กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 960.2 หนึ่งเท้าเจ็ดขอบเขต
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม จากนั้นหลี่เป่าผิงก็เดินขึ้น
เขาด้วยฝีเท้าเร็วราวกับบิน เฉินผิงอันตามไปด้านหลังอย่างไม่ช้าไม่
เร็ว
ไปถึงในศาลบรรพจารย์ยอดเขาชิงผิง หมี่ลี่น้อยได้เตรียมเก้าอี้
ตัวหนึ่งไว้รอนานแล้ว ตามคำแนะนำของชุยตงซาน นางย้ายเก้าอี้ไป
วางไว้ตรงกลางระหว่างเจ้าขุนเขาคนดีกับเผยเฉียน
กฎระเบียบไม่กฎระเบียบ มารยาทพิธีการอะไร ไปอยู่อีกด้าน
หนึ่งก่อน
หลี่เป่าผิงประสานมือคารวะทุกคนก่อน บอกกล่าวชื่อแซ่ หลี่
เป่าผิงลูกศิษย์แห่งสำ นักศึกษาซานหยา
นางมองตำแหน่งเก้าอี้ของตัวเองแล้วส่ายหน้าให้อาจารย์อา
น้อย เฉินผิงอันจึงขยับเก้าอี้ไปด้านหลังเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้อยู่แถว
หลังอย่างเดียวดายเพียงลำพัง เมื่อเป็นเช่นนี้หลี่เป่าผิงก็ถือว่าทั้ง
เข้าร่วมงานพิธีแล้วก็ถือว่าเป็นคนครอบครัวเดียวกัน
เผยเฉียนยิ้มเอ่ยเรียกพี่หญิงเป่าผิง ก่อนจะรีบช่วยรินน้ำชาให้
หนึ่งถ้วยหมี่ลี่น้อยเช็ดหน้าผากที่เต็มไปด้วยเหงื่อ ปลุกความกล้าหยิบ
เมล็ดแตงที่ลักษณะคล้ายภูเขาลูกเล็กออกมาจากในกระเป๋าผ้าฝ้าย
วางให้กับใต้เท้าเจ้าประมุขในตำนาน เอ่ยเสียงเบาว่า “ใต้เท้า
เจ้าประมุข พี่หญิงเป่าผิง ข้าชื่อโจวหมี่ลี่ เมื่อก่อนรับหน้าที่เป็น
ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของตรอกฉีหลง ตอนนี้เป็นรองหัวหน้าสาขาย่อย
ตรอกฉีหลงใต้การดูแลของศูนย์บัญชาการณ์ใหญ่เขตหลงเฉวียนแล้ว
”
เผยเฉียนนึกอยากจะขุดรูมุดหนีลงไปยิ่งนัก
หลี่เป่าผิงอึ้งตะลึง เพียงแต่ไม่นานก็คลี่ยิ้มหวาน “พยายามให้
มากเข้านะ”
หากวันนี้แม่นางน้อยชุดดำไม่ได้พูดถึง หลี่เป่าผิงก็เกือบจะลืม
ป้ายคำสั่งของประมุขศูนย์บัญชาการณ์ใหญ่ที่ตัวเองเคยมอบให้เผย
เฉียนไปแล้ว
รอกระทั่งเฉินผิงอันนั่งลงแล้ว ศาลบรรพจารย์ก็ดำเนิน
การประชุมกันต่อ
เรื่องแรกคือกฎที่ชุยตงซานตั้งให้เพื่อสำ นักกระบี่ชิงผิง
ในอนาคตเมื่อศาลบรรพจารย์รับคนใหม่เข้ามา การเพิ่มเก้าอี้ทุกตัว
ในศาลบรรพจารย์ยอดเขาชิงผิง ธรณีประตูล้วนไม่ต่ำผู้ฝึกตนต้องเป็นก่อกำเนิด หากเป็นผู้ฝึกกระบี่ก็ต้องเป็นโอสถ
ทอง ผู้ฝึกยุทธต้องเป็นขอบเขตเดินทางไกล
อีกทั้งไม่ใช่ว่าเมื่อผ่านเส้นแบ่งนี้มาแล้วก็จะต้องได้ครอบครอง
เก้าอี้เสมอไป ยังต้องดูบันทึกในสมุดคุณความชอบของแต่ละคนด้วย
เรื่องที่สอง การจัดการพื้นที่ประกอบพิธีกรรมของแต่ละคน
หมี่อวี้ผู้ถวายงานอันดับหนึ่ง เหอกูลูกศิษย์ผู้สืบทอด กระบี่บิน
แห่งชะตาชีวิตคือ ‘เฟยไหลเฟิง’ พื้นที่ประกอบพิธีกรรมสร้างขึ้นที่
ยอดเขาอวิ๋นซ่างของภูเขาเซียนตู
ผู้คุมกฎชุยเหวย ลูกศิษย์อวี๋เสียหุย กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตคือ
‘โพ่จื่อลิ่ง’ พื้นที่ประกอบพิธีกรรมสร้างขึ้นที่ยอดเขาเทียนเปียน ฝ่ามือ
เซียนเหรินของภูเขาเซียนตู
สุยโย่วเปียน ลูกศิษย์เฉิงเฉาลู่ พื้นที่ประกอบพิธีกรรมอยู่ที่หอ
ซ่าวฮวา ยอดเขาเจ๋อเซียนยอดเขารองของภูเขาเซียนตู
ผู้ฝึกกระบี่เถาหรานขอบเขตโอสถทอง พื้นที่ประกอบพิธีกรรม
อยู่ที่ยอดเขาจูซาของภูเขาเซียนตู
สมาชิกของศาลบรรพจารย์ทั้งสี่คนนี้เป็นผู้ฝึกกระบี่พอดี ดังนั้น
พื้นที่ประกอบพิธีกรรมจึงต้องอยู่ที่ภูเขาเซียนตูซึ่งเป็นภูเขาบรรพบุรุษ
ของสำ นักกระบี่ชิงผิงชุยตงซานยิ้มเอ่ย “เซียนกระบี่เถา ตอนนี้ใครก็อย่าได้จัดงานพิธี
เปิดยอดเขาเลย วันหน้ารอให้เจ้าได้เลื่อนเป็นขอบเขตก่อกำเนิด
พวกเราค่อยชดเชยให้เซียนกระบี่เถาดีๆ จัดงานใหญ่ๆ ให้สักครั้ง”
เถาหรานพยักหน้ารับเงียบๆ ไม่มีความเห็นต่าง
ส่วนขอบเขตก่อกำเนิดอะไรนั่น แค่ฝันไปก็พอแล้ว ไม่มีงานพิธี
เปิดยอดเขาของโอสถทองโดยเฉพาะก็ยิ่งดี ตนจะได้ไม่ต้องสร้าง
ความอับอายขายหน้าให้กับภูเขาเซียนตู
ชุยตงซานสะบัดชายแขนเสื้อ พื้นดินของศาลบรรพจารย์ก็มีไอ
หมอกลอยขึ้นมา เผยภาพลักษณะของภูเขาสายน้ำแถบหนึ่ง ก็คือ
ภูเขาเจิงอวิ๋นและภูเขาโฉวโหมวสองภูเขาเสริม
เหนือยอดเขาทั้งหลายมีตัวอักษรสีชาดที่แตกต่างกันลอยอยู่
ระบุเป็นชื่อของภูเขาลูกต่างๆ
ชุยตงซานเอ่ยว่า “อาจารย์จ้ง นอกจากท่านจะมีเรือนอยู่บน
ยอดเขามี่เซวี่ยภูเขาเซียนตูแล้ว สถานที่ที่ใช้จัดการกิจธุระอย่าง
แท้จริง ข้าแนะนำว่าให้ย้ายมาอยู่ทางฝั่งของภูเขาอวิ๋นเจิงนี้ ส่วน
ภูเขาอวิ๋นเจิงลูกนี้ ข้าจะรับหน้าที่เป็นเจ้าขุนเขาคนแรก ส่วนยอดเขา
หลักอย่างยอดเขาอู๋เฉา ก็เป็นพื้นที่ประกอบพิธีกรรมของข้า อาจารย์
จ้งอย่าได้รู้สึกว่าต้องพึ่งพาอยู่ใต้ชายคาของคนอื่นเด็ดขาด อีกอย่าง
ต่อจากนี้อาจารย์จ้งก็ควรจะรับลูกศิษย์ได้บ้างแล้ว นอกจากนี้ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องรบกวนให้อาจารย์จ้งเหน็ดเหนื่อยแล้ว เพราะข้าคิดว่า
ในช่วงเวลาอันใกล้นี้จะสร้างสำ นักศึกษาส่วนตัวแห่งหนึ่งขึ้นมาบน
ยอดเขาโฉวโหมว ขอเชิญให้อาจาร์จ้งมารับหน้าที่เป็นเจ้าขุนเขาของ
สำ นักศึกษาคนแรก”
จ้งชิวยิ้มเอ่ย “ไม่มีปัญหา”
ชุยตงซานถาม “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ เจ้าคิดจะเปิดยอดเขาเฉพาะ
ของตัวเองไว้ที่ภูเขาเซียนตูหรือว่าภูเขาอวิ๋นเจิง?”
เผยเฉียนเอ่ยอย่างไม่ลังเล “ภูเขาอวิ๋นเจิงแล้วกัน”
นางกวาดตามองภาพนั้นแล้วเอ่ยต่ออีกว่า “ข้าจะสร้าง
กระท่อมไว้ใกล้กับศาลาตกปลาที่ตั้งอยู่กลางป่าไผ่เขียวแห่งนั้น”
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “ยอดเขาหมิ่งติ่งของภูเขาอวิ๋นเจิงให้เป็น
ของข้าก็แล้วกัน”
เผยเฉียนเม้มปากแน่นสะกดกลั้นรอยยิ้ม
ในบางความหมายแล้ว อาจารย์และศิษย์สองคนต่างก็เคย
เรียนหมัดมาจากคนคนเดียวกัน
และผู้เฒ่าที่มักจะอยู่บนชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ท่านนั้นก็
มีกระบวนหมัดหนึ่งที่ชื่อว่ากระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่
ดังนั้นไม่ว่าเผยเฉียนจะเลือกศาลาตกปลาของภูเขาอวิ๋นเจิง
หรือเฉินผิงอันเป็นฝ่ายขอครอบครองยอดเขาหมิ่งติ่ง นี่ก็คือความรู้ใจกันอย่างหนึ่งของอาจารย์และศิษย์คู่นี้
ชุยตงซานยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เฉาฉิงหล่างจะเป็นเจ้ายอดเขารุ่น
แรกของยอดเขาจิ่งซิงภูเขาโฉวโหมว ขอบเขตโอสถทองเปิดยอดเขา
ตามกฎ ไม่ถือว่าเป็นการผิดกฎอะไร ส่วนเจ้าขุนเขารุ่นแรกของภูเขา
โฉวโหมว ตอนนี้ปล่อยว่างไว้ก่อนชั่วคราวก็แล้วกัน”
“อู๋โกว เซียวม่านอิ่ง พื้นที่ประกอบพิธีกรรมของพวกเจ้าอยู่ด้าน
ข้างถนนอวิ๋นตี้ เรื่องของการสร้างจวนต่อจากนี้ พวกเจ้าสามารถ
ใช้ยันต์มัลละได้เองเลย”
“สหายชิงถง พื้นที่ประกอบพิธีกรรมอยู่บนที่ราบอี้หรานภูเขา
โฉวโหมว ความสูงของยอดเขาแห่งนี้เป็นรองแค่ยอดเขาอู๋เฉา
ทัศนียภาพก็ไม่เลว เป็นอย่างไร?”
ชิงถงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม กุมหมัดเอ่ยว่า “ต้องขอขอบคุณ
เจ้าสำ นักชุยแล้ว”
ในฐานะเค่อชิง ต่อให้เป็นเค่อชิงอันดับหนึ่งอย่างหวงถิง ตาม
กฎแล้วก็ยังไม่สามารถเปิดยอดเขาเป็นของตัวเอง ไม่อาจยึดครอง
ภูเขาลูกใดได้ อย่างมากสุดก็ได้แค่มีจวนอยู่ในภูเขา แต่ผู้ถวายงานที่
ได้รับการบันทึกชื่อของจวนเซียนและสำ นักกลับไม่เหมือนกัน
นอกจากที่ราบอี้หรานของชิงถงแล้ว ฉิวตู๋ฉิวเฒ่าก็ถูกชุยตงซาน
จัดการให้ไปอยู่บนยอดเขาโผซัวของภูเขาโฉวโหมว ที่นั่นคือต้นกำเนิดน้ำของภูเขาโฉวโหมว
เห็นได้ชัดว่าความคิดของชุยตงซานก็คือผู้ฝึกกระบี่จะต้อง
มาฝึกตนหลอมกระบี่อยู่บนยอดเขาต่างๆ ของภูเขาบรรพบุรุษ ผู้ฝึก
ยุทธเต็มตัวอยู่ที่ภูเขาอวิ๋นเจิง ผู้ฝึกลมปราณที่นอกเหนือจากผู้ฝึกตน
ฝึกตนอยู่ที่ภูเขาโฉวโหมว
หญิงชราแข็งใจบากหน้าเอ่ยว่า “เจ้าขุนเขาเฉิน หูฉู่หลิงกับข้า
ไม่ถือว่าเป็นอาจารย์และศิษย์กันตามความหมายที่เข้มงวด จะขอให้
นางกราบท่านเป็นอาจารย์ขอวิชาความรู้ได้หรือไม่?”
สำ หรับหมัวมัวผู้อบรมมารยาทของวังมังกรเก่าท่านนี้ การฝึก
ตนของตนจะประสบความสำ เร็จหรือไม่ อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบการ
ฝึกตนอย่างราบรื่น มีอาจารย์ดีมีภูเขาใหญ่ที่พึ่งอย่างแท้จริงของชู่
ชู่ได้
การที่ฉิวตู๋รู้สึกกระวนกระวายถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าต้อง
เกี่ยวข้องกับ ‘ลำดับอาวุโส’ ที่มักจะสำ คัญที่สุดสำ หรับผู้ฝึกตนบน
ภูเขา หากชู่ชู่สามารถเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเฉินผิงอันได้จริง
ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับว่ามีลำดับอาวุโสเท่ากับชุยตงซาน นี่ไม่ใช่การ
เดินขึ้นฟ้าเพียงก้าวเดียวหรอกหรือ? นี่จึงเป็นเหตุให้ฉิวตู๋ถึงขั้น
เตรียมพร้อมที่จะถวายชีวิตให้กับภูเขาเซียนตูแล้ว ขอแค่เฉินผิงอัน
ไม่พูดปิดทางกันเกินไป หญิงชราก็จะใช้เสียงในใจเอ่ยทันทีว่าจะเป็นฝ่ายมอบสัญญาที่คล้ายสัญญาเป็นตายฉบับหนึ่งไปให้ และเรื่องนี้ก็
ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลย
เฉินผิงอันส่ายหน้า “หนึ่งเพราะอีกเดี๋ยวข้าต้องปิดด่านแล้ว
หลังออกจากด่านก็ต้องออกเดินทางไกลรอบหนึ่ง หูฉู่หลิงกราบข้า
เป็นอาจารย์ ในช่วงระยะเวลาที่ยาวนานมากช่วงหนึ่งอาจไม่มีโอกาส
แม้แต่จะพบหน้าข้าด้วยซ้ำ แน่นอนว่ายิ่งไม่อาจสอนอะไรนางได้
นอกจากนี้สิ่งที่ข้าถนัดมีเพียงเวทกระบี่และวรยุทธ ไม่เหมาะกับหูฉู่ห
ลิง หากจะพูดถึงสายยันต์ ข้าพอจะเข้าใจอยู่บ้างเล็กน้อย แต่หากหู
ฉู่หลิงอยากจะเรียนจริงๆ อีกทั้งสามารถเรียนได้ ข้าก็รับรองกับผู้
ถวายงานฉิวได้เรื่องหนึ่งว่า วันหน้าขอแค่ข้าอยู่ที่สำ นักกระบี่ชิงผิง
แห่งนี้ หูฉู่หลิงอยากจะสอบถามเรื่องยันต์ก็มาถามข้าได้เลย ข้าพร้อม
จะสอนนางหมดหน้าตัก อันที่จริงเกี่ยวกับเรื่องการกราบอาจารย์ของ
หูฉู่หลิง ไม่จำ เป็นต้องสละใกล้ไปแสวงหาไกลเลย”
ชุยตงซานรีบยิ้มบางๆ ทันใด “หากผู้ถวายงานฉิวไม่รังเกียจ ข้า
สามารถเป็นผู้ถ่ายทอดวิชาบนทำเนียบศาลบรรพจารย์ของยอดเขา
ชิงผิงให้กับหูฉู่หลิงได้”
เฉินผิงอันยิ้มอธิบายว่า “ชุยตงซานคือขอบเขตเซียนนเหริน อีก
ทั้ง
นอกจากการเรียนวรยุทธที่ถือว่าเป็นจุดอ่อนเพียงหนึ่งเดียวของ
เจ้าสำ นักชุยพวกเราแล้ว นอกจากนี้ทุกด้านล้วนเก่งกาจกว่าอาจารย์อย่างข้ามาก หูฉู่หลิงกราบเขาเป็นอาจารย์เล่าเรียนวิชา บางที
นอกจากลำดับอาวุโสบนภูเขาที่ต่ำไปสักหน่อยแล้ว อันที่จริงเมื่อ
เทียบกับการเป็นลูกศิษย์ของข้า ติดตามชุยตงซานฝึกตน เมื่อมองใน
ระยะยาวแล้ว กลับมีประโยชน์ต่อหูฉู่หลิงมากกว่า”
แม้ฉิวตู๋จะรู้สึกเสียดายอยู่บ้างเล็กน้อย แต่การที่ชู่ชู่สามารถ
กลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของชุยตงซานได้ในก้าวเดียว ก็ถือ
เป็นเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้า หนีไม่พ้นเปลี่ยนจากดีที่สุดมาเป็นดีใน
อันดับรองเท่านั้น แค่นี้หญิงชราก็รู้สึกพอใจมากแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเฉินผิงอันพูดเองกับปากว่าชุยตงซานคือ
ขอบเขตเซียนเหริน ฉิวตู๋ก็ยิ่งปลงอนิจจัง ภูเขาลูกหนึ่งที่เป็นสถานที่
มังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบ รากฐานลึกล้ำจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง ก็เป็น
เช่นนี้เอง
อีกอย่างเฉินผิงอันก็รับปากด้วยตัวเองแล้วว่า ยินดีจะสอนวิชา
ยันต์ให้กับหูฉู่หลิงด้วยตัวเอง ฉิวตู๋จึงไม่กล้าได้คืบจะเอาศอกอีก แล้ว
นับประสาอะไรกับที่อิิ่นกวานหนุ่มมีสีหน้าอ่อนโยน แต่กลับพูดจา
อย่างตรงไปตรงมา ยกตัวอย่างเช่นเอาเรื่องของ ‘ลำดับอาวุโส’
มาพูดตรงๆ ดังนั้นหญิงชราที่รู้ตัวดีว่าหากยังไม่รู้กาลเทศะอีกจะเป็น
ฝ่ายไร้เหตุผลเสียเองแล้วก็รีบลุกขึ้นยืน เอ่ยขอบคุณทั้งเจ้าขุนเขาเฉิน
และเจ้าสำ นักชุย หลังจากนั่งลงแล้ว หญิงชราก็ลังเลเล็กน้อย ใบหน้าเต็มไปด้วยความละอายใจ แต่ก็ยังพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ข้าอยู่
บ้านนอกมานาน มีใจเห็นแก่ตัวลึกล้ำ มีอุบายเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้
ทำให้ทุกท่านได้เห็นเรื่องตลกแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ฉิวหมัวมัวอย่าได้พูดอย่างนี้เด็ดขาด เจ้า
ช่วยสร้างจุดเริ่มต้นที่ดีให้กับการประชุมศาลบรรพจารย์สำ นักกระบี่
ชิงผิงของพวกเรา”
ฉิวตู๋มึนงง จุดเริ่มต้นที่ดี หมายความว่าอย่างไร? เพียงแต่ว่า
ดูเหมือนทุกคนจะรู้สึกว่าประโยคนี้ของอิ่นกวานหนุ่มพูดได้
สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง
เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยรีบเอ่ยเสริมทันใด “มีจิตใจสงบเป็นกลาง
พูดจาภาษาคนบ้านเดียวกัน ผู้ถวายงานฉิวพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า
ตัวเองมีใจเห็นแก่ตัวลึกล้ำ ผินเต้ากลับรู้สึกว่าใจเห็นแก่ตัวของเจ้าไม่
ได้มากมายอะไรเลย”
หมี่ลี่น้อยที่ขมวดคิ้วอ่อนจางสองข้างมาโดยตลอด พอได้ยิน
เทพเซียนผู้เฒ่าอธิบายเช่นนี้ก็พลันกระจ่างแจ้ง ปรบมือๆ
เพราะหัวข้อที่หญิงชรากล่าวถึงเกี่ยวพันกับเรื่องที่สามพอดี
ชุยตงซานเองจะเริ่มรับลูกศิษย์แล้ว
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “หูฉู่หลิง และยังมีเจี่ยงชวี่ เซี่ยเซี่ย ชุยฮวา
เซิง จ้าวหลวน ล้วนจะกลายมาเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของข้า ถูกบันทึกลงในทำเนียบหยกทองของยอดเขาชิงผิง ส่วนใครจะเป็น
ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขา ไม่รีบร้อน วันหน้าค่อยว่ากัน”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างสงสัย “จ้าวหลวน?”
ชุยฮวาเซิงไม่ต้องไปพูดถึง เด็กสาวคือ ‘น้องสาว’ ที่พลัด
พรากจากกันไปนานหลายปีที่ชุยตงซานหลอกพามาอยู่ตรอกฉีหลง
ถึงขั้นที่ว่าการที่ชุยตงซานรับเซี่ยเซี่ยเป็นลูกศิษย์ เฉินผิงอันก็ยัง
ไม่รู้สึกอะไร ส่วนเจี่ยงชวี่นั้น ในฐานะผู้ฝึกตนสายยันต์ตาม
ความหมายที่แท้จริงคนแรกของภูเขาลั่วพั่ว เขาสามารถกลายมาเป็น
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของชุยตงซานได้ก็เป็นเรื่องที่ดีจริงๆ มีเพียงจ้าว
หลวนที่ทำให้เฉินผิงอันไม่รู้ว่าโทสะผุดมาจากไหน สำ นักกระบี่ชิงผิง
เป็นสำ นักเบื้องล่างของภูเขาลั่วพั่ว เรื่องที่เจ้าชุยตงซานแบกจอบเล่ม
เล็กมาขุดมุมกำแพง ไม่รู้จักจบจักสิ้นสักทีหรือ?!
เพราะคราวก่อนในงานพิธีเฉลิมฉลองของภูเขาลั่วพั่ว นอกจาก
จ้าวซู่เซี่ยที่ได้เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าขุนเขาเฉินผิงอันแล้ว
แม้ว่าจ้าวหลวนจะไม่ได้กลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเฉินผิงอัน
แต่กลับเป็นผู้ฝึกตนบนทำเนียบของยอดเขาจี้เซ่อภูเขาลั่วพั่วแล้ว
นอกจากนี้ทุกวันนี้จ้าวหลวนยังมีอาจารย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่ออีก
คนหนึ่ง ก็คือเด็กชายผมขาวของตรอกฉีหลง เทวบุตรมารนอกโลกที่
ตอนอยู่ในคุกของกำแพงเมืองปราณกระบี่ใช้ชื่อว่า ‘ซวงเจี้ยง’ทุกวันนี้ฝ่ายหลังอยู่ที่ร้านฉ่าวโถว เรียกตัวเองว่าลูกศิษย์นักการเพียง
หนึ่งเดียวของภูเขาลั่วพั่วอย่างภาคภูมิใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ราวกับว่า
ไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกอับอาย ยังพึงพอใจมากอีกด้วย เพียงแต่ว่า
เรื่องราวบนโลกใบนี้หากไร้ความบังเอิญก็มิอาจแต่งตำราได้จริงแท้
เฉินผิงอันจำ ได้อย่างชัดเจนว่าปีนั้นในคุก เทวบุตรมารนอกโลกตนนี้
เคยยิ้มเอ่ยว่า ‘หญ้าน้อยไม่ยกตนสูง เติบใหญ่จึงออกจากขุนเขา’
หญ้าน้อยออกจากภูเขา ร้านฉ่าวโถว?
ผู้ฝึกลมปราณมีผู้ถ่ายทอดวิชาสองคนหรืออาจหลายคน เมื่อ
อยู่บนภูเขาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพียงแต่ว่าบันทึกทำเนียบหยกทองของ
ศาลบรรพจารย์จะเกี่ยวพันไปถึงระบบของการสืบทอด แน่นอนว่า
การสืบทอดมีได้เพียงหนึ่งเดียว ผู้ฝึกตน ‘นับบรรพบุรุษกลับเข้า
ตระกูล’ คือเรื่องสำ คัญในสำ คัญอีกที ก็เหมือนทางฝั่งของใต้หล้ามืด
สลัวที่อาจารย์ของเต้ากวานมาจากสายไหน ก็ถือว่าเป็นตัวกำหนด
ระบบสืบทอดชาติหน้าเอาไว้แล้ว
ชุยตงซานหัวเราะร่าเอ่ยว่า “อาจารย์ จ้าวหลวนมีคุณสมบัติใน
การฝึกตนดีขนาดนี้ อยู่บนภูเขาลั่วพั่วเหมือนว่าสิ่งที่นางได้เรียนรู้จะ
มีไม่มากนะ”