กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 959.4 สำนักกระบี่ชิงผิง
ปีนั้นตี๋หยวนเฟิงที่ตระกูลตกอับ ตรงเอวห้อยดาบวิเศษเล่มหนึ่ง
ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ เคยเรียนวิชาดาบมาจากผู้ถวายงานใน
ตระกูลที่มีชาติกำเนิดจากแม่ทัพชายแดนท่านหนึ่งมาบ้างเล็กน้อย
เขาเคยใช้ตัวตนของฉินจวี้หยวนแห่งแคว้นเจียโย่ว แน่นอนว่า
เป็นการใส่ความป้ายสีให้กับฝ่ายหลัง ตลอดทางได้ทยอยรู้จักกับ
‘นักพรตซุน’ หวงซือ ฯลฯ ผู้ฝึกตนอิสระหลายคนที่ถูกผู้คนดูแคลน
ร่วมมือกันแสวงหาทรัพย์สินเงินทอง ไปเยือนพื้นที่ลับของจวนเซียน
มารอบหนึ่ง ตี๋หยวนเฟิงก็เท่ากับว่าเอาหัวไปผูกไว้บนเข็มขัดกางเกง
เสี่ยงชีวิตเพื่อแสวงหาความร่ำรวยความสูงศักดิ์ ย้อนกลับมามอง
จานฉิง ในฐานะท่านโหวน้อยของแคว้นเป่ยถิง คือบุรุษแล้งน้ำใจเจ้าชู้
เสเพลที่ขึ้นชื่อคนหนึ่ง ตอนนั้นออกเดินทางพเนจร ตรงเอวห้อยขลุ่ย
หยกมันแพะไว้เลาหนึ่ง มีมาดของคุณชายผู้สูงศักดิ์ ถือไม้เท้าเดินป่า
ที่ซ่อนกระบี่อ่อนไว้เล่มหนึ่ง ข้างกายมีสาวงามเคียงข้าง เรียกได้ว่า
เป็นการออกไปเที่ยวขุนเขาสายน้ำโดยแท้
ส่วนเหตุใดเจ้าอารมณ์ผู้เฒ่าถึงได้ยินดีรับพวกเขาเป็นศิษย์ พา
กลับมาที่ใต้หล้ามืดสลัว จนถึงตอนนี้ทั้งจานฉิงและตี๋หยวนเฟิงก็ยังคลางแคลงไม่หาย อยู่ดีๆ ก็กลายมาเป็นเต้ากวานอย่างมึนๆ งงๆ
เดินอยู่ในอารามเสวียนตู อยู่ดีๆ ก็ถูกพวกเจินเหรินผู้เฒ่าห้าขอบเขต
บนเหล่านั้นเรียกขานว่าอาจารย์อาอาจารย์ลุง ถึงขั้นที่ว่าบางคนยัง
เรียกพวกเขาว่าบรรพจารย์อา บรรพจารย์ลุง แล้วยังเคยถูกคนเรียก
อย่างเคารพนอบน้อมว่าบรรพจารย์ลุงไท่ซ่าง บรรพจารย์อาไท่
ซ่างอีกด้วย
เพียงแต่ว่าระหว่างคนสองคนที่ร่วมสำ นักเดียวกัน อันที่จริง
ความสัมพันธ์ของพวกเขาในทุกวันนี้กลับธรรมดาอย่างมาก จะว่าไป
แล้วก็เพราะทั้งสองฝ่ายไม่เคยเป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน
คนละเส้นทาง แน่นอนว่าเป็นแค่พวกเขาเองที่รู้สึกเช่นนี้
จานฉิงถามอย่างระมัดระวัง “พี่เยี่ยน ใต้เท้าอิ่นกวานท่านนั้น
ในฐานะคนนอก แรกเริ่มสุดสามารถหยัดยืนอยู่ที่กำแพงเมืองปราณ
กระบี่ได้อย่างไร?”
เยี่ยนจั๋วครุ่นคิดอย่างจริงจังแล้วหัวเราะเสียงดังว่า “ปฏิบัติต่อ
ผู้อื่นด้วยความจริงใจ!”
ตอนที่เจ้าอ้วนเยี่ยนไปเรียกคน นักพรตซุนได้ไปหาศิษย์พี่หญิง
หวังซุน ถามหยั่งเชิงว่า “หลงซินผู่แห่งภูเขาปิงเจี่ยผู้นั้นมาหาถึงที่
ท่านจะไปพบเขาหรือไม่?”นักพรตหญิงที่มีรูปโฉมเป็นเด็กสาวเอ่ยด้วยสีหน้าเฉยชา “หาก
อีกฝ่ายใช้ข้ออ้างว่าคนบ้านเดียวกันพูดคุยรำลึกความหลังกัน ข้าก็
ไม่พบ แต่หากเจ้ารู้สึกว่าเขามาที่อารามเสวียนตูของพวกเราเพื่อ
พูดคุยธุระ อีกทั้งยังเป็นเรื่องที่ค่อนข้างสำ คัญ ถึงอย่างไรเจ้าต่างหาก
ที่เป็นเจ้าอาราม ข้าก็ไม่มีปัญหาอะไร”
นักพรตซุนถาม “หากอีกฝ่ายมีเหตุผลทั้งสองอย่างเลยเล่า
จะทำอย่างไรดี?”
หวังซุนเอ่ย “แน่นอนว่าเรื่องส่่วนรวมต้องใหญ่กว่าเรื่องส่วนตัว
เจอหน้ากันก็ไม่เป็นไร”
นักพรตซุนโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก เงียบไปพักหนึ่งก็
เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “ศิษย์พี่หญิง อาจารย์ของพวกเราคือคนที่
โชคดีในช่วงบั้นปลายของชีวิต”
อาจารย์ของนักพรตซุนและศิษย์พี่หญิงหวังซุน นักพรตเฒ่าที่
มีฉายาว่า ‘ชิงหยวน’ ผู้นั้นแก่ตายไป ถือว่าจากไปโดยไร้โรคภัย
ลูกศิษย์ทั้งหลายก็ถือว่าพอจะได้ดิบได้ดีกันอยู่บ้าง หากว่าจากไป
ช้ากว่านี้อีกสักสองสามร้อยปี บางทีอาจต้องกลุ้มใจแล้ว
หวังซุนพยักหน้า “โชคดีที่อาจารย์จากไปแล้ว ไม่อย่างนั้นหาก
ยังมีชีวิตอยู่อีกสักสองสามปี คงจะถูกพวกเราทำให้โมโหจนตาย
เป็นแน่”ต่อให้พูดถึงอาจารย์ หวังซุนก็พูดจาตรงไปตรงมาไม่หลบเลี่ยง
ยำเกรง
นักพรตซุนยิ้มกล่าว “พวกท่านแต่ละคน ปีนั้นต่างก็ไม่ยินดี
จะรับตำแหน่งต่อจากอาจารย์ รับหน้าที่เป็นเจ้าอาราม ข้าสงสัย
มาโดยตลอด ปีนั้นอาจารย์เลือกข้า เป็นเพราะศิษย์พี่หญิงแอบไปพูด
อะไรกับอาจารย์หรือไม่?”
“เรื่องที่ไม่มีหลักฐานยืนยัน พูดเหลวไหลให้น้อยหน่อย”
หวังซุนนั่งลงใต้ต้นท้อ ยื่นมือไปกดกระบี่ยาวไร้ฝัก เอ่ยสั่งสอน
ว่า “เป็นศิษย์น้อง ไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่”
นักพรตซุนหลุดหัวเราะพรืด
ปีนั้นเด็กๆ กลุ่มที่ถูกเจินเหรินผู้เฒ่า นักพรต ‘ชิงหยวน’
เจ้าอารามคนก่อนของอารามเสวียนตูเลือกเข้ามาฝึกตนในอาราม
เสวียนตูพร้อมกัน มีมากถึงเจ็ดคน หลังจากนั้นเจินเหรินผู้เฒ่าท่านนี้
ก็ไม่ได้รับลูกศิษย์ผู้สืบทอดอีก
แต่เด็กทั้งเจ็ดคน ผลกลับกลายเป็นว่าลำพังคนที่ได้เป็นผู้ฝึก
ตนขอบเขตบินทะยาน ภายหลังก็มีถึงสามคน!
นอกจากหวังซุนที่เพิ่ง ‘ออกจากด่าน’ ซุนไหวจงเจ้าอารามคน
ปัจจุบัน ก็ยังมีศิษย์น้องเล็กของทั้งสองที่ชอบถือไม้เท้าเดินป่า สะพาย
หีบหนังสือออกทัศนาจรไปทั่วสารทิศ บ้านเกิดคือสถานที่เล็กๆ แห่งหนึ่งที่มีต้นผีผามากมาย ชาติกำเนิดยากจน ชื่อว่าหวงกาน ภายหลัง
มีฉายาว่า ‘ชิงหลี่’ ผู้นั้น
คนร่วมสำ นักสามคน ซุนไหวจง ศิษย์พี่หญิงหวังซุน ศิษย์น้อง
หวงกาน ต่างก็ทยอยกันเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยาน แล้วก็เคย
แยกกันรับหน้าที่เป็นผู้ดูแลหลัก โส่วจั้ว ตูเจี่ยงของอารามเสวียนตู
นี่จึงเป็นเหตุให้ปีที่เจ้าอารามคนก่อนรับลูกศิษย์เป็นครั้งสุดท้าย
จึงถูกคนรุ่นหลังมองว่าเป็น ‘ปียิ่งใหญ่ที่ดีงาม’ ที่ผลเก็บเกี่ยว
อุดมสมบูรณ์มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของอารามเสวียนตู
ต่อให้เอาไปวางไว้ในหน้าหนังสือของปฏิทินเหลืองเล่มหนา
หนักของใต้หล้ามืดสลัวเล่มนั้น ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะเป็นหน้าที่
มีน้ำหมึกเข้มข้นมากที่สุด
ดังนั้นครั้งก่อนที่ซิ่วไฉเฒ่าพาเด็กชายสวมหมวกหัวเสือคนหนึ่ง
มาเป็นแขกที่อารามเสวียนตู ก็ตั้งใจมาที่ศาลบรรพจารย์แห่งนี้
โดยเฉพาะเพื่อจุดธูปสามดอกคารวะเจ้าอารามคนก่อน
คนที่อยู่ในภาพแขวน กับแขกที่มาจุดธูปคารวะนอกภาพแขวน
ทั้ง
สองฝ่ายต่างก็เชี่ยวชาญในการรับลูกศิษย์อย่างมาก
นอกจากนี้ลูกศิษย์ปิดสำ นักของซิ่วไฉเฒ่ากับลูกศิษย์คนเล็ก
ของเจ้าอารามคนก่อนก็มีวาสนาที่ไม่ตื้นเขินต่อกัน
นี่ก็ประเสริฐอย่างยิ่งแล้วหยวนเหอ ฉายา ‘ชิงหยวน’ เจ้าอารามคนก่อนของอาราม
เสวียนตู ครั้งแรกที่นักพรตเฒ่าถ่ายทอดวิชาความรู้ให้กับพวก
ลูกศิษย์อย่างเป็นทางการ ก็คือโยนผลงานของมรรคาจารย์เต๋าที่
มีถ้อยคำแค่ห้าพันคำเล่มนั้นไปให้กับเด็กๆ พวกนั้น
ส่วนหวังซุนที่แค่เห็นหกอักษรซึ่งเป็นบทนำที่ว่า ‘เต๋าที่ต้อง
อธิบาย มิใช่เต๋าที่เที่ยงแท้’ นางก็ปิดหน้าหนังสือลงทันที
นักพรตผู้เฒ่าที่ปีนั้นยังรับหน้าที่เป็นหนึ่งในสามตูของอาราม
เสวียนตู ผงกศีรษะคลี่ยิ้ม
บอกให้นางเอาไปเล่นเอง
แม่นางน้อยที่ปีนั้นยังมัดผมแกละสองจุกจึงกระโดดโลดเต้น
ออกไปจากห้อง เอาไปเล่นเพียงลำพัง
ทิ้งไว้เพียงพี่น้องร่วมสำ นักซึ่งมีซุนไหวจงเป็นหนึ่งในนั้น
แต่ละคนตาใหญ่มองตาเล็ก ท่าทางตกตะลึงอย่างมาก
หลังจบเรื่องซุนไหวจงถามศิษย์พี่หญิงว่าเป็นเรื่องอะไรกันแน่
ตอนนั้นคำอธิบายของศิษย์พี่หญิงก็คือ ข้าอ่านหนังสือไม่ออก
เสียหน่อย อาจารย์โยนตำราให้ข้าเล่มหนึ่ง มันคือเรื่องอะไรกันแน่
ซุนไหวจงก็เชื่อจริงๆ เด็กน้อยไม่รู้ความ เด็กน้อยไม่รู้ความนี่นะ
ก็จริง ศิษย์พี่หญิงหวังซุนที่บ้านเกิดอยู่ที่มณฑลหย่งโจว คนทุ
กรุ่นทุกสมัยต่างก็เป็นคนจับงู ไม่เคยรู้จักตัวอักษร ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ
หวนกลับมามองพวกซุนไหวจงตัวอ่อนด้านการฝึกตนที่
ชาติกำเนิดไม่เลว อย่าว่าแต่รู้จักตัวอักษรเลย ต่อให้เป็นคัมภีร์เต๋า
ของแต่ละสายต่างก็ท่องได้ไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่นหวงกานศิษย์น้อง
เล็กที่แต่แรกเริ่มก็เป็นที่ยอมรับว่าคุณสมบัติด้านการฝึกตนดีเยี่ยม
ที่สุด ไม่ถึงสิบขวบก็ท่องคัมภีร์เต๋าได้ทั้งเล่มแล้ว
ซุนไหวจงเพิ่งจะมารู้ความจริงเอาเมื่อผ่านมาหลายปีแล้ว ที่แท้
ศิษย์พี่หญิงก็แค่รู้สึกว่า ‘เสี่ยวซุน’ ศิษย์น้องเล็กที่เพิ่งจะรู้จักได้
ไม่นาน ต่อให้อายุน้อยแค่ไหน จะดีจะชั่วก็เป็นผู้ฝึกตนคนหนึ่ง ถึงกับ
ถามคำถามปัญญาอ่อนเช่นนี้ออกมาได้ มองแล้วน่าสงสารยิ่งนัก
นางก็เลยหาข้ออ้างง่ายๆ มาปลอบโยนเขาเท่านั้น
ถึงอย่างไรในเวลาหลายปีนั้น ทุกครั้งที่ศิษย์พี่หญิงเห็นซุนไหว
จงก็จะมองด้วยสายตา ‘เมตตา’ มากเป็นพิเศษ แล้วก็ไม่เคยทำหน้า
เย็นชาให้เขาเห็น ก็ถือเสียว่านางปฏิบัติต่อเจ้าเด็กโง่ด้วยความสง
สารเวทนากระมัง
บนเส้นทางการฝึกตนของหวังซุนต่อจากนั้นราบรื่นอย่าง
ถึงที่สุด เรื่องของการฝ่าทะลุขอบเขตก็รุดหน้าดุจผ่าลำไม้ไผ่
สามารถกดข่มคนรุ่นเดียวกันได้อย่างสมบูรณ์ ควบม้าห้อตะบึง
ทิ้งไปไม่เห็นฝุ่น ได้แต่มองแผ่นหลังที่เดินขึ้นสู่ที่สูงของหวังซุนไปไกลๆ เท่านั้น
นานวันเข้าพวกนักพรตเฒ่าที่เป็นรุ่นตัวอักษรฮุยของอาราม
เสวียนตูทุกคนต่างก็ยอมรับชะตากรรม เห็นได้ชัดว่าทำอะไรไม่่ได้
ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับหวังซุนอีก
การประลองมรรคกถา ศึกษาหลักการเหตุผล ใครก็ไม่ไปหา
หวังซุน
หวังซุนบดขยี้คนรุ่นเดียวกันก่อน จากนั้นก็ไล่ตามคนรุ่น
อาจารย์ไป จากนั้นคนสองคนที่มีลำดับอาวุโสอยู่รุ่นอักษรฮุย คนหนึ่ง
ในนั้นมีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนอันน่าครั่นคร้าม ผลกลับกลายเป็น
ว่าต่างก็ถูกหวังซุนทยอยกันแซงหน้าไป
ที่โลกยุคหลังวิจารณ์หวังซุนว่า ‘ถามมรรคาตั้งแต่ยังไว้ผมจุก’
ก็ไม่ใช่คำหยอกล้ออะไรเลย
หวงกานศิษย์น้องเล็กที่คุณสมบัติด้านการฝึกตนเป็นรองแค่
หวังซุน ก่อนจะเข้ามาอยู่ในอารามเสวียนตู เคยมีคำทำนายประโยค
หนึ่งว่า ‘ผู้เป็นเทียนเซียน’ กลับกลายเป็นว่าตบะพัฒนาได้เชื่องช้า
มากที่สุด
ส่วนซุนไหวจง ในช่วงเวลาของการฝึกตนที่ไร้ความกังวลนั้น
เขาคิดว่าตัวเองสูงไม่ได้ต่ำไม่ดี แล้วก็ไม่ถือว่าโดดเด่นสักเท่าไร ใน
เมื่อมีศิษย์พี่หญิงหวังซุนอยู่ ตัวเขาเองจะเป็นผู้มีความสามารถหรือไม่ ล้วนไม่มีความหมาย ส่วนภายหลังที่ถูกผู้คนพูดกันว่า
มาได้ดิบได้ดีเอาตอนแก่ สะสมมากใช้ทีละน้อย ฟังแล้วก็เห็นว่าเป็น
คำด่าคนเท่านั้น
ทางฝั่งของตำหนักบรรพจารย์อารามเสวียนตู หลังจากพวก
นักพรตอักษรฮุยกลุ่มนั้นเติบใหญ่ ในฐานะผู้นำสายเซียนกระบี่ของ
ลัทธิเต๋าในใต้หล้า อันที่จริงอยู่ในฉีโจวก็เป็น ‘ภูเขาบนภูเขา’ ที่
ขึ้นชื่อว่าไม่แก่งแย่งชิงดีกับใคร เก็บตัวอยู่ในเรือนเงียบ มานะฝึกตน
ไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกโลกีย์ คบค้าสมาคมกับโลกภายนอกน้อยครั้ง
รอกระทั่งเต้ากวานรุ่นอักษรฮุยเริ่มกลายมาเป็นกำลังสำ คัญ
ของอารามเสวียนตู ต่างก็ได้ครอบครองตำแหน่งที่สำ คัญในอาราม
เต๋า อารามเสวียนตูที่เดิมทีเงียบสงบสูงส่งกลับเปลี่ยนไป เปลี่ยน
มาเป็นฉายประกายคมกริบ เริ่มยุ่งเกี่ยวกับโลกทางโลกมากขึ้น
เมื่อได้ยินว่าเพื่อนร่วมสำ นักเสียเปรียบอยู่ข้างนอก หวังซุนก็
โบกมือเป็นวงกว้าง จากนั้นผู้ฝึกตนรุ่นเดียวกันหลายสิบคนก็แอบ
จับมือกันเดินทางไกลโดยไม่บอกทางสำ นัก ทุกครั้งล้วนเป็นซุนไหว
จงที่เป็นผู้นำขบวน ศิษย์น้องหวงกานทำหน้าที่เป็นกุนซือผู้วางแผน
กลยุทธ์ ศิษย์พี่หญิงหวังซุนรับผิดชอบคอยรับมือกับพวกคนที่
ขอบเขตสูง อีกทั้งยังเก็บกวาดเรื่องเละเทะในช่วงท้าย ยกตัวอย่างเช่น
เมื่อกลับมาถึงที่อาราม นางก็จะต้องร่ายเหตุผลยาวเหยียดกับพวกผู้อาวุโสในสำ นัก หลังโดนอบรมสั่งสอนไปรอบหนึ่งก็ต้องพากัน
หันหน้าเข้าหากำแพงทบทวนความผิด ทุกครั้งจะต้องถูกกักบริเวณ
ด้วยกันอยู่ในป่าท้อ นี่เรียกได้ว่ามีทุกข์ร่วมต้าน
รอกระทั่งซุนไหวจงโดดเด่นขึ้นมาในรุ่นคนอักษรฮุย ได้
รับหน้าที่เป็นผู้ดูแลหลักของอารามเสวียนตูอย่างที่เหนือ
การคาดการณ์ของทุกคน หลายพันปีต่อมา ภายใต้การยอมรับ
โดยปริยาย หรือถึงขั้นช่วยผลักดันลูกคลื่นอยู่อย่างลับๆ ของซุนไหว
จง นักพรตของสายเซียนกระบี่อารามเสวียนตูที่มีขนบธรรมเนียม
ชอบ ‘ท้าดวลตัวต่อตัว’ มากที่สุดและถนัดที่สุดก็ยิ่งส่องประกาย
เจิดจ้าถึงขีดสุด ค่ายกลกระบี่อันมหัศจรรย์หลายสิบชุดของอาราม
เสวียนตูที่เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่อลังการพวกนั้นได้มาอย่างไร แน่นอนว่า
ต้องได้มาจากการล้อมต่อยตีครั้งแล้วครั้งเล่า
และนับตั้งแต่เสี่ยวซุนกลายมาเป็นเจ้าอารามหนุ่ม ก่อน
จะกลายมาเป็นนักพรตซุนเจ้าอารามผู้เฒ่า นิสัยเสียๆ เหล่านั้น…ควร
ต้องเปลี่ยนคำเรียกขานที่ยุติธรรมยิ่งกว่า นั่นคือการสืบทอดอันดีงาม
บางอย่างที่ทั้งบนและล่างภูเขา หรือแม้แต่คนเดินถนนก็ยังรู้พวกนั้น
อันที่จริงก็ล้วนเป็นเพราะเรียนรู้เอาอย่างมาจากศิษย์พี่หญิงหวังซุน
ตอนที่อายุยังน้อย
ยกตัวอย่างเช่นจะตีคนต้องฉวยโอกาสแต่เนิ่นๆ……
สำ นักกระบี่ชิงผิง การประชุมศาลบรรพจารย์ครั้งแรก
ข้างเก้าอี้วางโต๊ะน้ำชาไว้ บนโต๊ะวางน้ำชาสีใสหนึ่งถ้วย เมล็ด
แตงหนึ่งจาน
ดูจากท่าทางแล้วน่าจะเป็นประเพณีที่กำหนดไว้แล้วสำ หรับ
การประชุมศาลบรรพจารย์ต่อจากนี้
เฉาฉิงหล่างกับเผยเฉียนรับผิดชอบรินน้ำชา หมี่ลี่น้อย
รับผิดชอบแบ่งเมล็ดแตง
แม่นางน้อยชุดดำสีหน้าจริงจังอย่างยิ่ง ช่วยไม่ได้ ในจำ นวน
รวมของเมล็ดแตงที่แบ่งไปไว้ในแต่ละจาน นางต้องรับรองว่าจะแบ่ง
ได้อย่างแม่นยำไม่ขาดไปแม้แต่เมล็ดเดียว!
เมื่อคืนเฝ้าคืนอยู่กับเผยเฉียน นางฝึกปรือทำเรื่องนี้อยู่มานาน
มาก รู้สึกว่ายังไม่อาจรับรองความแน่นอนได้มากพอ อย่างมากก็
ทำได้แค่ว่ามีความผิดพลาดอยู่ระหว่างสองถึงสามเมล็ดแตง ร้อนใจ
ยิ่งนัก เผยเฉียนก็เลยช่วยนางคิดหาวิธีที่รอบคอบไร้ช่องโหว่ ตอนที่
นางควักเมล็ดแตงออกมา หากมีข้อผิดพลาด เผยเฉียนก็จะใช้
สายตาบอกเป็นนัยกับหมี่ลี่น้อย หากขาดสองเมล็ดมีการบอกเป็นนัย
ของการขาดสองเมล็ด ขาดหนึ่งเมล็ดมีการเตือนของการขาดหนึ่ง
เมล็ด ฮ่าๆ สมบูรณ์แบบ!เฉินผิงอันแทะเมล็ดแตงก่อนใคร เพียงไม่นานเจ้าขุนเขาคนดีก็
มองเส้นสนกลในออก ดีมาก เมื่อเทียบกับคนอื่นแล้วเขาได้มากกว่า
สามเมล็ด หมี่ลี่น้อยยังคงเข้าข้างตนมากกว่าใครจริงดังคาด
เจี่ยเฉิงนั่งตัวตรงอย่างสำ รวมมากที่สุด เดิมทีเทพเซียนผู้เฒ่า
คิดว่าการประชุมศาลบรรพจารย์เป็นครั้งแรกหลังการก่อตั้งสำ นัก
ครั้งนี้ ตนเองคงไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง คิดไม่ถึงว่าเจ้าขุนเขาเฉินจะยัง
เห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีต เจ้าสำ นักชุยยังคงรักและเคารพอาจารย์
จริงดังคาด
ฉิวตู๋เองก็ไม่ได้ดีไปกว่าเทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยสักเท่าไร
อันที่จริงนอกจากเจี่ยเฉิงและหญิงชราแล้ว เหยาเซียนจือคือคน
ที่อึดอัดที่สุด ปีนั้นเขากึ่งๆ ล้อเล่นกับอาจารย์เฉิน ขอสถานะเค่อ
ชิงของสำ นักเบื้องล่างมา ตัวเขาเองไม่ได้คิดเป็นจริงเป็นจังสักเท่าไร
คิดไม่ถึงว่าไม่เพียงแต่จะได้เป็นเค่อชิงที่ได้รับการบันทึกชื่อ ยัง
สามารถมีตำแหน่งที่นั่งที่มั่นคงในศาลบรรพจารย์ยอดเขาชิงผิงด้วย
ส่วนเซียนกระบี่เถา แน่นอนว่าก็ไม่ได้นั่งงีบหลับ
“ทุกคนทำตัวตามสบาย ไม่ใช่ว่า ‘คิดเสียว่า’ คนกันเอง
ปิดประตูบ้านคุยกันเอง เดิมทีก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว”
เฉินผิงอันยกถ้วยน้ำชาขึ้น หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง คล้ายจะเกิด
แรงบันดาลใจอะไรบางอย่าง จึงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จำ เป็นต้องยอมรับในข้อหนึ่งว่า ภูเขาเบื้องบนสำ นักเบื้องล่างของพวกเรา
มีขนบธรรมเนียมเที่ยงตรงอย่างมาก ทุกคนต่างก็มีคุณความชอบ”
ชุยตงซานกะพริบตาปริบๆ เหล่ตามองเผยเฉียนที่อยู่ด้านข้าง
บอกเป็นนัยกับศิษย์พี่หญิงใหญ่ว่าเจ้ากล้าแย่งคุณความชอบส่วนนี้
กับอาจารย์หรือ?
เผยเฉียนไม่สนใจห่านขาวใหญ่ผู้นั้น เพียงแค่ใช้สายตา
บอกเป็นนัยแก่เฉาฉิงหล่างที่อยู่ข้างกายว่า เจ้าก็พูดอะไรเสียบ้างสิ
เฉาฉิงหล่างนิ่งเฉย ไม่สะทกสะท้าน
สุยโย่วเปียนกระตุกมุมปาก แล้วก็ไม่ได้พูดอะไร
นักบัญชีเหวยและอาจาร์จ้งหันมามองสบตากัน รู้ใจกันดี
อย่างยิ่ง เริ่มก้มหน้าดื่มชาของใครของมัน
มีเพียงหมี่ลี่น้อยที่แกว่งเท้าเล็กเบาๆ พยักหน้ารับอย่างแรง ยก
มือสองข้างขึ้นปรบกันอย่างไร้เสียง
เสี่ยวโม่รู้สึกว่าตัวเองติดตามอยู่ข้างกายคุณชาย วันเวลายัง
น้อยมาก ไม่คู่ควรที่จะได้รับคำวิจารณ์เช่นนี้
บรรยากาศออกจะกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง เดิมทีเฉินผิงอันคิด
ว่าจะเอ่ยประโยคหนึ่ง แต่ในเมื่อทุกคนที่นั่งอยู่ต่างก็ไม่พูดอะไร
ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าเป็นการยอมรับไปโดยปริยายแล้ว ดีมาก เริ่ม
ประชุมได้แล้วโชคดีที่เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยเปิดปากทำลายความเงียบขึ้น
มาก่อน พูดเสียงหนักด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ
“แน่นอนอยู่แล้ว!”
ส่วนชุยตงซาน เผยเฉียน เฉาฉิงหล่าง กลับพากันหันมา
จ้องมองเทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยอย่างอึ้งงัน
เฉินผิงอันพลันลุกพรวดขึ้นยืน
ตรงหน้าประตูภูเขาของยอดเขาชิงผิง มีสตรีสวมชุดผ้าฝ้ายบุ
นวมสีแดงคิ้วตาเบิกบานคนหนึ่งโผล่มาจากความว่างเปล่า ตรงเอว
นางห้อยน้ำเต้าบรรจุเหล้า นางเดินจูงม้ามา โบกมือตะโกนเรียก
“อาจารย์อาน้อย!”
——