กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 960.1 หนึ่งเท้าเจ็ดขอบเขต
คนชุดเขียนพลันพุ่งตัวออกไปจากศาลบรรพจารย์ คล้ายน้ำตก
สีเขียวเส้นหนึ่งที่ไหลจากยอดเขาชิงถงพุ่งตรงไปที่หน้าประตูภูเขา
ชุยตงซานแทะเมล็ดแตง ยิ้มเอ่ย “การประชุมชะลอไว้ก่อน
รอคอยสักเดี๋ยว พวกเราดื่มชากันไปก่อนก็แล้วกัน”
เดิมทีเผยเฉียนอยากจะตามอาจารย์พ่อออกไปต้อนรับหลี่เป่า
ผิงที่หน้าประตูภูเขา แต่ห่านขาวใหญ่กลับยิ้มพลางส่ายหน้าให้นาง
สมาชิกของศาลบรรพจารย์ที่เพิ่งขึ้นเขามาได้ไม่นานอย่างฉิวตู๋
เถาหราน และยังมีเค่อชิงกลุ่มของพวกเย่อวิ๋นอวิ๋น แน่นอนว่าต้อง
ประหลาดใจเป็นทบทวี ไม่รู้ว่าเป็นเทพเซียนจากฝ่ายใดถึงมีค่าพอให้
เจ้าขุนเขาเฉินทำอะไรเอิกเกริกเช่นนี้ ราวกับว่าต่อให้เป็นเรื่องใหญ่
เทียมฟ้าก็ยังวางลงไว้ก่อนชั่วคราวได้ ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ตรงดิ่งไป
ที่ตีนเขา ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่จะเสียเวลาพูดบอกคนในศาลบรรพจารย์
สักคำก็ยังไม่ยินดีจะเปลืองเวลา นี่ไม่เหมือนนิสัยการกระทำของเฉิน
ผิงอันเลย
ดวงตาของชุยตงซานพลันเป็นประกายวาบ “ศิษย์พี่หญิงใหญ่
ข้ารู้แล้วว่าขุนนางผู้มีีคุณูปการใหญ่สุดในด้านขนบธรรมเนียมของภูเขาลั่วพั่วเราคือใคร!”
เผยเฉียนถลึงตาใส่ “อย่าลากเอาพี่หญิงเป่าผิงมาเกี่ยวข้อง!”
คนรุ่นเยาว์ของภูเขาลั่วพั่ว หากไม่กลัวชุยตงซาน ก็ต้องกลัว
เผยเฉียน
แต่เด็กๆ ที่เพิ่งเข้ามาอยู่ภูเขาลั่วพั่วในช่วงหลังอย่างพวกป๋าย
เสวียน บางทีอาจไม่เคยรู้ว่าห่านขาวใหญ่ก็ดี เผยเฉียนก็ช่าง เวลาอยู่
กับคนบางคนมักจะไม่เหมือนในยามปกติ
ชุยตงซานเคยถูกคนผู้นั้นใช้ตราประทับกระแทกใส่หัว เผย
เฉียนที่ตอนเด็กสามารถหลอกมือปราบหลายคนให้หัวหมุนได้ก็เคย
ยินยอมพร้อมใจติดตามเป็นลูกสมุนของคนผู้นั้นอย่างว่าง่าย มักจะ
คัดตัวอักษรด้วยกันเป็นประจำ ส่วนหลี่ไหว ปีนั้นตอนที่เรียนหนังสือ
อยู่ในโรงเรียนของบ้านเกิดก็ยิ่่งถูกจับโยนขึ้นไปบนต้นไม้พร้อม
กางเกงเปิดก้น ร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหลเปรอะใบหน้า แต่
ประเด็นสำ คัญคือไม่กล้าอาฆาตแค้นคนผู้นั้น
ตรงหน้าประตู เฉินผิงอันพลิ้วกายลงพื้น คลี่ยิ้มกว้างสดใส
หลี่เป่าผิงยิ้มกว้าง “อาจารย์อาน้อย สวัสดีปีใหม่!”
สตรีสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดง ในมือถือไม้เท้าเดินป่าสีเขียว
ตรงเอวห้อยดาบแคบยันต์มงคล ห้อยน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีขาวหิมะลูก
หนึ่ง เรือนกายสูงเพรียว เป็นสาวเต็มตัวแล้วเฉินผิงอันมองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนั้น หลี่เป่าผิงก็เอ่ยอย่าง
เขินอายว่า “อาจารย์อาน้อย ข้าไม่ได้ดื่มเหล้าบ่อยๆ มีแค่บางครั้งที่
อ่านหนังสือเหนื่อยก็จะดื่มให้กระปรี้กระเปร่าบ้าง โยกย้ายกำลัง
ทหารของแมลงขี้เหล้าให้ไปต่อสู้กับแมลงง่วงนอน ชนะมากแพ้น้อย!”
เฉินผิงอันพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “นี่จะนับเป็นอะไรได้ อาจารย์อา
น้อยใกล้จะกลายเป็นผีขี้เหล้าคนหนึ่งแล้ว ไป อาจารย์อาน้อยจะพา
เจ้าไปเดินเล่นบนภูเขา วันนี้มีงานพิธีเฉลิมฉลองของสำ นักพอดี
พวกเราไปนั่งที่ศาลบรรพจารย์กันสักครู่ก่อน อาจารย์อาน้อยยังมีธุระ
ที่ต้องพูดคุย เจ้าก็ถือเสียว่ามาชดเชยงานพิธีได้พอดี ภูเขาใต้ฝ่าเท้า
ของพวกเราลูกนี้ชื่อว่าภูเขาเซียนตู ภูเขาอีกสองลูกด้านข้างแบ่งเป็น
ชื่อภูเขาอวิ๋นเจิงและภูเขาโฉวโหมว ล้วนเป็นศิษย์พี่ชุยของเจ้าที่เป็น
คนตั้งชื่อ”
หลี่เป่าผิงพยักหน้ารับอย่างแรง จากนั้นนางก็ชี้นิ้วไปที่กรอบ
ป้ายของประตูสำ นัก “สำ นักกระบี่ชิงผิง ชื่อนี้ดีมากเลยนะ ลมเกิด
จากพื้นดิน แรกเริ่มพัดพลิ้วปลายยอดไม้เขียว สุดท้ายกลายเป็น
ลมแรง เป็นทั้งครามที่ถือกำเนิดจากต้นครามแต่สีเข้มกว่าคราม อีก
ทั้ง
ยังพูดถึงจอกแหนหนึ่งใบล่องลอยกลับสู่มหาสมุทรใหญ่ ชีวิตคน
มีที่ใดที่ไม่อาจได้พบเจอกัน ความหมายแฝงมีมากมายทั้งยังเป็น
ความหมายที่ดี ศิษย์พี่ชุยสามารถตั้งชื่อที่ดีเช่นนี้ได้ก็ช่างลำบากเขาแล้วจริงๆ คาดว่าคงจะเปิดตำราอักษรมานับไม่ถ้วนกว่าจะบังเอิญ
คิดได้”
เฉินผิงอันยิ้มจนตาหยี “ชื่อของสำ นักนี้ อาจารย์อาน้อยเป็นคน
คิดเอง”
ดวงตางดงามเปี่ยมไปด้วยความเฉลียวฉลาดคู่นั้นของหลี่เป่า
ผิงหยีลงเป็นจันทร์เสี้ยว แสร้งถอนหายใจเอ่ยว่า “เฮ้อ เป็นเรื่องที่
ไม่ประหลาดใจเลยสักนิด”
เฉินผิงอันยื่นมือไปหมายจะช่วยจูงม้าให้ หลี่เป่าผิงกลับรีบ
ส่ายหน้าปฏิเสธ “มันไม่ต้องขึ้นเขา ให้อยู่ที่ตีนเขาก็พอ วันนี้เป็น
งานพิธีเฉลิมฉลองของสำ นักอาจารย์อาน้อย มันเพิ่งจะกินอิ่ม หากว่า
เดินไปได้ครึ่งทางแล้วขับถ่ายก็ต้องรบกวนให้อาจารย์อาน้อยไป
เก็บกวาดอีก ไม่เข้าท่าเลย”
เฉินผิงอันหลุดขำอย่างอดไม่อยู่ “เรื่องใหญ่แค่ไหนกันเชียว”
หลี่เป่าผิงหยิบไม้เท้าเดินป่าไผ่เขียวขึ้นมา โบกมือเป็นวงกว้าง
“ไปหาที่เล่นสนุกเองเถอะ”
กีบเท้าม้าดังกุบกับ ดูจากทิศทางน่าจะไปดื่มน้ำที่หาดลั่วเป่า
แล้ว
ด้านในศาลบรรพจารย์ ชุยตงซานทำท่าเงี่ยหูตั้งใจฟังอยู่ตลอด
พอได้ยินมาถึงตรงนี้ก็หัวเราะหึหึให้เผยเฉียน ว่าอย่างไร? จะยอมรับหรือไม่?
เฉินผิงอันพาหลี่เป่าผิงเดินเนิบช้าไปบนเส้นทางภูเขา คน
ทั้ง
สองขึ้นบันไดเคียงข้างกันไป
เมื่อสตรีสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงพลันเผยกาย อวี้พ่านสุ่ย
ที่อยู่บนยอดเขาชิงผิงก็ตกใจสะดุ้งโหยง นี่ไม่ใช่การหดย่อพื้นที่ตาม
ความหมายทั่วไปอะไรแล้ว “พี่จวี้เป่า แม่นางน้อยคนนี้คงจะไม่ได้
ข้ามทวีปมาโดยตรงหรอกนะ? ข้าตบะตื้นเขิน แค่จะร่วมวงมองเรื่อง
ครึกครื้นยังยาก พี่จวี้เป่าท่านขอบเขตสูง ช่วยชั่งน้ำหนักให้หน่อยได้
ไหม?”
ทว่าสีหน้าของหลิวจวี้เป่ากลับค่อนข้างจะประหลาด เพียงแค่
มองไปยังทิวทัศน์ของทางฝั่งยอดเขาอูู๋เฉาของภูเขาอวิ๋นเจิง แสร้ง
ทำเป็นมองไม่เห็นสตรีที่จูงม้ามาจากทางตีนเขา กับคำถามของสหาย
รักก็ยิ่งแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
อวี้พ่านสุ่ยพึมพำกับตัวเองว่า “แต่หากจะบอกว่าข้ามทวีป
เดินทางไกลจริงๆ ยังสามารถพาม้ามาได้ด้วยหรือ? ดึงเรือนบิน
ทะยานในตำนานก็ยังไม่มีภาพเหตุการณ์เช่นนี้ได้นะ ถึงขนาดหอบ
หุ้มเอาโชคชะตาขุนเขาสายน้ำของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมาได้
ด้วย น่าแปลกใจจริง ทำไมข้ามองแล้วยังมีกลิ่นอายของภูเขาสุ้ยซาน
แผ่นดินกลางด้วยล่ะ? ใต้หล้าในทุกวันนี้ใครบ้างที่สามารถแย่งชิงอาหารจากปากเสือมาจากซานจวินโจวโหยวผู้นั้นได้ ข้าได้ยินได้ฟัง
มาจนหูฉ่ำ แฉะแล้วนะว่าโจวซานจวินที่มีฉายาเทพว่า ‘ต้าเจี้ยว’ ของ
พวกเราท่านนี้ นิสัยเจ้าอารมณ์มาโดยตลอด”
สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำของใต้หล้าไพศาล ผู้ที่ได้มี
‘ฉายาเทพ’ มีน้อยจนนับนิ้วได้ ทุกวันนี้หากอิงตามกฎระเบียบใหม่
ล่าสุดของศาลบุ๋น ก็มีเพียงห้ามหาบรรพตของแผ่นดินกลางและสุ่ยจ
วินแห่งสี่มหาสมุทรเท่านั้นที่ได้รับเกียรตินี้
หลิวโยวโจวใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ดูเหมือนจะเป็นหลี่เป่าผิงแห่ง
สำ นักศึกษาซานหยา ได้ยินมาว่านางกับหลินโส่วอีคนเฝ้าศาลเก่า
ของลำน้ำฉีตู้แจกันสมบัติทวีป กับนักปราชญ์หลี่ไหว ต่างก็เป็น
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของอาจารย์ฉีท่านนั้น ดูเหมือนนับแต่เด็กมาหลี่เป่า
ผิงก็ชอบสวมชุดสีแดง นอกจากจะศึกษาวิชาความรู้แล้ว นางก็ชอบ
ออกเดินทางท่องเที่ยวเพียงลำพังมากที่สุด ก่อนหน้านี้ไม่นานนาง
เพิ่งจะผ่านการทดสอบของสถานศึกษาหลี่จี้ ได้เป็นวิญญูชนของลัทธิ
ขงจื๊อแล้ว หลี่เป่าผิงเคยมีการโต้วาทีกับหยวนพางของสำ นักศึกษา
เหิงฉวี ข้ากับสหายบนภูเขาเคยดูสำ เนาของบุปผาในคันฉ่องจันทรา
ในสายน้ำ ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าพวกเขาสองคนทะเลาะเรื่องอะไรกัน
หากอิงตามลำดับอาวุโส ใต้เท้าอิ่นกวานก็ถือเป็นอาจารย์อาน้อยของ
นางได้จริงๆ หลี่เป่าผิงเป็นลูกศิษย์ของลูกศิษย์ของท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งเองก็สนิทสนมกับภูเขาสุ้ยซานมาโดยตลอด
ไม่แน่ว่าอาจเป็นโจวซานจวินที่ส่งนางมาที่นี่ด้วยตัวเอง?”
อวี้พ่านสุ่ยพลันกระจ่างแจ้ง “ที่แท้ก็นางนี่เอง ที่แท้ก็เป็นแบบนี้
นี่เอง มิน่าเล่า มิน่าเล่า”
หลิวจวี้เป่ายังคงไม่ติดกับ โจวโหยวสามารถส่งคนไปยังทวีปอื่น
ได้จริง แต่ความเคลื่อนไหวต้องไม่มีทางเล็กน้อยเท่านี้แน่นอน หาก
เป็นฝีมือของทางภูเขาสุ้ยซานจริง ดูจากการกำหนดขอบเขตของเวท
คาถาจากอาจารย์ซานซานจิ่วโหวในช่วงแรกเริ่มสุด แล้วเอาไป
เชื่อมโยงกับตบะขอบเขตของหลี่เป่าผิงในทุกวันนี้ คิดจะข้ามทวีป
โจวโหยวจำ เป็นต้องใช้วิชาอภินิหารยุคโบราณหลายชนิด
ในเวลาเดียวกัน เคลื่อนย้ายภูเขาเคลื่อนย้ายทิวทัศน์ให้เชื่อมโยง
ถึงกัน นั่งนิ่งปรับจิตให้สงบนิ่ง อาศัยสายลมย่ำน้ำเทพเดินทาง
ถ้าอย่างนั้นตอนที่สองเท้าของหลี่เป่าผิงสัมผัสพื้น ทั่วทั้งอาณาเขต
ของภูเขาเซียนตูจะต้องสั่นสะเทือน อีกทั้งภูเขาสุ้ยซานก็ต้องจ่าย
ราคาก้อนไม่เล็ก จะต้องเผาผลาญโชคชะตาภูเขาสุ้ยซานไปส่วนหนึ่ง
ทว่าด้วยนิสัยการกระทำของโจวโหยวแล้ว เทพต้าเจี้ยวที่ชื่อเสียง
เลื่องลือไปทั่วใต้หล้าท่านนี้ เป็นที่เห็นพ้องต้องกันว่าไม่เคยเห็นแก่
มิตรภาพส่วนตัว ต่อให้จะสนิทกับสายเหวินเซิ่งแค่ไหนก็ไม่มีทาง
เบียดบังผลประโยชน์ส่วนรวมเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนเช่นนี้เห็นได้ชัดว่ามียอดฝีมือคนอื่น พูดถึงแค่วิธีการนี้ของอีกฝ่ายก็
สามารถมองเป็นตบะขอบเขตสิบสี่ได้เลย
ดังนั้นนี่ก็คือสาเหตุที่ว่าหลิวจวี้เป่าแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นอะไร
ทั้ง
นั้น
ผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ของใต้หล้าไพศาลก็มีอยู่เพียงแค่ไม่กี่คน
ทางฝั่งของใบถงทวีปแห่งนี้ ก่อนหน้านั้นก็มีเจ้าแห่งถ้ำ ปี้เซียว
ชายหาดลั่วเป่า ตงไห่แห่งอารามกวานเต๋า ทุกวันนี้ได้ไปเปิดพื้นที่
ประกอบพิธีกรรมที่ใต้หล้ามืดสลัวแล้ว เนื่องจากการผสานมรรคา
ของเจ้าอารามผู้เฒ่า หากสงครามในปีนั้นยังดำเนินต่อไป เจ้าอาราม
ผู้เฒ่าก็ต้องถูกบีบให้แบ่งเอา ‘ฟ้าอำนวยดินอวยพรคนสามัคคี’
มาจากทางใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ยิ่งวิถีทางโลกไม่สงบมากเท่าไหร นี่ก็
จะยิ่งทำให้ตบะของเจ้าอารามผู้เฒ่าลดลงครั้งแล้วครั้งเล่ามาก
เท่านั้น หากแจกันสมบัติทวีปมิอาจรักษาไว้ได้ ไม่แน่ว่าถึงเวลานั้น
เจ้าอารามผู้เฒ่าคิดจะถอนตัวก็ยังยาก คงไม่อาจปล่อยให้เด็ก
รุ่นหลังบนภูเขาอย่างโจวมี่ขึ้นมาขี่อยู่บนหัววางอำนาจบาตรใหญ่ได้
ตามใจชอบหรอกกระมัง
มีภิกษุเสินชิงฉายา ‘หลวงจีนน้ำแกงไก่’ เขาเองก็ไปเยือน
ดินแดนพุทธะสุขาวดีแล้ว มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าได้ทำ
การปกป้องมรรคาสี่ครั้งอย่างเงียบเชียบแล้วเฒ่าตาบอดอยู่ที่ภูเขาใหญ่แสนลี้ไม่ย้ายรังไปไหน ป๋ายเหย่เอง
ก็อยู่ที่อารามเสวียนตู ส่วนคนพิฆาตมังกรที่หวนกลับคืนสู่ขอบเขต
สิบสี่อีกครั้ง แต่ไหนแต่ไรมาก็เหมือนนกกระเรียนเดียวดายอยู่แล้ว
ถ้าอย่างนั้นก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าใต้หล้าไพศาลได้
มีผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่อีกคนหนึ่งที่อำพรางตัวตนอย่างลึกล้ำเพิ่ม
เข้ามา ถ้าอย่างนั้นอีกไม่นานก็จะมีขอบเขตสิบสี่ใหม่เอี่ยมปรากฎตัว
ให้เห็น
เรื่องบางอย่างก็จำ เป็นต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้
ขอบเขตของอวี้่พ่านสุ่ยไม่สูง แค่ขอบเขตหยกดิบเท่านั้น
แต่กลับยังพอจะมีแววตาอยู่บ้าง ไม่มีทางที่จะไม่รู้เรื่องนี้ แล้ว
นับประสาอะไรกับที่ปีนั้นสาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุไม่คาดฝันที่ถ้ำ สวรรค์
หลีจู ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างอวี้พ่านสุ่ยกับซิ่วหู่ ก็ไม่มีทางที่จะ
ถือว่าเขาเป็นคนนอกสถานการณ์ได้อย่างสิ้นเชิง
อวี้พ่านสุ่ยเหลือบมองเทพเจ้าแห่งโชคลาภสกุลหลิวธวัลทวีป
แล้วจุ๊ปากพูด “ไม่เสียแรงที่เป็นพี่จวี้เป่า วางตัวได้อย่างรอบคอบ
รัดกุม มิน่าเล่าถึงสามารถหาเงินได้มากกว่าข้า มากกว่าข้าเยอะเลย”
อวี้พ่านสุ่ยสงสัยใคร่รู้มาโดยตลอด หรือว่าเส้นทางการผสาน
มรรคาของพี่จวี้เป่าที่อยู่ข้างกายผู้นี้ก็คือการหาเงินอย่างนั้นหรือ
ยกตัวอย่างเช่น…หาเงินเทพเซียนครึ่งหนึ่งมาจากใต้หล้าไพศาล? แต่ก็ไม่ถูกสิ ความสามารถในการหาเงินของหลิวจวี้เป่าเป็นอันดับหนึ่ง
ในใต้หล้าก็จริง แต่เรื่องของการจ่ายเงินก็มือเติบใจป้ำไม่ธรรมดา
เหมือนกัน แต่หากจะบอกว่าหลิวจวี้เป่าพยายามอาศัยการจ่ายเงิน
มาแลกเปลี่ยนเป็นคุณความชอบบนสมุดบัญชีของศาลบุ๋นก็ไม่น่าจะ
ใช่อีกนั่นแหละ อันที่จริงอวี้พ่านสุ่ยรู้สึกมาโดยตลอดว่าตัวเองมองคน
ข้างกายผู้นี้ไม่ออก ยิ่งอยู่ร่วมกับหลิวจวี้เป่านานเท่าไรก็มักจะยิ่ง
มีความรู้สึกสับสนเหมือนมองดอกไม้ในม่านหมอกมากเท่านั้น ต่อให้
เป็นซิ่วหู่ชุยฉาน หรือเจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาว คำว่ามอง
ไม่ออกของเขาก็เพียงแค่เพราะสองคนนั้นหัวดีเกินไป ฝีมือการเล่น
หมากล้อมสูงเกินไป แต่สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็ยังพอจะมีเส้นสาย
บางอย่างที่ค่อนข้างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่นชุยฉานสามารถทำเรื่องที่
ในสายตาของคนบนโลกถือเป็นการเนรคุณใหญ่หลวงหลอกลวง
อาจารย์ลบล้างบรรพชน สามารถทรยศออกจากสายเหวินเซิ่ง แต่ชุย
ฉานนั้นไม่มีทางทอดทิ้งสถานะบัณฑิตในใจของเขาแน่นอน ส่วน
เจิ้งจวีจง ต่อให้แบกสถานะของยักษ์ใหญ่แห่งวิถีมารบุคคลอันดับ
หนึ่งในใต้หล้า ความคิดของเขาทั้งสูงส่งลึกล้ำยาวไกล แต่ส่วนลึกใน
กระดูกของเจิ้งจวีจงก็ยังคงให้ความรู้สึกถึงผู้รอบรู้ที่บริสุทธิ์อย่างหนึ่ง
แก่อวี้่พ่านสุ่ย แน่นอนว่าบางทีอาจเป็นเพราะเจิ้งจวีจงจงใจทำให้อวี้
พ่านสุ่ยรู้สึกไปเองเช่นนี้ก็เป็นได้แต่หลิวจวี้เป่านั้นไม่เหมือนกัน กลับกลายเป็นว่าทำให้อวี้พ่าน
สุ่ยขบคิดไม่แตกได้มากที่สุด ไม่แน่ใจเลยสักนิดหลิวจวี้เป่าคิดจะทำ
อะไรกันแน่ คล้ายกับว่า ‘ความจริง’ ที่ใหญ่ที่สุดบางอย่างล้วนถูก
‘เรื่องจริง’ ในการหาเงินของหลิวจวี้เป่ากลบทับไปหมด
หลิวจวี้เป่ายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เวลานานวันย่อมเห็นใจคน รอให้
วิถีทางโลกสงบสุขอย่างแท้จริงแล้ว เจ้าก็จะรู้ถึงประโยชน์ของ
ทรัพย์สินเงินทองที่ข้าหามาแล้ว”
หาเงินอย่างระมัดระวัง ใช้เงินอย่างใจกว้าง ไม่ว่าทรัพย์ของ
บ้านตนจะมากหรือน้อยก็ล้วนมาจากเส้นทางที่ถูกต้อง นี่ก็คือ
ขนบธรรมเนียมของตระกูล เงินต้องหามา บุญกุศลก็ต้องสะสมอย่า
ให้ขาด
ไม่อย่างนั้นเดินทางตอนกลางคืนบ่อยเข้า เงินนอกรีตยิ่งหา
มาได้มากเท่าไรก็ยิ่งง่ายที่จะเกิดเรื่องมากเท่านั้น จะเดือดร้อนลามไป
ถึงลูกหลาน เงินบนโลกหาได้ยาก แต่บุญกุศลที่บรรพบุรุษสร้างไว้
กลับสะสมได้ยากยิ่งกว่า
อวี้พ่านสุ่ยเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “คนที่สามารถหาเงินได้มีถมเถ
ไป คนที่เข้าใจการใช้เงินอย่างแท้จริง กลับมีน้อยยิ่งกว่าน้อย”
ยามที่ยากจนข้นแค้น หาเงินนอกรีตมาบ้างเล็กน้อยเพื่อให้พอ
มีจะกิน แม้จะผิดแต่ก็พออภัยได้ รอกระทั่งมีเงินแล้วก็ต้องหาเงินที่ถูกต้องชอบธรรมแล้ว
ไม่อย่างนั้นคุณธรรมจะไม่สมกับตำแหน่ง ได้ครอบครองภูเขา
เงินภูเขาทอง โชคและเคราะห์สลับสับเปลี่ยนกันได้เพียงชั่วข้ามคืน
เงินจะนับเป็นอะไรได้ ผืนนาของคนรุ่นก่อนคนรุ่นหลังเก็บเกี่ยว
นี่ก็คงเหมือนหลักการเหตุผลที่ชุยฉานว่าไว้ในปีนั้น
ความร่ำรวยได้มาจากชาติก่อน ตำราทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลังได้อ่าน
หลิวจวี้เป่ามองคนสองคนที่เริ่มเดินขึ้นเขามา เอ่ยว่า “พวกเรา
ไปที่ยอดเขาเจ๋อเซียนกันเถอะ”
บนเส้นทางภูเขา หลี่เป่าผิงกล่าว “อาจารย์อาน้อย อย่าให้
คนในศาลบรรพจารย์รอนานเลย คุยธุระสำ คัญกว่า”
——