กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 958.4 บนยอดเขาชิงผิง
“นอกจากนี้ก็คือเหยาเซียนจือ เย่อวิ๋นอวิ๋นและหวงถิง แขกกลุ่ม
นี้จะใช้สถานะของแขกผู้เข้าร่วมงานพิธีมาจุดธูปคารวะก่อน รอ
กระทั่งการประชุมศาลบรรพจารย์ครั้งแรกของพวกเราสิ้นสุดลง เมื่อ
พวกเขาต่างก็มีสถานะผู้ถวายงานและเค่อชิงกันแล้ว ก็จะใช้สถานะ
ของคนครอบครัวเดียวกันเดินเข้ามาในศาลบรรพจารย์สำ นักกระบี่
ชิงผิงอย่างเป็นทางการครั้งแรก หึ เท้าหน้าเพิ่งเดินออกไป หมุนตัว
มาเท้าหลังก็เดินกลับเข้ามาแล้ว”
ชุยตงซานหัวเราะร่าถามว่า “อาจารย์ไม่ถามหรือว่าตำแหน่ง
แขวนรูปเหมือนในศาลบรรพจารย์สำ นักเบื้องล่างของพวกเราจัด
การกันอย่างไร?”
เฉินผิงอันเอ่ยเสียงขุ่น “ใครเป็นเจ้าสำ นักของสำ นักเบื้องล่าง
คนผู้นั้นก็ปวดหัวไปเองสิ”
ชุยตงซานหยิบกระดาษสองสามแผ่นออกมาจากชายแขนเสื้อ
“รายชื่อพวกนี้ อาจารย์ลองดูก่อน”
กระดาษสามแผ่น
อันที่จริงเป็นแค่การทำให้พอเป็นพิธีเท่านั้นสมาชิกทำเนียบตระกูลของสำ นักเบื้องล่างทุกคน
รวมไปถึงสมาชิกศาลบรรพจารย์ของสำ นักกระบี่ชิงผิง หรือก็
คือคนที่มีที่นั่งอยู่ในศาลบรรพจารย์บนยอดเขาชิงผิง รวมทั้งหน้าที่ที่
เป็นรูปธรรมของพวกเขาในสำ นักกระบี่ชิงผิง
สุดท้ายก็คือแขกที่มาร่วมงาน
เฉินผิงอันยังคงรับมาอ่านอย่างละเอียดรอบหนึ่ง พอเห็นสองชื่อ
ที่อยู่บนกระดาษแผ่นสุดท้ายก็เอ่ยอย่างสงสัยว่า “หลิวจวี้เป่าและอวี้
พ่านสุ่ยมาอยู่ในรายชื่อของผู้เข้าร่วมพิธีได้อย่างไร?”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “เรื่องของการขุดเจาะลำน้ำใหญ่ อาจารย์
คิดว่าอยากจะดึงสกุลหลิวธวัลทวีปและราชวงศ์เสวียนมี่มาเข้าร่วม
ด้วยไม่ใช่หรือ คนโง่เงินเยอะหลอกได้ง่ายอย่างไรล่ะ”
เฉินผิงอันขมวดคิ้วน้อยๆ
ชุยตงซานรีบพูดด้วยสีหน้าจริงจังทันที “อาจารย์วางใจเถอะ
พวกเขามาแล้วก็รับผิดชอบแค่การมอบเงินให้ก่อนเท่านั้น
การแบ่งส่วนแบ่งหลังจบเรื่องจะไม่อนุญาตให้พวกเขาทั้งสองฝ่าย
อาศัยเรื่องการขุดเจาะลำน้ำใหญ่มาประคับประคองราชวงศ์หรือ
ภูเขาจวนเซียนให้เป็นหุ่นเชิดอยู่ในใบถงทวีปแห่งนี้อย่างลับๆ
เพียงแต่ว่าเรื่องนี้การลงนามบนหน้ากระดาษ อันที่จริงไม่ได้มีประโยชน์มากนัก กลับกลายเป็นว่าต้องการ…สัญญาแห่งวิญญูชน
เสียมากกว่า”
พูดมาถึงตรงนี้ ชุยตงซานก็เริ่มขยับเท้าเดินออกห่าง “ศิษย์
จะมีบารมี มีหน้ามีตาอะไรจากไหนได้ แน่นอนว่าย่อมทำไม่ได้ ทำ
ไม่ได้เด็ดขาด”
“ดังนั้นจึงยังต้องให้อาจารย์เป็นคนออกหน้าด้วยตัวเอง!”
ใบหน้าของเฉินผิงอันประดับยิ้มน้อยๆ หันหน้ามากวักมือเรียก
ลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจคนนี้
โดยไม่ทันรู้ตัว คนทั้งสามก็เดินมาถึงตีนเขาของภูเขาโฉวโหมว
แล้ว
เฉินผิงอันเงยหน้ามองไปทางภูเขาเซียนตู สำ นักเบื้องล่างของ
ภูเขาลั่วพั่ว ทางฝั่งหน้าประตูภูเขาของยอดเขาชิงผิงจะแขวน
คำกลอนคู่ที่อู๋ซวงเจี้ยงมอบให้ คือสมบัติพิทักษ์ภูเขาของแท้แน่นอน
ตัวอักษรทุกตัวที่อยู่บนคำกลอนล้วนมีท่วงทำนองอย่างหาที่
สิ้นสุดไม่ได้ เป็นจุดรวมแห่งกลิ่นอายของเทพ
ก่อนจะพักผ่อน เฉินผิงอันคิดว่าจะไปพบจางซานเฟิงที่ยอดเขา
มี่เซวี่ยก่อน
ส่วนหยวนหลิงเตี้ยนแห่งยอดเขาจื่อเสวียนซึ่งเป็นศิษย์พี่ของ
จางซานเฟิง อันที่จริงยังเป็นเค่อชิงที่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาลั่ว
พั่วบ้านตน
บอกให้ชุยตงซานไปทำธุระของตัวเอง จากนั้นก็ให้หมี่ลี่น้อยไป
เฝ้าคืนกับเผยเฉียนต่อ ผลคือเฉินผิงอันเดินไปถึงเรือนหลังนั้น
เพียงลำพัง หยวนหลิงเตี้ยนกลับบอกว่าศิษย์น้องจางซานเฟิงกำลัง
นั่งเข้าฌาน เขาจึงได้แต่ถอยออกมา
เพราะคิดว่าจะพักผ่อนแค่ครู่สั้นๆ เท่านั้น เฉินผิงอันจึงไม่ได้ไป
ยังพื้นที่ประกอบพิธีกรรมในถ้ำ สวรรค์เล็ก เพราะถึงอย่างไรบนภูเขาก็
ยังมีแขกที่มาเข้าร่วมงานพิธีอีกไม่น้อยที่ต่างก็เพิ่งเคยขึ้นเขา
มาเป็นครั้งแรก อย่างเช่นเจินเหรินผู้เฒ่าเหลียงส่วง กลุ่มคนของ
สำ นักกุยหยก แน่นอนว่ายังมีผู้คุมกฎถานหรงแห่งผูซาน
สถานที่พักผ่อนชั่วคราวของเขา ดูเหมือนชุยตงซานจะตั้งใจ
เตรียมไว้ให้ศิษย์น้องจ้าวซู่เซี่ยโดยเฉพาะ ขนาดเรือนไม่ใหญ่มาก
มีลานบ้านสองชั้น เฉินผิงอันเลือกห้องห้องหนึ่ง
เฉินผิงอันเพิ่งจะนั่งขัดสมาธิ เตรียมจะหลับตาพักผ่อนจิตใจสัก
ครู่หนึ่ง
กลับสังเกตเห็นว่าบนเส้นทางนอกประตูมีแม่นางน้อยคนหนึ่ง
กำลังวิ่งมา หลังจากเข้ามาใกล้เรือนหลังนี้แล้วก็เริ่มเขย่งเท้าเดินเบา
ๆ ก่อนจะหยุดยืนนิ่งอย่างเงียบเชียบ ทำหน้าที่เป็นเทพทวารบาลเฝ้าอยู่หน้าประตู ในมือถือไม้เท้าไม้ไผ่เขียว ในอ้อมอกกอดคานหาบ
สีทอง
เฉินผิงอันจึงยิ้มแล้วลุกขึ้นยืน เดินไปนอกประตู
ในเรือนหลังหนึ่งที่อยู่ห่างจากยอดเขามี่เซวี่ยแห่งนี้ไปไม่ไกล
หลิวจิ่งหลงมองลูกศิษย์ที่มีท่าทางอับอายแล้วยิ้มถามว่า “เป็นอะไร
ไป?”
ตามหลักแล้วเฉินผิงอันกลับมาที่ภูเขาเซียนตู ป๋ายโส่วก็น่าจะ
เหมือนได้กินยาสงบใจเม็ดหนึ่งเข้าไปแล้ว ไม่ต้องกังวลว่าอยู่ดีๆ
จะถูกเผยเฉียนซ้อมอีก
ใบหน้าของป๋ายโส่วเต็มไปด้วยความพะวักพะวน ไหล่ลู่คอตก
เอ่ยว่า “ต้องโทษเจ้าป๋ายเสวียนนั่นแหละที่สร้างปัญหายากใหญ่
เทียมฟ้าให้ข้า”
หลิวจิ่งหลงไม่ถามถึงสาเหตุ
ป๋ายโส่วถามว่า “คนแซ่หลิว เจ้ารู้สึกว่าคนคนหนึ่งท่องอยู่ใน
ยุทธภพ หน้าตาสำ คัญที่สุดหรือคุณธรรมน้ำใจที่ควรมาเป็นอันดับ
หนึ่ง?”
หลิวจิ่งหลงยิ้มกล่าว “อย่าถามข้า เจ้าคิดเอาเองเถอะ”
ป๋ายโส่วใช้สองมือขยุ้มหัว เอ่ยอย่างหงุดหงิด “ล้วนแซ่ป๋าย
เหมือนกัน เหตุใดต้องสร้างความลำบากใจให้คนแซ่ป๋ายเหมือนกันด้วย”
ที่แท้ป๋ายเสวียนก็มีสมุดเล่มหนึ่งที่จดชื่อไว้ไม่น้อย เรียกอย่าง
ไพเราะว่าตำราวีรบุรุษ ด้านในล้วนมีแต่ลูกผู้ชายที่กระดูกแข็งหยิ่ง
ทระนงในศักดิ์ศรี
ก่อนหน้านี้ป๋ายเสวียนยังถามป๋ายโส่วว่าอยากให้พวกเราสอง
พี่น้องได้สร้างวีรกรรมร่วมกันหรือไม่ ในอนาคตจะได้ทวง
ความเป็นธรรมจากใครบางคนได้
หากว่าช่วยป๋ายเสวียนปิดบังเรื่องนี้ ป๋ายโส่วรู้สึกว่ากระดาษ
ไม่อาจห่อหุ้มไฟได้ สักวันหนึ่งไม่ช้าก็เร็วจะต้องโดนซ้อมจนได้ เหล่า
ชายชาตรีวีรบุรุษผู้กล้าที่ทิ้งชื่อไว้บนตำราเล่มนั้น ใครก็อย่าคิดว่า
จะหนีไปได้
แต่หากจะบอกว่าให้เขาเอาความลับไปบอกเผยเฉียน ป๋ายโส่ว
ก็มิอาจข้ามผ่านหลุมในใจนั้นไปได้ ดูเหมือนว่าเขาจะไร้คุณธรรม
น้ำใจในยุทธภพมากเกินไป นี่ไม่ใช่นิสัยของเขาป๋ายโส่ว
แต่ถ้าไม่บอกความลับก็กลัวจริงๆ ว่าเจ้าคนโง่มุทะลุอย่างป๋าย
เสวียนจะแอบจดชื่อของตนลงไปด้วยแล้ว ถึงเวลาเรื่องแดงขึ้นมา ดิน
เหลืองเปื้อนเต็มกางเกง ต่อให้ไม่ใช่ขี้คนก็มองว่าเป็นขี้
นี่ทำให้ป๋ายโส่วลังเลตัดสินใจไม่ได้ ถึงท้ายที่สุดก็คิดว่าเพื่อ
ความปลอดภัยไว้ก่อน ควรเอาเรื่องนี้มาบอกให้คนแซ่หลิวทราบต่อให้วันหน้าถูกเผยเฉียนตามคิดบัญชี ตนก็ยังมีพยานบุคคล
หลิวจิ่งหลงฟังความลับเรื่องนั้นแล้วก็ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ใช่ปัญหา
ยากอะไรเสียหน่อย ใครเรียนผูกคนนั้นก็ต้องเรียนแก้เอาเอง”
“หมายความว่าอะไร?”
ป๋ายโส่วฟังด้วยความมึนงง พูดอย่างมีโทสะว่า “คงจะไม่ให้ข้า
ก้มหัวยอมลงให้เผยเฉียนหรอกนะ ฝันไปเถอะ! ลูกผู้ชายอย่างข้า ถูก
ต่อยไม่กี่ทีก็ช่างเถอะ เพราะนั่นคือการประลองฝีมือที่แท้จริง ฝีมือ
สู้คนอื่นเขาไม่ได้ ต่อให้พ่ายแพ้ก็แพ้อย่างสมเกียรติ แต่จะให้ข้าเป็น
ฝ่ายยอมอ่อนข้อให้ก่อน?! ให้ข้ากินตดยังจะดีกว่า…”
ป๋ายโส่วรีบหุบปากทันใด
หลิวจิ่งหลงกล่าวอย่างอ่อนใจ “ความหมายของข้าก็คือให้เจ้า
ไปหาเฉินผิงอัน เจ้าให้ข้ามาเป็นพยานบุคคลให้ก็ไม่ได้ผลเท่าไปหา
อาจารย์พ่อของเผยเฉียนหรอก”
ป๋ายโส่วใช้หมัดทุบฝ่ามือ “ยอดเยี่ยม!”
นอกประตูห้องมีคนสองคนยืนอยู่ หนึ่งคนโตหนึ่งเด็ก
เฉินผิงอันชุดเขียว แม่นางน้อยชุดดำ
เฉินผิงอันเคาะประตูห้อง หัวเราะร่าพาหมี่ลี่น้อยเดินข้าม
ธรณีประตูเข้ามาไอ้หมอนี่ไม่ทันเคาะประตูเรือนก็ปีนข้ามกำแพงเข้ามาแล้ว แต่
ป๋ายโส่วไม่มีเวลามัวมาคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องหยุมหยิมพวกนี้อีก
ถึงอย่างไรตลอดทั้งยอดเขามี่เซวี่ยก็เป็นถิ่นของพี่น้องบ้านตน
หลังจากลุกขึ้นยืนแล้ว ป๋ายโส่วก็พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “เฉินผิง
อัน เจ้าได้ยินหมดแล้วหรือ วันหน้าป๋ายเสวียนถูกซ้อมอย่าง
หนักหน่วงเมื่อไหร่ เจ้าก็ต้องช่วยข้าอธิบายให้เผยเฉียนเข้าใจอย่าง
ชัดเจนด้วยนะ”
เฉินผิงอันเดินข้ามธรณีประตูมาแล้วก็พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
“ไม่มีปัญหา”
เวลานี้ป๋ายโส่วที่มัวแต่เบิกบานใจอยู่กับตัวเอง เห็นได้ชัดว่ายัง
ไม่ทันตระหนักถึงความร้ายแรงของปัญหา
หมี่ลี่น้อย
ได้จดจำ สองเรื่องนี้ไว้เงียบๆ แล้ว
เรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งเกี่ยวกับตำราวีรบุรุษเล่มนั้นของป๋ายเสวียน
และยังมีเรื่องเล็กอีกเรื่องหนึ่ง ก็คือเจ้าแห่งยอดเขาเพียนหราน
ป๋ายโส่วเซียนกระบี่โอสถทอง เรียกชื่อเจ้าขุนเขาคนดีของพวกเรา
ออกมาตรงๆ
เรื่องใหญ่ที่ว่านั้นเกี่ยวพันถึง ‘บุญคุณความแค้นในยุทธภพ’ ตน
ไม่อาจทำตัวเป็นเทพคาบข่าวเอาข้อมูลไปบอกเผยเฉียนได้แต่เรื่องเล็กเรื่องหลังนี่ หากว่าไม่ทันระวังเผลอหลุดปากพูด
ออกไป คิดดูแล้วน่าจะไม่ได้เป็นปัญหามากกระมัง?
หลิวจิ่งหลงมองหมี่ลี่น้อย ก่อนจะขยับเส้นสายตาไปอีกทาง พบ
ว่าเฉินผิงอันกำลังกลั้นหัวเราะอย่างยากลำบากอยู่จริงๆ ด้วย
หลิวจิ่งหลงกระแอมหนึ่งที
ป๋ายโส่วกลับไม่โง่ เขาตกใจอย่างหนัก รีบเค้นใบหน้าเปื้อนยิ้ม
ส่งไปให้ “หมี่ลี่น้อยอ่า เรื่องในวันนี้ จำ ไว้ว่าต้องช่วยข้า เอิ่ม หลักๆ
คือต้องช่วยป๋ายเสวียนเก็บไว้เป็นความลับด้วยนะ”
หมี่ลี่น้อยพูดด้วยสีหน้าจริงจังทันใด “ข้าไม่รู้เรื่องตำราอะไรเลย
สักนิด แม้แต่ได้ยินก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อน!”
ป๋ายโส่วรู้สึกว่าทุกเรื่องล้วนมั่นคงปลอดภัยดีแล้วจึงโบกมือเป็น
วงกว้าง “พี่น้องคนดี รีบนั่งลงคุยกันเถอะ ดื่มเหล้าๆ”
เฉินผิงอันกำลังจะหยิบเหล้ากาหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ
หลิวจิ่งหลงกลับยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ตอนที่อยู่เมืองหลวงต้าหลี
ข้าได้ไปพบกับหันโจ้วจิ่นแล้ว ได้พึ่งใบบุญของใครบางคน มีหน้ามีตา
ไม่น้อย พอเจอข้า แม่นางหันก็เกรงใจกันอย่างมากเลยล่ะ”
ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็หยิบเหล้าหมักฉางชุนที่เตรียมรอไว้นาน
แล้วออกมาสองกา
แน่นอนว่าดื่มกันคนละสองกาคงเป็นเพราะกลัวว่าเจ้าสำ นักหลิวจะดื่มได้ไม่เต็มคราบ หัน
โจ้วจิ่นจึงบอกว่ายังมีอีกหลายกา
เฉินผิงอันสะบัดชายแขนเสื้อ ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ “ข้ายังต้องไป
พบจางซานเฟิง คงไม่รบกวนเจ้าแล้ว”
หลิวจิ่งหลงพูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความคลางแคลง “เพิ่ง
จะมาถึงเอง จะกลับแล้วหรือ ไม่ดื่มสักหน่อยล่ะ?”
เห็นเพียงว่าเจ้าขุนเขาเฉินที่บนร่างเปี่ยมไปด้วยปราณ
เที่ยงธรรมเอ่ยว่า “พวกเราสองคนเป็นอะไรกัน ขาดเหล้าแค่มื้อนี้
จะเป็นไรไป รอให้งานพิธีสิ้นสุดลงแล้วค่อยว่ากันเถอะ มัวเกรงใจ
อะไรกันอยู่ หรือหากจะ ‘ไม่ว่ากัน’ ก็ยังได้”
เดินออกจากเรือนหลังนี้มาแล้ว หมี่ลี่น้อยก็กดเสียงต่ำ ถามเบา
ๆ ว่า “เจ้าขุนเขาคนดี เจ้าสำ นักหลิวถูกคนยุให้ดื่มเหล้าอีกแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ใช่แล้วๆ เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เซียนกระบี่
ใหญ่หลิวคอแข็งจนชื่อเสียงเลื่องลืออยู่ข้างนอก อิจฉาก็อิจฉาไม่ได้”
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็ไปเคาะประตูเรือนหลังหนึ่ง คนที่มาเปิด
ประตูคือเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ เจินเหรินผู้เฒ่า
เหลียงส่วง
ส่วนหม่าซวนฮุยพักอยู่ในห้องด้านข้าง ขอแค่เป็นผู้ฝึกตน อีก
ทั้ง
ก่อนที่จะได้บรรลุมรรคาอย่างแท้จริง ส่วนใหญ่มักหลับไม่ลึกเสมอนักพรตหญิงเดินออกมาจากห้องพักของนางอย่างว่องไว มอง
ประเมินคนทั้งสามที่นั่งล้อมโต๊ะคุยกันอยู่ให้องหลัก ก่อนหน้านี้ได้ยิน
อาจารย์เล่าถึงสาเหตุแท้จริงที่ทำให้เกิดภาพเหตุการณ์ประหลาดใน
ใบถงทวีป หม่าซวนฮุยจึงยิ่งเคารพยำเกรงบุรุษชุดเขียวที่อายุน้อยๆ
ก็ได้ครอบครองสำ นักเบื้องล่างผู้นี้มากยิ่งขึ้น ตอนนั้นอาจารย์เอ่ย
ทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังประโยคหนึ่งว่า วันหน้าผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์
อย่างพวกเจ้าล้วนจะต้องมองคนผู้นี้เป็นดั่งเทพเจ้าที่อยู่บนพื้นดิน
เพียงแต่ว่ามองบุรุษชุดเขียวผู้นั้น แล้วหันไปมองแม่นางน้อยชุด
ดำที่กำลังจิบเหล้าคำเล็กๆ บนม้านั่งยาวตัวเดียวกันกับเขา
โดยเฉพาะยิ่งรอกระทั่งเขาเงยหน้าขึ้นยิ้มเรียกนางว่าแม่นางหม่า
หม่าซวนฮุยที่ผงกศีรษะตอบรับ ยิ้มอย่างเขินอายก็รีบถอยกลับเข้าไป
ในห้องของตัวเองทันที ไม่รู้ว่าเหตุใดหม่าซวนฮุยถึงได้รู้สึกว่าตนกลัว
เขานิดๆ
ภายหลังเฉินผิงอันก็พาหมี่ลี่น้อยไปยังที่พักที่ฝ่ายของเรือนอวิ๋น
ฉ่าวผูซานมาพักบนยอดเขามี่เซวี่ย เรือนที่ผู้คุมกฎเฒ่าพักอาศัย
ถานหรงได้เจอกับเฉินผิงอันก็ยิ้มเจื่อนกุมหมัดเอ่ย
“เสียมารยาทแล้ว เป็นที่ขบขันของท่านแล้ว”
เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะกลับคืน เอ่ยขออภัยว่า “ก่อนหน้านี้ที่
เรือนอวิ๋นฉ่าว ผู้เยาว์มิได้มีเจตนาจะปิดบังตัวตน”ถานหรงกล่าว “ข้าจะขอ…ตราประทับจากอาจารย์เฉินสักสอง
สามชิ้นได้ไหม?”
เดิมทีผู้ฝึกตนเฒ่าอยากจะพูดว่าตราประทับหนึ่งชิ้น แต่คำพูด
มาถึงริมฝีปากแล้วกลับรีบเปลี่ยนคำใหม่ทันที
เฉินผิงอันพยักหน้าตอบตกลง ยังถามผู้คุมกฎถานด้วยว่า
มีอักษรตราประทับอะไรที่ชื่นชอบหรือไม่ ถานหรงพูดแค่ว่าทุกอย่าง
ให้อาจารย์เฉินแสดงฝีมืออย่างเต็มที่ได้เลย
ทางฝั่งของยอดเขามี่เซวี่ย เรือนพักขนาดใหญ่หลังหนึ่งที่
ค่อนข้างพบเห็นได้ยาก มีลานบ้านหลายชั้น ระเบียงทางเดินคดเคี้ยว
เอาไว้ใช้รับรองผู้ฝึกตนบนทำเนียบของสำ นักใหญ่โดยเฉพาะ
เดิมทีปล่อยว่างไว้โดยตลอด รอกระทั่งผู้ฝึกตนของสำ นักกุย
หยกจับมือกันมาร่วมงานพิธี ก็สามารถเอามาใช้งานได้พอดี
แวะมาเยี่ยมเยือนถึงบ้านยามค่ำคืน เฉินผิงอันก็ได้เจอกับผู้
ถวายงานศาลบรรพจารย์สำ นักกุยหยก หวังจี้ขอบเขตหยกดิบ
และยังมีเจ้าแห่งยอดเขาจิ่วอี้ ผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์ซึ่งยัง
ถือว่าเป็นแค่เด็กชายคนหนึ่ง ชิวจื๋อ
รวมไปถึงลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเหวยอิ๋งเจ้าสำ นักกุยหยกคน
ปัจจุบัน ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองอายุน้อยสองคน ศิษย์พี่เหวยกูซู
ศิษย์น้องเหวยเซียนโหยวและยังมีผู้เฒ่าอีกคนหนึ่งที่มีชื่อว่าจางเฟิงกู่ ฉายา ‘เหล่าเซี่ยง’
(ช้างเฒ่า) เขานั่งอย
ต ู่ รงตำแหน่งประธาน
นอกจากนี้กลุ่มของเจียงเหิง ‘นายน้อย’ ของพื้นที่มงคลถ้ำ เมฆา
รวมไปถึงสวีเซี่ยเซียนกระบี่ใหญ่ที่ถือว่าเป็นคนนอกของสำ นักกุยหยก
ต่างก็ไม่ได้ปรากฏตัว
เกี่ยวกับบรรพจารย์ผู้เฒ่าสำ นักกุยหยกที่ลำดับอาวุโสเท่าเทียม
กับอดีตเจ้าสำ นักสวินยวนผู้นี้ คือเซียนเหรินคนหนึ่ง
การที่จางเฟิงกู่ไม่ได้ปรากฏตัวในสงครามใหญ่ที่สำ นักกุยหยก
ถูกเผ่าปีศาจล้อมโจมตีก่อนหน้านี้ ผู้ฝึกตนเฒ่ามีความลำบากใจของ
ตัวเอง
เพราะเกี่ยวพันกับรากฐานมหามรรคาของคนผู้นี้ ชิงถงจึงเคย
เปิดเผยความลับสวรรค์ให้ฟัง
เล่าลือกันว่าราชวงศ์แห่งหนึ่งที่ใหญ่ที่สุดของใบถงทวีปในอดีต
ได้สร้างสถานที่เลี้ยงช้างขึ้นมา เวลานานเข้าก็เกิดสติปัญญา ฝูงช้าง
สามารถทำพิธีสามคำนับเก้ากราบพร้อมกับจักรพรรดิและเซียนซือได้
มีเพียงช้างเฒ่าตัวเดียวเท่านั้นที่ยังคงทำพิธีตามคนโบราณ นี่
จึงเป็นเหตุให้ราชวงศ์แห่งนั้นจ้างจิตรกรฝีมือดีมาวาดภาพฝูงช้างไว้
เป็นที่ระลึก ส่วนใหญ่ช้างพวกนั้นล้วนมีรูปร่างใหญ่โตอีกทั้งยังมี
ความงามหยาดเยิ้ม มีเพียงช้างเฒ่าตัวนี้ที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงเฉินผิงอันแค่มองแวบแรก เพียงได้เห็นเด็กชายที่ชื่อชิวจื๋อก็รู้สึก
เกิดความใกล้ชิดสนิทสนมทันที
แค่มองก็ถูกชะตา
ส่วนชิวจื๋อที่พอได้เห็นใต้เท้าอิ่นกวานผู้มีชื่อเสียงเลื่องระบือคน
นี้กับตาตัวเองก็เกิดความรู้สึกที่ไม่ต่างกัน ไม่เหมือนภาพลักษณ์ของ
อิ่นกวาน เซียนกระบี่และเจ้าสำ นักที่เขาจินตนาการไว้สักเท่าไร
ต่อให้ไม่มอบความรู้สึกที่เฉียบคมบีบคั้นให้กับผู้คน ไม่เผย
ประกายแหลมคมทั่วร่าง ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนที่บรรลุมรรคาคนหนึ่งจึง
สามารถเก็บอารมณ์ความรู้สึกได้ดี ยามที่พูดคุยกับคนอื่นก็ยินดี
แสดงสีหน้าเป็นมิตร เข้ากับคนอื่นได้ง่าย แต่ถึงอย่างไรก็ยากที่จะ
เป็นเหมือนผู้อาวุโสอายุน้อยบนภูเขาตรงหน้าผู้นี้ที่สามารถทำให้
ชิวจื๋อรู้สึกได้จากใจจริงว่าอีกฝ่ายนั่งทัดเทียมกับคนอื่นตลอดเวลา
จริงๆ
ตอนที่เฉินผิงอันพูดคุยกับจางเฟิงกู่และหวังจี้ก็อดเหลือบมอง
ไปทางชิวจื๋อไม่ได้
เด็กตัวเท่านี้ก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งแล้ว
อีกทั้งดูจากท่าทาง ชิวจื๋อก็น่าจะคลำไปเจอคอขวดของ
ขอบเขตประตูมังกรแล้ว อีกไม่นานก็จะได้กลายเป็นโอสถทองเฉินผิงอันเกือบจะหลุดปากพูดออกไปแล้วว่า ในอนาคตหาก
สร้างโอสถจะไปร่วมงานพิธีที่ยอดเขาจิ่วอี้สำ นักกุยหยก
เพียงแต่พอคิดถึงเป้าหมายในการมาเยือนครั้งนี้ของอีกฝ่าย
เฉินผิงอันก็ได้แต่อดทนไว้ไม่พูดประโยคนี้ออกมา เอ่ยแค่ประโยคที่
คล้ายกับพูดไปตามมารยาทว่า สำ นักกุยหยกมีผู้สืบทอดแล้ว
——