย ต่างฝ่ายต่างมีระบบสืบทอดของ
ตัวเอง เส้นสายซับซ้อน ลำดับวงศ์ตระกูลทั้งหนาทั้งหนักยิ่งกว่าสอง
ลัทธิอย่างขงจื๊อและพุทธมากนัก หมื่นปีที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์
เคยปรากฎสถานการณ์แห่งความรุ่งเรืองที่ ‘ฝ่ายนอกสามพัน
ฝ่ายซ้ายแปดร้อย’ เรียกได้ว่าใต้หล้ามืดสลัวมีฝ่ายซ้ายฝ่ายนอก(สามารถหมายถึงพวกนอกรีต พวกที่นอกลู่นอกทาง หรือพวกที่
ระบบการสืบทอดไม่ใช่สายตรง) พัวพันกันย
ุ่งเหยิงราวปมเชือก หาก
ยังรวมถึงพวกคนนอกที่อยู่ปลายแถวด้วย ในบรรดานั้นลำพังแค่สาย
ของศาสตร์การดึงพลังชีวิตและแก่นเลือดมาบำรุงตัวเอง และ
ศาสตร์การประกอบกิจกามในห้องนอน ความรู้ก็ยิ่งใหญ่มากนัก
ทุกครั้งที่ชีกู่ได้ยินคนพูดถึงสวีเจวี้ยนก็มักจะนึกไปถึงศาสตร์ประกอบ
กิจกามในห้องนอนของลัทธิเต๋า จากนั้นก็นึกถึงเรื่องที่ผู้ชายและ
ผู้หญิงต้องต่อสู้กัน…
ความปรารถนาอย่างที่สองของชีกู่ก็คือขอเคล็ดลับการ
มีอายุขัยยืนยาวมาจากหลินเจียงเซียน
ส่วนเรื่องของการถามหมัดนั้นช่างเถิด ต่อให้ชีกู่จะภาคภูมิใจ
ในตัวเองมากแค่ไหนก็ยังรู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำอยู่บ้าง
ป๋ายโอ่วที่แค่ออกหมัดก็ต้องต่อยคนให้ตาย สามารถทำให้
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดียวกันไม่กล้าถามหมัดกับนางได้
ทว่าหลินเจียงเซียนกลับสามารถทำให้ผู้ฝึกยุทธในใต้หล้า
ไม่คิดจะถามหมัดกับเขาเลยความต่างประเภทนี้อันที่จริงต่างกันอย่างมาก
ซินขู่แห่งยอดเขารุ่นเยว่น่าจะอยู่คาบเกี่ยวระหว่างสองอย่างนี้
หลักๆ แล้วยังเป็นเพราะเสียเปรียบในเรื่องที่ไม่เคยลงจากภูเขา
ไม่เคยเป็นฝ่ายไปประลองฝีมือกับคนอื่นมาก่อน
ชีกู่รวมเสียงให้เป็นเส้นสอบถามหลินเจียงเซียนอย่างลับๆ
“หลินซือ ผู้เยาว์ชีกู่ ขอถามคำถามข้อหนึ่งจากท่านได้หรือไม่?”
หลินเจียงเซียนยิ้มบางๆ “ถามมาเถอะ”
ชีกู่เอ่ยอย่างระมัดระวัง “ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวอย่างพวกเรามีชีวิต
อยู่เกินสามร้อยปีได้อย่างไร?”
นิยายการผจญภัยของจอมยุทธพเนจรที่เปิดอ่านจนปรุตาม
แผงลอยข้างถนนตอนยังเป็นเด็ก ในตำราต่างพูดกันว่าวีรบุรุษมักจะ
มีปณิธานยิ่งใหญ่ยาวไกลอยู่เสมอ ส่วนสิงห์ร้ายก็มักจะมีความ
เห่อเหิมทะเยอทะยาน ทว่ากับชีกู่ผู้นี้ พูดไปพูดมาก็ยังคงเป็นการ
มองให้สูง เดินให้ไกล มีชีวิตให้ยืนยาวนานเท่านั้น
การประเมินทุกๆ หกสิบปีของผู้ฝึกยุทธในใต้หล้า หลินเจียง
เซียนไร้ศัตรูเทียมทานมากเกินไป จำ นวนที่ปล่อยหมัดมีไม่มากโดยเฉพาะอย่างยิ่งรอกระทั่งเขาสังหารขอบเขตบินทะยาน ‘อายุน้อย
’ คนหนึ่งได้ ก็ยิ่งยากที่จะมีโอกาสได้ลงมืออีก ย่อมต้องเป็นที่ครหา
ว่านั่งยองในส้วมแต่ไม่ยอมถ่ายอย่างเลี่ยงไม่ได้
กลับเป็นเจียงจ้าวหมอเจ้านครจื่อชี่แห่งป๋ายอวี้จิงที่ทุกๆ หกสิบ
ปีจะต้องมีการถามหมัดหนึ่งครั้ง จะไปประลองฝีมือบนวิถีวรยุทธกับ
หลินเจียงเซียนที่ยาซานแห่งหรู่โจว
ดังนั้นนักพรตซุนจึงมอบฉายาว่า ‘แสวงหาความพ่ายแพ้’ ให้
กับเทียนเซียนแห่งป๋ายอวี้จิงที่มีฉายาว่า ‘ฉุยเซี่ยง’ ผู้นี้
หากไม่รู้ความจริงที่เจียงจ้าวหมอถามหมัดกับหลินเจียงเซียน
ทุกๆ หกสิบปี ลำพังเพียงแค่ฟังฉายาก็ดูเหมือนว่าจะไม่ด้อยไปกว่า
‘ผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริง’ เท่าไรนัก
หลินเจียงเซียนยิ้มพลางให้คำตอบ “เลื่อนเป็นขอบเขต
ปลายทางก่อน จากนั้นเดินไปให้ถึงชั้นเทพมาเยือน ในขั้นตอนนี้เวลา
ถามหมัดกับผู้อื่นก็ระวังให้มากหน่อย อย่าให้มีภัยแฝงที่เป็นต้นตอ
ของโรคทิ้งเอาไว้ โอสถเซียนบนภูเขาบางอย่างก็สามารถเลือกกิน
เสริมได้”ชีกู่บื้อใบ้ไร้คำพูด
หลินซือผู้นี้ล้อข้าเล่นหรืออย่างไร พูดก็เหมือนไม่พูดอย่างไร
อย่างนั้น
เจ้าอารามผู้เฒ่าเหลือบมองตัวอักษรบนก้อนหินของเจียงซิว
แล้วหัวเราะร่า
หลินเจียงเซียนขอตัวลาจากไป เจ้าอารามผู้เฒ่าใช้เสียงใน
ใจเอ่ยว่า “หากเดินเท้าลงจากภูเขา รออีกเดี๋ยวพวกเราสองคนมาคุย
กันหน่อย”
หลินเจียงเซียนยิ้มพลางพยักหน้ารับ
หลังจากนั้นเจ้าอารามผู้เฒ่าก็ชิงเดินไปนั่งลงบนหินก้อนใหญ่ที่
ซินขู่นั่งอยู่ บอกพวกหวังหยวนลู่ว่าไม่ต้องระมัดระวังตัวมากเกินไป
บอกว่าพวกเจ้ากับซินขู่ล้วนเป็นคนกันเอง เกรงใจกันเกินไป
จะห่างเหินกันเอาได้
ซินขู่เองก็ไม่ถือสาที่เจ้าแห่งถ้ำ ปี้เซียวทำตัวกันเองเช่นนี้ หยิบ
เหล้าสนที่หมักเองออกมาสองสามกา จากนั้นก็เอาเมล็ดต้นสนย่าง
เผือกปิ้งออกมาเพิ่มเพื่อรับรองแขกนักพรตที่สวมชุดผ้าฝ้ายซึ่งผ่ายผอมราวกับลำไม้ไผ่หยิบ
ตะเกียบไม้ไผ่สองสามคู่ออกมาจากชายแขนเสื้อ เหน็บใต้รักแร้เช็ด
หนึ่งทีแล้วยื่นส่งให้ชีกู่ ชีกู่เองก็ชินเสียแล้ว ไม่ถือสาแม้แต่น้อย รับ
ตะเกียบมาแล้วเริ่มดื่มเหล้า ทำเอานักพรตน้อยที่อยู่ด้านข้างถึงกับ
กลอกตามองบน ไม่ได้รับตะเกียบคู่นั้นมา
หวังหยวนลู่จิบเหล้าหนึ่งอึก เหล้าฤทธิ์แรงมาก ดื่มทีก็พลัน
ตัวสั่นเยือก
เจ้าอารามผู้เฒ่าเอ่ยเยาะเย้ย “คนคออ่อนอย่างเจ้า ดื่ม
เหน็บชาเข้าไปหรือไร?”
หวังหยวนลู่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ต่อให้ทั้งสองฝ่ายจะมีสถานะ
เป็นอาจารย์และศิษย์กันก็ไม่เห็นว่าหวังหยวนลู่จะหวาดเกรง
เจ้าอารามผู้เฒ่าท่านนี้สักเท่าไร
หวังหยวนลู่สายของโจรขโมยข้าวเก่ากับสวีเจวี้ยนผู้ฝึกตนผีที่
มีฉายาว่า ‘ผีน้อย’ ต่างก็มีความยืดหยุ่นทนทานอย่างมาก
มีความหวังบนมหามรรคามากที่สุดเจ้าอารามผู้เฒ่าเงยหน้าหรี่ตามองฟ้า มีร่องรอยบางๆ เส้น
หนึ่งที่ยากจะสังเกตเห็น คือวิถีการเดินทางของสวีเจวี้ยนกับคนรัก
เจาเกอ ตนแค่เหลือบมองแวบเดียวก็เห็นเส้นสายเส้นนี้ แต่ผู้ฝึกตน
ทั่วไปกลับไม่แน่เสมอไปว่าจะทำได้แล้ว
เจ้าอารามผู้เฒ่าขยับเส้นสายตามองไปยังป๋ายอวี้จิงแล้วหลุด
หัวเราะพรืด
คนทั้งใต้หล้าต่างก็ด่าอวี๋โต้ว แต่กลับอยากจะเป็นอวี๋โต้ว
ผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงผู้น่าสงสาร
ป๋ายอวี้จิงแห่งนั้นมีอยู่สองสถานที่ที่มีคนบ้าอยู่เยอะ
มาโดยตลอด หนึ่งคือจิงซือที่คอยให้อรรถาธิบายความหมายของ
คำศัพท์โบราณโดยเฉพาะ นอกจากนี้ก็คือ ‘เทียนซือ’ ที่คอยสังเกต
ดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน คาดว่าทุกวันนี้น่าจะยิ่งบ้าคลั่งกันไป
ใหญ่ ศึกษาดาราศาสตร์ดึกดื่นกว่าจะหลับนอน ก้อนเมฆเคลื่อน
คลุมแสงจันทร์เห็นเพียงดวงดาวประปราย ฝืนลืมตาฝ้าฝาง
เหน็ดเหนื่อยไร้เรี่ยวแรง ยังคงจดจำ จื่อเวยบนขอบฟ้าได้ดื่มเหล้าบนยอดเขารุ่นเยว่ไปแล้ว เจ้าอารามผู้เฒ่าก็พาคนทั้ง
กลุ่มลงจากภูเขาไปหาหลินเจียงเซียน
เจ้าอารามผู้เฒ่าใช้เสียงในใจเอ่ยสัพยอกว่า “ลมพัดผ่านนก
บนขุนเขา ก้อนเมฆคล้อยเชื่อมนทีสวรรค์ จดหมายบ้านเกิดมิอาจ
ส่งออกไป ห่านป่าโบยบินกลับทักษิณ”
ราชวงศ์ชื่อจินของหรู่โจว ในอาณาเขตมีลำคลองใหญ่อยู่สาย
หนึ่งที่ตลอดทั้งปีจะมีไอหมอกแผ่อวลปกคลุม ยาซานของหลินเจียง
เซียนก็สร้างขึ้นริมลำคลองสายนั้น
เจ้าอารามผู้เฒ่าพลันถามว่า “ก่อนหน้านี้เห็นปณิธานกระบี่
ส่วนนั้นของเจียงซิว มีความรู้สึกอะไรบ้างไหม?”
หลินเจียงเซียนส่ายหน้า “ไม่มีความรู้สึกอะไร”
“ผินเต้ากลับมีความรู้สึกว่า กลัดกลุ้มที่เรื่องราวไม่เป็นดั่ง
ใจหมาย สามคนจากไปพร้อมกันกลับคืนมาเพียงคนเดียว”
น่าจะพูดถึงศึกของเมื่อหมื่นปีก่อนที่เฉินชิงตูจับมือกับกวาน
จ้าว หลงจวินไปถามกระบี่ที่ภูเขาทัวเยว่หลินเจียงเซียนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ผู้อาวุโสเห็นแจ่มชัดเหมือน
มองกองไฟในถ้ำ มืด ฉลาดเฉียบแหลมยิ่งนัก เพียงแต่หวังว่าผู้อาวุโส
จะช่วยปิดความลับนี้เอาไว้”
สีหน้าของเจ้าอารามผู้เฒ่ามีเลศนัย “เจ้าแน่ใจขนาดนี้เชียว
หรือว่ามรรคาจารย์เต๋าจะไม่บอกเรื่องนี้ให้ลูกศิษย์สองคนรู้?”
หลินเจียงเซียนย้อนถาม “ต่อให้บอก แล้วจะอย่างไร?”
เจ้าอารามผู้เฒ่าพยักหน้า
มองเส้นทางดินที่เล็กราวเส้นผมบนภูเขาเส้นนั้น เจ้าอารามผู้
เฒ่าไม่ใช้เสียงในใจพูดคุยอีก เพียงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “วันใด
มีขั้นบันได ภูเขาก็ไม่ใช่ภูเขาอีกต่อไปแล้ว”
สายตาขยับห่างไกลไปอีกเล็กน้อย นั่นก็คือน้ำนิ่งที่ไหลผ่าน
ยอดเขารุ่นเยว่ “หากไม่มีสะพาน น้ำก็จะยังคงเป็นน้ำ”
หวังหยวนลู่ถอนหายใจหนึ่งที เห็นได้ชัดว่าเข้าใจความนัยใน
คำพูดนี้
ส่วนชีกู่ แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยฟังคำพูดลี้ลับมหัศจรรย์ที่พวก
ยอดฝีมือนอกโลกชอบพูดติดปากกันบ่อยๆ พวกนี้เข้าหูอยู่แล้วหลินเจียงเซียนกล่าว “ผู้อาวุโสมีอะไรจะชี้แนะหรือไม่?”
เจ้าอารามผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “ทะนุถนอมและเห็นค่าให้มาก จงรู้จัก
ทะนุถนอมและเห็นค่าให้มาก”
หลินเจียงเซียนพยักหน้ารับ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ผู้ฝึกตน แต่กลับร่าย
วิชาอภินิหารบนภูเขาอย่างการหดย่อขุนเขาสายน้ำเพียงก้าวเดียวได้
เจ้าอารามผู้เฒ่าหยุดเดิน ทอดสายตามองไปยังทิศไกล
ในยุคบรรพกาล ‘ใต้หล้า’ เคยแบ่งกระบี่ออกเป็นสี่สาย โอ่อ่า
ตระการตาอย่างยิ่ง
ใต้หล้ามืดสลัวที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าแห่งนี้มีสายเซียนกระบี่ลัทธิเต๋า
ของอารามเสวียนตูที่การสืบทอดมีระบบระเบียบ ตั้งตระหง่าน
ไม่เคยล้มลง
หากว่ายังรวมไปถึงภิกษุเจียงซิวที่กระเหี้ยนกระหือรือพร้อม
ลงมือผู้นั้น เวทกระบี่เฉพาะตัว เป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใคร ว่ากันว่า
เขาเคยป่าวประกาศว่าจะถอนรากถอนโคนพวกมารให้กับใต้หล้า
ทุกวันนี้อารามเสวียนตูมีอดีตป๋ายเหย่แห่งใต้หล้าไพศาลเพิ่ม
มาอีกคนหนึ่งหาวซู่สิงกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ตอนนี้ก็
ได้มาอยู่ในนครเสินเซียวของป๋ายอวี้จิงแล้ว
ราวกับว่าเมื่อหมื่นปีก่อน เส้นสายกระบี่ไม่กี่เส้นที่ถ่ายทอดอยู่
ใน ‘ใต้หล้า’ ช่วงแรกเริ่มสุด สุดท้ายเมื่อมาอยู่ที่ใต้หล้ามืดสลัวแห่งนี้
ดูคล้ายจะเกิดเป็นการรวบรวม กลายเป็นหนึ่งที่ลี้ลับมหัศจรรย์
อย่างหนึ่ง?
หากว่าในอนาคตเจ้าเด็กเฉินผิงอันผู้นั้นมาเยือนใต้หล้ามืด
สลัว นั่นก็จะครึกครื้นแล้ว
พูดถึงแค่ใต้หล้ามืดสลัวในทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่หรือ
ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ขอแค่มารวมตัวกันแล้วพูดคุยเรื่องของใต้หล้า
ถ้าอย่างนั้นก็หนีไม่พ้นคนหนุ่มจากทวีปอื่นที่แซ่เฉิน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกกระบี่ที่อยู่ทางแถบนี้ หากเอ่ยประโยค
ที่ไม่เกินจริงสักคำ ผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยสิบคน เก้าคนต่างก็รู้สึกว่า
ตัวเองคือเฉินอิ่นกวาน อีกคนหนึ่งรู้สึกว่าเฉินผิงอันใหญ่มาจากไหน
หลินเจียงเซียนหวนกลับไปยังยาซานแห่งหรู่โจวในนครเสินเซียวของป๋ายอวี้จิง สิงกวานหาวซู่เริ่มปิดด่าน
หลอมกระบี่
บนชายแดนทางทิศใต้ของหรู่โจว ในเขตอิ่งชวนของแคว้นเล็ก
ห่างไกล ในอารามเต๋าขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่ชื่อเสียงไม่โด่งดัง
เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่แค่จำ ได้ว่าตัวเองชื่อเฉินฉง ตรงเอวห้อย
เครื่องประดับเป็นกระเบื้องแตกแผ่นหนึ่ง ยังไม่เคยได้รับ
หนังสือรับรองการออกบวชก็เริ่มฝึกตนอย่างเป็นทางการแล้ว
——