กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 957.3 มีคนตีกลอง
นักพรตน้อยจ้องเปลวไฟที่อยู่ใต้เตาหลอมโอสถ ดวงหน้าอ่อนเยาว์ถูกเปลวไฟสาดส่องให้ดูมีชีวิตชีวา เขาเบ้ปากพูดว่า “จะมีประโยชน์กะผายลมอะไร”
หวังหยวนลู่เอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ เอ่ยเสียงเบาว่า “ดีกว่าไม่มีประโยชน์กะผายลมมากนัก”
นักพรตน้อยได้ยินก็พลันเดือดดาลอย่างหนัก เข้าใจผิดคิดว่าอีกฝ่ายกำลังพูดจาเหน็บแนมตน เพียงแต่รอกระทั่งเขาหันหน้าไปมองกลับเห็นสีหน้าจริงจังที่คล้ายจะแฝงไว้ด้วยความเสียใจเล็กน้อยของอีกฝ่าย
ใต้หล้ามืดสลัว มณฑลกานโจว ตำหนักสุ้ยฉู
ในหอชมทัศนียภาพของตำหนักที่ตั้งอยู่ตรงจุดสูงสุดซึ่งถูกสร้างไว้กลางภูเขา คนทั้งสี่นัดหมายกันมาดื่มสุรา
ตอนนี้พวกเขากำลังส่งตำราเล่มหนึ่งที่เจ้าตำหนักเขียนขึ้นด้วยตัวเองเวียนกันอ่าน ในตำราบันทึกด้วยตัวอักษรเล็กเท่าหัวแมลงวัน บันทึกขนบธรรมเนียมและผู้คนของที่ใต้หล้าห้าสีไว้อย่างละเอียด
อยู่ที่นี่ทั้งสามารถมองเห็นหอกว้านเชวี่ย แล้วก็สามารถมองเห็นเสากลางกระแสน้ำที่ตั้งอยู่กลางแม่น้ำนอกหอกว้านเชวี่ยซึ่งแท้จริงแล้วคือหินพักมังกรก้อนหนึ่งได้ด้วย
พวกเขาทั้งหลายต่างก็เป็น ‘คนเก่าแก่’ ของหอกว้านเชวี่ย โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยที่ในอดีตไร้ชื่อเสียง เปิดกิจการอยู่ที่ภูเขาห้อยหัวของใต้หล้าไพศาลมาสองสามร้อยปี โรงเตี๊ยมเล็กๆ กลับเป็นสถานที่พยัคฆ์ซ่อนมังกรหมอบ หนึ่งบินทะยานสองเซียนเหริน บวกกับขอบเขตหยกดิบอีกสองคน นอกจากเถ้าแก่หนุ่มแล้ว พ่อครัวและนักการของโรงเตี๊ยมอีกสี่คน ใช้นามแฝงโดยมีแซ่เป็นแซ่เหนียน อีกทั้งยังอยู่ในรูปลักษณ์ของจิตหยินออกเดินทางไกลไปยังภูเขาห้อยหัวของใต้หล้าไพศาลด้วย ‘เด็กสาว’ คนหนึ่งในนั้นที่ใช้นามแฝงว่าเหนียนชวงฮวาก็ยิ่งเป็นบุตรสาวทายาทของเจ้าตำหนักอู๋ซวงเจี้ยง นางมีฉายาว่า ‘เติงจู๋’
ส่วนเถ้าแก่หนุ่มก็คือป๋ายลั่วที่อู๋ซวงเจี้ยงเรียกชื่อเล่นว่าเสี่ยวป๋าย คือบุคคลสำคัญอันดับสองที่มีอำนาจแท้จริงในการจัดการกิจธุระของตำหนักสุ้ยฉู
เวลานี้นอกจากป๋ายลั่วคนเฝ้าคืนแล้ว อีกสี่คนที่เหลือต่างก็อยู่ที่นี่กันหมด
จางหยวนป๋อเซียนเหรินที่มีฉายาว่าต้งจงหลง คือผู้เฒ่าผมขาวที่ปลายจมูกเป็นสีแดงก่ำ เขาโยนตำราที่อ่านจบแล้วเล่มนั้นไปให้กับคู่รักที่กำลังหยอกเย้ากันซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ
นอกจากการฝึกตนแล้ว เวลาอยู่ว่างๆ หากมอบเหล้าให้ผู้เฒ่าคนนี้หนึ่งกา กับแกล้มหนึ่งจาน เขาก็สามารถดื่มได้ตลอดทั้งวัน
ราวกับว่าทุกครั้งที่ยกชามเหล้าดื่มเหล้าหนึ่งอึกก็จะต้องคายกลับไปในชามอีกคำใหญ่
เขาที่นั่งบนโต๊ะสุราสูดเหล้าดังซู้ด หรี่ตาลงด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้ม ดื่มเหล้าลงคอแล้วก็ตัวสั่นเยือก
สถานที่ประกอบพิธีกรรมของจางหยวนป๋อในอดีตก็คือบนหินพักมังกรก้อนนั้น ภายหลังมีผู้ฝึกกระบี่เฉิงเฉวียนมาอยู่ จางหยวนป๋อจึงเป็นฝ่ายยกถิ่นของตัวเองให้อีกฝ่าย ไม่ต้องเปิดการประชุมในศาลบรรพจารย์ด้วยซ้ำ หากเรื่องหยุมหยิมแค่นี้ก็ยังต้องรบกวนให้เจ้าตำหนักช่วยตัดสินใจให้ แพร่ออกไปแล้วจะไม่ถูกคนนอกหัวเราะจนฟันร่วงเลยหรอกหรือ
อวี๋โฉว ซานซ่างจวินยื่นมือไปรับสมุดเล่มนั้นมา เปิดตำราอย่างว่องไวราวกับบินด้วยสีหน้าจริงจัง เสียงเปิดหน้าหนังสือดังพั่บๆ แม้ว่าจะอ่านได้อย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่กล้าข้ามตัวอักษรไปแม้แต่ตัวเดียว
เพราะถึงอย่างไรก็เป็นตำราที่เจ้าตำหนักเขียนขึ้นเองกับมือ
ตอนนั้นเต้ากวานสามพันคนของใต้หล้ามืดสลัวเข้าไปอยู่ใต้หล้าห้าสี ในนามแล้วป๋ายอวี้จิงมีคนแค่พันกว่าคนเท่านั้น ยังขาดจากจำนวนครึ่งหนึ่งอีกถึงสี่ร้อยกว่าคน
แต่ในความเป็นจริงแล้วเทียนจวินเซียนกวานของป๋ายอวี้จิงที่ไปแตกกิ่งก้านสาขาอยู่ข้างนอกมีอยู่ไม่น้อย ความสัมพันธ์ที่โยงใยกันหลายชั้น อันที่จริงหากจะคำนวณกันอย่างคร่าวๆ เต้ากวานของป๋ายอวี้จิงก็ยังได้ส่วนแบ่งรายชื่อมาถึงครึ่งหนึ่ง
คนรักบนภูเขาของชายฉกรรจ์คนนี้มีนามว่าเซี่ยชุนเถียว เรือนกายของสตรีแข็งแกร่งกำยำ บุคลิกท่าทาง…ไม่เหมือนเทพธิดาอย่างยิ่ง นางชอบดื่มเหล้าฤทธิ์แรง พูดจาทะลึ่งสัปดน
บนศีรษะของเซี่ยชุนเถียวปักปิ่นไผ่สีเขียวมรกต กำลังดื่มเหล้าเงียบๆ
ส่วนคนรักที่อยู่ข้างกายก็คือคนที่ชอบมือไม้ยุ่มย่าม ราวกับผีบ้าตัณหากลับชาติมาเกิด
สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว การตีกันบนเตียงประเภทนั้นจะไปมีความหมายกะผายลมอะไร แต่ในเมื่อเป็นคนรักกัน ก็จะเล่นพลิกผ้าปูเตียงกับเขาไปแล้วกัน
ชายฉกรรจ์ยื่นส่งตำราเล่มนั้นให้กับคนรักที่อยู่ข้างกาย ยังไม่ลืมบีบข้อมือขาวนวลของสตรีออกเรือนแล้ว ผลคือถูกเซี่ยชุนเถียวที่มือหนึ่งรับตำรามา อีกมือหนึ่งตบเข้าที่ศีรษะของอีกฝ่าย ตบจนชายฉกรรจ์เกือบจะร่างหมุนติ้วอยู่ที่เดิม
จางหยวนป๋อขมวดคิ้วกล่าว “ทำไมในช่วงเวลาเช่นนี้ถึงมีอันดับรายชื่อของสิบคนในใต้หล้าโผล่มากะทันหัน เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ตั้งเจ็ดแปดปี”
อวี๋โฉวหัวเราะร่วน “อยากจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ ถึงอย่างไรข้าผู้อาวุโสก็ไม่ได้มีชื่อติดบนกระดาน ก็ไม่เกี่ยวห่าเหวอะไรกับข้าแล้ว”
เซี่ยชุนเถียวอ่านตำราพลางเอ่ยว่า “ประเด็นสำคัญคือทางฝั่งของพรรคเซียนจั้งป่าวประกาศอย่างชัดเจนว่ารายชื่อนี้ไม่ใช่ฝีมือของพวกเรา นี่ก็ชวนให้ขบคิดมากแล้ว”
‘เด็กสาว’ ที่ใช้นามแฝงว่าเหนียนชวงฮวา ในฐานะที่นางเป็นบุตรสาวของอู๋ซวงเจี้ยง ชื่อจริงคืออู๋ฮุ่ย เพียงแต่ว่าชื่อนี้ดูเหมือนว่าจะตั้งอย่างขาดทุนอยู่สักหน่อย
เพราะเสียงที่พ้องกับชื่อนี้ไม่ค่อยดีเท่าใดนัก อูฮุ่ย (สิ่งสกปรก) อู้ฮุ่ย (เข้าใจผิด) อู่หุ่ย (ไม่เสียใจ) …
ตอนนั้นที่ปล่อยจิตหยินเดินทางไกล พวกเขาต้องข้ามใต้หล้าถึงสองแห่ง ล้วนไม่ใช่จิตวิญญาณที่สมบูรณ์แบบ ร่างจริงและจิตหยางต่างก็อยู่ที่ตำหนักสุ้ยฉู
แน่นอนว่าถูกเจ้าตำหนักอู๋ซวงเจี้ยงใช้เวทลับบางอย่างช่วยพิทักษ์ปกป้อง หาไม่แล้วด้วยขอบเขตของพวกเขา จิตหยินก็ไม่มีทางอยู่ที่ภูเขาห้อยหัวได้นานขนาดนั้น อีกทั้งต่างคนต่างยังสามารถฝึกตนต่อไปได้
ผู้ฝึกกระบี่หญิงอายุน้อยห้อยกลองป๋องแป๋งขนาดเล็กจิ๋วไว้ที่เอว หน้ากลองวาดภาพสีด้วยฝีมือประณีต หนังกลองเย็บมาจากหนังมังกร ด้ามไม้ท้อห้อยอัญมณีแก้วใสเม็ดหนึ่งที่ผูกไว้ด้วยด้ายสีแดง
ด้วยตบะของเด็กสาว นี่ก็คือวัตถุแห่งชะตาชีวิตอีกชิ้นหนึ่งที่ถูกนางหล่อหลอม ถึงกับมิอาจบดบังแสงอัญมณีที่ส่องประกายเจิดจ้าเอาไว้ได้ทั้งหมด นี่แสดงให้เห็นว่ากลองเล็กชิ้นนี้ไม่เพียงแต่เป็นสมบัติหนักระดับขั้นของอาวุธเซียน อีกทั้งในบรรดาอาวุธเซียนก็ถูกกำหนดมาแล้วว่ามันต้องเป็นของชั้นสูง ทางฝั่งของตำหนักสุ้ยฉูนี้ คืนก่อนวันสิ้นปีของทุกๆ ปีจะมีประเพณีเก่าแก่ที่จะต้องจุดตะเกียงทุกดวง เทียนทุกเล่มให้สว่างไสวและตีกลองเพื่อขับไล่ผีแห่งโรคระบาด คนที่รับผิดชอบจัดการสองเรื่องนี้ก็คืออู๋ฮุ่ย
ตอนที่อู๋ฮุ่ยอยู่ในโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย ใช้นามแฝงว่าเหนียนชวงฮวา
เพราะตอนที่อายุน้อย มีครั้งหนึ่งที่นางเฝ้าคืนอยู่กับบิดา
อู๋ซวงเจี้ยงชอบอ่านหนังสือเบ็ดเตล็ด โดยเฉพาะอย่างยิ่งชอบอ่านบันทึกของนักประพันธ์ที่เกี่ยวกับเกร็ดประวัติต่างๆ อู๋ฮุ่ยจึงเคยได้ยินบิดาพูดถึงประโยคหนึ่งในหนังสือ
คนในหน้าต่างเขียนอักษรแปะดอกไม้บนกระดาษหน้าต่าง ข้าที่อยู่นอกหน้าต่างเห็นแล้วรู้สึกว่างามยิ่ง
บางทีอาจอ่านเจอจากในตำรา หรือไม่ก็เกิดแรงบันดาลใจจึงเอ่ยขึ้นมา ใครจะรู้เล่า
อู๋ฮุ่ยกล่าว “วันหน้าให้ข้าถามบิดาดีไหม?”
อวี๋โฉวรีบส่ายหน้า “อู๋ฮุ่ย ควบคุมตัวเอง ต้องควบคุมตัวเองนะ อย่าเดือดร้อนให้พวกเราต้องโดนเจ้าตำหนักอบรมเด็ดขาด”
สามร้อยปีที่ผ่านมา คนสิบคนของใต้หล้ามืดสลัวมีการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก ทุกคนล้วนเป็นคนแก่แทบทั้งสิ้น
ทางฝั่งของป๋ายอวี้จิง คนที่ติดสามอันดับแรก ไม่มีความเห็นต่างใดๆ เจ้าลัทธิใหญ่โค่วหมิง เจ้าลัทธิรองอวี๋โต้ว เจ้าลัทธิสามลู่เฉิน
อันดับที่สี่คือเจินเหรินผู้เฒ่าเจ้าประมุขของตำหนักหัวหยางแห่งภูเขาตี้เฝ่ย เกากูผู้มีฉายาว่า ‘จวี้เยว่’
อันดับที่ห้า ซุนไหวจงแห่งอารามเสวียนตู อันดับที่หก หลินเจียงเซียนแห่งยาซาน คือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนเดียวที่ติดอันดับ
อีกไม่กี่คนต่อจากนั้นก็คือคนใบหน้าเก่าๆ ที่แต่ละคนชื่อเสียงและฉายาเหมือนเสียงฟ้าผ่าที่ดังอยู่ข้างหู
คนอื่นๆ ก็เหมือนอย่างอู๋ซวงเจี้ยงแห่งตำหนักสุ้ยฉู บรรพจารย์หญิงสองคนของภูเขาเหลี่ยงจิง เจาเกอที่มีฉายาว่า ‘ฟู่คาน’ เนื่องจากพวกเขาต่างก็ฝึกตนกันมานานเกินไป เคยขึ้นกระดาน แต่ก็เคยหลุดออกจากอันดับสิบคนแห่งใต้หล้าเช่นกัน
ส่วนอู๋โจว วันเวลาแห่งการปิดด่านยาวนานยิ่งกว่า นักพรตหญิงที่เป็นผู้ฝึกตนอิสระซึ่งมีฉายาว่า ‘ไท่อิน’ ผู้นี้ เดิมทีก็ใกล้จะถูกคนทั้งใต้หล้ามืดสลัวลืมไปสิ้นแล้ว
เกี่ยวกับสิบคนของใต้หล้าในอดีต นอกจากสี่คนแล้ว อันดับรายชื่อของแต่ละคนก็มีสูงต่ำ ต่างก็ทำให้พวกคนดูถกเถียงกันไม่หยุดปาก และสี่คนนี้ แน่นอนว่าต้องเป็นเจ้าลัทธิทั้งสามคนของป๋ายอวี้จิง บวกกับนักพรตซุนแห่งอารามเสวียนตู
ทว่าคราวนี้ไม่รู้ว่าใครที่ทำอันดับรายชื่อสิบอันดับแห่งใต้หล้าใหม่ล่าสุดนี้ออกมา
เปี่ยมไปด้วยความลี้ลับ ถึงขั้นที่ว่ายังเป็น…จิตสังหารที่เป็นดั่งคลื่นใต้น้ำ!
คนที่อยู่ในอันดับแรกของกระดานก็คือเจ้าลัทธิรองอวี๋โต้วแห่งป๋ายอวี้จิง
อันดับที่สอง เจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิง ลู่เฉินเจ้านครหนันหัว
อันดับที่สาม คือเจ้าแห่งถ้ำปี้เซียวที่ตอนนี้พื้นที่ประกอบพิธีกรรมอยู่ในดวงจันทร์เฮ่าไฉ่ชั่วคราว
อันดับที่สี่ คือผู้ฝึกตนอิสระที่สำมะโนครัวอยู่ที่ยงโจว คืออาจารย์แห่งการหล่อหลอม นักพรตหญิงอู๋โจว
อันดับที่ห้า ซุนไหวจงเจ้าอารามเสวียนตูแห่งฉีโจว
อันดับที่หก หลินเจียงเซียนแห่งยาซาน ราชวงศ์ชื่อจินหรู่โจว บุคคลอันดับหนึ่งในวิถีวรยุทธของใต้หล้า
อันดับที่เจ็ด อู๋ซวงเจี้ยงแห่งตำหนักสุ้ยฉู
อันดับที่แปด เกากูจากตำหนักหัวหยางภูเขาตี้เฝ่ยแห่งโยวโจว ปรมาจารย์ด้านการหลอมโอสถอันดับหนึ่งในใต้หล้า
อันดับที่เก้า เหยาชิงเสนาบดีรูปงามของราชวงศ์ชิงเสินปิงโจว
อันดับที่สิบ คือสองคนที่อยู่ในอันดับเดียวกัน หวังซุน นักพรตหญิงฉายา ‘คงซาน’ แห่งอารามเสวียนตู ซินขู่ ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวแห่งยอดเขารุ่นเยว่
ตัวสำรองอีกสิบคนที่เหลือ หากเปรียบเทียบกับสิบคนแรกกลับทำให้พวกผู้ชมไม่รู้สึกสนใจสักเท่าไร
อันดับแรก รายชื่อสิบคนที่ติดอันดับนี้กลับไม่มีโค่วหมิงเจ้าลัทธิใหญ่แห่งป๋ายอวี้จิงผู้นั้น!
นี่เป็นข่าวที่มากพอจะสร้างความตะลึงพรึงเพริดได้แล้ว บอกว่าฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ ก็ไม่เกินจริงแม้แต่น้อย
รองลงมาคืออู๋โจวที่เผยกายบนโลกอีกครั้ง เท่ากับว่ายืนยันในขอบเขตที่สิบสี่ของนาง นางเบียดตำแหน่งของเกากู ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ แต่เหตุใดเกากูถึงไม่ได้ตามหลังนางมาติดๆ หรือว่าซุนไหวจงแห่งอารามเสวียนตูคือบุคคลอันดับห้าที่ฟ้าผ่าก็ไม่สะเทือนคือกฎเหล็กข้อหนึ่งของใต้หล้ามืดสลัวจริงๆ? หรือจะบอกว่า…อันที่จริงเจ้าอารามซุนก็ได้เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่แล้วเหมือนกัน? สายเซียนกระบี่ของลัทธิเต๋าแห่งอารามเสวียนตู ซุนไหวจงคือ…ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่บริสุทธิ์อย่างนั้นหรือ?!
นอกจากนี้ ทางฝั่งของอารามเสวียนตู นอกจากซุนไหวจงแล้ว ทุกวันนี้ยังมีศิษย์พี่หญิงหวังซุนเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง และบุญคุณความแค้นระหว่างอารามเสวียนตูกับป๋ายอวี้จิงนั้น ใครบ้างที่ไม่รู้กันอยู่ในใจ? หรือว่า…
เซี่ยชุนเถียวเตรียมจะมอบตำราเล่มนั้นคืนให้กับอู๋ฮุ่ย ฝ่ายหลังกลับส่ายหน้า “พวกเจ้าเก็บเอาไว้เองเถอะ”
จางหยวนป๋อนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงกุมคางของตัวเอง เอ่ยอย่างสงสัยใคร่รู้ว่า “ปีนั้นกุ้ยฮูหยินเปลี่ยนใจกะทันหัน ไม่ได้ติดตามพวกเราไปที่ใต้หล้ามืดสลัว เป็นเพราะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของทางฝั่งนี้นานแล้วใช่หรือไม่?”
อวี๋โฉวนึกถึงกุ้ยฮูหยินที่มีบุคลิกสุภาพเรียบร้อยผู้นั้น พอเอามาเทียบกับความเย้ายวนเปี่ยมเสน่ห์ของสตรีบ้านตนแล้วก็คือเสน่ห์สองอย่างที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ชายฉกรรจ์หัวเราะหึหึอย่างอดไม่อยู่ ผลคือโดนเซี่ยชุนเถียวศอกใส่ทันที แรงจนหน้าผากของชายฉกรรจ์มีเหงื่อเย็นๆ ผุดออกมา
เซี่ยชุนเถียวเอ่ยปลงอนิจจังอย่างไม่ทราบสาเหตุ “ยังไม่อยากเชื่อเลยว่า เด็กหนุ่มคนนั้นจะสามารถเป็นอิ่นกวาน สามารถแกะสลักตัวอักษรลงบนหัวกำแพงเมืองได้”
ดวงตาที่ใสกระจ่างของเด็กหนุ่มที่สะพายกระบี่ในปีนั้นทำให้คนจดจำได้อย่างลึกซึ้งจริงๆ
อดีตเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ อิ่นกวานหนุ่มในภายหลัง คือลูกค้าเก่าของโรงเตี๊ยมแล้ว
สองครั้งที่เดินทางไปเยือนภูเขาห้อยหัวต่างก็มาเข้าพักที่โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยซึ่งตั้งอยู่สุดตรอกของตรอกเล็ก ให้การสนับสนุนกันดีมาก
จางหยวนป๋อพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม มองอู๋ฮุ่ยแวบหนึ่ง “ข้ารู้สึกว่าต่งฮว่าฝู มองดูแล้วไม่เลว”
อู๋ฮุ่ยทำเป็นว่าฟังความนัยในประโยคนี้ของอีกฝ่ายไม่ออก
ปีนั้นภูเขาห้อยหัวได้กลับคืนสู่ใต้หล้ามืดสลัว ต่งฮว่าฝูเคยมาเยือนตำหนักสุ้ยฉูพร้อมกับเยี่ยนจั๋วและเฉิงเฉวียน มาเที่ยวชมทัศนียภาพของตำหนักสุ้ยฉูด้วยกัน ทัศนียภาพที่งดงามยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ ไม่เดินดูก็มาเสียเที่ยวเปล่าน่ะสิ ไม่ต้องให้เขาจ่ายเงินสักเหรียญเกล็ดหิมะเสียหน่อย ระหว่างนั้นพวกเขาก็ได้เจอกับ ‘นังหนู’ ที่มีฉายาว่าเติงจู๋ผู้นี้ ฝึกตนประสบความสำเร็จ มองดูแล้วอายุไม่มากก็เท่านั้น แล้วยังพูดจาเหน็บแนมพวกเขาสองสามประโยค
น่าเสียดายที่ดันมาเจอกับบรรพจารย์
อู๋ฮุ่ยด่าต่งถ่านดำผู้นั้นไม่ชนะจริงๆ
การโต้เถียงกลัวว่าอีกฝ่ายจะฟังไม่เข้าใจที่สุดว่าพูดถึงเรื่องอะไร
โชคดีที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ได้ลงไม้ลงมือ แค่นัดต่อสู้กันเท่านั้น
นางรังเกียจที่ขอบเขตของคนต่างถิ่นทั้งสองไม่สูง อีกทั้งยังเป็นแขกของตำหนักสุ้ยฉู จึงไม่ถือสาพวกเขา
แต่จนถึงทุกวันนี้อู๋ฮุ่ยก็ยังไม่เข้าใจว่า นั่นเป็นการต่อสู้ที่ต่งฮว่าฝูช่วยนัดไว้แทนเฉินผิงอัน ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาต่งฮว่าฝูเลย
บนหินพักมังกร อู๋ซวงเจี้ยงมาเยือนที่แห่งนี้ด้วยตัวเอง
อู๋ซวงเจี้ยงพูดคุยเรื่องการฝึกตนกับน่าหลันเซาเหว่ยที่มีใบหน้าเป็นเด็กหนุ่มสองสามประโยค สุดท้ายก็เหลือแค่เฉิงเฉวียนที่เดินเล่นริมน้ำไปเป็นเพื่อนเจ้าตำหนัก
ในฐานะผู้ที่นำพาผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่หกสิบคนออกเดินทางไกล ก่อกำเนิดเฒ่าเฉิงเฉวียนสะพายกล่องกระบี่ที่ห่อด้วยผ้าฝ้ายไว้ใบหนึ่ง บรรจุตะเกียงแห่งชะตาชีวิตของน่าหลันเซาเหว่ยเอาไว้หนึ่งดวง
เฉิงเฉวียนได้อยู่ในทำเนียบขุนเขาสายน้ำของศาลบรรพจารย์ตำหนักสุ้ยฉู แต่กลับไม่ได้รับธรรมโองการ ไม่เคยได้รับทำเนียบเต๋าอย่างเป็นทางการ นี่หมายความว่าจนถึงทุกวันนี้ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าก็ยังไม่ใช่เต้ากวาน
หินพักมังกรใต้ฝ่าเท้าของทั้งสองเวลานี้ เดิมทีเคลื่อนย้ายมาตามกระแสน้ำ จะไม่หยั่งรากปักหลักอยู่ที่ใดที่หนึ่งเป็นเวลานานเกินไป แต่กลับถูกอู๋ซวงเจี้ยงร่ายตราผนึกหนาชั้นไว้ด้วยตัวเอง ฝืนบังคับกักมันไว้ที่นี่
อันที่จริงนอกจากมูลค่าควรเมืองของตัวหินพักมังกรเองแล้ว การกระทำเช่นนี้ของอู๋ซวงเจี้ยงก็ไม่คุ้มค่าอย่างยิ่ง ถือเป็นการค้าขายที่ขาดทุนครั้งหนึ่ง หากเป็นสำนักหรืออารามเต๋าแห่งอื่น บางทีอาจจะขุดเจาะคูคลองโอบล้อมไว้เส้นหนึ่ง ให้หินพักมังกรที่ไหลไปตามสายน้ำเพิ่มพูนโชคชะตาน้ำให้อย่างต่อเนื่อง นี่ก็จะเป็นผลประโยชน์ก้อนหนึ่งที่ต้นกำเนิดน้ำไหลยาวได้แล้ว เพียงแต่ว่ารากฐานของตำหนักสุ้ยฉูลึกล้ำ การกระทำที่เป็นการย่ำยีทรัพยากรสวรรค์ของอู๋ซวงเจี้ยงมีถมเถไป เพิ่มเรื่องนี้มาอีกเรื่องก็ไม่เห็นจะเป็นไร
ในประวัติศาสตร์ หินพักมังกรมีทั้งหมดสี่แห่ง แห่งหนึ่งถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิงท่ามกลางสงครามของศึกน้ำและไฟ อีกแห่งหนึ่งถูกเซียนเหรินบรรพกาลคนหนึ่งหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต นอกจากนี้ก็คือหินยักษ์ที่อยู่กลางทะเลซึ่งถูกตั้นตั้นฮูหยินแห่งหลุมน้ำลู่มองเป็นของรักของหวงของตัวเองแล้ว สุดท้ายก็คือพื้นที่ประกอบพิธีกรรมของตำหนักสุ้ยฉูแห่งนี้
เรื่องเล่าลือก็เป็นได้แค่เรื่องเล่าลือเท่านั้น
——