กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 958.2 บนยอดเขาชิงผิง
ชิงถงถามอย่างคลางแคลง “หมายความว่าอย่างไร?”
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เดินไปบนทางเส้นเล็กของ
ป่าไผ่ “คนที่มีปณิธานยาวไกลทั้งยังทำอะไรรอบคอบระมัดระวัง สามารถ
ประสบความสำ เร็จใหญ่ได้ คนที่มีจิตใจดีงามจงรักภักดีทั้งยังมีคุณธรรม
คือคนที่สามารถฝากฝังเรื่องใหญ่ได้”
“ในสายตาของข้า หากละหอสยบปีศาจเอาไว้ไม่ไปพูดถึง เดิมที
การดำรงอยู่ของสหายชิงถงก็คือภูเขาลูกที่สี่เว้นจากภูเขาเซียนตู อวิ๋นเจิง
และโฉวโหมวของสำ นักกระบี่ชิงผิงพวกเรา”
“สหายชิงถงไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นบรรพบุรุษคนแรกของสำ นักที่
โดดเด่นได้ แต่ต้องเป็นผู้ปกป้องมรรคาที่ดีเยี่ยมที่สุดซึ่ง
มีความรับผิดชอบที่สุดและตั้งใจที่สุดได้แน่นอน”
เสี่ยวโม่ประหลาดใจอย่างมาก
พูดคำว่าที่สุดรวดเดียวสามครั้ง ชิงถงคู่ควรกับคำประเมินนี้จริงๆ
หรือ?
คำพูดประโยคนี้ของคุณชายไม่มีความนัยซ่อนแฝงอะไรแล้ว
เป็นการยกความหมายมาวางไว้บนหน้าโต๊ะโดยตรง นั่นคือหวังว่าชิงถงจะกลายมาเป็นผู้ปกป้องมรรคาเบื้องหลังของสำ นักกระบี่ชิงผิง อย่าง
น้อยที่สุดก็เป็นคนหนึ่งในนั้น
ชิงถงยิ่งประหลาดใจมากกว่า ได้แต่ยิ้มเจื่อน เอ่ยเย้ยหยันตัวเองว่า
“ต่อให้เจ้าพูดจากใจจริง ตัวข้าเองก็ไม่เชื่อตัวเองหรอกนะ”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ในเรื่องนี้เจ้าสามารถเชื่อได้ เพราะตัวข้าเองก็
เดินมาทีละก้าวแบบนี้เหมือนกัน”
“สหายชิงถงวางใจได้เลย แล้วก็ไม่ต้องกังวลว่าตัวเองจะพลัด
เข้ามาในสถานที่ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งอะไร ข้าจะบอกกล่าวกับพวก
ชุยตงซานเอาไว้ก่อน รับรองว่าจะไม่ดึงเจ้าเข้าไปเกี่ยวข้องกับกิจธุระ
ต่างๆ ของสำ นักเพียงเพราะขอบเขตและสถานะของตัวเจ้า ดังนั้นเจ้าก็
แค่ต้องใช้สถานะของคนนอกภูเขาครึ่งตัวมาสังเกตการณ์พัฒนาของ
สำ นักกระบี่ชิงผิงในแต่ละปีให้มากขึ้นก็พอ ขอแค่มีจุดใดที่รู้สึกผิดปกติ
ต่อให้ปากจะพูดออกมาไม่ได้ว่าผิดปกติที่ตรงไหน แต่ก็สามารถพูดให้
ชุยตงซานหรือไม่ก็เฉาฉิงหลางเจ้าสำ นักคนที่สองในอนาคตฟังได้ ไม่ต้อง
สนใจว่าความเห็นของตัวเองจะถูกหรือผิด”
ชิงถงพยักหน้า “แค่กล้ารับรองว่าจะพยายามอย่างสุดความสา
มารถที่มี แต่ข้าไม่รับปากอะไรทั้งนั้น”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้”
คนทั้งกลุ่มเดินไปถึงยอดของยอดเขาจิ่งซิง ท้องฟ้าใสสว่างอากาศ
แจ่มใจ ภูเขาเขียวก้อนเมฆขาว กวาดตามองไปรอบด้านแล้วจิตใจปลอดโปร่งโล่งสบาย
เพราะคำประเมินของลู่เฉิน บรรยายอักษรบนป้ายศิลาว่าเป็น
‘คราบเซียนบางอย่าง’ ที่รูปลักษณ์เปลี่ยนแปลงแต่จิตวิญญาณยังคงอยู่
ครั้งนี้เฉินผิงอันจึงตั้งใจมองป้ายหินพวกนั้นมากขึ้น
คนหนุ่มที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งเดินก้าวเร็วๆ ออกมาจากใน
ห้องหิน ประสานมือคารวะเอ่ยว่า “อาจารย์ ผู้อาวุโสโม่เซิง”
เป็นอย่างที่ลู่เฉินคาดการณ์ไว้จริงๆ โอสถทองที่เฉาฉิงหล่างสร้างได้
ระดับขั้นอยู่ระหว่างขั้นหนึ่งและขั้นสอง
โอสถขั้นหนึ่งคือคุณสมบัติของบินทะยาน ยกตัวอย่างเช่นเหวยเซ่อ
แห่งธวัลทวีปในอดีต และยังมีเหยาชิงเสนาบดีรูปงามของใต้หล้ามืดสลัว
ที่ต่างก็เป็นเช่นนี้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ฝึกตนใหญ่หลายคนที่
ทุกวันนี้ยืนตระหง่านอยู่บนยอดเขาของใต้หล้า ส่วนใหญ่แล้วโอสถล้วน
เป็นระดับสอง
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยปลอบใจว่า “โอสถเหนือระดับสองขึ้นไป คือภาพ
บรรยากาศยิ่งใหญ่ แข็งแกร่งกว่าการสร้างโอสถของอาจารย์ในปีนั้นมาก
นัก”
จากนั้นเฉินผิงอันก็แนะนำชิงถงที่อยู่ข้างกาย “สหายท่านนี้มีฉายา
ว่า ‘ชิงถง’ คือผู้ฝึกตนในท้องถิ่นของใบถงทวีป ขอบเขตบินทะยาน
เนื่องจากฉายามีอักษรคำว่า ‘ชิง’ เหมือนในชื่อสำ นักกระบี่ชิงผิงของ
พวกเรา สหายชิงถงรู้สึกว่าเป็นวาสนาที่พบเจอได้ยาก หลังถูกข้าเชื้อเชิญอยู่หลายครั้งก็เลยยอมมารับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อ
ของสำ นักกระบี่ชิงผิง”
เฉาฉิงหล่างประสานมือคารวะอีกครั้ง “ผู้เยาว์เฉาฉิงหล่างคารวะ
ผู้อาวุโสชิงถง”
ชิงถงผงกศีรษะรับ ใบหน้าประดับยิ้มบางๆ แต่ในใจกลับอดนินทา
ไม่ได้ ใต้เท้าอิ่นกวานแค่เปิดปากนึกจะพูดอะไรก็พูดได้จริงๆ
เฉินผิงอันเอ่ย “ขอบเขตและคุณสมบัติของสหายชิงถงต่างก็วางไว้
ตรงนั้นอย่างชัดเจน เพียงแค่เพราะหมี่อวี้เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งที่
มีการเลือกกันเป็นการภายในเรียบร้อยแล้ว สหายชิงถงก็คงได้แต่ลด
สถานะมาเป็นอันดับรองแล้ว”
ชิงถงไร้คำพูด
นี่คือตนได้เป็นผู้ถวายงานอันดับรองแล้วหรือ?
นี่ไม่ใช่ว่าเผด็จการมากหรือไร?
เฉาฉิงหล่างคลี่ยิ้มอบอุ่น เอ่ยว่า “ถึงอย่างไรสำ นักกระบี่ชิงผิงของ
พวกเราก็ยังคงเป็นสำ นักวิถีกระบี่ คงได้แต่ทำให้ผู้อาวุโสชิงถงรู้สึก
อยุติธรรมแล้ว”
ชิงถงยิ้มกล่าว “ไม่ถือว่าอยุติธรรมอะไรหรอก ได้ผูกสัมพันธ์กับ
สำ นักกระบี่ชิงผิง ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง”
ไม่กล้ารู้สึกไม่เป็นธรรมแม้แต่น้อยแล้วนับประสาอะไรกับที่เสี่ยวโม่ที่อยู่ข้างกายคือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขต
บินทะยานขั้นสมบูรณ์แบบคนหนึ่ง ทุกวันนี้ก็เพิ่งจะเป็นได้แค่ผู้ถวายงาน
ที่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาลั่วพั่วเท่านั้นไม่ใช่หรือ ยังสู้ตนไม่ได้ด้วยซ้ำ
จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ตำแหน่งอันดับรองเลยนะ
เด็กหนุ่มชุดขาวที่มีไฝกลางหว่างคิ้วทะยานลมมาถึงอย่างว่องไว
ราวกับสายฟ้าแลบ ตอนที่พลิ้วกายลงกับพื้น ชายแขนเสื้อสีขาวหิมะสอง
ข้างสะบัดดังพึ่บพั่บ ประสานมือคารวะ “คารวะอาจารย์”
ชุยตงซานเพิ่งจะยืดตัวขึ้นก็มีหญิงสาวที่มวยผมทรงกลมคนหนึ่งพา
แม่นางน้อยชุดดำคนหนึ่งมาที่ยอดเขาจิ่งซิง
ที่แท้หลังจากที่ชุยตงซานสัมผัสได้ถึงร่องรอยของกลุ่มอาจารย์ก็ไป
เคาะประตูเรียก ให้ศิษย์พี่หญิงใหญ่เผยเฉียนเรียกหมี่ลี่น้อยที่เดิมทีก็นั่ง
ล้อมกองไฟเฝ้าคืนอยู่ในห้องเดียวกันมาด้วยกัน
หมี่ลี่น้อยลิงโลดสุดขีด บอกเรื่องน่ายินดีให้ฟัง “เจ้าขุนเขาคนดี
อวี๋หมี๋ฝ่าทะลุขอบเขตแล้วนะ คือเซียนกระบี่ใหญ่หมี่ที่สมชื่อ ถูกต้อง
ชอบธรรม เป็นตัวจริงเสียงจริงแน่นอนแล้วนะ!”
เฉินผิงอันจงใจเผยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ แล้วเอ่ย
ชื่นชมว่า “ร้ายกาจ ร้ายกาจ”
ในใจชิงถงสั่นสะเทือนเบาๆ
หมี่ผ่าเอวแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ผู้นั้น ผู้ถวายงานอันดับหนึ่ง
คนแรกของภูเขาเซียนตู ถึงกับเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินแล้ว?!เฉินผิงอันค้อมตัวลงลูบศีรษะของหมี่ลี่น้อย “มักจะไปเฝ้าด่านให้
เซียนกระบี่ใหญ่หมี่บ่อยๆ ใช่ไหมล่ะ?”
หมี่ลี่น้อยยิ้มกว้าง “ไม่เลยๆ บางครั้งๆ”
หมี่ลี่น้อยยื่นมือมาป้องข้างปาก กระซิบกับเจ้าขุนเขาคนดีว่า “อวี๋
หมี่บอกแล้วว่า ขั้นตอนระหว่างการปิดด่านอันตรายมากๆ เลย
เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่จิตแห่งมรรคาไม่มั่นคงก็มักจะนึกถึงท่าทางสุขุม
เยือกเย็น แม้เจออันตรายก็ไม่ตระหนกลนของใต้เท้าอิ่นกวานตอนอยู่บน
สนามรบเป็นประจำ แค่นั้นจิตใจก็มั่นคงได้แล้ว ถึงได้บังเอิญโชคดี
ฝ่าทะลุขอบเขตได้ ดังนั้นอวี๋หมี่จึงพูดย้ำกับข้าซ้ำ ไปซ้ำ มาว่า ครั้งนี้ที่
สามารถฝ่าทะลุคอขวด มีชีวิตรอดออกจากด่านมาได้ นอกจากต้อง
ขอบคุณเจ้าสำ นักหลิวแห่งสำ นักกระบี่ไท่ฮุยจากใจจริงแล้ว คุณ
ความชอบเกินครึ่งที่เหลืออยู่ล้วนเป็นใต้เท้าอิ่นกวานที่มอบให้ทั้งสิ้น
ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับตบะหรือจิตแห่งกระบี่ของเขาแม้แต่
เหรียญทองแดงเดียว”
เฉินผิงอันหัวเราะอย่างฉุนๆ หลุดปากพูดไปว่า “ผายลมมารดาเขา
น่ะสิ”
หมี่ลี่น้อยเกาแก้ม
เฉินผิงอันรีบเปลี่ยนสีหน้าให้อ่อนโยนทันใด “อย่าเพิ่งไปสนใจเขา
พวกเรากลับยอดเขามี่เซวี่ยกันก่อนเถอะ”
ชิงถงเงียบงันส่วนที่ว่าขนบธรรมเนียมของภูเขาลั่วพั่วจะเป็นอย่างไร เนื่องจาก
การปล่อยจิตท่องฝันก่อนหน้านี้ เฉินผิงอันที่เดินทางผ่านหน้าบ้านตัวเอง
กลับเลือกที่จะไม่แวะเข้าไป ชิงถงจึงยังไม่เคยได้สัมผัสกับตัวเองมาก่อน
แต่ดูจากคำพูดและการกระทำของเสี่ยวโม่ ชิงถงก็ได้เตรียมใจมาไว้
ล่วงหน้าก่อนแล้ว เพียงแต่ว่าดูจากสถานการณ์ในตอนนี้กลับเหมือนว่าที่
เขาเตรียมพร้อมมาจะยังไม่มากพอ
เฉินผิงอันจึงช่วยแนะนำชิงถงให้ทุกคนรู้จักอีกครั้ง
หลังจากนั้นก็มีเงาร่างสองสายกลายร่างเป็นรุ้งยาวทะยานลมออก
มาจากเมืองผีที่อยู่ในอาณาเขตของราชวงศ์ต้ายวน คือจงขุยและผีเซียน
อวี่จิ่นที่เรียกตัวเองว่ากูซู เฉินผิงอันจึงได้แต่แนะนำตัวตนของชิง
ถงอีกครั้ง แต่ละเรื่องหอสยบปีศาจและขอบเขตของชิงถงไป ไม่ใช่ว่าไม่
เชื่อใจจงขุย แต่เป็นเพราะไม่เชื่อใจเจ้าอ้วนที่มองไปแล้วร่างเยิ้มไปด้วย
ไขมัน จักรพรรดิผู้องอาจคนหนึ่งที่เกือบจะสร้างวีรกรรมหนึ่งทวีปก็คือ
หนึ่งแคว้นได้ก่อนสกุลซ่งต้าหลีผู้นี้ คำกล่าวถึงเขาในประวัติศาสตร์ที่บอ
กว่า ‘ลูกผู้ชายถือดาบคม บั่นหัวคนนับล้าน’ ก็ไม่ใช่ถ้อยคำเยินยอที่
ไพเราะอะไรเลย
จงขุยเหลือบมองเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันพยักหน้าให้
จงขุยแอบยกนิ้วโป้งให้อีกฝ่าย
เฉินผิงอันเองก็แอบยกนิ้วโป้งให้จงขุยเจอกับคนที่รู้ใจกัน ทุกอย่างก็ไม่จำ เป็นต้องเอื้อนเอ่ย
ใช้ได้ด้วยกันทั้งคู่
เพราะสหายสองคนนี้ก็เหมือนคนหนึ่งรับผิดชอบบุกเบิกเส้นทาง
ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นรับผิดชอบช่วยปกป้องมรรคา
เฉินผิงอันเองก็เคยเห็น ‘ท่วงท่าของผู้ไร้ศัตรูเทียมทาน’ บนวิถีแห่งผี
ของจงขุยมากับตาตัวเองก่อนแล้ว การเปิดทางนั้นไม่ง่าย การพิทักษ์
ปกป้องก็ยิ่งยาก
ทั่วทั้งอาณาเขตทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของใบถงทวีป จงขุย
แทบจะอาศัยกำลังของตัวเองทั้งหมด ใช้วิธีการอันยิ่งใหญ่น่าดูชมที่
คล้ายคลึงกับ ‘กระบี่จำ แลงเป็นพันหมื่น’ ของป๋ายเหย่ตอนอยู่ใบถงทวีป
จำ แลงร่างของคนผู้เดียวไว้บนเส้นทางมากมายนับไม่ถ้วน ช่วยชี้ทางให้
กับวิญญาณหยินและผีมากมาย ขณะเดียวกันก็ต้านทานลมพายุที่
มีระหว่างฟ้าดิน คอยกดข่มการสยบกำราบที่ผู้ฝึกลมปราณของจวนเซียน
ระหว่างทางและสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำจากแต่ละฝ่ายมีต่อวิญ
ญาณเร่ร่อนมีมาแต่กำเนิด ปกป้องพวกเขาให้เดินเข้าไปในประตูบาน
ใหญ่แต่ละบานที่เชื่อมโยงสู่เมืองผี นั่นคือวีรกรรมที่ผู้ฝึกตนขอบเขตบิน
ทะยานก็ยังมิอาจทำได้ ขณะเดียวกันจงขุยยังไปเยือนเส้นทางน้ำพุเหลือง
ด้วยตัวเองมารอบหนึ่ง เขาไม่จำ เป็นต้องเข้าพบ ‘ฝู่จวิน’ (เป็นคำ
เรียกขานเจ้าเมืองอย่างให้ความเคารพ และในสมัยโบราณยังใช้เรียกขาน
ผู้วายชนม์อย่างเคารพด้วย) แต่ละท่านของเมืองเฟิงตูก็ออกคำสั่งไปโดยตรง ออกคำสั่งอย่างเข้มงวดว่าเสมียนในเมืองผี กุ่ยชาและยมทูตหัว
วัวหน้าม้าจำ นวนมากที่อยู่บนเส้นทาง ห้ามโบยผีทุกตนโดยพลการ
ประเด็นสำ คัญคือนครเฟิงตูที่สถานะโดดเด่น ถึงขั้นสามารถมองข้าม
กฎระเบียบพิธีการหรือไม่ก็คำสั่งของศาลบุ๋นและป๋ายอวี้จิงได้ กลับ
ไม่มีความเห็นต่างใดๆ ในเรื่องนี้ เท่ากับว่ายอมรับการกระทำที่ล้ำเส้นนี้
ของจงขุยไปโดยปริยาย
ดังนั้นในค่ำคืนที่ปีเก่าและปีใหม่สลับสับเปลี่ยนกันนี้ สำ หรับผู้ฝึก
ตนทั่วทั้งใบถงทวีป สำ นักศึกษาลัทธิขงจื๊อสามแห่ง จักรพรรดิเหล่า
ขุนนางของแต่ละแคว้น และยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำ บางทีอาจ
เป็นค่ำคืนที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะมิอาจข่มตาหลับได้
อันที่จริงตอนที่จงขุยออกเดินทางได้พาเจ้าอ้วนอวี่จิ่นออกเดินทาง
ไกลไปพร้อมกันด้วย เป็นเหตุให้ปราณวิญญาณฟ้าดินทั่วร่างของอวี่จิ่น
ถูกเผาผลาญจนหมดสิ้น
สำ หรับผีเซียนอย่างอวี่จิ่นแล้วถือเป็นการปกป้องมรรคาที่ได้บุกเบิก
โฉมหน้าใหม่อย่างหนึ่ง
รอกระทั่งได้หวนกลับไปในเมืองผีที่เสื่อมโทรมซึ่งว่างเปล่าไม่เหลือ
วิญญาณเร่ร่อนสักดวงแล้ว เจ้าอ้วนก็เหนื่อยจนลงไปนอนกองกับพื้น
ไม่ได้รู้สึกว่าประสบความสำ เร็จสักเท่าไร แต่ก็ไม่ได้โอดครวญร้องทุกข์
กับจงขุยอย่างที่หาได้ยากเจ้าอ้วนที่หมดสิ้นเรี่ยวแรงนอนเอนกายอยู่บนพื้น เอ่ยแค่ประโยค
จากใจจริงซึ่งแฝงไว้ด้วยการเยาะเย้ยตัวเองประโยคเดียวว่า ‘คิดไม่ถึงว่า
ชีวิตนี้ของข้า นอกจากฆ่าคนแล้วยังจะทำเรื่องแบบนี้ได้ด้วย’
เจ้าอ้วนที่ถูกจงขุยพามาที่ภูเขาเซียนตู ระหว่างที่เดินทางมายังพูด
บ่นไม่หยุดปาก บ่นว่าจงขุยไม่รู้จักสงสารคนอื่นเสียบ้าง ต่อให้เป็นลาที่ถูก
ใช้ให้โม่แป้ง ถูกใช้งานอย่างนี้ก็ต้องเหนื่อยตายได้เหมือนกัน
เพียงแต่รอกระทั่งอวี่จิ่นมาถึงยอดเขาจิ่งซิงก็รู้สึกว่าไม่เสียเที่ยว
ที่มา ดวงตาพลันเป็นประกาย เนื่องจากมองเห็นสาวงามคนหนึ่งที่สวม
ชุดคลุมอาคมสีเขียวมรกต
เจ้าอ้วนรู้สึกเลื่อมใสเฉินผิงอันจากใจจริงนิดๆ แล้ว หวงถิง เย่อ
วิ๋นอวิ๋น บวกกับฮ่องเต้หญิงแห่งต้าเฉวียนที่ความสัมพันธ์คลุมเครือผู้นั้น
แต่ละคนล้วนเป็นสาวงามด้วยกันทั้งสิ้น
เจ้าชู้ประตูดิน ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย
ฉวยโอกาสตอนที่เฉินผิงอันคุยอยู่กับจงขุย เจ้าอ้วนก็วิ่งตุปัดตุเป๋
ขยับเข้าหาพี่สาวเทพธิดาคนนั้น “ข้าน้อยแซ่จิ่น นามกูซู เป็นสหายรักกับ
เจ้าขุนเขาเฉิน ไม่ทราบว่านอกจากฉายา ‘ชิงถง’ แล้ว แม่นางชื่อแซ่อะไร
หรือ ภูมิลำเนาอยู่ที่ไหน ทุกวันนี้อาศัยอยู่ที่ใด มีสำ นักหรือไม่ ข้าน้อย
ชอบเที่ยวเล่นไปตามขุนเขาสายน้ำที่สุดแล้ว หลังเข้าร่วมงานพิธีเสร็จก็
ยินดีลงจากภูเขาไปพร้อมพี่สาวชิงถง ถือโอกาสไปพบผู้อาวุโสในตระกูล
ด้วยกัน”อันที่จริงชิงถงไม่อยากจะสนใจผีเซียนตนนี้มากนัก
เพราะก่อนหน้านี้ตอนที่อวี่จิ่นติดตามจงขุยเตร็ดเตร่ไปทั่วใบ
ถงทวีป ชิงถงก็เคยกวาดตามองนายบ่าวคู่นี้อยู่หลายครั้ง จึงรู้ไส้รู้พุงขอ
งอวี่จิ่นเป็นอย่างดี
ส่วนการที่ถูกเจ้าอ้วนผู้นี้เข้าใจว่าตนเป็นผู้ฝึกตนหญิง ชิงถงกลับ
ไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจใดๆ
อวี่จิ่นยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าน้อยไม่มีความสามารถ แค่บังเอิญว่าพอ
จะมีประสบการณ์ความเข้าใจในเรื่องบทกวีอยู่บ้าง ยกตัวอย่างเช่นเจอ
กับแม่นาง งดงามเหมือนภาพวาด ประหนึ่งสาวงามที่ยืนใต้ร่มอู๋ถง
ท่ามกลางแสงจันทร์ จึงเกิดแรงบันดาลใจอยากเอ่ยคำว่า ‘ลมพัดโชยผ่าน
ใบเขียวของต้นอู๋ถงพลันเยือกเย็น’ …พูดไปแล้วก็กลัวว่าจะทำให้แม่นาง
ตกใจ บอกตามตรง อันที่จริงผู้น้อยคือผี เพียงแต่ว่าแม่นางอย่าได้เสียใจ
ไปเลย ตอนที่ผู้น้อยมีชีวิตอยู่บนโลกก็เคยแต่งกลอนมานับหมื่นบท
ทุกวันนี้เปลี่ยนแนวทาง หันมาสนใจในเรื่องกวีนิพนธ์แล้ว แค่มองเห็น
ความสง่างามของแม่นางก็รู้แล้วว่าเป็นบุคคลที่เชี่ยวชาญในศาสตร์ด้าน
นี้ ช่วงนี้ข้าน้อยพยายามเพิ่มคำศัพท์ให้กับตัวเอง มีคำว่าแสงจันทร์นวล
ผ่อง สายลมเย็นเอื่อย ปุยหลิวลอยคว้างข้างดอกหลี เพียงแต่รู้สึกว่าคำ
ว่า ‘ข้าง’ ในประโยคนี้ยังแสดงอารมณ์ได้ไม่เต็มที่ ยากที่จะบอกได้ว่า
ดีเยี่ยมที่สุด แม่นางคิดว่าอย่างไร? หากเปลี่ยนเป็นคำว่าลูบไล้เหมือนประโยคลมเย็นลูบไล้ใบหน้า จะดีกว่าหรือไม่? หรือหากเปลี่ยนเป็นคำว่า
โอบประคองจะมีนัยชวนขบคิดได้ยาวไกลกว่าหรือไม่?”
ชิงถงรำคาญเต็มที จึงได้แต่ใช้เสียงในใจพ่นเสียงพูดกลั้วหัวเราะว่า
“อวี่จิ่น โคลงตลกขบขันที่แทบทนฟังไม่ได้พวกนั้นของเจ้า ข้าก็เคยเห็น
ผ่านตามาบ้าง แม้จะบอกว่าเรื่องการปกครองแย่งชิงราชบัลลังก์ นำพา
กองทัพทำสงคราม เจ้าคือบุคคลอันดับหนึ่งของโลก แต่หากจะพูดถึง
เรื่องการแต่งกวีเติมคำพวกนี้ ดูเหมือนว่าเจ้าไม่ติดแม้แต่ปลายแถว
ด้วยซ้ำ ”
สายตาอวี่จิ่นขุ่นเคือง ปรายตามองเฉินผิงอัน เอ่ยอย่าง
ไม่สบอารมณ์ว่า “คนบางคนช่างมีความสัมพันธ์ที่ไม่ตื้นเขินกับแม่นางชิง
ถงจริงๆ ไม่ว่าอะไรก็เล่าให้คนนอกฟังหมด”
ชุยตงซานเปิดปากถามว่า “อาจารย์ ไม่สู้ท่านกลับไปพักผ่อนที่
ยอดเขามี่เซวี่ยก่อนดีไหม ก่อนงานพิธีครึ่งชั่วยาม ข้าค่อยให้หมี่ลี่น้อยไป
แจ้งอาจารย์?”
หมี่ลี่น้อยสูดลมหายใจเข้าลึก พยักหน้ารับอย่างแรง กำไม้เท้า
เดินป่าและคานหาบสีทองในมือแน่น ภาระหนักหน่วงอยู่บนบ่า มิอาจปัด
หน้าที่ที่พึงรับผิดชอบได้
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แค่ต้องงีบสักเดี๋ยวเท่านั้น หลับตาพักสักครู่ก็
พอ”ชุยตงซานกล่าว “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะลงจากภูเขาไปพร้อมกับ
อาจารย์พลางคุยธุระกันไปด้วย?”
หลังจากนั้นพวกเฉาฉิงหล่างก็ต่างคนต่างกลับไปยังเรือนพักของ
ตัวเองบนยอดเขามี่เซวี่ยภูเขาเซียนตู
เสี่ยวโม่กลับไปที่ชายหาดลั่วเป่าที่ตีนเขาเพียงลำพัง เผยเฉียน
จะจัดการหาที่พักให้กับชิงถง
แต่เฉินผิงอันกลับรั้งตัวหมี่ลี่น้อยเอาไว้ แล้วเดินเท้าลงจากยอดเขา
จิ่งซิงไปพร้อมกับชุยตงซาน
ชุยตงซานมีหลายเรื่องที่ต้องปรึกษาอาจารย์ให้ดีจริงๆ
เรื่องแรกก็คือจะขุดเจาะลำน้ำใหญ่ใหม่เอี่ยมเส้นหนึ่งที่ภาคกลาง
ของใบถงทวีปหรือไม่
ก่อนหน้านี้ที่อยู่ในห้องของแม่ทัพผู้เฒ่าเหยาเจิ้น ทางฝั่งของเรือนอ
วิ๋นฉ่าวผูซานก็มีความคิดนี้เช่นกัน