กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 958.5 บนยอดเขาชิงผิง
ขอตัวลาจากไป พาหมี่ลี่น้อยไปหาเหยาเซียนจือ เฉินผิงอันถาม
เสียงเบาว่า “แม่ทัพผู้เฒ่าหลับแล้วหรือ?”
เหยาเซียนจือพยักหน้ารับ ใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนใจ
“กว่าจะหลับได้ก็ไม่ง่ายเลย เพราะท่านปู่รู้สึกว่าเรื่องของการขุดเจาะ
ลำน้ำกว่าจะมีเค้าโครงได้ไม่ง่าย เดิมทีคิดว่าจะเฝ้าคืนไปจนถึง
ฟ้าสว่าง แต่ถึงอย่างไรท่านปู่ก็อายุมากแล้ว ฝืนทนแมลงง่วงนอน
ไม่ไหว”
เฉินผิงอันพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “รอให้แม่ทัพผู้เฒ่าตื่นขึ้นมาใน
ตอนเช้า ก็บอกกับเขาด้วยว่าเรื่องของการขุดเจาะลำน้ำใหญ่ของใบ
ถงทวีปให้ข้ากับภูเขาเซียนตูเป็นคนจัดการเอง”
ใบหน้าเหยาเซียนจือเต็มไปด้วยความตกตะลึง “จริงหรือ?!”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “นี่ใช่เรื่องที่ล้อเล่นกันได้ด้วยหรือ?”
ห้องที่อยู่ตรงข้ามกับห้องของเหยาเซียนจือมีแสงตะเกียงสีออก
เหลืองลอดทะลุกระดาษหน้าต่างออกมา
คือหลี่ซีหลิงเจ้ากรมผู้เฒ่าของกรมอาญาที่ยังคงจุดตะเกียง
อ่านตำรายามค่ำคืนผู้เฒ่ายังมีสถานะที่สำ คัญอีกอย่างหนึ่ง เขาคือลุงเขยของ
ฮ่องเต้ราชวงศ์ต้าเฉวียนองค์ปัจจุบัน
เจ้ากรมผู้เฒ่าเคยเดินทางไปที่แคว้นเป่ยจิ้นเป็นเพื่อนชุยตง
ซานรอบหนึ่ง แล้วก็เป็นเพราะคนผู้นี้ที่ช่วยสานสะพานความสัมพันธ์
ถึงได้ซื้อมหาบรรพตเก่าลูกหนึ่งมาได้ หรือก็คือภูเขาโฉวโหมวใน
ทุกวันนี้
จักรพรรดิพระองค์ใหม่ของแคว้นเป่ยจิ้นใจกว้างอย่างมาก แค่
เปิดราคาไว้ที่ห้าสิบเหรียญเงินฝนธัญพืช อีกทั้งยังแอบบอกชุยเซียน
ซือผู้นั้นอย่างลับๆ ด้วยว่าหากยินดีจะเอาห้ามหาบรรพตเก่าไป
ทั้ง
หมดก็ต้องการเงินฝนธัญพืชแค่สองร้อยเหรียญเท่านั้น
นี่ไม่ใช่ซื้อแล้ว แต่เท่ากับมอบให้เปล่าๆ เลย
เพียงแต่ว่าการค้าขายบางอย่างในใต้หล้านี้ หลายๆ ครั้งก็ไม่ใช่
แค่เรื่องของเงินจริงๆ
ยกตัวอย่างเช่นภูเขาที่มีแค่เซียนดินโอสถทองคนหนึ่งนั่งพิทักษ์
ต่อให้ราคาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวหรืออาจสองเท่าตัว ตั้งราคาที่แปดร้อย
เหรียญเงินฝนธัญพืช หมายจะเหมาซื้อมหาบรรพตเก่าทั้งหมดห้า
ลูกจากแคว้นเป่ยจิ้น
คาดว่านับตั้งแต่ตัวฮ่องเต้เองไปจนถึงตลอดทั้งราชสำ นักก็
มีแต่จะรู้สึกว่าเป็นการสร้างความอัปยศให้กับแคว้นเป่ยจิ้น ถึงขั้นที่เป็นการท้าทายด้วย
เจ้ากรมอาญาผู้เฒ่าที่กำลังจุดตะเกียงอ่านตำราและถือโอกาส
เฝ้าคืนไปด้วยมีรากเหง้าของครอบครัวที่ลึกล้ำ ของสะสมมีมากมาย
เชี่ยวชาญด้านการให้คุณค่าและชื่นชมงานศิลปะ คือลูกหลานตระกูล
ชนชั้นสูงอันดับหนึ่งของราชสำ นักต้าเฉวียน แล้วยังได้รับการยอมรับ
ว่าเป็นเด็กหนุ่มอัจฉริยะ คือผู้มีความสามารถที่บุคลิกสง่างาม
จนกระทั่งได้เจอกับป้าของเหยาเซียนจือจึงสำ รวมกายใจ ตอนนั้น
เพื่อแต่งนางมาเป็นภรรยา เนื่องจากสกุลเหยาของกองทัพชายแดน
เคารพกฎบรรพบุรุษข้อหนึ่งมาโดยตลอด จึงไม่ยินดีและไม่กล้าที่จะ
แต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์กับตระกูลชั้นสูงในเมืองหลวง กังวลว่า
จะถูกฮ่องเต้สกุลหลี่ของต้าเฉวียนหวาดระแวง ดังนั้นจึงเจออุปสรรค
ไม่น้อย โชคดีที่สุดท้ายแล้วคนมีรักก็ได้ครองคู่กันจนแก่เฒ่า
แต่หลี่ซีหลิงที่มีฐานะเป็นเจ้ากรมพิธีการ เนื่องจากบิดาเคย
รับหน้าที่เป็นเจ้ากรมคนก่อนของกรมขุนนาง ทุกวันนี้อยู่ในราชสำ นัก
ต้าเฉวียนก็มีหลายเรื่องที่ไม่ได้เอาแต่พึ่งพาฮ่องเต้อย่างเดียว
ลูกศิษย์ลูกหาและลูกน้องเก่าเหมือนมีแววว่าจะรวมตัวกันเป็นฝักเป็น
ฝ่าย บวกกับที่พวกขุนนางเก่าของราชวงศ์ก่อนต่างก็มาสวามิภักดิ์อยู่
ใต้สำ นักของหลี่ซีหลิง นอกจากนี้ยังมีขุนนางบุ๋นน้ำใสที่อยู่ในวัยหนุ่ม
ฉกรรจ์ รวมไปถึงแม่ทัพบู๊หลายคนที่มาจากกองทัพ นับตั้งแต่ราชสำ นักไปจนถึงท้องถิ่น โดยภาพรวมแล้วสามารถแบ่งเป็น
กองกำลังได้สามฝ่ายที่มีความสัมพันธ์ความซับซ้อน เนื่องจาก
ราชวงศ์ต้าเฉวียนมีสตรีที่ตั้งตัวเป็นฮ่องเต้หญิงอย่างที่หาได้ยาก
สกุลเหยาที่เคยเป็นพระญาติจึงกลายมาเป็นเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์
ทุกวันนี้มีเหยาเซียนจือที่เป็นเจ้าเมืองของเมืองหลวงเป็นผู้นำ
เฉินผิงอันบอกให้หมี่ลี่น้อยอยู่กับเหยาเซียนจือ ตัวเองไปเคาะ
ประตูห้องที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ได้เจอกับผู้เฒ่าที่เดินสวมเสื้อคลุมออกมา
แล้วก็ประสานมือคารวะ “เฉินผิงอันแห่งสายเหวินเซิ่ง คารวะเจ้ากรม
หลี่”
เนื่องจากตอนที่หลี่ซีหลิงอายุน้อยเคยไปทัศนศึกษาที่
สำ นักศึกษาต้าฝู กราบวิญญูชนของสำ นักศึกษาท่านหนึ่งเป็น
อาจารย์ขอศึกษาวิชาความรู้ ดังนั้นจึงไม่เพียงแต่เป็นลูกศิษย์ของ
ลัทธิขงจื๊อในความหมายที่มีนัยกว้าง ยังถือเป็นลูกศิษย์ของ
สำ นักศึกษาด้วย
ในฐานะบัณฑิตที่เปิดอ่านตำราอริยะปราชญ์ทุกวัน ไม่ว่าหลี่ซีห
ลิงเจอกับใครก็ล้วนไม่เคยเผยความขลาดกลัว
เจ้ากรมผู้เฒ่าที่เดิมทียังจงใจตีหน้าเคร่งพลันคลี่ยิ้มกว้าง รีบ
คารวะกลับคืน เพียงแต่รอกระทั่งเขายืดตัวขึ้น ผู้เฒ่าก็หุบยิ้มอย่างเงียบเชียบ เอ่ยว่า “มิอาจรับไว้ได้ มิอาจรับพิธีใหญ่ของอาจารย์เฉินนี้
ไว้ได้เลย”
กับหลี่ซีหลิงแล้วไม่ขาดหัวข้อให้พูดคุยกัน เพราะถึงอย่างไรเฉิน
ผิงอันก็คุ้นเคยกับราชวงศ์ต้าเฉวียนเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงถูกเจ้ากรมผู้
เฒ่ารั้งตัวไว้พูดคุยกันถึงหนึ่งชั่วยามเต็มกว่าเฉินผิงอันจะปลีกตัว
ออกมาได้
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็พาหมี่ลี่น้อยไปหาเผยเฉียน เห็นว่าเฉา
ฉิงหล่างก็นั่งอยู่ข้างกระถางไฟด้วย แล้วยังมีเซียนกระบี่ใหญ่หมี่ที่
คล้ายมาเฝ้าตอรอกระต่ายอยู่ที่นี่
หมี่ลี่น้อยเริ่มหยิบเมล็ดแตงออกมาจากกระเป๋าผ้าฝ้ายสะพาย
ไหล่ แบ่งเมล็ดแตงแล้วก็ได้เวลาแทะเมล็ดแตงกัน!
นอกจากคนที่อยู่ภูเขาลั่วพั่วและตรอกฉีหลง เจิ้งต้าเฟิงอยู่ใต้
หล้าห้าสี โจวอันดับหนึ่งและเว่ยเซี่ยนต่างก็ไปใต้หล้าเปลี่ยวร้างกัน
แล้ว
หลูป๋ายเซี่ยงหนึ่งในสี่คนในภาพวาดของพื้นที่มงคลดอกบัวใน
อดีตได้พาลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองคนอย่างหยวนไหลหยวนเป่าไปยัง
พรรคของตัวเอง
ตัวอ่อนเซียนกระบี่เก้าคนที่เฉินผิงอันพากลับมาจาก
กำแพงเมืองปราณกระบี่ อวี๋ชิงจางและเฮ้อเซียงถิงได้กราบอาจารย์เป็นลูกศิษย์ใต้สำ นักของอวี๋เยว่ผู้ถวายงานภูเขาลั่วพั่ว ติดตามผู้ฝึก
กระบี่เฒ่าเดินทางไกลไปยังทวีปแห่งอื่น
เฉินหลิงจวิน กวอจู๋จิ่วที่เป็นลูกศิษย์คนเล็กของเฉินผิงอันใน
ทุกวันนี้ ตอนนี้ยังอยู่ที่ภูเขาโหลวซานของแจกันสมบัติทวีป เข้าร่วม
งานพิธีเปิดยอดเขาของพรรคหวงเหลียง
โดยไม่ทันรู้ตัว เวลาก็ผันผ่าน โชคดีที่ด้านในกระเป๋าผ้าฝ้าย
ของหมี่ลี่น้อยมี ‘ฐานกำลังทรัพย์ลึกล้ำ’
ยามฟ้าสาง ท้องฟ้านอกห้องเริ่มสว่างไสว
แสงจันทร์เสี้ยวสุดท้ายนอกฟ้านำพากลุ่มดาวจากไป ไอหมอก
ในภูเขาเขียวกำลังจะจางหาย โลกมนุษย์นอกภูเขา เสียงไก่ขันเรียก
แสงจันทร์ถอยกลับที่พักแรม
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ยิ้มเอ่ย “ข้าจะไปพักผ่อนสักครู่”
ยังอยู่ห่างจากงานพิธีของสำ นักเบื้องล่างอีกครึ่งชั่วยาม สมาชิก
ในทำเนียบของภูเขาลั่วพั่วและภูเขาเซียนตูกับแขกที่มาเข้าร่วม
งานพิธีต่างก็เริ่มทยอยกันมาถึงลานกว้างด้านนอกศาลบรรพจารย์
ของยอดเขาชิงผิงกันแล้ว
อันที่จริงคนที่ไปถึงที่นั่นก่อนใครยังคงเป็นกลุ่มของหมี่ลี่น้อย
พวกเขามาถึงที่นี่ตั้งแต่ก่อนเริ่มงานหนึ่งชั่วยามแล้ว นอกจากหมี่ลี่น้อยก็ยังมีป๋ายเสวียน ไฉอู๋ ซุนชุนหวัง พวกเขาคือภูเขาเล็กลูก
เดียวกันนี่นะ
แน่นอนว่ายังมีเจี่ยเฉิงที่มาคอยง่วนอยู่กับการรับรองแขกนาน
แล้ว
ขนาดจ้งชิวยังมาถึงลานกว้างแห่งนี้ช้ากว่าเทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ย
เล็กน้อย
รอกระทั่งอาจารย์จ้งที่กำลังจะได้รับหน้าที่เป็นท่านเทพเจ้าแห่ง
โชคลาภของห้องบัญชีสำ นักเบื้องล่างมาถึง เจี่ยเฉิงก็ย่อมลุกขึ้นไปยืน
อยู่ด้านหลังอาจารย์จ้ง แล้วก็ไม่พูดอะไรเยอะอีก
แขกที่มาเข้าร่วมงานพิธีของภูเขาเซียนตู ยิ่งนานก็ยิ่ง
มาปรากฏตัวอยู่บนลานกว้างนอกศาลบรรพจารย์ยอดเขาชิงผิง
มากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ว่าแขกส่วนหนึ่งในนั้น อีกไม่นานก็ได้จะเปลี่ยนแปลงสถานะ
กันแล้ว
ตอนนี้คนที่มายืนอยู่บนลานกว้างแล้ว คนของราชวงศ์ต้า
เฉวียนมีสามคน แม่ทัพผู้เฒ่าเหยาเจิ้น เหยาเซียนจือเจ้าเมืองของ
นครเซิ่นจิ่งต้าเฉวียน หลี่ซีหลิงเจ้ากรมพิธีการ
หวงถิงนักพรตหญิงแห่งภูเขาไท่ผิง ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบข้างกายของหวงถิงมีอวี๋ฟู่ซาน ฉายา ‘ฟู่ซาน’ ผู้ถวายงาน
ปกป้องภูเขาคนใหม่ที่เพิ่งรับมาหลังจากนางกลับจากใต้หล้าห้าสีมา
ถึงบ้านเกิด
อาจารย์และศิษย์คู่หนึ่งที่มาจากภูเขาต้นไม้เหล็กแผ่นดินกลาง
เซียนเหรินกั่วหราน ฉายา ‘หลงเหมิน’ นำพาถานอิ๋งโจวผู้เป็นลูกศิษย์
มาด้วย
ข้างกายอาจารย์และศิษย์ยังมีลูกศิษย์ผู้สืบทอดของจวินเชี่ยน
ศิษย์พี่ของเฉินผิงอันอย่างเจิ้งโย่วเฉียนยืนอยู่ด้วย
เรือนอวิ๋นฉ่าวผูซาน เจ้าขุนเขาเย่อวิ๋นอวิ๋น เซวียไหวลูกศิษย์
ใหญ่ ผู้คุมกฎถานหรงแห่งผูซาน
เหลียงส่วงเจินเหรินผู้เฒ่าเทียนซือต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์
จากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง นักพรตหญิงหม่าซวนฮุยลูกศิษย์ที่
เขาเพิ่งรับที่ใบถงทวีป
คู่ศิษย์พี่ศิษย์น้องแห่งยอดเขาพาตี้อุตรกุรุทวีป หยวนหลิงเตี้ยน
จางซานเฟิง
เจ้ายอดเขาคนใหม่ของยอดเขาจิ่วอี้สำ นักกุยหยก เด็กชาย
ชิวจื๋อผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกร บุตรชายคนโตของเจียงซ่างเจิน
แห่งพื้นที่มงคลถ้ำ เมฆาสกุลเจียง เจียงเหิงผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองคนของเหวยอิ๋งเจ้าสำ นัก
เหนียนจิ่วและสุ้ยอวี๋ ชื่อจริงแบ่งออกเป็นเหวยกูซูและเหวยเซียนโหยว
หวังจี้ผู้ถวายงานศาลบรรพจารย์ยอดเขาเสินจ้วน ขอบเขตหยก
ดิบ สวีเซี่ยเซียนกระบี่ใหญ่แห่งท่าเรือชวีซาน เค่อชิงสกุลหลิวธวัล
ทวีป คนนอกคนหนึ่ง
เจียงเหิงกำลังจะได้เจอกับเฉินผิงอันเป็นครั้งที่สองแล้ว
คราวก่อนคือเจอกันบนเกาะกุ้ยฮวาหนึ่งในเรือข้ามทวีปของนครมังกร
เฒ่าซึ่งมุ่งหน้าไปยังภูเขาห้อยหัว เวลานั้นทั้งสถานะและขอบเขตของ
ทั้ง
สองฝ่ายเรียกได้ว่าต่างกันราวฟ้ากับเหว
ฉิวตู๋ฉิวเฒ่าอดีตหมัวมัวผู้อบรมมารยาทของวังมังกรลำน้ำใหญ่
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของหญิงชราคือเด็กสาวหูฉู่หลิง
ชื่อเล่นชู่ชู่แห่งร้านหมั้นหมายริมแม่น้ำชื่อหลิน
จงขุยพาเจ้าอ้วนอวี่จิ่นที่มีสถานะเป็นผีเซียนมาด้วยกัน บอกว่า
ตัวเองชื่อกูซู
เหวยเซียนโหยวแอบมองประเมินเซียนกระบี่ใหญ่หมี่ที่สวมชุด
สีขาวสว่างยิ่งกว่าหิมะ
หล่อเหลาน่ามองจริงๆ
สวีเซี่ยเป็นฝ่ายไปหาเผยเฉียนด้วยตัวเอง‘เซียนกระบี่สวีจวิน’ ที่เงียบขรึมไม่ชอบยิ้มแย้มผู้นี้ พอเห็นเผย
เฉียน ใบหน้าก็ปรากฎรอยยิ้มเสี้ยวหนึ่งอย่างที่หาได้ยาก
เผยเฉียนกุมหมัดคารวะ
บนสนามรบที่เกราะทองทวีปครั้งนั้น เซียนกระบี่คนหนึ่ง ผู้ฝึก
ยุทธคนหนึ่ง ทั้งสองเคยสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาแล้วหลายครั้ง
ในความเป็นจริงแล้วครั้งนี้การที่เขายินดีมาคุ้มกันให้สำ นักกุย
หยก สวีเซี่ยก็แค่อยากจะมาคุยเล่นกับเผยเฉียนสักสองสามประโยค
เท่านั้น
เซียนกระบี่ใหญ่อายุน้อยที่บ้านเกิดอยู่ที่เกราะทองทวีปผู้นี้
สายตาที่มองเผยเฉียนก็แทบไม่ต่างจากสายตาที่ใช้มองผู้เยาว์ใน
ครอบครัวของตัวเองที่ได้ดิบได้ดีมีอนาคตอย่างถึงที่สุด
สวีเซี่ยยังถามเผยเฉียนว่าจะไปเที่ยวเกราะทองทวีปอีกเมื่อไหร่
ถึงเวลานั้นก็บอกกล่าวกับเขาสักคำ ที่นั่นตนยังพอจะมีความสัมพันธ์
บนภูเขาอยู่บ้าง
จงขุยพูดคุยกับแม่ทัพผู้เฒ่าเหยาเจิ้นอย่างเบิกบานใจ
สายตาของเจ้าอ้วนอวี่จิ่นไม่เคยอยู่นิ่งเฉย รอกระทั่งได้เห็น
นักพรตหญิงหม่าซวนฮุยก็ทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังไม่หยุด
สุยโย่วเปียนพาเฉิงเฉาลู่ผู้เป็นลูกศิษย์มาด้วยกัน นางยืนอยู่กับ
หวงถิง เป็นฝ่ายสอบถามถึงเรื่องขนบธรรมเนียมของใต้หล้าห้าสีอวี๋ฟู่ซานคุยเล่นอยู่กับหญิงชราฉิวตู๋
กลุ่มคนของสำ นักกุยหยกกับหลิวจิ่งหลงเจ้าสำ นักของสำ นัก
กระบี่ไท่ฮุย ป๋ายโส่วเจ้ายอดเขาเพียนหรานยืนอยู่ด้วยกัน
ป๋ายโส่วหลบเลี่ยงป๋ายเสวียนผู้นั้นคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้
เจตนา
หลิงหยวนเตี้ยนกับกั่วหรานขอบเขตเซียนกระบี่ที่มีฉายาว่า
‘หลงเหมิน’ รวมตัวอยู่ด้วยกัน เพราะฮว่อหลงเจินเหรินผู้เป็นอาจารย์
คือคนรู้จักเก่ากับกวอโอ่วทิง
บนลานกว้าง เมื่อรู้ว่าภูตน้อยที่ชื่อว่าเจิ้งโย่วเฉียนผู้นั้นถึงกับ
เป็นลูกศิษย์ของหลิวสือลิ่ว คนไม่น้อยต่างก็อดมองเขาอยู่หลายที
ไม่ได้
ในเมื่อเป็นลูกศิษย์ของหลิวสือลิ่ว ถ้าอย่างนั้นหากอิงตามลำดับ
อาวุโสของสายบุ๋นก็คือศิษย์หลานของเฉินผิงอันน่ะสิ
สายเหวินเซิ่งขนบธรรมเนียมเป็นอย่างไร หลายๆ ใต้หล้าล้วน
รู้กันอย่างชัดเจนดี
ส่วนเสี่ยวโม่นั้นยืนอยู่กับผู้ฝึกตนในทำเนียบกลุ่มใหม่ล่าสุดของ
ภูเขาเซียนตู อันที่จริงฝ่ายหลังต่างก็ไม่รู้ว่าเจ้าคนที่สวมหมวกเหลือง
รองเท้าเขียวถือไม้เท้าไม้ไผ่ผู้นี้คือเทพเซียนจากที่ใดกันแน่
เมื่อเป็นเช่นนี้ ชิงถงจึงดูโดดเดี่ยวอยู่บ้างเล็กน้อยบนลางกว้างพลันเงียบสงัดไร้เสียงใด ทว่าเพียงไม่นานต่างคนก็
ต่างพูดคุยเรื่องของตัวเองกันต่อไป เห็นได้ชัดว่าแค่รู้สึกประหลาดใจ
กันเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้เห็นเป็นเรื่องสำ คัญสักเท่าไร
เพราะเมื่อครู่นี้อยู่ดีๆ ก็มีคนสามคนปรากฏตัวขึ้นมาแทบจะ
เวลาเดียวกัน เทพเจ้าแห่งโชคลาภหลิวของธวัลทวีป ข้างกายพาหลิว
โยวโจวผู้เป็นบุตรชายโทนมาด้วย
นอกจากนี้ก็มีไท่ซ่างหวงของราชวงศ์เสวียนมี่ อวี้พ่านสุ่ย
ทั้ง
สองฝ่ายต่างก็ใช้รูปแบบที่คนบนภูเขาต่างก็เห็นพ้องต้องกัน
ว่าเหมือนพวกเศรษฐีที่รวยขึ้นมาอย่างฉับพลันมาปรากฎตัวอยู่ที่นี่
หลิวจวี้เป่าเป็นฝ่ายกุมหมัดคารวะเจินเหรินผู้เฒ่าเหลียงส่วง
ก่อน ส่วนหลิวโยวโจวนั้นสอดส่ายสายตามองไป ก็ได้เห็นนางในทันที
ส่วนอวี้พ่านสุ่ยเดินเคียงบ่าอยู่ข้างชุยตงซานและเฉาฉิงหล่าง
ห่างจากงานพิธีอีกประมาณหนึ่งก้านธูป บนเส้นทางภูเขาที่
ทอดยาวเชื่อมต่อระหว่างยอดเขามี่เซวี่ยกับยอดเขาชิงผิง ผู้ฝึกกระบี่
เถาหรานกำลังเดินมาด้วยคิดว่าจะไปสำ รวจสถานการณ์ของการ
เข้าร่วมงานพิธี ‘เปิดภูเขา’ เสียหน่อย
ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลังก็หันหน้าไปมอง คือบุรุษชุด
เขียวที่เคยพบหน้ากันครั้งหนึ่งริมลำคลองหลินเหอ เพียงแต่วันนี้อีก
ฝ่ายไม่ได้พกดาบคู่อีก แต่เปลี่ยนมาสะพายกระบี่แทนลูกเล่นเยอะเสียจริง
คนผู้นั้นเดินตามมาทันฝีเท้าของเถาหรานก็ยิ้มเอ่ยทักทายว่า
“เซียนกระบี่เถา”
เถาหรานพยักหน้ารับด้วยสีหน้าดำทะมึน
เฉินผิงอันเอ่ยว่า “วางใจเถอะ งานพิธีในวันนี้ใช้เวลาไม่นาน
หรอก ทุกอย่างล้วนยึดความเรียบง่ายเป็นหลัก”
เถาหรานเอ่ย “ยังไงก็ช่าง ถึงอย่างไรหลังจากจุดธูปคารวะภาพ
แขวนแล้ว ข้าก็สามารถนั่งงีบหลับบนเก้าอี้ได้แล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มกล่าว “ย่อมไม่มีปัญหา”
เถาหรานพูดอย่างตรงไปตรงมา “ในฐานะผู้อาวุโสของอาจารย์
ชุย งานพิธีเปิดยอดเขาไม่ถือว่าเป็นเรื่องเล็กบนภูเขาแล้ว เจ้ายังไม่รีบ
ไม่ร้อนอย่างนี้ ไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไรกระมัง?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถึงอย่างไรอะไรที่ควรทำก็ทำเสร็จหมด
แล้ว ตอนนี้ก็น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ข้าแอบอู้ได้บ้างแล้ว”
เถาหรานถามชวนคุย “มีการเปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราใน
สายน้ำหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่มี ลูกเล่นฉูดฉาดที่ตบหน้าตัวเอง
สวมรอยเป็นคนอ้วนแบบนี้ ทำไม่ลงหรอก”
เถาหรานหัวเราะร่า “ก็จริงนะ”สามารถพูดเรื่องที่ตัวเองไม่มีเงินในกระเป๋าออกมาอย่าง
เปิดเผยเช่นนี้ได้ก็ไม่ง่ายเลย
เถาหรานพูดเสียงขุ่นว่า “วันหน้าอย่าเอาแต่เรียกเซียนกระบี่
เถาอีก ข้าไม่ชอบฟัง หากเป็นเมื่อก่อน ด้วยนิสัยนี้ของข้าก็เท่ากับ
ต้องการถามกระบี่กับข้าแล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ได้เลยๆ”
อ้อมผ่านทางเส้นเล็กสายหนึ่งมา การมองเห็นของทั้งสองฝ่าย
พลันเปิดกว้าง พวกเขาเดินขึ้นบันไดไปก็คือลานกว้างหยกขาวที่อยู่
นอกศาลบรรพจารย์ของยอดเขาชิงผิงแล้ว
คราวนี้เงียบสงัดไร้สรรพสำ เนียงอย่างแท้จริง
เถาหรานแอบพยักหน้ากับตัวเอง อย่าเห็นว่าภูเขาเล็ก คิดไม่ถึง
ว่าจะเคารพกฎระเบียบกันอย่างมาก
ส่วนพวกแขกที่มาร่วมงานอะไรนั่น ใบถงทวีปในทุกวันนี้จะมี
เซียนดินที่มาร่วมอวยพรได้สักกี่คนกันเชียว?
จากนั้นเซียนกระบี่เถาของพวกเราก็มองไกลๆ ไปเห็น…หวงอี
อวิ๋นแห่งผูซาน!
ต่อให้ที่ผ่านๆ มาเถาหรานซึ่งเป็นผู้ฝึกตนอิสระจะไม่คบค้า
สมาคมกับบนภูเขามากแค่ไหน ไม่ค่อยรู้จักใครสักเท่าไร แต่ก็ไม่มีทางจำ เย่อวิ๋นอวิ๋นที่เป็นทั้งสาวงามแล้วก็ผู้ฝึกยุทธขอบเขต
ปลายทางผู้นี้ไม่ได้
เดี๋ยวนะ บุรุษคนนั้นทำไมมองดูคล้ายเทพเจ้าแห่งโชคลาภหลิว
ของธวัลทวีปเลยเล่า?
ยังมีเครื่องแต่งกายและรูปแบบกระบี่พกของคนกลุ่มนั้นอีก
เหตุใดถึงเหมือนของผู้ฝึกกระบี่สำ นักกุยหยกเลย?
เพียงแต่ว่าแค่ต้องการจะหลอกผู้ฝึกกระบี่โอสถทองที่กระบี่บิน
แห่งชะตาชีวิตปริแตกคนหนึ่ง ภูเขาเซียนตูของพวกเจ้าก็ไม่น่าจะต้อง
จัดขบวนใหญ่เอิกเกริกเช่นนี้กระมัง?!
ต่อจากนั้นเถาหรานก็เห็นเพียงว่าทุกคนบนลานกว้างพากัน
หันมามองทางตน ทุกคนต่างก็มีสีหน้าเคร่งขรึม พากันคารวะ
บนยอดเขาชิงผิง มือกระบี่ชุดเขียวคลี่ยิ้มพลางกุมหมัดคารวะ
กลับคืน
——