กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 959.1 สำนักกระบี่ชิงผิง
เถาหรานกลืนน้ำลาย บากหน้าปลุกความกล้าใช้เสียงในใจถามว่า “เจ้าก็คือคนผู้นั้นจริงๆ หรือ?”
เซียนกระบี่เถาไม่กล้าเรียกชื่อออกมาตรงๆ ไม่เข้าท่าเกินไปแล้ว
เฉิงผิงอันใช้เสียงในใจตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม “คราวก่อนที่อยู่ริมลำคลองหลินเหอก็บอกแล้วไม่ใช่หรือว่า หากไม่ผิดไปจากที่คาดก็คือข้าแล้ว เซียนกระบี่เถาไม่เชื่อเองนะ”
เจ้าจะให้ข้าผู้อาวุโสเชื่อได้อย่างไร
ชายหนุ่มคนหนึ่งที่เจอกันระหว่างทาง แล้วยังพกดาบคู่ไว้ตรงเอว ยังสวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียวรองเท้าผ้า จากนั้นบอกว่าตัวเองคือเฉินผิงอัน ข้าก็ต้องเชื่ออย่างโง่งมหรือ
ก็เหมือนกับว่าคนที่อยู่ไกลสุดขอบฟ้า จู่ๆ ก็เดินมาถึงตรงหน้า แล้วก็เหมือนคนในตำราที่เดินออกมาจากในตำรา
ชุยตงซานที่วันนี้สวมชุดขาวพกกระบี่ยกนิ้วโป้งให้เถาหรานอยู่ไกลๆ เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ที่อยู่ด้านข้างก็กำลังยักคิ้วหลิ่วตาให้เซียนกระบี่เถา
ห่างจากฤกษ์มงคลในการเริ่มงานพิธีเปิดสำนักยังเหลืออีกประมาณครึ่งก้านธูป เฉินผิงอันก้าวเดินเร็วๆ ไปข้างหน้า ทักทายกับพวกแขกที่มาเข้าร่วมงานพิธีสองสามประโยค ฉวยจังหวะนี้ ผู้ฝึกกระบี่เถาหรานที่ในหัวเหมือนมีแต่แป้งเปียกเหลียวซ้ายแลขวา กระทั่งเลือกพื้นที่ยืนให้ตัวเองได้ในท้ายที่สุด สุดท้ายเฉินผิงอันก็จูงมือของศิษย์หลานเจิ้งโย่วเฉียนไปหยุดอยู่ตรง ‘ภูเขาลูกเล็ก’ ที่ตำแหน่งตั้งอยู่ริมขอบสุด ผู้ฝึกตนที่กำลังจะได้อยู่ในทำเนียบของยอดเขาชิงผิงภูเขาเซียนตูเหล่านี้ จะว่าไปแล้วก็น่าขำ จนถึงตอนนี้คนส่วนใหญ่ก็ยังไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเซียนกระบี่ชุดเขียว หลังจากที่พวกเขามาถึงลานกว้างก็มารวมตัวกันโดยอัตโนมัติ เพียงแต่ว่าระหว่างกันก็ไม่มีอะไรให้พูดคุย รอกระทั่งบนลานกว้างมีคนเพิ่มมากขึ้นแล้ว พวกเขาจึงยิ่งดูสำรวมระมัดระวังตัวยิ่งกว่าเดิม
เวลานี้เฉินผิงอันกุมหมัดยิ้มเอ่ย “ขอแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการสักหน่อย ข้าแซ่เฉิน นามผิงอัน เป็นคนของเขตปกครองหลงเฉวียนต้าหลีแจกันสมบัติทวีป เจ้าขุนเขาภูเขาลั่วพั่ว ข้าคือลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อสายเหวินเซิ่ง อาจารย์ของข้าก็คือเหวินเซิ่งที่เพิ่งได้รับตำแหน่งเทพในศาลบุ๋นคืนมาเมื่อไม่นานมานี้ และข้าก็เป็นอาจารย์ของพวกชุยตงซาน เผยเฉียนและเฉาฉิงหล่าง”
และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันยกสถานะของเจ้าขุนเขาสำนักเบื้องบนมาพูดคุยกับคนอื่นอย่างเป็นทางการ
เฉินผิงอันลูบศีรษะของเด็กน้อยที่อยู่ข้างกาย ยิ้มพลางแนะนำว่า “เจิ้งโย่วเฉียนก็คือลูกศิษย์ใหญ่เปิดภูเขาของศิษย์พี่จวินเชี่ยน คือศิษย์หลานของข้า”
คนกลุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเฉินผิงอันในเวลานี้ นอกจากเถาหรานผู้ฝึกกระบี่โอสถทองที่มีชาติกำเนิดจากผู้ฝึกตนอิสระของใบถงทวีปแล้ว
ยังมีผู้ฝึกตนผีเซียนดินอีกสองคนที่เป็นคนรักกัน เชี่ยวชาญเรื่องค่ายกล อู๋โกว เซียวม่านอิ่ง
ผู้ฝึกตนที่ลี้ภัยมาจากหอซูอี๋ของอวี้จื่อก่างเก่า หลันอี๋ อวี๋ซิ่งโหลว ฟู่จู้
เส้าพอเซียนผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดที่ตัวตนที่แท้จริงคือรัชทายาทแคว้นล่มสลายของราชวงศ์จูอิ๋งเก่าแจกันสมบัติทวีป รวมไปถึงสาวใช้เหมิงหลงที่ติดตามเขาขึ้นเหนือล่องใต้ มีชีวิตที่ต้องหลบหนีร่วมกันมาอย่างยาวนาน ทุกวันนี้นางได้เปลี่ยนชื่อเป็นตู๋กูเหมิงหลงแล้ว คือว่าที่จักรพรรดิหญิงคนที่สองของใบถงทวีปในอนาคต นายบ่าวคู่นี้ ก่อนหน้านั้นชุยตงซานได้ให้เสี่ยวโม่ช่วยร่ายเวทอำพรางตา ข้างกายทั้งสองคนยังมีผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งที่มาจากภูเขาต่าเจี้ยวอุตรกุรุทวีป สือชิว
เฉินผิงอันมองไปยังสือชิว สือชิวเม้มริมฝีปากยิ้ม พยักหน้าให้เบาๆ
เฉินผิงอันกุมหมัดแสดงการขอบคุณอีกครั้ง “ภูเขาเซียนตูก่อตั้งสำนัก นับตั้งแต่การเลือกที่ตั้งจนถึงการก่อสร้าง จนมาถึงงานพิธีในวันนี้ อันที่จริงทุกขั้นตอนล้วนฉุกละหุกอย่างมาก สามารถทำให้ยอดเขาทั้งหลายของภูเขาเซียนตูมีรูปแบบอย่างทุกวันนี้ได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ก็แทบไม่ต่างจากการสร้างท่าเรือขึ้นมาบนพื้นที่ราบ เป็นการสร้างตัวจากมือเปล่า ทุกท่านล้วนลำบากกันแล้ว”
หากไม่พูดถึงคนเก่าแก่สามคนของภูเขาลั่วพั่วอย่างพวกเส้าพอเซียน ผู้ฝึกกระบี่เถาหรานที่รับหน้าที่ดูแลร้านอยู่ริมลำคลองหลินเหอ และยังมีผู้ฝึกตนสองกลุ่มอย่างผู้ฝึกตนผีอู๋โกวและหลันอี๋จากอวี้จือก่าง ต่างก็เป็นชุยตงซานที่พาตัวมายังภูเขาเซียนตูด้วยตัวเอง เป็นเหตุให้สามารถถือว่าเป็นผู้อาวุโสที่ติดตามชุยตงซานมาเปิดภูเขาก่อตั้งสำนักได้แล้ว ก่อนหน้านี้เนื่องจากทั้งสองฝ่ายต่างก็ออกแรงในเรื่องของเรือข้ามฟากเฟิงยวนและการสร้างท่าเรือ เฟิงยวนที่เป็นเรือข้ามทวีป ไม่ว่าจะเป็นจำนวนสมาชิกหรือพลังทางการสู้รบ เดิมทีก็เท่าเทียมได้กับพรรคเล็กแห่งนึ่งบนภูเขาได้แล้ว
บนเรือข้ามฟาก จำนวนของหุ่นเชิดยันต์และมัลละเกราะทองที่ชุยตงซานสร้างขึ้นอย่างประณีตตั้งใจมีจำนวนเกือบร้อยตน ตั้งชื่อเป็นอวี่กง จินซือ เที่ยวซานกง มออวี๋เอ๋อร์ ฯลฯ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหนังมังสาหรือสติปัญญาของพวกมันก็แทบไม่ต่างอะไรจากคนจริงๆ รับผิดชอบคอยซ่อมบำรุงรักษาทั่วไปของเรือเฟิงยวนและยังมีการตรวจสอบสภาพภูมิศาสตร์ของเส้นทางการเดินเรือ แต่เอาเข้าจริงหน้าที่หลักของฝ่ายหลัง อันที่จริงก็คือไป ‘ค้นหาสมบัติเก็บตกของดี’ ตามขุนเขาสายน้ำในพื้นที่ต่างๆ ของใบถงทวีป ด้วยเหตุนี้ชุยตงซานจึงแต่งตั้งตำแหน่งขุนนางให้พวกมันเป็นการชั่วคราว คือตำแหน่ง ‘ผู้ตรวจสอบขุนเขาสายน้ำ’ ส่วนอู๋โกวและเซียวม่านอิ่งที่เชี่ยวชาญเรื่องค่ายกลก็รับผิดชอบการโคจรประจำวันของเรือข้ามฟากเฟิงยวน
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจพูดกับเส้าพอเซียนว่า “ข้าไปเจอกับซานจวินจิ้นชิงมาแล้ว เรื่องที่พวกเจ้าจะก่อตั้งแคว้นไว้ริมลำคลองหลินเหอ วันหน้าพวกเรามาคุยกันอย่างละเอียด”
เส้าพอเซียนผงกศีรษะเอ่ยขอบคุณด้วยรอยยิ้ม
เฉินผิงอันยิ้มถาม “จะเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนเมื่อไหร่?”
ใบหน้าของเส้าพอเซียนเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม “ยาก”
นอกจาก ‘ผู้ตรวจสอบขุนเขาสายน้ำ’ ที่รากฐานค่อนข้างประหลาดพวกนี้แล้ว นอกจากนี้ยังมีมัลละยันต์ หุ่นเชิดกลไกอีกสองร้อยกว่าตนที่ระดับขั้นต่ำกว่าอวี่กงและมออวี๋เอ๋อร์ รับหน้าที่คอยทำงานใช้แรงงาน ก่อนหน้านี้ตอนที่ก่อสร้างจวนบนภูเขาเซียนตูและท่าเรือ ล้วนเป็นพวกมันที่ออกแรง ผู้ฝึกตนสามคนที่มาจากหอซูอี๋แห่งอวี้จือก่าง สถานะชั่วคราวก่อนหน้านี้ก็คือขุนนางผู้ตรวจการการสร้างท่าเรือ คนทั้งสามต่างก็อายุไม่มาก แค่ร้อยกว่าปี ขอบเขตของพวกเขาในทุกวันนี้ก็ไม่สูง สองชมมหาสมุทรหนึ่งถ้ำสถิต
อันที่จริงก่อนที่เฉินผิงอันจะมาถึง พวกเขาสามคนก็ตกใจจนทึ่มทื่อกันไปก่อนอย่างสิ้นเชิงแล้ว
เพราะการคุยเล่นกันของแขกผู้มาร่วมงานมากมาย ไม่ว่าใครก็ไม่ได้จงใจใช้เสียงในใจ ยกตัวอย่างเช่นหญิงสาวที่มวยผมทรงกลมคนนั้นไม่ใช่คนแปลกหน้า เพราะมักจะเจอนางที่ท่าเรืออยู่บ่อยๆ รู้ว่านางชื่อเผยเฉียน แต่จะเอาไปเชื่อมโยงกับปรมาจารย์หญิง ‘เจิ้งเฉียน’ ที่ชื่อเสียงโด่งดังได้อย่างไร? รอกระทั่งอาศัยบทสนทนาซึ่งพูดถึงสงครามที่เกราะทองทวีปที่เผยเฉียนพูดคุยกับบุรุษซึ่งนางเรียกอย่างให้ความเคารพว่า ‘เซียนกระบี่สวี’ พูดถึงเฉาสือ อวี้เจวี้ยนฟู เผยเฉียนยังพูดถึงเทพเซียนผู้เฒ่าที่สวมชุดสีม่วงซึ่งตนเคยพบเจอโดยบังเอิญอย่างฝูลู่อวี๋เสวียนด้วย! เมื่อเป็นเช่นนี้ สถานะของบุรุษก็เหมือนน้ำลดหินผุดแล้ว ก็คือสวีเซี่ย เซียนกระบี่ใหญ่แห่งเกราะทองทวีปที่ถูกเรียกขานอย่างให้ความเคารพว่า ‘เซียนกระบี่สวีจวิน’ คนนั้นนั่นเอง เค่อชิงของสกุลหลิวธวัลทวีปผู้นี้ หลังจากข้ามทวีปมาถึงใบถงทวีปก็ไปพักอยู่ที่ท่าเรือชวีซาน ตามข่าวเล็กๆ น้อยๆ จากรายงานขุนเขาสายน้ำไม่กี่ฉบับ ได้ยินว่าเพื่อป้องกันไม่ให้สำนักกุยหยกขัดขาเรือข้ามฟากหลายลำของสกุลหลิว ทางฝั่งของสำนักกุยหยกยังตั้งใจส่งตัวหวังจี้ผู้ถวายงานศาลบรรพจารย์ให้มาคุมเชิงอยู่กับ ‘เซียนกระบี่สวีจวิน’ ผู้นี้ที่ท่าเรือชวีซานโดยเฉพาะอีกด้วย
บังเอิญยิ่งนัก วันนี้หวังจี้ก็มาเหมือนกัน อีกทั้งยังพาเด็กชายที่มองดูแล้วอายุไม่ถึงสิบขวบ แต่ถึงกับเป็นเจ้ายอดเขาคนใหม่ของยอดเขาจิ่วอี้สำนักกุยหยกมาด้วย
หวงอีอวิ๋นแห่งผูซาน
นางถูกคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในสิบปรมาจารย์ใหญ่ในประวัติศาสตร์ของใบถงทวีป นางกับอริยะบู๊อู๋ซูคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางผู้มากฝีมือสองคนที่ยังรอดชีวิตอยู่ของใบถงทวีปในทุกวันนี้
และยังมีผู้เฒ่าคนนั้นที่ถึงกับเป็นแม่ทัพผู้เฒ่าเหยาเจิ้น ท่านปู่ของเหยาจิ้นจือฮ่องเต้หญิงของราชวงศ์ต้าเฉวียน ผู้นำของสิบราชวงศ์ใหญ่ในใบถงทวีปทุกวันนี้ คนสองคนที่อยู่ข้างกายของผู้เฒ่า คนหนึ่งคือเจ้ากรมพิธีการ ส่วนชายหนุ่มที่ขากะเผลกมีแขนเดียวผู้นั้นก็คือใต้เท้าเจ้าเมืองของนครเซิ่นจิ่งต้าเฉวียน
นอกจากนี้ก็ยังมีผู้ฝึกตนของภูเขาต้นไม้เหล็กที่มาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง และยังมีนักพรตสองคนที่มาจากยอดเขาพาตี้อุตรกุรุทวีป นั่นไม่ใช่ลูกศิษย์ของลูกศิษย์ฮว่อหลงเจินเหรินด้วยซ้ำ มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดด้วย?
ก่อนหน้านี้พวกเขาได้คุยกับชุยเซียนซือมาแล้ว ชุยเซียนซือรับรองว่าพวกเขาสามคนที่ชื่อเสียงฉาวโฉ่ นอกจากจะสามารถรักษาสถานะผู้ฝึกตนบนทำเนียบของอวี้จือก่างไว้ได้ สามารถหาเลี้ยงชีพอยู่ที่ภูเขาเซียนตูแห่งนี้ได้แล้ว อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ต้องร่อนเร่ ถูกคนรังเกียจเหยียดหยามอยู่ข้างนอก เพราะถึงอย่างไรการที่อวี้จือก่างต้องพินาศวอดวายก็ถือว่าเป็นการเปิดประตูเชิญโจรเข้าบ้านเอง สุดท้ายก็ถูกเชี่ยอวิ้นปีศาจใหญ่อดีตราชาบนบัลลังก์เก่านำพาคนขึ้นมาบนภูเขาแล้วสังหารเข่นฆ่าพวกเขาจนหมดสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกตนหญิงที่รูปโฉมงดงามที่จุดจบน่าสังเวชอย่างถึงที่สุด ทว่าผู้ฝึกตนในท้องถิ่นของใบถงทวีปทุกวันนี้ต่างก็รู้สึกว่าเป็นอวี้จือก่างของพวกเขาที่รนหาที่เอง
อันที่จริงพวกหลันอี๋สามคนที่เป็นคนร่วมสำนักกันพอใจกับความเป็นอยู่ในเวลานี้มากพอแล้ว ไม่ได้รู้สึกว่าชุยเซียนซือมีพระคุณอะไรสักเท่าไร แต่หากจะบอกว่ารู้สึกซาบซึ้งใจต่อภูเขาเซียนตูจากใจจริงก็ไม่ใช่คำพูดที่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย ต่อให้อาจารย์ชุยจะพูดอย่างตรงไปตรงมา บอกจุดประสงค์ให้รู้ชัดเจนแต่เนิ่นๆ ว่าหมายตาในวิชาลับเฉพาะที่สืบทอดต่อกันมาของหอซูอี๋พวกเขา แล้วจะเป็นอะไรไปเล่า? มีที่ให้ตั้งหลักอย่างปลอดภัย แล้วยังได้เงินส่วนแบ่งที่เป็นดั่งสายน้ำเส้นเล็กไหลยาวมาก้อนหนึ่ง แล้วนับประสาอะไรกับที่ชุยเซียนซือก็ไม่มีทางรีดไถเอาวิชาลับของหอซูอี๋ที่ใช้สร้างยันต์สาวงามไปจากพวกเขา
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจพูดคุยกับคนทั้งสามอย่างตรงไปตรงมาว่า “พวกเจ้าฝึกตนที่ภูเขาเซียนตูได้อย่างสบายใจ วันใดรู้สึกว่าอยากฟื้นคืนสถานะเดิมกลับมา รอให้พวกเจ้ารู้สึกว่าโอกาสทุกด้านเหมาะสมดีแล้ว ถึงเวลานั้นต่อให้จะเป็นฝ่ายเปิดปากขอออกจากทำเนียบภูเขาเซียนตูด้วยตัวเอง ข้าก็สามารถช่วยรับรองกับพวกเจ้าแทนชุยตงซานได้ว่า ภูเขาเซียนตูจะไม่มีการขัดขวางใดๆ เรื่องของการสืบทอดควันธูปให้กับหอซูอี๋แห่งอวี้จือก่างอีกครั้ง หรือถึงขั้นสร้างอวี้จือก่างขึ้นมาใหม่ ภูเขาเซียนตูก็จะช่วยเหลือเต็มกำลังความสามารถอันน้อยนิดที่มี นอกจากนี้หากพวกเจ้ายินดี ทางฝั่งของภูเขาเซียนตูพวกเรา เมื่ออยู่นานวันเข้าย่อมเห็นใจคน หากเชื่อใจเจ้าสำนักชุยและภูเขาเซียนตู ถึงเวลานั้นสองฝ่ายก็สามารถเป็นพันธมิตรบนภูเขากันอย่างเป็นทางการได้ และก่อนหน้าที่จะเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าก็สามารถไปตามหาผู้ฝึกตนของอวี้จือก่างที่พลัดไปอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ได้เลย ภูเขาเซียนตูจะยกภูเขาลูกหนึ่งให้เป็นพื้นที่ประกอบพิธีกรรม ให้พวกเขาได้มาพักอาศัยชั่วคราว”
พวกหลันอี๋สามคนคล้ายกับได้กินยาสงบใจเม็ดใหญ่เทียมฟ้าเข้าไป รู้สึกปิติยินดีระคนแปลกใจอย่างที่ไม่คิดไม่ฝันมาก่อน
ลำพังแค่พวกเขาสามคน ไม่มีใครเป็นผู้ฝึกตนเซียนดินสักคน ในช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่ คิดจะสร้างหอซูอี๋ขึ้นมาใหม่ก็คือความเพ้อฝันอย่างใหญ่หลวง นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงช่วยสืบทอดควันธูปให้กับศาลบรรพจารย์อวี้จือก่างอีกครั้งเลย
ชุยตงซานยิ้มอย่างรู้ทัน เห็นได้ชัดว่าอาจารย์จงใจพูดให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่ฟัง
อาจารย์ต้องการให้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงของตัวเองกับเรื่องที่อวี้จือก่างต้องล่มสลาย
คงเป็นเพราะในสายตาของอาจารย์แล้ว หากจะพูดถึงกลียุคอันวุ่นวาย อวี้จือก่างที่เลอะเลือนนั้นถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่อาจยอมรับเอาไว้ได้ แต่ในยุคสันติสุขในอนาคต ใบถงทวีปจำเป็นต้องห้ามขาดอวี้จือก่างไป
ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าตลอดทั้งใบถงทวีปจะมองเหตุการณ์พลิกผันที่เกิดขึ้นกับอวี้จือก่างอย่างไร ทว่าจากภูเขาลั่วพั่วของแจกันสมบัติทวีปจนถึงสำนักกระบี่ชิงผิงของใบถงทวีป กลับยินดีจะให้อวี้จือก่างได้สืบทอดควันธูปต่อไปอีกครั้ง
สีหน้าชุยตงซานสดใสแช่มชื่น
แบบนี้ดีมากเลย
ยิ่งอาจารย์เข้ามาควบคุมดูแลมากเท่าไรก็ยิ่งดีมากเท่านั้น
กลัวก็แต่ว่าอาจารย์จะทำตัวเป็นเถ้าแก่สะบัดมือทิ้งร้านไม่สนใจอย่างสิ้นเชิง นับแต่วันนี้ไป ไม่กระตือรือร้นต่อภูเขาเซียนตู ไม่ใส่ใจจะถามถึง ถ้าอย่างนั้นลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจอย่างตนจะต้องกลุ้มใจถึงเพียงใด
ชุยตงซานมายืนอยู่ข้างกายเถาหราน ใช้ศอกถองเซียนกระบี่เถาที่อยู่ข้างกาย ใช้เสียงในใจยิ้มเอ่ย “เซียนกระบี่เถา ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของภูเขาลั่วพั่วพวกเราก็แค่ใช้นามแฝงว่าโจวเฝย อดีตเจ้าสำนักเจียงตอนอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วพวกเราก็นิสัยดียิ่งนัก ชื่อเสียงก็โด่งดัง ดังนั้นหากว่าเจ้าได้เป็นสมาชิกศาลบรรพจารย์ของภูเขาเซียนตู ด่าเขาแค่ไม่กี่ประโยคจะเป็นไรไป เขาย่อมไม่สะดวกจะโต้เถียง ดีใจหรือไม่เล่า?”
เถาหรานตีหน้าเคร่ง บอกกับตัวเองเงียบๆ ว่า แม้แต่ ‘เฉินผิงอัน’ ยังเป็นเฉินผิงอันตัวจริงได้เลย ด่าเจียงซ่างเจินหรือไม่ด่าก็ล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อยแล้ว
“นอกจากนี้ก็คืออวี๋หมี่ที่ไม่ว่าเจ้าจะมองอย่างไรก็ไม่ถูกชะตา เขาก็คือหมี่อวี้ หมี่ผ่าเอวแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่คนนั้น แปลกใจหรือไม่?”
เถาหรานใช้หางตาเหลือบมองไปยัง…หมี่อวี้อย่างระมัดระวัง รอยยิ้มของเซียนกระบี่เถากระอักกระอ่วน ลูบเอวของตัวเองตามจิตใต้สำนัก มักรู้สึกเย็นวาบๆ
อันที่จริงนับตั้งแต่เฉินผิงอันไปจนถึงเสี่ยวโม่ จนไปถึงหมี่อวี้ ต่างก็ถูกเถาหรานด่ากันมาหมดแล้ว
หลันอี๋ที่เป็นศิษย์พี่หญิงของสายหอซูอี๋หลั่งน้ำตาด้วยความยินดี พูดเสียงสะอื้นไห้ “ไยอาจารย์เฉินต้องดีกับคนไร้ชื่อเสียงไร้ที่พึ่งอย่างพวกเราสามคนด้วยเล่า”
เฉินผิงอันให้คำตอบของตัวเอง “ไม่พูดถึงความถูกความผิดของโศกนาฎกรรมครั้งนั้น แล้วก็ไม่พูดถึงความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่กลายเป็นความจริงที่เลี่ยงไม่ได้ไปแล้ว ข้าพูดถึงแค่เรื่องเดียว หากไม่มีความเห็นอกเห็นใจ ไยต้องเปิดประตู”
เฉินผิงอันกล่าว “เส้นทางเต็มไปด้วยอุปสรรค ภาระหนักหน่วงยาวไกล ท่ามกลางขั้นตอนนี้จะต้องมีคำวิพากษ์วิจารณ์มากมายแน่นอน พวกเจ้าเตรียมใจไว้แต่เนิ่นๆ เถอะ”
จากนั้นเฉินผิงอันก็ยิ้มเอ่ย “แน่นอนว่าหากวันใดพวกเจ้าล้มเลิกความคิดนี้ รู้สึกว่ามันยากลำบากมากเกินไป พยายามสุดกำลังความสามารถแล้วก็ยังมิอาจคว้าจับเอาไว้ได้ ทำไม่ได้ก็คือทำไม่ได้ ภูเขาเซียนตูยินดีต้อนรับพวกเจ้าเสมอ ถึงเวลานั้นในศาลบรรพจารย์ยอดเขาชิงผิงจะต้องมีเก้าอี้ที่จัดไว้ให้พวกเจ้าคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะอย่างแน่นอน”
หลันอี๋ อวี๋ซิ่งโหลว ฟู่จู้ คนทั้งสามต่างก็คารวะขอบคุณเจ้าสำนักทั้งสองท่านอย่างเฉินผิงอันและชุยตงซาน
ฤกษ์งามยามดีมาถึงแล้ว
เฉาฉิงหล่างหยิบกุญแจออกมาเปิดประตูใหญ่ของศาลบรรพจารย์ยอดเขาชิงผิง
เฉินผิงอันกับชุยตงซาน อาจารย์และศิษย์สองคนเดินเคียงบ่ากันเข้าไปในประตูใหญ่ ข้ามธรณีประตู เดินนำไปยังห้องโถงหลักของศาลบรรพจารย์ที่อยู่เบื้องหน้าก่อน
ในฐานะภูเขาบรรพบุรุษของภูเขาเซียนตู ในศาลบรรพจารย์ยอดเขาชิงผิง เวลานี้แขวนภาพไว้แค่ภาพเดียว
บรรพจารย์สำนักเบื้องบน เฉินผิงอันเจ้าขุนเขาของภูเขาลั่วพั่ว
สวมชุดเขียวสะพายกระบี่ไว้ด้านหลัง บนศีรษะปักปิ่นหยก
เหมือนจริงประดุจถอดวิญญาณออกมา
——