กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 958.1 บนยอดเขาชิงผิง
วันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิของปี
มีความหมายว่าเป็นจุดเริ่มต้นของหมื่นสรรพสิ่ง ทุกสิ่งอย่างล้วน
ฟื้นคืนชีพได้อีกหน
รอกระทั่งเฉินผิงอันกลับจากสำ นักเจี๋ยชี่บนยอดเขาภูเขาสุ้ยซาน
มายังหอสยบปีศาจของใบถงทวีปก็ไม่เห็นเงาร่างของปรมาจารย์มหา
ปราชญ์และนักพรตฉุนหยางแล้ว
เหลือเพียงเสี่ยวโม่ที่สวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียว มีชิงถงที่สวมชุด
คลุมอาคมสีมรกตยืนเป็นเพื่อนอยู่ในระเบียงชั้นบนสุดของหอเรือน
เฉินผิงอันเอากระบี่เย่โหยวกลับมาสะพายไว้บนหลังอีกครั้ง คิดว่า
จะเดินทางกลับแล้ว การออกเดินทางไกลครั้งนี้ นับตั้งแต่พาเสี่ยวโม่ออก
มาจากภูเขาเซียนตูด้วยกัน เข้ามาในหอสยบปีศาจ เดินเข้าไปในฟ้าดิน
มายาสิบสองแห่งซึ่งชิงถงจัดวางไว้ด้วยตัวเองเพราะได้รับคำสั่งอย่างลับๆ
จากโจวจื่อ กระทั่งใช้จิตท่องไปตามศาลเทพแห่งภูเขาสายน้ำหลายสิบ
แห่งในความฝัน อยู่ที่ศาลเทพลำคลองเฝินเหอของอาณาเขตแคว้น
เมิ่งเหลียงก็ได้เจอลู่เฉินอีกครั้ง ภายหลังเดินขึ้นไปบนภูเขาโหลวซานของ
พรรคหวงเหลียงด้วยกัน…เมื่อเทียบกับการเดินทางไกลทั้งหลายของตน
ในอดีตแล้ว หากวัดกันตามการไหลหายไปของแม่น้ำแห่งกาลเวลาจริงๆอันที่จริงเวลาที่เสียไปก็ไม่ถือว่านานนัก แต่หากนับรวมกับระยะทาง
ขุนเขาสายน้ำที่เดินทางอยู่บนม้วนภาพทั้งสิบสองภาพ บวกกับระยะทาง
บนเส้นทางหัวใจครั้งนี้ ก็เหมือนว่าอยู่กันคนละโลกเลยจริงๆ
ชิงถงเห็นอิ่นกวานหนุ่มที่มีท่าทางเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง
ตะลอนๆ ก็ทำท่าจะพูดแต่ไม่พูด แน่นอนว่าเขาอยากเข้าร่วมงานพิธี
เฉลิมฉลองของสำ นักเบื้องล่างที่ภูเขาเซียนตู เพียงแต่ไม่รู้ว่าควรจะ
เปิดปากอย่างไร อันที่จริงชิงถงตัดสินใจแล้วว่าจะต้องกอดขาใหญ่ของ
ภูเขาเซียนตูนี้เอาไว้ให้ได้ คืนนี้จะไม่ยอมปล่อยให้เฉินผิงอันหนีไปแบบนี้
แน่นอน
บัณฑิตคนหนึ่งที่สามารถตีกลองรับวสันต์แทนหลี่เซิ่งซึ่งไม่ได้ตี
มานานหลายพันปี ในสายตาของชิงถงแล้ว จะใช่ลูกศิษย์คนสุดท้ายของ
สายเหวินเซิ่งหรือไม่ อันที่จริงไม่ได้สำ คัญขนาดนั้นแล้ว
ชิงถงถึงขั้นเดาว่า ขอแค่ตัวเฉินผิงอันเองยินดี มานะหมั่นเพียรเดิน
ไปเบื้องหน้าตามทิศทางนี้ ในอนาคตรับหน้าที่เป็นรองเจ้าลัทธิของศาล
บุ๋นก็จะถือเป็นของในกระเป๋าของคนผู้นี้แล้วหรือไม่?
เฉินผิงอันมองชิงถงที่พยายามจะเปิดปากพูดอยู่หลายครั้งแต่ก็
ชะงักไปก่อน จึงยิ้มถามว่า “ผู้อาวุโสชิงถงมีอะไรจะพูดหรือ?”
ชิงถงยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน เริ่มถอดใจแล้ว
อีกฝ่ายไม่เรียกชื่อตรงๆ แล้ว ถึงขั้นที่ว่าไม่เรียกสหายชิงถงอะไร
ด้วย เฮอะๆ ผู้อาวุโสชิงถง มองดูเหมือนสนิทสนม แต่แท้จริงแล้วกลับห่างเหินกันนัก
วางท่าชัดเจนว่าข้ามแม่น้ำแล้วจะรื้อสะพาน คิดจะขีดเส้นแบ่ง
ความสัมพันธ์กับหอสยบปีศาจของตนอย่างชัดเจน
แล้วก็เพราะว่าเดินทางไกลร่วมกับเฉินผิงอัน อยู่ร่วมกับอิ่นกวาน
หนุ่มที่ตนเองเคยเข้าใจผิดคิดว่าอีกฝ่ายคือเจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิ
ขาวมานานมากพอ ชิงถงรู้สึกว่าตัวเองมีความสามารถในการเห็นเพียง
เล็กน้อยก็อนุมานไปได้ไกลอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ในเรื่องของการไขคำ
ปริศนา พูดภาษาธรรม มองสีหน้าฟังคำพูด ก็เหมือนคนที่ฟังแค่
เสียงดนตรีก็รู้ความหมายลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่อย่างมากแล้ว
เสี่ยวโม่รำคาญความอิดออดของชิงถง กลัวว่าอีกฝ่ายจะถ่วงรั้งการ
เดินทางของคุณชายบ้านตนจึงพูดโพล่งออกมาว่า “คุณชาย ชิงถงอยาก
เข้าร่วมงานพิธีเฉลิมฉลองของสำ นักเบื้องล่างที่ภูเขาเซียนตู”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เรื่องเล็กน้อย เรื่องเล็กน้อย แค่เข้าร่วมงานพิธี
เท่านั้น สหายชิงถงอย่าได้คิดมาก ข้าก็แค่รู้สึกว่าภูเขาเซียนตูไม่ได้
ส่งเทียบเชิญมาให้ ตามมารยาทแล้วไม่เหมาะสม กังวลว่าจะเป็นการ
ละเลยสหายชิงถงก็เท่านั้น”
ชิงถงรีบกระแอมติดๆ กัน บอกเป็นนัยกับเสี่ยวโม่ว่าในเมื่อพูดแล้วก็
พูดให้หมดไปเลย อย่ามัวอืดอาดชักช้าอยู่
ตนปล่อยดวงจิตเดินทางไกลไปตามภูเขาสายน้ำครั้งนี้ ต่อให้
ไม่มีความดีก็มีความชอบ ไม่ว่าอย่างไรภูเขาเซียนตูของพวกเจ้าก็น่าจะยกตำแหน่ง ‘อันดับหนึ่ง’ ให้ข้า
อีกอย่างผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง แล้ว
นับประสาอะไรกับที่ยังถือว่าเป็นเจ้าบ้านของใบถงทวีปครึ่งตัว ถึงกับต้อง
ขอร้องตำแหน่งผู้ถวายงาน เค่อชิงของสำ นักมาจากคนอื่น หากแพร่ออก
ไปก็จะกลายเป็นเรื่องตลกใหญ่เทียมฟ้าแล้ว
เสี่ยวโม่กล่าว “ชิงถงยังอยากจะรับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานหรือไม่ก็
เค่อชิงที่ได้รับการบันทึกชื่อของสำ นักกระบี่ชิงผิงด้วย เมื่อครู่นี้คุยกัน เขา
ก็อยากให้ข้าช่วยพูดถึงเขาดีๆ สักสองสามประโยค ข้าบอกไปว่า
เรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันกับการเพิ่มเก้าอี้ในศาลบรรพจารย์เช่นนี้ ตัวข้าเองยัง
เป็นได้แค่ผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาลั่วพั่วเท่านั้น แน่นอน
ว่าไม่อาจตัดสินใจได้ จะสำ เร็จหรือไม่ก็ยังต้องขอให้คุณชายตัดสินใจ
ด้วยตัวเอง แล้วนับประสาอะไรกับที่ภูเขาลั่วพั่วของพวกเราก็ไม่ใช่พวก
เผด็จการที่ทำอะไรไม่ฟังเสียงผู้อื่น คิดดูแล้วระดับความยากต้องมี
ไม่น้อย”
เฉินผิงอันเข้าใจได้ในฉับพลัน ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้ากล่าวว่า
“ชิงถง เจ้ายินดีลดตัวมาเข้าร่วมงานพิธีด้วยตัวเอง แล้วยังอยากจะเป็นผู้
ถวายงานหรือเค่อชิงที่ได้รับการบันทึกชื่อ แน่นอนว่าภูเขาเซียนตูต้องรู้สึก
เป็นเกียรติอย่างยิ่ง เป็นเรื่องดีที่ปรารถนาจะได้มาครอง แต่เสี่ยวโม่ไม่ได้
จงใจหลอกลวงเจ้าจริงๆ หนึ่งเพราะกิจธุระของสำ นักเบื้องล่าง ข้ากับ
ชุยตงซานผู้เป็นลูกศิษย์ได้มีข้อตกลงร่วมกันนานแล้วว่า ข้าจะไม่ยื่นมือเข้าแทรกเด็ดขาด จะยกอำนาจทั้งหมดให้ชุยตงซานเป็นคนจัดการ จึง
ไม่อาจละเมิดกฎทำลายกฎเพื่อใครได้จริงๆ อีกอย่างต่อให้เป็นสำ นัก
เบื้องบนอย่างภูเขาลั่วพั่ว การจัดการประชุมในศาลบรรพจารย์ก็ต้องโทษ
ที่ข้าพึ่งพาไม่ได้ หลายปีที่เป็นเจ้าขุนเขามานี้ เพราะทำตัวเป็นเถ้าแก่
สะบัดมือทิ้งร้านที่หายตัวไม่เห็นแม้เงามาจนชินแล้ว ตลอดทั้งปีมักจะ
ไม่ค่อยได้อยู่บนภูเขา ทุกคนจึงมีความไม่พอใจ หลายๆ เรื่อง พวกเขายัง
จงใจใส่อารมณ์เอากับข้า พูดขัดคอข้าด้วยซ้ำ ”
เสี่ยวโม่รีบพูดตามทันที “ดังนั้นก่อนหน้านี้ข้าเห็นว่าชิงถงคล้ายจะ
ไม่ค่อยเชื่อก็เลยยกตัวอย่างให้ฟังว่า ปีนั้นลูกศิษย์ที่เป็นผู้ภาคภูมิใจของ
คุณชาย หรือก็คือชุยเซียนซือเจ้าสำ นักคนแรกของภูเขาเซียนตูในทุกวันนี้
เคยรับรองและแนะนำอดีตเจ้าสำ นักเจียงให้เข้ามาเป็นผู้ถวายงานอันดับ
หนึ่งของภูเขาลั่วพั่ว ก็มีคำวิพากษ์วิจารณ์ไม่น้อยเหมือนกัน ขั้นตอน
ระหว่างนั้นก็ค่อนข้างมีอุปสรรค ฟังจากที่ผู้พิทักษ์โจวเล่า ตอนนั้นในศาล
บรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อถึงกับทะเลาะกันด้วย เสียงดังจนแผ่นฟ้าแทบ
สะเทือน กว่าจะได้เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของภูเขาลั่วพั่วได้ก็ไม่ง่าย
เลย”
ชิงถงตีหน้าเคร่งเอ่ยว่า “หากลำบากใจจริงๆ ก็ถือเสียว่าข้าไม่เคย
พูดเรื่องนี้”
อยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ ข้าไม่คิดจะปรนนิบัติพวกเจ้าหรอกนะใบหน้าของเฉินผิงอันประดับยิ้มน้อยๆ คิดจะแข็งข้อกับข้าหรือ ข้า
ไม่ตามใจเจ้าหรอก
เสี่ยวโม่ใช้เสียงในใจเอ่ยเตือนว่า “ฉวยโอกาสตอนที่คุณชาย
เดินทางไกลเมื่อครู่นี้ ชิงถงขนเอาของสะสมที่เก็บไว้เป็นอย่างดีหลายปีใน
หลายห้องออกมาจนหมด ดูจากท่าทางแล้วน่าจะเอาไปใช้เป็นของขวัญ
แสดงความยินดีในงานพิธี”
เฉินผิงอันถลึงตาใส่เสี่ยวโม่ เรื่องแบบนี้ทำไมไม่รู้จักพูดกับข้าอย่าง
ตรงไปตรงมาเล่า? ใต้เท้าอิ่นกวานรีบลากเสียงเฮ้อยาวๆ ทันที “ไยสหาย
ชิงถงต้องพูดจาด้วยความขุ่นเคืองกันด้วยเล่า อย่าเป็นแบบนี้เลย ด้วย
มิตรภาพระหว่างข้ากับชิงถง คำว่า ‘สหาย’ นี้ก็เรียกได้ว่าเป็นคำพูดที่
สร้างขึ้นเพื่อพวกเราสามคนโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลส่วนรวมหรือ
เหตุผลส่วนตัวแล้ว ข้ากับเสี่ยวโม่ก็ควรจะช่วยแนะนำอย่างเต็มที่ ให้เจ้า
ได้ช่วงชิงเก้าอี้อันดับหนึ่งของศาลบรรพจารย์สำ นักกระบี่ชิงผิงมาครอง!”
ชิงถงพยักหน้า
ดูเหมือนจะยังไม่หายโกรธ
ก่อนจะเดินทางออกไปจากหอสยบปีศาจ เฉินผิงอันก็พลันยิ้มเอ่ยว่า
“ชิงถง อย่างอื่นนั้นไม่ต้องพูดถึง พูดถึงแค่คำเรียกว่า ‘สหาย’ จาก
ประโยคสหายรักร่วมเส้นทางนี้ ข้าก็มีความจริงใจอย่างมากเลยนะ”
ชิงถงพยักหน้ากล่าว “ข้าเชื่อแค่ประโยคนี้เท่านั้น”
เสี่ยวโม่มองคุณชายบ้านตนแวบหนึ่งเฉินผิงอันแอบพยักหน้าให้ ต่างคนต่างรู้ใจกัน
สหายชิงถงผู้นี้ วันนี้ไม่เหมือนวันวานแล้ว ไม่ใช่คนที่หลอกได้ง่าย
เลย
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็คีบยันต์สามภูเขาออกมา ชิงถงค่อนข้าง
ประหลาดใจ แต่กลับไม่กระโตกกระตาก
สรุปแล้วเป็นเพราะรีบเร่งเดินทางกลับภูเขาเซียนตู หรือนี่
จะเป็นการบอกว่าทุกวันนี้เฉินผิงอันใช้ยันต์ใหญ่แผ่นนี้ก็ไม่จำ เป็นต้อง
เผาผลาญคุณความชอบแล้ว?
อาศัยยันต์สามภูเขาหดย่อพื้นที่ เพียงชั่วไม่กี่พริบตา พวกเขาก็มา
ถึงกลางภูเขาแห่งหนึ่ง
อยู่ในอาณาเขตของสำ นักกระบี่ชิงผิงแล้ว เซียนตู อวิ๋นเจิง โฉวโหม
ว สามภูเขาตั้งคุมเชิงกัน เป็นสถานการณ์ของหนึ่งหลักสองประคอง
ยอดเขาจิ่งซิงของภูเขาโฉวโหมว สถานที่แห่งนี้คือสถานที่ที่เฉา
ฉิงหล่างใช้ปิดด่าน
ภูเขาสองแห่งซึ่งรวมถึงภูเขาอวิ๋นเจิงยังคงถูกค่ายกลอำพรางเอาไว้
สามภูเขาต่างก็เป็นที่ตั้งของมหาบรรพตเก่าของใบถงทวีป เป็น
ชุยตงซานที่ก่อสร้างซ่อมแซมด้วยความประณีตพิถีพิถัน ถึงได้เปลี่ยน
โฉมหน้าใหม่
ยอดเขาของภูเขาสองลูกแยกกันตั้งป้ายศิลาไว้บนยอด เป็นป้ายที่
ชุยตงซานแกะสลักกับมือตัวเอง ‘อู๋เฉาปู้ชู’ (หากคนอย่างพวกเราไม่ออกแรง ถ้าอย่างนั้นชาวบ้านจะทำอย่างไร) และ ‘เทียนตี้จื่อชี่’ (ปราณ
ม่วงในฟ้าดิน)
เฉินผิงอันที่สวมชุดเขียวสะพายกระบี่ เสี่ยวโม่ที่สวมหมวกเหลือง
รองเท้าเขียวถือไม้เท้าไผ่เขียว ชิงถงที่สวมชุดคลุมอาคมสีมรกต รูป
โฉมงามน่ามอง
ในภูเขามีไผ่เขียวมากมายจนกลายเป็นป่าไผ่ สายลมพัดต้นไผ่ไหว
เอน ท่วงทำนองแผ่ซ่านเต็มภูเขา เบื้องล่างมีธารน้ำไหลริน บ้างเสียงดัง
บ้างเสียงเบา
คนทั้งสามเดินเลียบสายน้ำ ลำธารที่ไหลผ่านป่าไผ่ไหลริกๆ
มีก้อนหินสูงพ้นเหนือน้ำ ต้นชางผูขึ้นเป็นพุ่มเป็นกอ สีเขียวสดปลั่งน่ารัก
น่ามอง
ในน้ำมีหลายจุดที่เป็นแอ่งน้ำเล็กๆ เนื่องจากก้อนหินเว้าลงแล้วมีน้ำ
ขังอยู่ภายใน น้ำในแอ่งใสกระจ่างมากเป็นพิเศษ จุดที่น้ำลึกก็มีปลา
แหวกว่ายเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่
สองฝากฝั่งของธารน้ำคือพุ่มต้นไผ่ ด้านใต้ต้นไผ่คือก้อนหิน
ระเกะระกะจับกลุ่มกันเหมือนฟันเรียงราย สาดสะท้อนลงในผืนน้ำก็
เหมือนวัวเหมือนม้าที่กำลังก้มลงดื่มน้ำจากลำธาร
เฉินผิงอันยิ้มพลางอธิบายว่า “ยอดเขาอู๋เฉาซึ่งเป็นยอดเขาหลัก
ของภูเขาอวิ๋นเจิงแห่งนั้นจะกลายเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมของเจ้า
สำ นักเบื้องล่างอย่างชุยตงซาน ขณะเดียวกันเขาก็ยังควบตำแหน่งเจ้าขุนเขาคนแรกของภูเขาอวิ๋นเจิงด้วย ต่อจากนี้นอกจากจัดการกิจธุระ
ของในสำ นักแล้ว เขาจะยังทำการรับลูกศิษย์จำ นวนมาก วิชาคาถา เวท
กระบี่ วิชาหมัด วิชายันต์ การหลอมโอสถ ค่ายกล ศาสตร์ด้านการเงิน
ฯลฯ จะมีการแบ่งประเภทกันออกไป ในแต่ละฝ่ายก็จะรับลูกศิษย์ของ
ตัวเอง รอกระทั่งงานพิธีของวันพรุ่งนี้สิ้นสุดลง การประชุมครั้งแรกใน
สำ นักกระบี่ชิงผิง ชุยตงซานจะยังเสนอให้ในอนาคต ในบรรดาผู้ฝึกตน
รุ่นเยาว์ของสำ นักกระบี่ชิงผิง ผู้ฝึกกระบี่คนแรกที่เลื่อนเป็นขอบเขตหยก
ดิบก็จะสามารถเข้าไปอยู่ในยอดเขาอู๋เฉา รับหน้าที่เป็นเจ้าขุนเขาคน
ที่สองได้”
“ส่วนยอดเขาจิ่งซิงที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของพวกเราในเวลานี้ ไม่ใช่ภูเขา
โฉวโหมวทั้งลูก จะยกให้เฉาฉิงหล่างที่ปิดด่านสร้างโอสถทองอยู่ที่นี่
จัดการชั่วคราว เพราะเฉาฉิงหล่างเป็นทั้งผู้ฝึกตนคนแรกของยอดเขาจิ่ง
ซิง และเขาจะยังต้องเป็นเจ้าสำ นักคนถัดไปอย่างไม่ต้องสงสัยด้วย เรื่อง
นี้ทั้งสองสำ นักบนและล่างต่างก็รู้กันอยู่ในใจมานานแล้ว ถ้าอย่างนั้น
สำ นักกระบี่ชิงผิงจึงมีการสืบทอดอีกอย่างหนึ่งเพิ่มมาด้วย คือกฎที่
ไม่ระบุเป็นลายลักษณ์อักษร นั่นคือนับตั้งแต่เฉาฉิงหล่างเจ้าสำ นักคน
ที่สองเป็นต้นไป เจ้าสำ นักคนที่สามและทุกคนต่อจากนี้จะต้องเคย
เป็นเจ้าของยอดเขาจิ่งซิงมาก่อน ข้อนี้เห็นได้ชัดว่าพวกเรายืมวิธีการของ
ยอดเขาจิ่วอี้แห่งสำ นักกุยหยกมาใช้”“ในเมื่อชื่อของสำ นักคือสำ นักกระบี่ชิงผิง ถ้าอย่างนั้นก็ต้องมีวิถี
กระบี่เป็นรากฐานในการหยัดยืน ภูเขาเซียนตูที่เป็นภูเขาบรรพบุรุษก็คือ
ที่อยู่ของผู้ฝึกกระบี่ในอนาคต ภูเขาอวิ๋นเจิงอาจจะรับผิดชอบรับตัวผู้ฝึก
ยุทธเต็มตัวเอาไว้ นอกจากชุยตงซานแล้ว สำ นักเบื้องล่างยังมีอาจารย์จ้ง
รวมไปถึงสุยโย่วเปียนที่อยู่บนยอดเขาเจ๋อเซียน อีกทั้งพวกเรา
มีความสัมพันธ์ที่ดีมากกับภูเขาผูซาน เรื่องของการสอนวิชาหมัดก็น่าจะ
ไม่เป็นปัญหามากนัก ทางฝั่งของภูเขาโฉวโหมวนี้ ผู้ฝึกลมปราณที่เป็น
เมธีจากร้อยสำ นักก็น่าจะมีอยู่บ้าง”
อันที่จริงชิงถงไม่ค่อยสนใจเรื่องราวกิจธุระในสำ นักพวกนี้สักเท่าไร
ฟังเฉินผิงอันที่อยู่ข้างกายพูดเจื้อยแจ้ว คำพูดเหล่านั้นดังเข้าหูแล้วก็
ไหลผ่านไปเหมือนน้ำในลำธาร ไม่เก็บเอามาใส่ใจ
แต่เมื่อเกี่ยวพันถึงตัวเลือกของผู้สืบทอดและวิชาลับที่สืบทอดกันรุ่น
ต่อรุ่นของสำ นักแห่งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นจวนเซียนบนภูเขาลูกใดนี่ก็ถือว่าไม่
ใช่เรื่องเล็ก เพียงแต่ว่าเวลานี้เฉินผิงอันพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย ท่าทีก็
ดูผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด อันที่จริงสำ หรับผู้ฝึกตนบนทำเนียบของ
สำ นักกระบี่ชิงผิงในอนาคตแล้ว บางทีอาจมีความรักความแค้นมากมาย
นับไม่ถ้วน จิตใจคนขยับขึ้นขยับลง ดังนั้นเฉิงผิงอันจึงไม่ได้เห็นเขาชิง
ถงเป็นคนนอกจริงๆ
เสี่ยวโม่ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สหายชิงถง หลายๆ เรื่องข้าเองก็เพิ่งเคย
ได้ยินเป็นครั้งแรก ดังนั้นเจ้าอย่าได้ไม่เก็บมาใส่ใจ”ชิงถงทำสีหน้าระอาใจ แต่กลับเอ่ยด้วยประโยคที่เป็นสำ ลีซ่อนเข็ม
มาว่า “จะให้ข้าหยิบสมุดออกมาบันทึกคำพูดพวกนี้ไปทีละข้อก็คงไม่ได้
กระมัง”
เสี่ยวโม่คลี่ยิ้มบาง “ที่ตีนเขาของภูเขาเซียนตู ข้าเพิ่งจะสร้าง
สถานที่ประกอบพิธีกรรมแห่งหนึ่งในสถานที่ที่เพิ่งตั้งชื่อให้ว่าหาดลั่วเป่า
เชื่อว่าวันหน้าจะต้องได้พูดคุยรำลึกความหลังกับผู้ถวายงานชิงถงหรือไม่
ก็เค่อชิงชิงถงบ่อยๆ เป็นแน่”
สีหน้าของชิงถงแข็งทื่อ
อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็ถามโพล่งขึ้นมาว่า “หลายปีมานี้ เจ้าไม่เคยรับ
ลูกศิษย์มาสืบทอดมรรคกถาหรือวิชาหมัดบ้างเลยหรือ?”
เพราะถึงอย่างไรชิงถงก็เท่ากับเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานที่เป็น
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางครึ่งตัวด้วย อีกทั้งด้วยนิสัยของชิงถงที่มักจะ
ชอบไปเดินเตร็ดเตร่ในพื้นที่มงคลดอกบัวเป็นประจำ แค่มองก็รู้ว่า
ไม่เหมือนพวกคนที่จะใช้ชีวิตอย่างซังกะตายไปวันๆ
ชิงถงส่ายหน้าเอ่ยอย่างเหนียมอาย “ไม่เคย”
หลักๆ แล้วยังเป็นเพราะการรับหน้าที่เฝ้าพิทักษ์หอสยบปีศาจ
ภาระหน้าที่นี้พิเศษเกินไป ชิงถงหรือจะกล้ารับลูกศิษย์มาอย่างส่งเดช
กังวลว่าจะเป็นการเพิ่มกลิ่นคาวสกปรกให้กับตัวเอง อีกทั้งเจ้าอารามผู้
เฒ่าตงไห่ เจ้าแห่งถ้ำ ปี้เซียวผู้นั้นก็เคยพูดจากระทบกระเทียบชิงถงอย่างไม่เกรงใจ บอกว่าชิงถงคือคนที่ไม่อาจอาศัยกำลังของตัวเองคนเดียว
มาก่อสำ นักตั้งพรรคได้เลย
และเรื่องจริงก็พิสูจน์ให้เห็นว่า ชิงถงระมัดระวังเพื่อขับเรือให้ได้นาน
หมื่นปีจริงๆ พูดถึงแค่หายนะของภูเขาไท่ผิงครานั้น นั่นก็คือบทเรียนที่ดี
ที่สุด เพราะหอสยบปีศาจมีโอกาสสูงมากที่จะต้องตกอยู่ในสภาพการณ์
ไม่ต่างกัน อีกทั้งชิงถงก็รู้สึกว่าหากตัวเองมีลูกศิษย์เปิดขุนเขาเมื่อไหร่ ใน
เรื่องของการรับลูกศิษย์นี้ต้องไม่มีทางหยุดลงได้แน่นอน ก็เหมือนกับการ
เก็บสะสมข้าวของในห้องทั้งหลายของหอสยบปีศาจ ชิงถงไม่เคยดูที่
รูปร่างหรือระดับความล้ำค่า ดูแค่ว่าถูกชะตาหรือไม่เท่านั้น ถ้าอย่างนั้น
การมาถึงของลูกศิษย์ปิดสำ นักก็จะต้องยาวไกลไม่มีกำหนด
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างสะท้อนใจ “สหายชิงถงมีเพียงใจที่แสวงหา
มรรคา ทำให้คนอื่นละอายใจที่สู้ไม่ได้จริงๆ”
ชิงถงทำท่าจะพูดแต่ไม่พูดอีกครั้ง
เพราะการที่ทำหน้าหนาตีสนิทภูเขาเซียนตูเช่นนี้ ก็เพราะทุกวันนี้
สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ชิงถงจึงเปลี่ยนความคิดตามไปด้วย อยาก
จะลองเป็นอาจารย์ปู่รุ่นแรกของสำ นักแห่งหนึ่งดูสักครั้ง
ดูเหมือนเฉินผิงอันจะมองความคิดของชิงถงออก จึงเอ่ยว่า “มอบ
ผลหลีตอบแทนผลท้อ หลังจากข้าปิดด่านแล้วจะออกเดินทางไกลไปใน
ไพศาลกับสหายรอบหนึ่ง ระหว่างนี้จะต้องผ่านทวีปแดนเทพแผ่นดิน
กลาง ตอนอยู่ที่ศาลบุ๋นจะดึงอาจารย์ข้าไปด้วยกัน ช่วยพูดถึงเจ้าสักสองสามประโยค ดูสิว่าจะสามารถอนุญาตให้เจ้าเปิดสำ นักในบริเวณ
ใกล้เคียงกับหอสยบปีศาจภาคกลางของใบถงทวีปได้หรือไม่ พยายาม
ที่จะอนุญาตให้ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจในท้องถิ่นซึ่งอยู่ที่ใบถงทวีปมาสวา
มิภักดิ์กับสำ นักของเจ้า หลีกเลี่ยงไม่ให้พวกเขาต้องรู้สึกเหมือน
ตกอยู่ในอันตรายคับขันทุกเมื่อเชื่อวัน จิตแห่งมรรคาแตกฉานซ่านเซ็นจน
มิอาจฝึกตนได้ นานวันเข้าผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่ในใจเกิดความแค้นเคือง
กลุ่มนี้ก็จะกลายเป็นภัยแฝงให้กับใบถงทวีปเอาได้”
“ชิงถง เจ้าเป็นฝ่ายติดตามพวกเรามาเยือนสำ นักกระบี่ชิงผิงเพราะ
มีใจที่เห็นแก่ตัว ข้าพาเจ้ามาที่ยอดเขาจิ่งซิงแห่งนี้ อันที่จริงก็มีใจที่
เห็นแก่ตัวเหมือนกัน”