กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 957.2 มีคนตีกลอง
สำหรับเถาถิงแล้ว ชิงเจียแห่งนครจินชุ่ยก็คือแม่นางน้อยคนหนึ่ง ถือเป็นผู้เยาว์ในบ้านตัวเองครึ่งตัว
เพราะหากสืบย้อนไปยังต้นกำเนิด นครจินชุ่ยก็มีสายสืบทอดอยู่สองสาย สายหนึ่งคล้ายคลึงกับระบบสืบทอดดั้งเดิม อีกสายหนึ่งถือเป็นวิชาลับสายนอก และผู้ถ่ายทอดมรรคาบางคนของเถาถิงกับชิงเจียที่สถานะที่ถูกปิดบังไว้ก็มีเรื่องราวความเป็นมา ไม่ถือเป็นคู่บำเพ็ญเพียร แต่หากจะพูดว่าเป็นชู้รักก็ไม่น่าฟังอีก
และผู้ถ่ายทอดมรรคาของชิงเจียที่ไม่ได้รับการบันทึกลงในทำเนียบนครจินชุ่ยก็เคยทิ้งคำสั่งเสียข้อหนึ่งไว้ให้กับนครจินชุ่ย บอกว่าในดวงจันทร์เฮ่าไฉ่มีบุคคลเก่าแก่ที่หากอิงตามลำดับอาวุโสแล้วชิงเจียสามารถเรียกว่าบรรพจารย์ไท่ซ่างได้อยู่คนหนึ่ง แต่จะได้พบกับบรรพจารย์ท่านนี้เมื่อไหร่ เวลาใด กลับไม่ได้บอกแน่ชัด แค่อดทนรอคอยไปก็พอ
เดิมทีชิงเจียนึกว่านครจินชุ่ยจะสามารถมีภูเขาที่พึ่งยิ่งใหญ่โอฬารเพิ่มมาอีกลูกหนึ่ง ผลคือดวงจันทร์ดวงหนึ่งที่อยู่บนฟ้าถูกผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่เป็นเหมือนวิญญาณตามติดไม่ยอมไปผุดไปเกิดกลุ่มนั้นร่วมมือกันเคลื่อนย้ายไปไว้ที่ใต้หล้ามืดสลัวโดยตรง นี่ทำให้ชิงเจียไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แล้วจะให้นางนับญาติกลับเข้าตระกูลอย่างไรเล่า? เพียงแต่ว่านอกจากความผิดหวังแล้วนางก็ยังรู้สึกผ่อนคลายได้หลายส่วน เพราะถึงอย่างไรในนครจินชุ่ยก็มีอาจารย์เจิ้งที่ตนยินดีจะฝากความเป็นความตายไว้ให้เขา แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว หากจะให้บรรพจารย์ที่อายุขัยในการฝึกตนยาวนานผู้นั้นหวนกลับคืนมายังโลกมนุษย์แล้วมาเยือนนครจินชุ่ย ไม่แน่ว่านั่นกลับจะกลายเป็นหายนะอย่างหนึ่งก็เป็นได้
ในสนามรบของแจกันสมบัติทวีป ราชวงศ์ต้าหลีเคยกว้านริบชุดคลุมอาคมที่มาจากนครจินชุ่ยไปจนหมด น่าเสียดายที่ไม่อาจจับตัวผู้ฝึกตนที่เป็นผู้สืบทอดของนครจินชุ่ยซึ่งเชี่ยวชาญวิชาการหล่อหลอมมาได้สำเร็จ
เมื่อสามปีก่อนยวนหูเจ้านครได้จัดพิธีเฉลิมฉลองเลื่อนขั้นเป็นเซียนเหริน
นอกจากหย่างจื่อที่มาเข้าร่วมงานพิธีด้วยตัวเองแล้ว เถาถิงเองก็เคยแอบดอดออกมาจากภูเขาใหญ่แสนลี้เหมือนกัน
ในเอกสารลับคฤหาสน์หลบร้อน สำหรับเรื่องนี้ต่างก็มีบันทึกระบุไว้อย่างชัดเจน
เห็นได้ชัดว่าใต้หล้าไพศาลกับใต้หล้าเปลี่ยวร้างต่างก็อยู่ในสถานการณ์ที่ลูกธนูขึ้นสายแล้ว สงครามใหญ่จึงสามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ และนครจินชุ่ยที่หากไม่ใช่เพราะอาจารย์เจิ้ง อันที่จริงก็ไม่มีทางเลือกใดๆ ให้พูดถึงแล้ว หากไม่เป็นฝ่ายไปขอพึ่งพาภูเขาทัวเยว่ ไม่อย่างนั้นก็จะต้องถูกใต้หล้าไพศาลโจมตี กลายไปเป็นนักโทษของอีกฝ่าย
ชิงเจียสังเกตเห็นว่าดูเหมือนอาจารย์ท่านนี้จะใจลอยไปเล็กน้อย นางไม่กล้ารบกวนการปล่อยดวงจิตท่องไปหมื่นลี้ของอีกฝ่าย เพียงรอคอยประโยคถัดไปอย่างใจเย็น
เพียงครู่เดียวเจิ้งจวีจงก็คืนสติกลับมา เอ่ยแค่ประโยคที่กระชับเรียบง่ายกับนางว่า “ก็หนีไม่พ้นว่าเปลี่ยนซินจวงแห่งภูเขาทัวเยว่เป็นศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง นครจินชุ่ยเป็นฝ่ายลดราคาลงครึ่งหนึ่ง ขอไปตั้งรกรากอยู่ที่ฝูเหยาทวีป แล้วก็เลือกทวีปอื่นอีกสักแห่ง ยกตัวอย่างเช่นธวัลทวีป เลือกให้มาเป็นที่ตั้งของสำนักเบื้องล่าง”
เห็นได้ชัดว่าชิงเจียไม่มีความเห็นต่างกับเรื่องนี้ ไม่มีสีหน้าตกตะลึงใดๆ สำนักของเปลี่ยวร้างที่สามารถปรับตัวเข้ากับดินและน้ำของไพศาลได้มีจำนวนน้อยนิด บังเอิญที่นครจินชุ่ยเป็นหนึ่งในนั้นพอดี นางถามอย่างระมัดระวังว่า “จะย้ายทรัพย์สมบัติทั้งหมดของนครจินชุ่ยอย่างไร? แล้วควรจะเลือกผู้ฝึกตนอย่างไร?”
เจิ้งจวีจงกล่าว “ตามข้าไปก็พอ”
คงเป็นเพราะกังวลว่าอีกฝ่ายจะฟังไม่เข้าใจ เจิ้งจวีจงจึงยิ้มอธิบายว่า “ตลอดทั้งนครจินชุ่ยได้ถูกข้าหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตแล้ว เพื่อปิดบังภูเขาทัวเยว่ ไม่ให้เผยพิรุธจนเดือดร้อนไปถึงสหายยวนหู เรื่องนี้ก็ต้องเสียเวลาข้าไปหลายวันเลยจริงๆ”
เมื่อครู่นี้การที่เจิ้งจวีจงแบ่งสมาธิไปคิดเรื่องอื่นเพราะกำลังพิจารณาเรื่องหนึ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่เลย
และเรื่องนี้ เจิ้งจวีจงก็เคยพูดคุยกับชุยฉานแค่คนเดียวเท่านั้น
ทัศนคติของทั้งสองฝ่ายไม่ต่างกันสักเท่าไร สรรพชีวิตที่มีสติปัญญา ภายใต้การนำของผู้ฝึกตน ปูถนนสร้างสะพาน เดินไปยังนอกฟ้า คือทางออกเส้นหนึ่งที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จะต้องเอาดวงดาวของนอกฟ้าเหล่านั้นมาเป็นสะพานเชื่อมโยง หรือไม่ก็เป็น ‘แดนบินของสำนัก’ ขอแค่กระดานหมากใหญ่มากพอ ก็สามารถหลุดพ้นไปจากการช่วงชิงแพ้ชนะ ลดทอนความเสียหายภายในของฟ้าดินที่กำหนดไว้ บางทีเผ่ามนุษย์อาจเป็นผู้นำ ร่วมมือกับผู้ฝึกตนเผ่าต่างๆ อย่างจริงใจ เลือกสถานที่อยู่อาศัยตามดวงดาวทั้งหลายนอกฟ้า ขยายเผ่าพันธุ์ให้เจริญเติบโต…
แต่ลำพังเพียงแค่ ‘ทางไป’ ใหม่เอี่ยมที่ตอนนี้ยังบอกได้ยากเส้นนี้ หรือเส้นทางเชื่อมโยงที่เป็น ‘ทางมา’ เส้นเก่า ยังอยู่ห่างไกลเกินกว่าจะพอมากนัก เพื่อป้องกันเรื่องไม่คาดฝันก็ยังต้องใช้เส้นทางบางอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ‘เดินไปข้างใน’ ให้สรรพชีวิตในฟ้าดินมีวิธีการเอาชีวิตรอดอีกรูปแบบหนึ่ง นั่นก็คือทางถอยที่จำเป็นต้องเตรียมการวางแผนล่วงหน้าแต่เนิ่นๆ
ซิ่วหู่ชุยฉานศึกษาความรู้จนถึงขีดสุด สุดท้ายสร้างคนกระเบื้องขึ้นมา ก็เพื่อพิสูจน์ให้เจิ้งจวีจง และบรรพจารย์สามลัทธิได้เห็นเรื่องไม่คาดฝันที่น่าหวาดกลัวของ ‘หนึ่งในหมื่น’ นี้
ตัวอย่างในตอนนี้ก็วางอยู่ตรงหน้า พวกท่านทั้งสามคงจะไม่แสร้งทำเป็นว่ามองไม่เห็นหรอกกระมัง
เจิ้งจวีจงมั่นใจเลยว่า หากเผ่ามนุษย์ทั้งไม่อาจหาทางออก แล้วก็ไม่อาจหาทางถอยที่สามารถรักษาตัวรอดอย่างสมบูรณ์ได้เจอ ถ้าอย่างนั้นไม่ช้าก็เร็วสักวันหนึ่งจะต้องถูกตัวเองทำลายลงเป็นแน่
ก็เหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคยอยู่สูงเหนือใครที่ทำลายสรรพชีวิตบนพื้นดินที่ตัวเองสร้างขึ้นมาเองกับมือ
ตัวเองทุกคนที่พวกเราไม่กล้ายอมรับ
ก็คือสัตว์ที่ถูกขังที่ได้แต่เดินวนไปวนมาอยู่ในกรง ก็คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งสูงของตำหนักใหญ่
ผู้ฝึกตนผู้บรรลุมรรคาส่วนใหญ่ไม่รู้สักนิดเลยว่าคำว่าก่อสำนักตั้งตัวเป็นบรรพจารย์ รากฐานของการก่อสำนักนั้นต้องทำอะไร ตั้งตัวเป็นบรรพจารย์ไปเพื่ออะไร
ดวงตาไม่สูงพอ มือก็ย่อมต่ำยิ่งกว่า ถูกกำหนดมาแล้วว่ายื่นมือไปไม่โดน ‘ผ้าม่านผืนนั้น’
ในศาลา คนผู้หนึ่งคิดถึงความเป็นความตายของนครจินชุ่ย
คนผู้หนึ่งพิจารณาถึงความเป็นความตายของสรรพชีวิตทั้งหมด
นี่ก็คงจะเป็นความต่างของพวกเขา
มิน่าเล่านักพรตซุนแห่งอารามเสวียนตูถึงได้ยิ้มเอ่ยประโยคหนึ่งว่า ความต่างระหว่างคนกับคน มากยิ่งกว่าความต่างระหว่างคนกับหมู
เจิ้งจวีจงโบกชายแขนเสื้อเก็บภาพเหตุการณ์ผิดปกติในศาลาส่วนนั้นมา งอสองนิ้วเคาะลงบนเสาศาลาเบาๆ
งานไม้ในโลกมนุษย์ รูบากและเดือยคือกุญแจสำคัญ
อยู่ในบ้าน อยู่ในโรงเรียนด้านนอก ฝึกตนอยู่บนภูเขา
อาศัยสิ่งใดมาเชื่อมโยงใจคน?
เจิ้งจวีจงลุกขึ้นยืน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “พวกเราต่างก็เป็นตะเกียงดวงหนึ่งที่เดี๋ยวสว่างเดี๋ยวหม่นแสงอยู่ในฟ้าดิน”
คำพูดและการกระทำคือรูบากและเดือย จิตใจของมนุษย์ร่วมกันสร้างตะเกียง
สร้างบ้านก่อเรือน รวมกลุ่มกันเพื่อหาความอบอุ่น
จากนั้นเจิ้งจวีจงก็เดินนำออกไปจากศาลาเยว่เหมยก่อน พาชิงเจียเดินเล่นไปในนครจินชุ่ย ฤดูหนาวที่หิมะตกโปรยปราย ตำหนักหอเรือนของนครจินชุ่ยโอ่อ่างามตระการตา สวยงามประดุจดินแดนแห่งแก้วใส
ชิงเจียที่ติดตามอยู่ข้างกายเจิ้งจวีจิงมิอาจร่ายเวทคาถาได้ จึงอำพรางตัวตนไปด้วยเลย ในตำหนักใหญ่ที่ลักษณะคล้ายตำหนักในวังหลวงแห่งหนึ่งมีเด็กสาวที่มวยผมทรงวิญญาณงู นางกำลังเขย่งปลายเท้า เอวบางจึงยืดตาม ในมือถือท่อนไม้ยาวทุบตีแผ่นน้ำแข็ง ยามที่แผ่นน้ำแข็งหล่นกระทบพื้นก็เกิดเสียงดังเหมือนเสียงหยกแตกเป็นระลอก เสียงหัวเราะของพวกเด็กสาวแว่วหวานดุจเสียงสกุณาขับร้อง
เดินออกไปจากตำหนัก เจิ้งจวีจงพาชิงเจียมาถึงลำคลองสายหนึ่งที่โอบล้อมนครจินชุ่ยอยู่ด้านนอก พื้นผิวของลำคลองกว้างขวาง น้ำใต้สะพานเกาะตัวเป็นน้ำแข็ง มีเด็กน้อยหลายคนกำลังวิ่งไล่จับกันอยู่บนแผ่นน้ำแข็งอย่างสนุกสนาน
เจิ้งจวีจงเดินเลียบกระแสน้ำตอนบนของลำคลองไปเรื่อยๆ กระทั่งมาหยุดอยู่ตรงทำนบกั้นริมลำคลอง ใต้ฝ่าเท้าคือก้อนหินลักษณะเรียวยาวที่ถูกก่อขึ้นมา เกาะกลุ่มกันอยู่ทั่วพื้นที่ ระหว่างร่องหินราดน้ำแป้งข้าวเหนียวลงไป จากนั้นใช้ตะปูก้ามหนีบที่ทำจากเหล็กและเดือยยึดไว้ให้แน่นหนา เหมือนเกล็ดปลาที่ทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ แล้วก็เหมือนกระดูกสันหลังที่โค้งโก่งของคนแก่
หลายปีมานี้เจิ้งจวีจงสงสัยใคร่รู้มาโดยตลอดว่า ปีนั้นฉีจิ้งชุนอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู สรุปแล้วเขาทำได้อย่างไร แล้วฉีจิ้งชุนได้เห็นอะไรกันแน่
เรื่องที่ทำให้เจิ้งจวีจงรู้สึกว่าน่าสนใจได้อย่างแท้จริงก็คือ มีคนทำเรื่องที่ไม่ว่าเขาจะทุ่มเทความคิดจิตใจแค่ไหน ก็ยังคงทำไม่สำเร็จได้สำเร็จ เดิมทีเรื่องราวก็มีการแบ่งเล็กใหญ่อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าในใจของเจิ้งจวีจงกลับไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องมีการแบ่งสูงต่ำ หากเงินเกล็ดหิมะของบนภูเขาเหรียญหนึ่ง จู่ๆ ก็หักเป็นเงินของล่างภูเขาได้แค่หนึ่งร้อยตำลึงเงิน สถานการณ์ในใต้หล้าจะเป็นอย่างไร? หรือยกตัวอย่างเช่นอยู่ดีๆ เงินเทพเซียนสามชนิดทุกเหรียญของฟ้าดินก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย เรื่องราวจะพัฒนาไปในทิศทางใด?
ได้ยินว่าตอนที่ชุยฉานเป็นเด็ก ในบ้านมีผู้อาวุโสในตระกูลคนหนึ่งที่ไม่อนุญาตให้เขาอ่านนิยายต่อสู้ในยุทธภพและนิยายรักประโลมโลก
รวมไปถึงไม่อนุญาตให้ชุยฉานเล่นหมากล้อม เพราะรู้สึกว่าคนฉลาดง่ายที่จะหลงใหลอยู่กับสิ่งเหล่านี้ จะเป็นการสิ้นเปลืองเวลาอันดีไปอย่างเปล่าประโยชน์ จะถ่วงรั้งการศึกษาเล่าเรียน ชักนำให้เขาไม่ทำอะไรเป็นการเป็นงาน
ชิงเจียหันหน้าไปมองอาจารย์เจิ้ง ครู่ต่อมานางก็หัวเราะอยู่กับตัวเอง ก่อนจะปลุกความกล้าเปิดปากถามว่า “อาจารย์ ท่านมองเรื่องความรักชายหญิงอย่างไร? ขอข้าละลาบละล้วงถามสักหน่อย อาจารย์เคยมีสตรีที่รักบ้างหรือไม่?”
เจิ้งจวีจงส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม
ชั่วชีวิตนี้ชิงเจียไม่เคยมีคู่บำเพ็ญเพียรมาก่อนจริงๆ และนางก็ไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องหาคนรัก แต่นางกลับมีลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่งที่รักและเอ็นดูมากเป็นพิเศษ นางติดตามเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่เป็นผู้เยาว์ในตระกูลของปีศาจใหญ่กวานเซี่ยง แล้วพวกนางยังเรียกผู้ฝึกตนหญิงที่สนิทคุ้นเคยกันอีกกลุ่มหนึ่งนั่งราชรถที่มีประวัติความเป็นมา เหล่าสตรีที่ต่างก็มีภูมิหลังมีประวัติความเป็นมาทั้งกลุ่มเดินทางขึ้นเหนือไปท่องเที่ยวที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วยกัน ว่ากันว่าไม่อาจขึ้นไปบนหัวกำแพงเมืองได้สำเร็จ แต่กลับได้เห็นอิ่นกวานหนุ่มที่สวมชุดคลุมอาคมสีแดงสดอยู่ไกลๆ ราชรถยังโดนเวทอสนีบทหนึ่งกระแทกใส่ด้วย ไม่ได้ไปเสียเที่ยว
ได้เห็นอิ่นกวานหนุ่มที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งใต้หล้า
ทำให้พวกนางลิงโลดเบิกบานใจกันสุดขีด เกิดความรู้สึกแบบเดียวกัน
แค่สองคำว่า หล่อจริงๆ!
หลังกลับมาถึงบ้านเกิด ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของชิงเจียคนนี้ก็ลุ่มหลงเขาจะเป็นจะตาย ราวกับถูกธาตุมารเข้าแทรกอย่างไรอย่างนั้น
เจิ้งจวีจงพลันเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “เมื่อมนุษย์เรามีรัก ก็เหมือนถือคบเพลิงเดินทวนกระแสลม ต้องร้อนลวกมือแน่นอน”
ชิงเจียไม่กล้าถามอะไรมากความอีก
เจิ้งจวีจงก้าวเดินเนิบช้า ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ท่าเรือฉิงจี ตนเองอีกคนหนึ่งได้เจอกับอู๋ซวงเจี้ยงแห่งตำหนักสุ้ยฉูจริงๆ
นครจักรพรรดิขาวแห่งใต้หล้าไพศาล ตำหนักสุ้ยฉูแห่งใต้หล้ามืดสลัว
ต่างก็เป็นสองสถานที่ที่ผู้คนให้การยอมรับว่าพลังการควบคุมของสำนักแข็งแกร่งที่สุด ผู้ฝึกตนทุกคนต่างก็เคารพนับถือเจ้าสำนักของตัวเองประดุจเทพเจ้า
ตอนนั้นเจิ้งจวีจงพูดเข้าประเด็นโดยตรงว่า ‘เจ้าตำหนักอู๋ไม่ควรมาเร็วขนาดนี้’
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า ‘ขวดหล่นพื้นย่อมแตก ถ้าอย่างนั้นก็อย่าสนใจอย่างอื่นอีกเลย’
แต่ในเมื่ออู๋ซวงเจี้ยงก็มาแล้ว นั่นก็หมายความว่าซิ่วหู่ได้เริ่มรวบแหในบางระดับแล้ว เจิ้งจวีจงก็จะต้องลงมือหนึ่งครั้งตามข้อตกลงก่อนหน้านี้
ตอนนั้นอู๋ซวงเจี้ยงมองม่านฟ้าทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ดวงจันทร์ดวงหนึ่งถูกลากไปยังใต้หล้ามืดสลัว เขาถามว่า ‘ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ตีกัน?’
เจิ้งจวีจงกล่าว ‘เพราะเฉินผิงอันยังอำมหิตไม่มากพอ’
สุดท้ายการเลือกนั้นของเฉินผิงอันก็ไม่ถือว่าทำให้คนอื่นรู้สึกคาดไม่ถึงเกินไปนัก
ลู่เฉินเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิง อีกนิดเดียวก็เกือบจะตายด้วยน้ำมือของคนคนหนึ่งแล้ว
……
ใต้หล้ามืดสลัว ใจกลางของฟ้าดิน ยอดเขารุ่นเยว่ตั้งตระหง่านโดดเด่น
แยกจากกับหลินเจียงเซียนบนเส้นทางภูเขาแล้ว เจ้าแห่งถ้ำปี้เซียวก็ทิ้งชีกู่ไว้คนเดียว ส่วนตัวเองพาหวังหยวนลู่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่เพิ่งจะมากราบภูเขาที่นี่และนักพรตน้อยเซาฮว่อฉายาว่าจินจิ่งออกไปจากยอดเขารุ่นเยว่ด้วยกัน มุ่งหน้าไปยังลานประกอบพิธีกรรมเรียบง่ายในดวงจันทร์เฮ่าไฉ่
ในฐานะของขวัญรับลูกศิษย์ นักพรตเฒ่าเอาตำหนักขนาดจิ๋วเล็กเท่าฝ่ามือหลังหนึ่งโยนให้หวังหยวนลู่ เหลือบตามองนักพรตน้อย “สถานที่แห่งนี้เป็นของหวังหยวนลู่ จินจิ่ง ขอแค่หวังหยวนลู่ไม่มีความเห็นต่าง ในอนาคตเจ้าสามารถฝึกตนหลอมโอสถอยู่ข้างในนี้ได้”
ส่วนเรื่องพิธีกราบอาจารย์นั้นก็ช่างเถิด เพราะหวังหยวนลู่เองก็คงไม่ปรารถนาให้มีพิธีการยิบย่อยนี้เช่นกัน
หวังหยวนลู่ใช้สองมือรับ ‘ซากปรักตำหนักเซียน’ ที่ไม่รู้ประวัติความเป็นมาหลังนั้นเอาไว้ ความล้ำค่าหายากของมันก็ไม่มีอะไรให้ต้องสงสัยเลย
นักพรตน้อยน้อมรับบัญชาจากท่านอาจารย์ ไม่กล้ามีคำบ่นใดๆ ต่างคนต่างก็มีชะตาชีวิตเป็นของตัวเอง ในเมื่ออิจฉาไปก็เท่านั้น แล้วไยต้องอิจฉากันด้วยเล่า…มารดามันเถอะ เห็นแล้วอยากได้จริงๆ
นักพรตผู้เฒ่าไม่สนใจเจ้าคนสองคนที่มีความคิดแตกต่างกันไป เดินเข้าไปในห้องเพียงลำพัง แค่บอกให้จินจิ่งไปเฝ้าดูไฟที่ใช้หลอมโอสถในเตาต่อ แล้วก็ถือโอกาสนี้ให้เขาถ่ายทอดคาถาหลอมโอสถบทหนึ่งให้หวังหยวนลู่ด้วย สอนได้มากน้อยแค่ไหน เรียนได้มากน้อยแค่ไหน ต่างคนต่างอาศัยความสามารถของตัวเอง
หวังหยวนลู่เก็บสมบัติหนักชิ้นนั้นใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ของมาอยู่ในกระเป๋าแล้วถึงจะสบายใจ ครั้นจึงเปิดปากถามว่า “ศิษย์พี่จินจิ่ง ความเป็นมาของวัตถุชิ้นนี้ ลองเล่าให้ข้าฟังหน่อยได้ไหม?”
เห็นแก่คำเรียกขานว่า ‘ศิษย์พี่’ นักพรตน้อยกลอกตามองบนเอ่ยว่า “เคยได้ยินประโยคหนึ่งหรือไม่?”
ผลคือรอฟังอยู่นานก็ยังไม่ได้ยินประโยคถัดไป หวังหยวนลู่อึ้งงันไปทันที
นักพรตน้อยถึงได้เดินอาดๆ ข้ามธรณีประตู ไปนั่งลงบนม้านั่งที่วางไว้ข้างเตาหลอมโอสถ ยิ้มเอ่ยว่า “มีคำพูดโบร่ำโบราณประโยคหนึ่งบอกว่า มังกรซ่อนตัวอยู่ในหลุมน้ำลู่ ไฟช่วยตำหนักไท่หยาง เคยได้ยินไหม?”
หวังหยวนลู่นั่งยองด้านข้าง ส่ายหน้า “ไม่เคยได้ยิน”
นักพรตน้อยหลุดหัวเราะพรืด “กบในกะลา!”
หวังหยวนวลู่หัวเราะร่วนไม่ตอบโต้ ใครเป็นกบในกะลายังบอกได้ยากนะ
นักพรตน้อยเอ่ยต่ออีกว่า “เล่าลือว่าเป็นสิ่งของของหนึ่งในห้าเทพชั้นสูงสุดของบรรพกาล...”
พูดมาถึงตรงนี้ นักพรตน้อยก็รีบหยุดปาก ยื่นนิ้วชี้ไปที่ฝ้าเพดาน “หลุมน้ำลู่แห่งนั้นคือคฤหาสน์หลบร้อนของเทพวารีบรรพกาล แต่ถือว่าเป็นแค่หนึ่งในนั้นเท่านั้น ทว่าตำหนักไท่หยางนี้คืออาณาเขตของใคร เจ้าลองไปเดาดูเอาเองเถอะ ถึงอย่างไรระดับขั้นก็สูงกว่าหลุมน้ำลู่แล้วกัน เล่าลือกันว่าเคยเป็นหนึ่งในสถานที่หลอมกระบี่ ผู้ฝึกตนภายนอกจะไปรู้อะไร ดีแต่เล่าลือกันไปปากต่อปากอย่างส่งเดชเท่านั้น ต่างก็พูดกันว่าถูกโจมตีจนแหลกสลายไปแล้ว แต่อันที่จริงกลับอยู่ที่นายท่านบ้านข้า ถือว่าเป็นสมบัติที่ดีเยี่ยมมากๆ เลยล่ะ สามารถเป็นทรัพย์สมบัติ…ห้าอันดับแรกของนายท่านบ้านข้าได้เลย เจ้าได้ไปครองก็แอบดีใจเงียบๆ ไปเถอะ”
หวังหยวนลู่เอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “ศิษย์พี่จินจิ่งรู้เรื่องเยอะจริงๆ”
——