กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 959.3 สำนักกระบี่ชิงผิง
นักพรตซุนหัวเราะ ลังเลว่าควรจะนำข่าวของคนผู้นี้ไปบอกกับ
ศิษย์พี่หญิงดีหรือไม่
อันที่จริงสถานที่แห่งนี้ก็คือตำหนักบรรพจารย์ของอาราม
เสวียนตู คือสถานที่อันเป็นรากฐานของกิ่งก้านทั้งหมดในสายเซียน
กระบี่ลัทธิเต๋าแห่งใต้หล้า
ในตำหนักใหญ่แขวนภาพเหมือนของบรรพจารย์แต่ละรุ่นแต่ละ
สมัยของอารามเสวียนตูเอาไว้ มีมากถึงสี่สิบห้าสิบภาพ
สำ นักในใต้หล้ารวมไปถึงอารามเต๋าศาลจื่อซุนที่นอกเหนือจาก
ป๋ายอวี้จิง เรื่องของการแขวนภาพเหมือนก็ต้องดูที่รากฐานของแต่ละ
ฝ่ายว่าสูงหรือต่ำ แต่ละสำ นักแตกต่างกันไป นักพรตโอสถทอง
บางคน หลังจากลาโลกนี้ไปแล้วก็สามารถมีพื้นที่สำ หรับแขวน
ภาพเหมือนในศาลบรรพจารย์ เสพสุขกับควันธูปได้เช่นกัน แต่สำ นัก
ยิ่งใหญ่อย่างอารามเสวียนตูนี้ ผู้ที่จะมีภาพแขวนได้ต้องเริ่มต้นที่
ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบขึ้นไปเท่านั้น
เพียงแต่เพราะเจ้าอารามคนปัจจุบันอย่างเขามรรคกถาสูงมาก
พอ มีชีวิตอยู่มานานมากพอ ยึดห้องส้วมเอาไว้ไม่ยอมถ่ายมานานหลายปีเกินไป ดังนั้น ‘บรรพจารย์’ มากมายที่มีภาพแขวน แท้จริง
แล้วลำดับอาวุโสล้วนต่ำกว่าซุนไหวจง
ภาพเหมือนในตำหนักบรรพจารย์ หากอิงตามลำดับอาวุโสจาก
สูงถึงต่ำ เรียงกันไปตามลำดับ สุดท้ายก็เหมือนเจดีย์หลังหนึ่ง
ตรงจุดที่ค่อนข้างสูงบนผนังมีภาพเหมือนอยู่สามภาพ
ที่ว่างเปล่า สองภาพที่วางขนานกันแบ่งออกเป็นของเจ้าอารามซุน
ไหวจงในอนาคตและศิษย์พี่หญิงหวังซุน
ก็เหมือนการ ‘เว้นที่ไว้รอคอย’ อย่างหนึ่ง ในใต้หล้ามืดสลัวไม่
ถือว่าแปลกประหลาดอะไร นี่ก็เหมือนการที่พวกคนเฒ่าคนแก่ในหมู่
ชาวบ้านร้านตลาดไม่ถือสาที่จะพูดถึงเรื่องความเป็นความตาย
หลักการเดียวกันกับที่ตอนมีชีวิตอยู่บนโลกก็ได้เตรียมโลงศพเอาไว้
ก่อนแล้ว
ศาลบรรพจารย์จวนเซียนแห่งหนึ่งบนภูเขา ยิ่งภาพแขวน
ที่ว่างเปล่ามีมากเท่าไร แน่นอนว่าก็ยิ่งหมายความว่าบรรพจารย์ที่
มีชีวิตอยู่บนโลกของพรรคแห่งนี้มีอยู่มากเท่านั้น
ประตูใหญ่ของตำหนักบรรพจารย์เปิดออกช้าๆ นักพรตซุนเดิน
ข้ามธรณีประตูออกมาจากตำหนักใหญ่ ลูบหนวดยิ้มเอ่ย “เขามาหา
ศิษย์พี่หญิงของผินเต้า การที่ทำการค้ากับเจ้าก็เป็นแค่ของรางวัล
เพิ่มเติมอย่างหนึ่งเท่านั้น เห็นเจ้าเป็นก้อนอิฐเคาะประตู”(เปรียบเปรยถึงวิธีการเบื้องต้นที่ใช้ในการแสวงหาโชคลาภและ
ชื่อเสียง)
ตอนที่ประตูเปิดออก เจ้าอ้วนเยี่ยนรีบก้มศีรษะลงต่ำ ไม่มองไป
ยังทัศนียภาพในตำหนักใหญ่ รอกระทั่งประตูปิดลงแล้ว เยี่ยนจั๋ว
ถึงได้เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ถามคำถามที่เป็นรูปธรรมอย่างมาก
“เจ้าอาราม ช่วยบอกกับข้าอย่างตรงไปตรงมาได้ไหมว่า ร่วมมือกับ
เขาจะได้เงินก้อนใหญ่จริงๆ ไหม?”
นักพรตซุนพยักหน้า “จริง”
เยี่ยนจั๋วได้ยินแล้วก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก “ขอแค่
ไม่ใช่นักต้มตุ๋นก็พอแล้ว ยอดฝีมือเช่นนี้ รู้จักไว้มากๆ หน่อย คุ้นหน้า
คุ้นตากันแล้ว ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องดี”
นักพรตซุนยิ้มเอ่ย “หลงซินผู่ผู้นี้ไม่ชอบฝึกตนอยู่บนภูเขาดีๆ
ชอบวิ่งไปกวนน้ำขุ่นในยุทธภพเป็นที่สุด เวลานานวันเข้าก็ถูกพวกคน
ที่สายตาตื้นเขินเรียกอย่างให้ความเคารพว่า ‘หลงซือ’ เพียงแต่ว่า
เมื่อเทียบกับ ‘หลินซือ’ ของหลินเจียงเซียนแล้ว น้ำหนักที่ซุกซ่อนอยู่
ต่างกันค่อนข้างมาก ถึงอย่างไรหลงซินผู่ก็หน้าหนา ต่อให้มีพวกที่
ไม่กลัวตายยินดีเรียกเขาว่าเจ้าลัทธิหลง เขาก็ยังกล้ารับไว้”
นักพรตผู้เฒ่าที่ใช้นามแฝงว่าชิงหลิงผู้นั้น ชื่อจริงคือหลงซินผู่
คือบรรพจารย์ผู้เฒ่าคนหนึ่งของภูเขาปิงเจี่ยในอาณาเขตหย่งโจวหากอิงตามลำดับอาวุโส ก็ยังเป็นบรรพจารย์ไท่ซ่างของเจ้าขุนเขาคน
ปัจจุบันด้วย
ภูเขาปิงเจี่ยคือภูเขาคืออันดับต้นๆ ของหย่งโจว ในฐานะ ‘ผู้
เฒ่าคนรุ่นเดียวกัน’ ที่เป็นยอดฝีมือที่ยังหลงเหลืออยู่ของภูเขาปิงเจี่ย
บอกว่าตัวเองมีอำนาจบารมีอยู่ในพรรค ออกไปท่องอยู่ข้างนอกก็พอ
จะมีหน้ามีตาอยู่บ้าง ก็ไม่ถือว่าคุยโวไม่ต้องร่างคำพูดจริงๆ
แต่สถานที่อย่างภูเขาปิงเจี่ยนี้ ขนบธรรมเนียมค่อนข้าง
ประหลาด อายุขัยในการฝึกตนของผู้ฝึกตนล้วนไม่สูง มีคำกล่าวว่า
‘พันปีหนึ่งชะตากรรม’ อีกทั้งก็ไม่ใช่ว่ายิ่งแก่แล้วจะยิ่งต่อสู้ได้เก่ง
เพราะผู้ฝึกตนที่อยู่ที่นั่นอายุขัยไม่ยืนยาวพอ ดังนั้นลำดับ
อาวุโสของคนผู้นี้จึงได้เปรียบอย่างมากจริงๆ หาไม่แล้วหากพูดถึงใน
สำ นักทั้งหลายอย่างอารามเสวียนตู ภูเขาไฉ่โซว มีบรรพจารย์ไท่
ซ่างที่เป็นเจ้าอาราม เจ้าสำ นัก หากเล่าลือออกไปจะไม่ทำให้คน
ตกใจตายเลยหรอกหรือ?
เพราะถึงอย่างไรสามารถมีชีวิตอยู่ได้ห้าหกพันปี ขอบเขตจะต่ำ
ได้สักแค่ไหนกันเชียว?
หลงซินผู่ของภูเขาปิงเจี่ยผู้นี้เป็นคนบ้านเดียวกันกับศิษย์พี่หญิง
แล้วยังอายุเท่ากัน มาจากสถานที่เล็กๆ แห่งหนึ่งในอาณาเขตของ
หย่งโจวแต่หากจะพูดถึงขอบเขต คุณสมบัติในการฝึกตน ความสา
มารถในการต่อสู้ เมื่อเทียบกับศิษย์พี่หญิงบ้านตนแล้วก็ด้อยกว่าหนึ่ง
แสนแปดพันลี้เลยทีเดียว
ไอ้หมอนี่ร่อนเร่อยู่ข้างนอก ไม่หิวตาย ไม่ถูกคนตีตาย ก็เพราะ
อาศัยปากปากเดียวเท่านั้น ก่อนหน้านี้ทยอยขอบเขตถดถอย
สามครั้ง ก็ล้วนเป็นหายนะจากการที่ควบคุมปากได้ไม่ดี
เยี่ยนจั๋วถามอย่างใคร่รู้ “ผู้อาวุโสท่านนี้ตั้งใจมาหาศิษย์พี่หญิง
ของเจ้าอารามหรือ? ในนี้มีเรื่องราวอะไรหรือไม่?”
นักพรตซุนถลึงตาใส่ “อะไรที่ไม่ควรถามก็อย่าถาม”
หากเจ้าเด็กนี่ปากมากเอาไปพูดต่อส่งเดช ด้วยนิสัยของศิษย์พี่
หญิงแล้วคงไม่ถือสาอะไรกับเจ้าที่เป็นคนรุ่นเยาว์หรอก ถ้าอย่างนั้น
คนที่ศิษย์พี่หญิงจะกลับมาเล่นงานทีหลังก็คือผินเต้าแล้ว
หากเป็นปีนั้นที่อายุขัยในการฝึกตนยังไม่มากก็คงไม่เท่าไร แต่
ทุกวันนี้จะดีจะชั่วก็เป็นเจ้าอารามแห่งหนึ่งแล้ว จะมากจะน้อยก็ยัง
ต้องการศักดิ์ศรีหน้าตา ทุกวันเวลาออกจากบ้านต้องคอยยกมือ
มาบังใบหน้าครึ่งหนึ่ง คงไม่เข้าท่าเท่าไร
นักพรตซุนพาเดินออกมาจากอารามในอารามที่ถือว่าเป็นพื้นที่
ต้องห้ามพลางถามชวนคุย “ออกจากบ้านไปรอบหนึ่ง รู้สึก
อย่างไรบ้าง?”เยี่ยนจั๋วปลงอนิจจังอย่างถึงที่สุด “มากอำนาจมากบารมี ไม่ว่า
จะเดินไปที่ไหนก็ล้วนเป็นที่ต้อนรับ ดีมากเลยล่ะ ไม่เสียแรงที่ข้า
สายตาเฉียบแหลมเฉลียวฉลาด หมายตาอารามเสวียนตูของ
เจ้าอารามผู้เฒ่ามาตั้งแต่แรก สำ หรับในเรื่องนี้ ต่งถ่านดำกลับสู้ข้า
ไม่ได้แล้ว”
อันที่จริงนี่ต้องยกความดีความชอบให้กับคำแนะนำของอิ่น
กวานหนุ่ม หาไม่แล้วเจ้าอ้วนเยี่ยนที่ทั่วตัวเหม็นไปด้วยกลิ่น
เหรียญทองแดง อยู่ในป๋ายอวี้จิงที่กฎเกณฑ์เข้มงวดแห่งนั้น บน
เส้นทางของการต่อยอดทรัพย์สินเงินทองนี้ เกรงว่าคงจะมีฝีมือแต่ไร้
พื้นที่ให้แสดงความสามารถ ไม่มีพื้นที่ให้แสดงฝีมือมากนัก
ยาซานของหลินเจียงเซียน ตำแหน่งฐานะที่อยู่ในหรู่โจว
อาศัยว่ามากคนมากอำนาจ อีกทั้งยังเป็นพรรคในยุทธภพที่ได้รับการ
สนับสนุนอย่างเต็มกำลังจากราชวงศ์ชื่อจิน ผู้ฝึกยุทธที่เป็นผู้สืบทอด
ของยาซาน เมื่ออยู่ในขุนเขาสายน้ำของในทวีป แน่นอนว่าสามารถ
เดินกร่างได้เลย
ส่วนอารามเสวียนตูที่อยู่ในฉีโจวแห่งนี้ ก็ถือว่าเป็นลูกพี่ใหญ่
…อย่างสมศักดิ์ศรีเช่นกัน
ไม่เหมือนอินโจวที่นับแต่โบราณมาก็มีภูเขาเหลี่ยงจิงและสำ นัก
ต้าเฉาคอยคุมเชิงกัน เหมือนน้ำกับไฟที่เข้ากันไม่ได้ แน่นอนว่าวันนี้ไม่เหมือนวันวาน สองครอบครัวกลายเป็นคนครอบครัวเดียวกัน อีก
ทั้ง
ยังเป็นครอบครัวเดียวกันตามความหมายหน้าตัวอักษรด้วย
สำ นักบนภูเขาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกผู้ลูกศิษย์
ที่ถูกใจกัน จากนั้นก็กลายมาเป็นทองแผ่นเดียวกัน ไหนเลยจะมีเจ้า
สำ นักของสองสำ นักที่ผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกัน ในใต้หล้ามืด
สลัวแห่งนี้นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกจริงๆ
จู้โจวก็มีภูเขาไฉ่โซวที่คอยประชันขันแข่งอยู่กับตำหนักชิงสือ
หนึ่งในศาลบรรพชนของสายยันต์ลัทธิเต๋า
ต่อให้เป็นทางฝั่งของโยวโจวก็ไม่ใช่ว่ามีหอโซ่วซานที่สามารถ
งัดข้อกับตำหนักหัวหยางภูเขาตี้เฝ่ยได้อยู่ด้วยไม่ใช่หรือ
ยากจะบอกได้ว่าใครที่เป็นใหญ่เพียงหนึ่งเดียว
ส่วนหย่งโจวก็มีพรรคเซียนจั้งและภูเขาปิงเจี่ย จวนเซียนที่เป็น
สำ นักชั้นสูงสองแห่งนี้ก็คอยช่วงชิงตำแหน่งผู้นำของหนึ่งมณฑลกัน
มาโดยตลอด
แน่นอนว่าป๋ายอวี้จิงแห่งนั้นคือเจ้าของใต้หล้ามืดสลัว ต่อให้
เป็นอารามเสวียนตู เมื่อเปรียบเทียบกับอีกฝ่ายก็ยังห่างชั้นกันมาก
ถึงขั้นพูดได้ด้วยว่าสำ นักทั้งหมดในใต้หล้ามืดสลัวล้วนอยู่ใต้
อาณัติ ‘ฝ่ายนอก’ ของป๋ายอวี้จิงเยี่ยนจั๋วถาม “เจ้าอารามผู้เฒ่า ข้าสามารถทำการค้ากับเขาได้
หรือไม่?”
นักพรตซุนอืมรับหนึ่งที “ตามใจเจ้า ก็แค่การค้าขาย คบค้า
สมาคมกันในเรื่องเงินทองเท่านั้น ในเรื่องนี้ไม่มีข้อห้ามอะไร”
แล้วนับประสาอะไรกับความแค้นเก่าเล็กน้อยระหว่างอาราม
เสวียนตูกับภูเขาปิงเจี่ยนั้น ในสายตาของซุนไหวจงแล้วก็ไม่ถือว่าเป็น
เงื่อนตายอะไร เพียงแต่ว่าเจ้าขุนเขาคนปัจจุบันของภูเขาปิงเจี่ย
หัวแข็ง ดื้อดึงดัน ไม่ยอมขบคิดให้แตกเองก็เท่านั้น
นักพรตซุนถาม “ชอบหาเงินขนาดนี้จริงๆ หรือ?”
เยี่ยนจั๋วยิ้มกล่าว “ชอบนั้นชอบจริงๆ ชอบมาตั้งแต่เด็กแล้ว
แล้วนับประสาอะไรกับที่นอกจากฝึกกระบี่แล้ว หาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
ทำก็ช่วยดึงความสนใจไปได้บ้าง”
นักพรตซุนพยักหน้า “ดีมาก”
หากว่ามีโอกาส อาศัยการค้าครั้งนี้สามารถทำให้ความสัมพันธ์
ของทั้งสองฝ่ายดีขึ้นได้ วันหน้าแนะนำให้เยี่ยนจั๋วไปรับหน้าที่เป็นจื๋อ
ซื่อของห้องบัญชีศาลบรรพจารย์อารามเสวียนตู จะดีจะชั่วตนก็พอ
จะมีเหตุผลให้เอามาอ้างได้
หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกใครบางคนพูดว่าเลือกเอาแต่เฉพาะคนสนิท
ของตัวเอง ทุกวันนี้อารามเสวียนตูก็ไม่ขาดนักพรตกวาดพื้นเสียหน่อย
นักพรตซุนกล่าว “เจ้าไปเรียกตี๋หยวนเฟิงกับจานฉิงให้ออกไป
เดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์กับผินเต้าข้างนอกหน่อย”
เยี่ยนจั๋วพยักหน้าตอบรับ แล้วก็ไปเรียกเจ้าคนโชคดีที่มีวาสนา
ลึกล้ำสองคนนั้นมา
เยี่ยนจั๋วลองถามหยั่งเชิง “ให้ข้าส่งกระบี่บินไปให้ผู้อาวุโสของ
ภูเขาปิงเจี่ยคนนั้นก่อนไหม?”
นักพรตซุนส่ายหน้า “ไม่ต้อง”
คราวก่อนนักพรตซุนปล่อยจิตหยินออกเดินทางไกล
ออกเดินทางท่องไปในใต้หล้าไพศาลอีกครั้ง สุดท้ายก็ได้รับลูกศิษย์
ผู้สืบทอดสองคนมาจากอุตรกุรุทวีป เก็บพวกเขาเข้ามาไว้ในจักรวาล
ชายแขนเสื้อแล้วพากลับอารามเสวียนตูมาด้วยกัน
เพียงแต่ว่าเป็นผู้สืบทอดแค่ในนามเท่านั้น เพราะเขาแค่โยน
คาถาเซียนตำราเต๋าไม่กี่เล่มให้พวกเขาเท่านั้น คนที่ถ่ายทอดเวท
กระบี่และวิชาคาถาให้ผู้สืบทอดทั้งสองอย่างแท้จริง คือเต้ากวานห้า
ขอบเขตบนอย่างหานจ้านหรานที่เป็น ‘คนเฝ้าประตู’ ต่างหาก
ตามคำกล่าวของนักพรตซุน ถ่ายทอดวิชาเป็นอาจารย์ให้
คนอื่น ผินเต้ามีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่ง สอนผู้มีพรสวรรค์ได้ สอนคนโง่
ไม่ได้คนหนุ่มจากต่างถิ่นสองคนที่มาจากอุตรกุรุทวีปของใต้หล้า
ไพศาล ไหนเลยจะกล้ามีคำบ่นไม่พอใจ
รู้สึกเพียงว่าได้มีความสัมพันธ์กับบุคคลอันดับที่ห้าของใต้หล้า
ที่ฟ้าผ่าก็ไม่สะเทือน ต่อให้เป็นแค่อาจารย์และศิษย์กันแต่ในนาม ก็
เป็นเรื่องโชคดีใหญ่เทียมฟ้าที่มีควันเขียวผุดออกมาจากหลุมศพ
บรรพบุรุษได้แล้ว พวกเขาไม่กล้าคาดหวังอะไรไปมากกว่านี้จริงๆ
แล้วนับประสาอะไรกับที่ขอแค่เป็นนักพรตในสายของอาราม
เสวียนตู ล้วนสามารถฝึกตนได้อย่างสบายใจ อย่างน้อยที่สุดก็
ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกคนนอกรังแก
ซุนไหวจงเจ้าอารามผู้เฒ่าคล้ายต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้าต้น
หนึ่งที่บังลมบังฝน คอยปกป้องนักพรตทุกคน ทุกคนต่างก็ได้หลบไอ
ร้อนอยู่ในร่มไม้อย่างร่มเย็น แค่ตั้งใจฝึกตนไปก็พอ
เยี่ยนจั๋วไปหาตี๋หยวนเฟิงและจานฉิง บอกว่าอาจารย์ของพวก
เจ้าออกคำสั่งต้องการให้พวกเราออกไปผ่อนคลายอารมณ์ข้างนอก
พร้อมกับท่านผู้อาวุโส คนเปรียบเทียบกับคนชวนให้คนโมโหตาย คน
วัยเดียวกันสองคน ในฐานะลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าอารามผู้เฒ่า
เมื่ออยู่ในอารามเสวียนตูแห่งนี้ ลำดับอาวุโสก็สูงจนไร้ขื่อไร้แปแล้ว
อีกทั้งยังได้สร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ในป่าท้อเป็นข้อยกเว้นด้วย ตี๋หยวนเฟิงสองคนเห็นเจ้าอ้วนเยี่ยนก็ไม่กล้าเกิดใจดูแคลนแม้แต่น้อย
ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ติดตามเยี่ยนจั๋วไปพบอาจารย์ทันที
ปีนั้นอยู่ในอุตรกุรุทวีปที่เป็นบ้านเกิด ในซากปรักจวนเซียนแห่ง
หนึ่ง ตี๋หยวนเฟิงและจานฉิงต่างก็ได้เรียนรู้ลักษณะนิสัยของคน
บางคนมาก่อนแล้วว่า ‘ไม่รู้จักวางตัว’ มากแค่ไหน
มิน่าเล่าถึงได้ถูกอาจารย์ของตนเรียกอย่างเคารพว่าสหายน้อย
เฉิน
เพียงแต่รอกระทั่งพวกเขามารู้เรื่องในภายหลังว่าอีกฝ่ายเป็น
ถึงอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็เริ่มรู้สึกโชคดีที่
ตัวเอง ‘รอดพ้นหายนะ’ มาได้ รวมไปถึงได้รับโชคหลังเคราะห์ร้าย
จึงยิ่งทะนุถนอมและเห็นค่าวันเวลาในการฝึกตนที่สงบสุขนี้มากกว่า
เดิม
เยี่ยนจั๋วยิ้มกล่าว “วันหน้าเมื่อเฉินผิงอันมาเยือนอารามเสวียน
ตู พวกเจ้าสามคนก็ถือว่าเป็นคนรู้จักเก่าที่ได้กลับมาพบเจอกันใหม่
อย่างจริงแท้ จะไม่ดื่มเหล้าด้วยกันดีๆ สักมื้อได้อย่างไร? งานเลี้ยง
สุราครั้งนี้ พวกเจ้ามีความคิดอะไรหรือไม่? ข้าสามารถช่วยเตรียม
เหล้าหมักตระกูลเซียนไว้ให้พวกเจ้าหลายๆ ไหก่อนได้ ส่วนราคาน่ะ
หรือ พูดง่าย รับรองว่าเป็นราคาต้นทุน!”
ตี๋หยวนเฟิงไม่ตอบรับจานฉิงกลับยิ้มเอ่ย “แบบนี้ก็ดีเลย คงต้องรบกวนให้พี่เยี่ยน
สิ้นเปลืองความคิดแล้ว”
อันที่จริงตอนที่พบเจอกับพวกตี๋หยวนเฟิงเป็นครั้งแรก ก็เป็น
หลังจากที่เฉินผิงอันพลัดหลงเข้าไปในพื้นที่มงคลดอกบัว
เป็นครั้งแรกที่ปลุกความกล้า เป็นฝ่ายเรียนรู้เอาจากผู้ฝึกตนบนภูเขา
ที่เข้าไปในพื้นที่ลับของขุนเขาสายน้ำ ตามหาเยี่ยมเยือนเซียน
แสวงหาโชควาสนาให้ตัวเอง
หากมองแค่ผลลัพธ์ แน่นอนว่าเฉินผิงอันได้รับผลเก็บเกี่ยว
มหาศาล แต่หากจะพูดถึงระดับความอันตรายของขั้นตอนนั้น ก็
ทำให้คนหวาดผวาไม่คลายได้จริงๆ นอกจากนี้แล้ว เฉินผิงอันยัง
เท่ากับว่าได้รับผลกรรมที่น้ำหนักไม่เบาส่วนหนึ่งมาอย่างที่มองไม่
เห็น ในอารามเต๋าขนาดเล็กที่อยู่บนยอดเขา ตั้งบูชาเทวรูปไม้ท้อของ
นักพรตคนหนึ่งที่มีใบหน้าของวัยกลางคน สถานะที่แท้จริงของคนผู้นี้
ก็คือศิษย์น้องเล็กของนักพรตซุนแห่งอารามเสวียนตู ปีนั้นถูกอวี๋โต้ว
เจ้าลัทธิรองแห่งป๋ายอวี้จิงสวมชุดคลุมอาคมพกกระบี่เซียนมา
ถามกระบี่ ถามมรรคาที่อารามเสวียนตูด้วยตัวเอง คนที่ตายภายใต้
คมกระบี่ของผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงก็คือเต้ากวานของอารามเสวียน
ตูท่านนี้และซ่งเหมาหลูลูกศิษย์ผู้สืบทอดของคนผู้นี้ก็ยิ่งเป็นนักพรตที่
ได้รับการขนานนามว่า ‘ครามเกิดจากต้นครามแต่สีเข้มกว่าคราม’
ตามคำกล่าวของฮว่อหลงเจินเหรินตอนที่อยู่บนเกาะเป็ดน้ำ
ถ้ำ สวรรค์เล็กวังมังกรในปีนั้น นักพรตที่หากอิงตามลำดับอาวุโส
จะถือเป็นศิษย์หลานของเจ้าอารามผู้เฒ่าคนนี้เคยใช้หย่งโจวเป็น
ฐานทัพใหญ่ รวบรวมสายลัทธิเต๋าที่นอกเหนือจากป๋ายอวี้จิงมาได้
เกือบหกส่วน คำกล่าวนี้แน่นอนว่าต้องมีน้ำผสมอยู่ส่วนหนึ่ง เพราะ
สำ นักและจวนเซียนจำ นวนไม่มากที่อยู่บนยอดสูงสุดของใต้หล้า ปี
นั้น
ไม่ได้เป็นพันธมิตรกับซ่งเหมาหลูอย่างแท้จริง บางทีอาจ
มีข้อตกลงกันเป็นการส่วนตัว แต่อย่างน้อยภายนอกก็ไม่ได้ร่วมมือ
กับหย่งโจว ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ถือว่าน่าตะลึงพรึงเพริดมากพอแล้ว
ก็เหมือนอย่างตัวอย่างที่ฮว่อหลงเจินเหรินยกมาพูดในปีนั้น หากเอา
ไปไว้ในใต้หล้าไพศาลของพวกเรา นี่ก็เหมือนมีคนคนหนึ่งที่สามารถ
งัดข้อกับลัทธิขงจื๊อครึ่งหนึ่ง และตั้งป้อมประจัญหน้าอยู่กับศาลบุ๋น
แผ่นดินกลางได้
และอาจารย์ของซ่งเหมาหลู ลูกศิษย์ของนักพรตซุน เทวรูป
ไม้ท้อของนักพรตเฒ่าขอบเขตบินทะยานท่านนี้ ทุกวันนี้ก็เป็นกุญแจ
สำ คัญของเรือนไม้หนึ่งในวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุของเฉินผิงอันนอกจากตี๋หยวนเฟิงและจานฉิงที่ถูกเจ้าอารามผู้เฒ่าเก็บมาใส่
ไว้ในจักรวาลชายแขนเสื้อ กลายร่างเป็นสายรุ้งบินทะยานกลับมายัง
ใต้หล้ามืดสลัวเหมือนคนหนึ่งบรรลุธรรมไก่และหมาพลอยได้ขึ้น
สวรรค์แล้ว อันที่จริงปีนั้นหลิ่วกุ้ยเป่าผู้ฝึกหญิงของจวนไฉ่เชวี่ยเดิม
นางก็เกือบจะได้เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าอารามผู้เฒ่าเหมือนกัน
เยี่ยนจั๋วพูดด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้ “พวกเราพี่น้องจะมาดื่มเหล้า
ร่วมกันเมื่อไหร่ดี เล่าให้ข้าฟังถึงการออกเดินทางหาประสบการณ์ใน
ปีนั้นหน่อยเถอะว่ารู้จักกับเฉินผิงอันได้อย่างไร”
เพราะมีความสัมพันธ์กับเฉินผิงอัน เยี่ยนจั๋วจึงรู้สึกใกล้ชิดกับ
พวกเขามากเป็นพิเศษ
ส่วนคนทั้งสองจะคิดอย่างไร เยี่ยนจั๋วไม่สนใจแม้แต่น้อย
จานฉิงยิ้มตอบตกลง บอกว่าไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ส่วนตี๋หยวน
เฟิงนั้นรู้สึกอ่อนใจยิ่งนัก เขาไม่ยินดีจะพูดถึงเจ้า ‘เฉินคนดี’ ที่เจ้า
เล่ห์เพทุบาย หาเงินอย่างไม่คิดชีวิตผู้นั้นจริงๆ
——