กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 957.1 มีคนตีกลอง
ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง นครจินชุ่ย
ศาลาหลังหนึ่งที่หลังคาเป็นยอดแหลมมีกรอบป้ายคำว่า ‘เยว่เหมย’
ฟ้าโปร่งแสงจันทร์อ่อนจาง พื้นดินเปลี่ยวร้างก่อเกิดธรรมเนียมซับซ้อน
ปัญญาชนวัยกลางคนที่สวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียว บนศีรษะสวมมงกุฎหยกเขียวกำหมัดเบาๆ ในฝ่ามือกุมหมากสีขาวและสีดำเอาไว้สองเม็ด เมื่อเขากำมือ เม็ดหมากก็กระทบกันดังแกรกกราก
เมื่อความคิดของผู้ฝึกตนที่เป็นเค่อชิงของนครจินชุ่ยผู้นี้บังเกิด ในศาลาแห่งนี้ก็มีภาพปรากฏการณ์ผิดปกติเกิดขึ้น บรรยากาศแปรเปลี่ยนหลากหลาย แต่กลับไม่มีปราณวิญญาณฟ้าดินแม้สักเสี้ยวที่ไหลเอ่อท้นออกไปนอกศาลา
อันดับแรกมีตัวอักษรสีทองยาวเป็นพรวนลอยกระเพื่อมขึ้นมาก่อน กลายเป็นประโยคที่หนึ่ง ประโยคที่สอง ประโยคที่สาม
เพียงไม่นานในศาลาก็มีเสียงฟ้าร้องครืนครั่นเพราะตัวอักษรสิบกว่าตัวนี้ บนพื้นที่ปูด้วยอิฐเขียวเหมือนกลายมาเป็นพื้นดิน ลายเส้นบนก้อนอิฐเหมือนลายน้ำที่มีคลื่นยักษ์หมื่นจั้งถาโถม
สมกับเป็นตราประทับทางใจลี้ลับของสายนิกายฉานลัทธิพุทธ ขนบธรรมบ้านข้า ประหนึ่งอสนีบาตยามฟ้าสว่างสดใส ดั่งคลื่นถาโถมจากบนพื้นดิน
บนอิฐเขียวก้อนหนึ่งที่เหมือนพื้นดินของทวีปแห่งหนึ่ง คลื่นมรสุมพลันหยุดนิ่ง ในขณะที่ฟ้าใสอากาศปลอดโปร่งก็ดูเหมือนจะมีภิกษุสองคนที่ตัวเล็กเท่าเมล็ดงาเดินขึ้นสู่ที่สูงมา หนึ่งอาจารย์หนึ่งศิษย์เดินขึ้นเขามาด้วย ภิกษุหนุ่มมีสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง ถามอาจารย์ว่าเมื่อสอนให้คนเดินบนเส้นทางนกบิน ไม่ทราบว่าอะไรคือเส้นทางนกบิน? หลวงจีนเฒ่าก้าวยาวๆ เหมือนดาวตก ฝีเท้าขยับว่องไวราวกับบิน เดินอยู่บนเส้นทางภูเขาที่สูงชันอันตรายเหมือนเดินอยู่บนพื้นที่ราบ พอได้ยินคำถามก็ยิ้มเอ่ยว่า ไม่พบเจอใคร ระหว่างที่เดินขึ้นเขา ภิกษุทั้งสองยังได้ทยอยเห็นตัวอักษรขนาดใหญ่ที่แกะสลักไว้บนหินผาริมทาง ล้วนมีแค่ตัวอักษรเดียว จู่ ซื่อ ชิน ผู่ เหย้า การทยอยเจอตัวอักษรก็เหมือนการผ่านด่าน ไม่มีการหยุดพักใดๆ ภิกษุหนุ่มพลันถามอีกว่าอะไรคือโฉมหน้าที่แท้จริง? ไม่คิดว่าภิกษุเฒ่าจะตอบว่า ไม่เดินบนเส้นทางของนก ภิกษุหนุ่มเงียบงันไป หลวงจีนเฒ่าพลันตวาดดังลั่น อะไรคือพุทธะ? ภิกษุหนุ่มตอบเนิบช้าว่าเด็กน้อยปิ่งติงขอไฟ หลวงจีนเฒ่าถามเอ่ยอีกว่า กล่าวได้ดี ปิ่งติงล้วนเป็นธาตุไฟ ใช้ไฟขอไฟ น่าเสียดายที่ยังไม่ถึงที่สุด ลองพูดได้อีก ใต้ฝ่าเท้าของภิกษุทั้งสองคือภูเขาลูกหนึ่ง แต่แท้จริงแล้วกลับเกิดจากการหล่อหลอมตัวอักษรหลายร้อยล้านตัวในคัมภีร์เต๋าเล่มหลักและคัมภีร์เต๋าเล่มชุด และด้านนอกหน้าผาของเส้นทางภูเขาบนภูเขา ‘เต้าซาน’ ลูกนี้ก็มีนกตัวหนึ่งที่พลันบินแหวกอากาศมาถึง สยายปีกบินอ้อมภูเขา ภูเขาสีเขียวลูกนี้ก็เริ่มพลิกหมุน สุดท้ายภูเขาที่หมุนติ้วก็คล้ายจะหยุดลอยนิ่งไปพร้อมกับนกบิน ประหนึ่งลูกธนูที่พุ่งมาอย่างว่องไวก็ต้องมีช่วงเวลาที่หยุดนิ่งเช่นเดียวกัน ภิกษุสองคนที่เดินขึ้นจุดสูงโดยไม่รู้ว่าภูเขาพลิกหมุนเห็นนกที่บินอยู่นอกภูเขาเหมือนลูกธนูดอกหนึ่งที่หยุดลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ ภิกษุหนุ่มก็เงียบงันไม่พูดไม่จา หลวงจีนเฒ่าถอนหายใจ น้ำค้างใต้ชายคาหนอ ภิกษุหนุ่มพลันใจตรงกัน ถามเองตอบเองว่าอะไรคือพุทธะ? เด็กน้อยปิ่งติงมาขอไฟ หลวงจีนเฒ่าพยักหน้ารับเบาๆ กระทืบเท้าหนักๆ หนึ่งที สุดท้ายก็ยิ้มเอ่ยประโยคหนึ่งว่า อย่าเผยหลักฐาน…
ปีนั้นหลังจากที่ในที่สุดก็คิดจนเข้าใจเรื่องหนึ่งอย่างกระจ่าง ปัญญาชนวัยกลางคนที่ฝึกตนอยู่ในนครจินชุ่ยมานานหลายปีผู้นี้ ความคิดจิตใจส่วนใหญ่ล้วนเอาไปวางไว้บนพระสูตรพระวินัยและพระอภิธรรมแต่ละสายของลัทธิพุทธที่ยิ่งใหญ่ไพศาลเหมือนมหาสมุทรหมดแล้ว
นอกศาลา เจ้านครหญิงของนครจินชุ่ยเดินนวยนาดมาถึง เมื่อนางหยุดเท้าแล้วก็มองอยู่พักหนึ่ง เนื่องจาก ‘อาจารย์’ ท่านนั้นไม่ได้อำพรางภาพบรรยากาศ นางถึงได้มองเห็นภาพประหลาดที่ปรากฏขึ้นในศาลา รอกระทั่ง ‘อาจารย์’ ท่านนั้นหันหน้ามามองตน นางถึงได้ยอบกายคารวะด้วยท่วงท่าสุภาพเรียบร้อย คลี่ยิ้มหวาน ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อาจารย์ ท่านทำอะไรอยู่หรือเจ้าคะ?”
เจ้านครชิงเจีย ฉายาว่า ‘ยวนหู’ คือผู้ฝึกตนหญิงเผ่าปีศาจขอบเขตเซียนเหริน อันที่จริงนางได้ครอบครอง ‘สุ่ยเลี่ยน’ ชุดคลุมอาคมระดับขั้นเป็นอาวุธเซียนชิ้นหนึ่ง เพียงแต่ว่าหลายปีมานี้ที่อยู่ในนครจินชุ่ย หากไม่ต้องจัดงานพิธีต่างๆ นางก็จะสวม ‘เจียวเย่’ ชุดคลุมอาคมสีเขียวมรกตลักษณะเรียบง่ายที่อยู่บนร่างตัวนี้แล้วประทินโฉมอ่อนๆ เท่านั้น
แขกที่คอยช่วยออกหัวคิดให้กับนครจินชุ่ยซึ่งถูกชิงเจียเรียกขานว่า ‘อาจารย์’ ด้วยความเคารพผู้นี้ลุกขึ้นยืน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำก็เลยคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย พูดคุยกันแก้เบื่อเท่านั้น”
แซ่ก่ายนามเจิ้ง คือผู้ฝึกตนของต่างถิ่นคนหนึ่ง
เขามาเป็นเค่อชิงอยู่ในนครจินชุ่ยเกือบร้อยปีแล้ว ส่วนใหญ่มักจะเก็บตัวสันโดษไม่ค่อยออกไปไหน แทบจะไม่เคยเผยตัวให้คนเห็น ต่อให้เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของชิงเจียกลุ่มนั้นต่างก็ไม่เคยรู้ว่านครจิงชุ่ยมีบุคคลประหลาดผู้นี้อยู่ด้วย
บางครั้งก่ายเจิ้งก็จะออกเดินทางไกลอย่างเงียบเชียบบ้าง ไม่เคยบอกกล่าวกับชิงเจีย และนางเองก็ไม่เคยถามให้มากความ
สีหน้าของชิงเจียจริงใจ “อาจารย์ไม่จำเป็นต้องสนใจพิธีรีตองพวกนี้ กฎเกณฑ์ในใต้หล้าก็คือกรอบที่สร้างขึ้นเพื่อมนุษย์ธรรมดาอย่างเราๆ ด้วยความรู้ที่เลิศล้ำเทียมฟ้าของอาจารย์ ไม่จำเป็นต้องสนใจหรอก”
ปัญญาชนวัยกลางคนยิ้มกล่าว “เข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตาม ไม่ควรละทิ้งมารยาท”
ชิงเจียเอ่ยชื่นชมจากใจจริง “อาจารย์มีข้อเรียกร้องต่อตัวเองอย่างเข้มงวดดุจสายลมสารทที่พัดใบไม้ร่วงอย่างไร้ปราณี”
ปัญญาชนวัยกลางคนส่ายหน้า “ไม่ใช่ว่าบัณฑิตที่เคยเปิดอ่านหนังสือแค่ไม่กี่เล่มมาก่อน ก็สามารถถูกเรียกว่าอาจารย์ได้แล้ว”
คำเรียกขานว่าอาจารย์นี้ อันที่จริงมีมาก่อน ‘บัณฑิต’ ของยุคบรรพกาลเสียอีก ความหมายใหญ่ยิ่งกว่า มากพอจะทัดเทียมกับคำว่า ‘นักพรต’ ได้
ชิงเจียยืนอยู่ที่เชิงบันไดของศาลาอย่างว่าง่ายตลอดเวลา ถามหยั่งเชิงว่า “อันที่จริงวันนี้ไม่มีเรื่องอยากจะขอความรู้จากอาจารย์ สามารถเข้าไปนั่งในศาลาได้หรือไม่?”
บ่าสองข้างแต่ละด้านของผู้ฝึกตนหญิงมีนกฮว่าเหวยตัวหนึ่งและภูตพันธ์ไม้ที่มีชื่อว่าสาวทอผ้าเกาะอยู่ ในทางส่วนตัวแล้ว ชิงเจียเรียกเค่อชิงที่มีนามแฝงว่าก่ายเจิ้งผู้นี้ด้วยความเคารพว่า ‘อาจารย์’ โดยที่ไม่เพิ่มแซ่มาโดยตลอด
แล้วนับประสาอะไรกับที่เจ้าของนครจินชุ่ยตัวจริงก็ไม่ใช่นางมานานแล้ว
เพียงแต่ว่าความจริงบางอย่างที่ทำให้ชิงเจียรู้สึกว่า ‘น่าสนุก’ ที่สุด ไม่ใช่น่าหวาดกลัว ก็คือนางได้เห็นอาจารย์ในศาลาท่านนี้กับตาตัวเอง หาไม่แล้วความทรงจำทั้งหมดของนางที่เกี่ยวกับคนผู้นี้ก็เหมือนถูกขังใส่กลอนไว้ในห้องแห่งหนึ่ง นางที่เป็นเจ้าของกลับไม่มีกุญแจห้อง กุญแจห้องดอกนั้นกลับกลายเป็นว่าไปอยู่ในมือของอาจารย์ท่านนี้แทน
นี่จึงเป็นเหตุให้แม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ ถ้าอย่างนั้นตลอดทั้งใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ใครเล่าจะสามารถรู้ความจริงข้อนี้ได้?
ชิงเจียรู้สึกว่าน่าสนใจมาก ก็เหมือนแม่นางน้อยคนหนึ่งที่เริ่มมีรักแล้วต้องแอบซุกซ่อนความลับอย่างหนึ่งที่ไม่ยินดีจะแบ่งปันให้คนอื่นรู้
สามารถกุมจิตแห่งมรรคาของผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่งไว้ในมือกำเล่นได้ตามใจชอบ เกรงว่าต่อให้เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดก็ยังไม่กล้าพูดว่าตัวเองต้องทำได้แน่นอน หากจะบอกว่าให้อีกฝ่ายรู้เรื่องนี้แล้วก็ยังยินยอมพร้อมใจอยู่เหมือนเดิม นั่นก็ยิ่งน่าเหลือเชื่อเข้าไปใหญ่ และ ‘ยวนหู’ เซียนหญิงแห่งนครจินชุ่ยก็ไม่ใช่คนที่มีนิสัยอ่อนโยนนุ่มนิ่มอะไร อาศัยแค่ขอบเขตเซียนเหรินคนเดียวที่ไม่มีบรรพจารย์ให้พึ่งพิง อีกทั้งนางเกิดมาก็ไม่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่า แต่กลับสามารถปกป้องนครจินชุ่ยทั้งแห่งและผู้ฝึกตนหญิงหลายร้อยคนเอาไว้ได้ ก็รู้ได้แล้วว่าจิตแห่งมรรคาของยวนหูต้องแข็งแกร่งถึงเพียงใด
ปัญญาชนวัยกลางคนไม่ได้สลายภาพเหตุการณ์ผิดปกติในศาลาทิ้งไป ยิ้มเอ่ยว่า “แน่นอนว่าแขกต้องตามใจเจ้าบ้าน”
ชิงเจียได้ยินแล้วก็ขบริมฝีปาก ดวงตาเรียวยาวคลอประกายน้ำงดงามคู่นั้นมีทั้งความแง่งอน ทั้งยังเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์น่าหลงใหล นางเดินขึ้นบันไดมา ยกชายกระโปรงขึ้น เดินเข้ามาในศาลาแล้วถึงสัมผัสได้ถึงระดับความกว้างขวางของศาลาเล็กๆ หลักนี้ นางเดินอ้อมผ่านอิฐเขียวบนพื้นบางก้อนที่มีกลิ่นอายมรรคาล้อมเวียนวนไปอย่างระมัดระวัง สุดท้ายไปนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับอาจารย์
เซียนเหรินหญิงคนหนึ่งที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งใต้หล้า เวลานี้นั่งตัวตรงอย่างสำรวมเหมือนเผชิญหน้ากับอาจารย์ที่สอนหนังสือในโรงเรียนท่านหนึ่ง
ชิงเจียนั่งลงแล้วก็เผยสีหน้าละอายใจที่สู้ไม่ได้ออกมาหลายส่วน เอ่ยเย้ยหยันตัวเองว่า “แค่การคิดไปเรื่อยที่ใช้ฆ่าเวลาของอาจารย์ ผลลัพธ์ที่ได้ออกมา บางทีอาจเป็นความลี้ลับมหัศจรรย์ที่พวกคนโง่เขลาอย่างพวกเราใช้เวลาหมดสิ้นทั้งชีวิตก็ยังมิอาจทำความเข้าใจได้”
ปัญญาชนวัยกลางคนส่ายหน้า “สหายยวนหูชมกันเกินไปแล้ว คนผู้หนึ่งยิ่งมีความรู้มากเท่าไรก็ยิ่งต้องเผชิญกับความไม่รู้ที่ใหญ่มากขึ้นเท่านั้น มนุษย์ธรรมดานั้นอยู่ที่ว่ารู้อะไร ส่วนผู้ฝึกตนกลับอยู่ที่ว่าตัวเองไม่รู้อะไร”
ชิงเจียไร้คำพูดตอบโต้
ปัญญาชนวัยกลางคนนั่งตัวตรง คลี่ยิ้มอบอุ่น ทว่าในสายตาของชิงเจียแล้ว อีกฝ่ายกลับเป็นเหมือน...ทวยเทพผู้สูงส่ง
ช่วยไม่ได้ คนตรงหน้าผู้นี้ก็คือเจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาวที่กล้าสังหารคนในภูเขาทัวเยว่ แล้วก็สามารถสังหารคนบนภูเขาทัวเยว่ได้ง่ายๆ เชียวนะ
ชิงเจียทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
ก็เหมือนอย่างที่ตัวนางเองกล่าวไว้ เดิมทีไม่คิดจะคุยเรื่องเป็นการเป็นงานอะไร แต่รอกระทั่งนางเข้ามาในศาลา นั่งลงตรงข้ามกับเจิ้งจวีจงแล้ว ดูเหมือนว่าหากไม่พูดอะไรเลย นางกลับจะรู้สึกว่า…ย่ำยีทรัพยากรสวรรค์ให้เสียเปล่า
ส่วนการเดินขึ้นสู่ที่สูงอย่างต่อเนื่องและบทสนทนาของภิกษุสองรูปใน ‘ฟ้าดินเล็ก’ ของศาลา ชิงเจียเห็นแล้วก็เหมือนไม่ได้เห็น ได้ยินแล้วก็เหมือนไม่ได้ยิน เพราะไม่เข้าใจอะไรเลยแม้แต่น้อย อีกอย่างมรรคาของพวกเขาก็แตกต่างกันด้วย
ชิงเจียฝืนข่มกลั้นความคิดที่ผุดขึ้นมาในใจลงไป เปลี่ยนหัวข้อพูดคุย แต่กระนั้นก็ยังเป็นคำถามที่สงสัยอยู่ในใจมาเนิ่นนาน “ขอถามท่านอาจารย์ ท่านรู้สึกว่ามีเรื่องอะไรที่น่าสนใจอย่างแท้จริงบ้างไหม?”
เจิ้งจวีจงยิ้มบางๆ “หลายเรื่องเลยล่ะ”
ยกตัวอย่างเช่นในพื้นที่มงคลแห่งหนึ่งที่อยู่ระดับกลาง เจิ้งจวีจงเคยให้ตัวเองคนหนึ่งก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาด้วยมือเปล่า จากบัณฑิตอ่อนแอที่ไม่มีแรงแม้แต่จะจับไก่ ในเวลาสั้นๆ เพียงยี่สิบปีก็กลายเป็นกุนซือท่านหนึ่งที่สามารถช่วยจักรพรรดิพระองค์หนึ่งให้รวบรวมใต้หล้าเป็นปึกแผ่นได้สำเร็จ ขณะเดียวกันก็เพิ่มสถานะใหม่เอี่ยมเข้ามาอีกสองอย่าง หนึ่งในนั้นก็คือบุรุษหยาบกระด้างไร้การศึกษาที่มีพรสวรรค์ในการเรียนวรยุทธดีเยี่ยมที่ชูธงขึ้นก่อการปฏิวัติ อีกคนหนึ่งกลายเป็นผู้ฝึกลมปราณบนยอดเขา คุณสมบัติด้านการฝึกตนธรรมดา พอลงจากภูเขามาแล้วก็ไปเป็นนักยุทธศาสตร์
ทั้งสามคนต่างก็มีเส้นทางความคิดหลักที่ซ่อนแฝงอยู่เส้นหนึ่งซึ่งชักนำให้คนทั้งสามเดินไปบนเส้นทางที่แตกต่างกัน แบ่งแยกกันรับผิดชอบสามเรื่อง ก่อสร้าง ทำลาย ซ่อมแซม
เจิ้งจวีจงก้มหน้าลงมองภูเขาลูกนั้นแล้วพลันเอ่ยว่า “สหายยวนหูควรจะวางแผนในระยะยาวให้กับนครจินชุ่ยได้แล้ว”
ชิงเจียรู้สึกโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก เอ่ยเสียงหนักว่า “ขอท่านอาจารย์โปรดชี้แนะ”
สภาพการณ์ของนครจินชุ่ยในใต้หล้าเปลี่ยวร้างเหมือนกับสำนักจิ่วเฉวียน
รากฐานในการหยัดยืนของสำนักอักษรจงทั้งสองแห่งแบ่งออกเป็นการหลอมชุดคลุมอาคมและการหมักสุราเซียน
โลกภายนอกมองว่า เนื่องจากนครจินชุ่ยเคยช่วยเหลือหย่างจื่อปีศาจใหญ่บนบัลลังก์เก่าให้ยกระดับขั้นของชุดคลุมมังกรสีหมึกขึ้นสูงไปอีกขั้น ถึงได้รับการปกป้องคุ้มครองจากหย่างจื่อ ก็ไม่ผิด เพราะถึงอย่างไรปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานของใต้หล้าเปลี่ยวร้างกลุ่มนั้นก็มีน้อยนักที่จะรุกรานนครจินชุ่ย แต่นี่กลับไม่ใช่ความจริงทั้งหมด หย่างจื่อโปรดปรานชิงเจียมากกว่าใครก็จริง แต่ก็ยังคงอยากจะกลืนกินสำนักของนาง เอามาทำเป็นอ่างรวมสมบัติที่เงินทองไหลมาเทมาของตัวเอง การที่ยังทำไม่สำเร็จก็เพราะชิงเจียยืนกรานในความคิดของตัวเอง ถึงขั้นที่ยังเคยทิ้งวาจารุนแรงอย่างไม่เกรงกลัว ดูเหมือนหย่างจื่อเองก็มีความกังวลบางอย่างที่คนอื่นไม่รู้ นางถึงได้ไม่ถือสาชิงเจีย กลับกันยังไม่เคยบอกกล่าวความขมขื่นนี้ให้คนนอกทราบ
เนื่องจากชุดคลุมอาคมของนครจินชุ่ยมีธรณีประตูในการหล่อหลอมสูง จึงยากที่จะผลิตออกมาในปริมาณมาก คราวก่อนที่โจมตีใต้หล้าไพศาล นครจินชุ่ยกับสำนักทั้งหลายที่มีนครเซียนจานเป็นหนึ่งในนั้นต่างก็ถือว่าจ่ายเงินฟาดเคราะห์ มอบเงินเทพเซียนก้อนใหญ่ออกไป และทางฝั่งของนครจินชุ่ยนี้ก็โยกย้ายชุดคลุมอาคมที่เก็บซ่อนไว้ในคลังลับนานเป็นพันปี เอาไปหักลบกลบหนี้มอบให้กระโจมเจี่ยจื่อแล้ว
ดังนั้นทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่จึงไม่เคยมีผู้ฝึกตนคนใดของนครจินชุ่ยปรากฏตัว ส่วนเจ้านครอย่างชิงเจียก็แค่เผยกายในการประชุมของภูเขาทัวเยว่ในภายหลังเท่านั้น คุมเชิงอยู่กับผู้ฝึกตนใหญ่ของไพศาลที่เข้าร่วมการประชุมของศาลบุ๋นอยู่ไกลๆ ในความเป็นจริงแล้ว ตอนนั้นสายตาของฝ่ายตรงข้ามที่มองประเมินเซียนหญิงแห่งนครจินชุ่ยผู้นี้อย่างพินิจพิเคราะห์ก็มีอยู่ไม่น้อย แน่นอนว่ายังเป็นเพราะชุดคลุมอาคม ‘เลี่ยนสุ่ย’ ที่เส้นทางน้ำแบ่งแยกหยินหยาง ตะวันจันทราสลับสับเปลี่ยน ดวงดาวเคลื่อนคล้อยแผ่กลิ่นอายมหามรรคาบนร่างของนาง
เจิ้งจวีจงเหลือบมองเซียนเหรินหญิงผู้นี้แล้วพยักหน้าเอ่ยว่า “ข้อเสนอแนะของสหายเถาถิง ในทิศทางใหญ่ถือว่าถูกต้องแล้ว”
มองจิตแห่งมรรคา พลิกค้นความทรงจำของผู้อื่นได้อย่างง่ายดายเหมือนเปิดหน้าหนังสือ
ชิงเจียไม่ได้รู้สึกอึดอัดใดๆ เพียงแค่ซักถามต่อว่า “แล้วความเห็นของท่านอาจารย์ล่ะ?”
นครจินชุ่ยสามารถตั้งตระหง่านไม่ล้มลงมานานหลายพันปี อยู่ที่ว่ามีภูเขาที่พึ่งสองลูก นั่นคือหย่างจื่อที่อยู่ในมุมสว่าง กับเถาถิงแห่งเปลี่ยวร้างที่อยู่ในมุมมืด
น่าเสียดายที่หย่างจื่อปีศาจใหญ่อดีตราชาบนบัลลังก์ไม่อาจหวนกลับคืนสู่เปลี่ยวร้าง ถูกหลิ่วชีขัดขวางเส้นทางไป ตอนนี้ได้ถูกศาลบุ๋นจับขังไว้แล้ว เถาถิงเองก็เป็นสุนัขเฝ้าบ้านอยู่ที่ภูเขาใหญ่แสนลี้มานานหลายปีแล้ว ทุกวันนี้ก็ยิ่งอยู่ที่ใต้หล้าไพศาล สะบัดกายเปลี่ยนร่าง กลายมาเป็นนักพรตเนิ่นที่ก่อวีรกรรมสร้างชื่อบนเกาะยวนยางไปแล้ว
ดังนั้นหนึ่งในลูกศิษย์ผู้สืบทอดของบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่ ซินจวงปีศาจใหญ่ที่เป็นผู้ฝึกตนหญิงเหมือนกัน ก่อนหน้านี้จึงได้บอกให้นครจินชุ่ยมอบวิชาลับและคาถาในการหลอมชุดคลุมอาคมออกมาให้ทั้งหมด
นครจินชุ่ยไม่เหลือพื้นที่ให้ต่อรองใดๆ เพื่อเป็นข้อแลกเปลี่ยน ภูเขาทัวเยว่จะอนุญาตให้นครจินชุ่ยสามารถเลือกสถานที่สองแห่งมาสร้างสำนักเบื้องล่างสองแห่งได้ตามใจชอบ
เพียงแต่ว่าสำหรับชิงเจียแล้ว ผลประโยชน์ที่มีดีแต่เปลือกประเภทนี้มีความหมายที่ตรงใด? ไม่มีความหมายเลยแม้แต่น้อย
ต่อให้นครจินชุ่ยก่อตั้งสำนักเบื้องล่างก็มิอาจรักษาเอาไว้ได้ ผู้สืบทอดของนครจินชุ่ยมีแต่ผู้ฝึกตนหญิง นอกจากหลอมชุดคลุมอาคมแล้วก็ไม่เข้าใจสักนิดว่าควรจะเข่นฆ่ากับผู้อื่นอย่างไร
ดังนั้นก่อนหน้านี้เถาถิงจึงเคยส่งจดหมายลับที่ปิดบังอำพรางอย่างถึงที่สุดฉบับหนึ่งมาให้
ความหมายคร่าวๆ ก็หนีไม่พ้นบอกเป็นนัยแก่ชิงเจียว่า ต้นไม้ย้ายที่ตาย คนย้ายถิ่นรอด
ไม่สู้ย้ายนครจินชุ่ยไปไว้ที่ใต้หล้าไพศาล หาเลี้ยงชีพอยู่ที่นั่น ทั้งสองฝ่ายได้ดูแลกันและกัน เถาถิงตบอกรับรองมาในจดหมายว่า เมื่อไปถึงที่นั่นแล้วก็ไม่กล้าพูดว่าจะทำให้นครจินชุ่ยเจริญรุ่งเรืองได้มากกว่าเดิม แต่พูดถึงแค่เรื่องของการรักษากิจการครอบครัวส่วนนี้เอาไว้ได้ กับขอสถานะสำนักอักษรจงมาจากศาลบุ๋น ก็ไม่เป็นปัญหาแน่นอน
——