กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 960.3 หนึ่งเท้าเจ็ดขอบเขต
ฉางมิ่งยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าว่าไม่แน่เสมอไปหรอก”
เหวยเหวินหลงกล่าว “ประโยคนี้ของเจ้าสำ นักชุยกล่าว
ได้ไม่เหมาะสมนัก”
เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ยเพียงแค่ครุ่นคิดหาถ้อยคำเหมาะๆ
อยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยประโยคที่ไม่ล่วงเกินทั้งภูเขาเบื้องบนและสำ นัก
เบื้องล่าง อีกทั้งยังมีความจริงใจอย่างมาก “หลายปีมานี้ผิน
เต้าเห็นจ้าวหลวนเป็นเหมือนบุตรสาวแท้ๆ ของตัวเอง
มาโดยตลอด หากแม่หนูหลวนมาฝึกตนอยู่ที่ภูเขาเซียนตูก็คง
ตัดใจไม่ได้ ใจเห็นแก่ตัว ผินเต้ามีใจเห็นแก่ตัวที่ลึกล้ำจริงๆ”
ฉิวตู๋ได้ยินแล้วก็ยิ้มอย่างรู้ทัน อารมณ์พลันผ่อนคลายลง
หลายส่วน หญิงชราส่งสายตาเป็นมิตรให้กับเทพเซียนผู้เฒ่า
ที่ตาบอดแต่ใจไม่มืดบอด
ชุยตงซานกลอกตามองบน มารดามันเถอะ นี่เจ้ายัง
ถือโอกาสแสดงไมตรีให้กับฉิวตู๋ได้อีกด้วยหรือ?เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ย ใช้ได้ ใช้ได้ เจ้าไปถ่ายทอดวิชา
ความรู้ด้านการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมที่สถานศึกษาส่วนตัว
บนยอดเขาเจิงอวิ๋นนั่นโดยเฉพาะเลยดีกว่า
เพราะมีความเห็นต่าง เกี่ยวกับเรื่องของตัวเลือก
อาจารย์อย่างเป็นทางการของจ้าวหลวนจึงยังต้องอิงไปตาม
กฎเดิมของภูเขาลั่วพั่ว นั่นคือต้องถามความเห็นของตัวจ้าว
หลวนเองก่อน
ต่อจากนั้นก็พูดคุยกันเกี่ยวกับตัวเลือกของผู้ถวายงาน
พิทักษ์ภูเขาสำ นักกระบี่ชิงผิง ชุยตงซานบอกว่าจะพยายาม
กำหนดให้ได้โดยเร็วที่สุด
อีกทั้งตอนนี้สหายที่เป็นพันธมิตรกับสำ นักกระบี่ชิงผิง
อย่างเป็นทางการก็ยังมีแค่ผูซาน ภูเขาไท่ผิงและราชวงศ์ต้า
เฉวียนชั่วคราวเท่านั้น
ส่วนทางฝั่งสำ นักกุยหยก แน่นอนว่ายังต้องดูที่
การตัดสินใจของตัวอาจารย์เอง
……ริมทะเลสาบใหญ่ที่ขุยโจวมีท่าเรือตระกูลเซียน
ขนาดใหญ่มากอยู่แห่งหนึ่ง ชื่อว่าท่าเรือจิ่วเฉียน
ก้อนเมฆลอยคล้อยผ่าน บงกชพลิ้วตามคลื่นน้ำ ปูปลา
พลิกพืชน้ำ เป็ดงีบนอนยึดเนินบ่อ ตกใจบินแยกหนีแล้วกลับ
เคียงคู่
ท่าเรือตระกูลเซียนที่ผู้คนเบียดเสียดแออัด บุรุษคนหนึ่ง
เรือนกายสูงใหญ่ก้มหัวค้อมเอว สองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อ
แอบขยับเข้าใกล้ผู้ฝึกตนหนุ่มคนหนึ่งที่มองดูแล้วไม่ขาดเงิน
ถามเสียงเบาว่า ต้องการชุดคลุมอาคมไหม?
สีหน้าของคนหนุ่มแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ใช้เสียงใน
ใจสอบถาม เป็นมาอย่างไร? ของใหม่หรือไม่? หรือว่าชุดคลุม
อาคมเก่า มีความใหม่กี่ส่วน?
อันที่จริงการกระทำที่ไม่อาจเปิดเผยได้เช่นนี้ บนภูเขา
ไม่ได้หาได้ยากอะไร ล้วนเป็นของที่ความเป็นมาไม่แน่ชัด
ได้มาด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง แต่ราคากลับถูกกว่าเยอะมาก
บุรุษคนนั้นผงกปลายคางเอ่ยว่า เจ้ารอดูอยู่ที่นี่ก็พอ
หากมีชิ้นไหนที่ชอบก็บอกข้า ราคาล้วนเหมือนกัน สองเหรียญเงินร้อนน้อย
ผู้ฝึกตนหนุ่มอึ้งไปอย่างสิ้นเชิงเพราะประโยคนี้
บุรุษบอกว่า สาวงาม อัญมณี ตราประทับลัญจกรหยก
ล้วนมาจากใต้คลื่นทะเลทราย ไม่ต้องถามว่ามาจากไหน
ไม่ต้องสนใจว่าถอดลงมาจากร่างของใคร วันหน้าเมื่อเอา
มาสวมบนร่างน้องชายก็เหมือนๆ กันหมด คืนนี้เจ้าเลือก
สถานที่ พวกเรามือหนึ่งมอบเงินมือหนึ่งมอบของ ข้ารับประกัน
ว่าจะถอดตราผนึกทั้งหมดบนชุดคลุมอาคมออก หากว่า
ไม่วางใจก็สามารถหายอดฝีมือมาช่วยดูให้ได้ ข้าทำการค้า
มีเรื่องที่ถือสาไม่มาก ก็แค่หวังว่าทั้งสองฝ่ายที่ทำการค้ากัน
จะสบายใจด้วยกันทั้งคู่ก็เท่านั้น
ผู้ฝึกตนหนุ่มเอ่ยอย่างเดือดดาล สมองเจ้ามีปัญหาหรือ
ไร ไสหัวไปให้ไกลๆ เลย!
บุรุษถอนหายใจเอ่ย ค้าขายไม่สำ เร็จมิตรภาพยังคงอยู่
ทำไมต้องด่าคนด้วยเล่า
บุรุษขยับเท้าเดินห่างไปไกล ดูท่าทางแล้วน่าจะไปหา
ลูกค้าคนอื่นต่ออำเภอเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมชายแดนของขุยโจวกับ
ซินโจว ว่ากันว่ามีคนประหลาดต่างถิ่นมาเยือน สวมเสื้อคลุม
ขนหาว (แรคคูน) หมวกขนจิ้งจอก เรือนกายสูงใหญ่ ลักษณะ
เหมือนพวกทหาร พูดสำ เนียงทางเหนือ
ข้างกายคนผู้นี้ยังมีผู้ติดตามมาอีกสามคน ล้วนเป็นผู้ฝึก
ลมปราณ ทั้งไม่มีสถานะของเต้ากวานแห่งราชสำ นักในแคว้น
หนึ่ง แล้วก็ไม่มีทำเนียบขุนเขาสายน้ำของจวนเซียนบนภูเขา
มีเพียงภูมิลำเนาเดิมและชื่อแซ่ รวมไปถึงตราประทับของ
ที่ว่าการในท้องถิ่น หลังจากตรวจสอบเอกสารผ่านด่านของ
คนกลุ่มนี้ มองตราประทับที่เรียงกันแน่นขนัด
แม้ที่ว่าการอำเภอจะรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก
ในเมื่อสามารถเดินทางไปเยือนสถานที่ได้มากมายขนาดนี้
คิดดูแล้วก็คงไม่ใช่คนชั่วที่อาศัยคาถาเซียน
มาก่อกรรมทำเข็ญแล้ว
คนทั้งกลุ่มหาที่พักง่ายๆ ในเมือง ว่ากันว่าเป็นเรือนพักที่
มักจะมีผีออกอาละวาดเป็นประจำ คนที่ทำงานในที่ว่าการก็คร้านจะสนใจแล้ว คนตีฆ้องบอกเวลาตอนกลางคืนก็ไม่กล้า
ไปเยือน อยากจะพักอยู่ที่นี่ก็พักไปเถอะ
ด้านในเรือนพักพืชหญ้าขึ้นรกชัฏ กระดาษหน้าต่างเป็นรู
ลมจึงลอดผ่านเข้ามาได้อย่างง่ายดาย
บนโต๊ะในห้องนอกจากเทียบยาเป็นปึกๆ แล้วก็ยังวาง
กระบอกไม้ไผ่ที่ตัดขนาดสั้นยาวไม่เท่ากันไว้จนเต็ม บน
กระบอกไม้ไผ่ถูกเจาะเป็นรู
ด้านในลานบ้านขนาดเล็กวางอ่างน้ำใบใหญ่เอาไว้ใบ
หนึ่ง บรรจุปลาที่เพิ่งตกมาได้ก่อนหน้านี้ไม่นาน กำลังรอ
จะเอามาทำอาหาร
คนสามคนในลานบ้านที่เป็นกึ่งๆ ผู้ติดตามกึ่งๆ สหาย
ชายสองหญิงหนึ่งสามผู้ฝึกตนต่างก็เป็นชิงหลิงที่เก็บพามาอยู่
ข้างตัวระหว่างเดินทาง
ขอบเขตของพวกเขาล้วนไม่ต่ำ สองโอสถทองหนึ่งประตู
มังกร เดิมทีบ้านเกิดอยู่ในอาณาเขตของหย่งโจว ต่างคนต่าง
มีพื้นที่ประกอบพิธีกรรมเป็นของตัวเอง ไม่กล้าพูดว่ายึดครอง
พื้นที่หนึ่งวางอำนาจบาตรใหญ่ได้ แต่อย่างน้อยที่สุดแม้กระทั่งสหายที่เป็นเต้ากวานในราชสำ นัก ต่างก็มีกันคนละ
สองสามคน ทว่าตลอดทางที่เดินทางมานี้ไม่อาจเรียกได้ว่า
ไม่ระมัดระวังอย่างเต็มที่ เพราะถึงอย่างไรก็เดินทางข้ามทวีป
พเนจรไปทั่วสี่ทิศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เดินทางผ่านหรู่
โจวที่ต่างก็ไม่ได้แวะไปที่ราชวงศ์ชื่อจิน ก็เพราะรู้สึกว่าหาก
เจอกับนักต่อสู้สักคนก็อาจจะออกหมัดต่อยพวกเขาตายได้
นี่ต้องโทษคนประหลาดที่ชอบปักดอกไม้ผู้นั้นเลยเชียว
เขามอบเอกสารผ่านด่านของปลอมให้กับพวกเขาคนละหนึ่ง
ฉบับ อันที่จริงพวกเขาสามคนแรกเริ่มต่างก็มีสถานะที่ถูกต้อง
ชอบธรรม ไม่จำ เป็นต้องเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย ทว่า
สหายชิงหลิงผู้นั้นยืนกรานจะให้พวกเขาเปลี่ยนตัวตนใหม่
ให้จงได้ เหตุผลก็คือรังเกียจชื่อและฉายาของพวกเขา
ก่อนหน้านี้ ตั้งได้เล็กเกินไป ความหมายไม่ดีพอ ในฐานะผู้ฝึก
ลมปราณ การตั้งฉายาเป็นเรื่องใหญ่จะตายไป ก็คือ
การเกิดใหม่ครั้งที่สองเชียวนะ นี่จึงเป็นเหตุให้การเดินทาง
ท่องเที่ยวตลอดทางที่ผ่านมา พวกเขาสามคนล้วนใช้สถานะปลอม เที่ยวหลอกลวงต้มตุ๋นไปพร้อมกับสหายชิงหลิง ใน
ใจของพวกเขาจะไม่รู้สึกหวาดผวาได้อย่างไร?
ทางฝั่งหย่งโจวบ้านเกิดของพวกเขา ได้ยินมานานแล้ว
ว่าในเขตการปกครองบางแห่งมีคนประหลาดที่การกระทำ
พิลึกพิลั่นอย่างถึงที่สุด บนศีรษะปักดอกไม้สามดอกไว้ตลอด
ทั้ง
ปี ไม่มีใครรู้ชื่อแซ่ของเขา สามารถแต่งกลอนได้ ล้วน
มีกลิ่นอายของเทพเซียน
บางครั้งก็สวมชุดผ้าแพรปักลายสีแดง ชอบพูดจาลี้ลับ
กับเซียนกวานยอดฝีมือ บางครั้งก็สวมเสื้อผ้าขาดวิ่นไป
คลุกคลีกับผู้คนอยู่ในตลาด เป็นสหายกับขอทานข้างทาง ชอบ
พูดจาประหลาดที่คนไม่อาจเข้าใจได้มากที่สุด
สองมืออยากจะปิดนกกระจอกในขวด สี่เท้ากลัวก็แต่
งูในบ่อ แสงคางคกส่องสว่างตรอกมืดมน สองตาเต็มไปด้วย
ยอดหน่อเหลือง…
คิดไม่ถึงว่าพอได้เจอกับเจ้าหมอนี่แล้วจะต้องกลาย
มาเป็นตั๊กแตนบนเชือกเส้นเดียวกัน ตรงตามคำกล่าวโบราณ
ที่บอกว่าขึ้นเรือโจรง่ายลงจากเรือโจรยากคนทั้งสามในห้องที่มีทุกข์ร่วมต้าน มีสตรีลำคอเรียวบาง
ผิวขาวนวลดุจหิมะ พื้นที่ประกอบพิธีกรรมอยู่ที่ทะเลสาบ
เหมี่ยนหยางหย่งโจว คือผู้ฝึกตนที่มีชาติกำเนิดจากภูต
ทุกวันนี้มีฉายาว่าชุนเซ่อ
บุรุษร่างเล็กเตี้ยที่สวมชุดผ้าฝ้ายคนหนึ่งเรือนกายคล้าย
โตในแนวขวาง (เปรียบเปรยถึงคนอ้วน) แต่กลับคิดว่าตัวเอง
หล่อเหลาสง่างาม เขามาจากทะเลสาบชิงฉ่าวอำเภอหลง
หยางในอาณาเขตของหย่งโจว ตอนนี้มีชื่อว่าอู๋เซี่ย เคย
ตั้ง
ฉายาให้ตัวเองว่าคุณชายอู๋ฉาง (ไร้ไส้)
คนสุดท้ายคือบุรุษร่างผอมสูง ฉายาชิวเย่ ตามคำกล่าว
ของสหายชิงหลิง ฉายานี้มีความหมายว่าดวงจันทร์ในค่ำคืน
มืดมิด ผู้สันโดษสวมเสื้อคลุมยืนอยู่กลางแสงจันทร์
เขาที่อยู่ดีไม่ว่าดีก็ได้ฉายาใหม่เอี่ยมนี้ พื้นเพมาจากป่าที่
มีงูเยอะมานับแต่โบราณของหย่งโจว เพียงแต่ว่าสถานที่แห่งนี้
มีคนจับงูเยอะมาก ดังนั้นงูที่จะหลอมเรือนกายกลายเป็นผู้
บรรลุมรรคาได้จึงมีเพียงหยิบมือเท่านั้น หากจะพูดถึงการ
เดินลงน้ำกลายเป็นเจียวก็ยิ่งเป็นเรื่องเพ้อฝัน และในบรรดาคนจับงู ในประวัติศาสตร์คนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็แน่นอนว่า
ต้องเป็นสตรีที่ตอนอายุน้อยๆ ก็เข้าไปฝึกวิชาเซียนอยู่ใน
อารามเสวียนตูแล้วอย่างหวังซุน ฉายา ‘คงซาน’ และนางก็ยิ่ง
เป็นหนึ่งในสิบคนของใต้หล้าในทุกวันนี้
เพียงแต่ว่าพวกเขาสามคน หนึ่งห่านหนึ่งงูหนึ่งปู จนถึง
ทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของสหายชิงหลิงผู้นั้น
แต่ว่าพวกเขาต่างก็ได้รับคัมภีร์เต๋ามาคนละเล่ม ก่อนจะ
ถ่ายทอดวิชาส่วนใหญ่ล้วนมีแต่ถ้อยคำที่คุยโวโอ้อวดตัวเอง
และประโยคข่มขู่ให้คนกลัว
‘ตำรานี้จะมอบให้เฉพาะคนที่มีวาสนาอย่างลับๆ เท่านั้น’
‘ผู้ที่กล้าเอาตำราของข้าไปแพร่งพราย จะต้องถูกลงโทษ
ให้กลายเป็นผีกันทั้งตระกูล’
พูดจาวางโตอย่างยิ่ง ผลคือพอพวกเขาฝึกตนไปตาม
คัมภีร์เต๋าก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีประโยชน์กะผายลมอะไรทั้งนั้น
สหายชิงหลิงจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวังดี
ว่า ทำอย่างนี้ไปให้ได้นานๆ ขอแค่ยืนหยัดไม่ย่อท้อก็พอแล้วสวรรค์ไม่ผิดต่อคนที่มีความเพียรพยายาม สักวันจะต้อง
ค่อยๆ ดีขึ้นได้แน่นอน
สหายสามคนที่เป็นเหมือนคนใบ้กินหวงเหลียง เวลานี้
กำลังศึกษาตำราเล่มหนาที่ไม่ทราบชื่อคนแต่งนานแล้วเล่ม
หนึ่ง ว่ากันว่าเป็นผลงานที่กลั่นออกมาจากสติปัญญาและ
กำลังกายที่เจ้าอารามผู้เฒ่าของอารามเสวียนตูเรียบเรียง
ด้วยตัวเอง ล้วนเล่าลือกันเช่นนี้ แต่น่าเสียดายที่นักพรตซุน
กลับไม่เคยยอมรับว่าตัวเองเขียนตำราเล่มนี้
เป็นของที่ผู้ฝึกตนอิสระซึ่งท่องอยู่ในยุทธภพ แสวงหา
โชคดีหลบเลี่ยงเคราะห์ร้ายจำ เป็นต้องมีไว้ในครอบครองจริงๆ
เล่าลือกันว่าทางฝั่งของใต้หล้าไพศาลมีภาพค้นภูเขา นี่
จึงเป็นเหตุให้ตำราเล่มนี้มีชื่อว่าตำราลงน้ำ ตำราเล่มนี้แทบจะ
มีขายในท่าเรือทุกแห่ง ราคาก็ไม่แพง แค่สองสามเหรียญเงิน
เกล็ดหิมะเท่านั้น
ถ้อยคำกระชับเรียบง่าย หัวข้อชัดเจน แบ่งแยกออกเป็น
ประเภท ล้วนเป็นถ้อยคำล้ำค่าที่สุขุมรอบคอบและมีประสบการณ์ ทั้งยังแนะนำขนบธรรมเนียมประเพณีของสิบสี่
มณฑลในใต้หล้าเอาไว้อีกด้วย
ขนบธรรมเนียมของจวนเซียน เต้ากวานที่เป็นบุคคล
ยิ่งใหญ่ทั้งหลายเป็นอย่างไร มีเจ้าตะพาบเฒ่าคนใดที่เป็น
พวกร้ายกาจแก่แล้วไม่น่าเคารพบ้าง แล้วมีตะพาบน้อยคนใด
บ้างที่คานบนไม่ตรงคานล่างเอียง ใครที่หากมีเรื่องสามารถ
หยุดเดินแล้วอธิบายเหตุผลให้ฟัง ใครที่ไม่ควรไปมีเรื่องด้วย
จำ เป็นต้องหลบเลี่ยงไปเสีย หากหลบไม่พ้นจริงๆ แล้วเกิดเรื่อง
ขึ้นจริงๆ เมื่อรู้ตัวตนและภูเขาของอีกฝ่ายก็แค่ก้มหน้า
ยอมรับผิด อย่ามัวแต่ยึดหลักการ…
และยังมีเรื่องราวสั้นๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องเล่าประหลาด
เกร็ดประวัติที่เขียนได้ดีเป็นพิเศษ ทำให้คนอ่านได้อย่าง
เพลิดเพลิน
ไม่เสียแรงที่เป็นเจ้าอารามซุนที่มีสหายอยู่ทั่วใต้หล้า
คู่ควรกับคำชมเชยที่ว่าเพียบพร้อมทั้งคุณธรรมและ
คุณความดีอย่างจริงแท้ผู้ฝึกตนอิสระที่มีชาติกำเนิดจากภูตทั้งสามคนกำลัง
แลกเปลี่ยนความรู้กัน แกะความหมายกันไปตามตัวอักษร
พูดคุยกันว่าวันหน้าหากโชคดีได้เจอกับนักพรตซุน เล่าลือกัน
ว่าเขาคือเจ้าอารามผู้เฒ่าที่เป็นมิตรน่าเข้าใกล้ต่อผู้เยาว์บน
ภูเขามากที่สุด ตนควรจะพูดประโยคที่ว่า คุณธรรมและ
ชื่อเสียงสูงส่ง หรือมรรคาสูงส่งคุณธรรมลึกล้ำ หรือว่าอายุ
มากคุณธรรมเกริกก้องดี?
สหายที่เป็นคนบ้านเดียวกันทั้งสามคนต่างก็
มีความคิดเห็น มีเหตุผลเป็นของตัวเอง คนหนึ่งบอกว่า
นักพรตซุนชื่อเสียงโด่งดัง ควรจะเรียกเขาว่าเป็นผู้มีคุณธรรม
และชื่อเสียงสูงส่งจึงจะเหมาะสมที่สุด อีกคนหนึ่งบอกว่า
ถึงอย่างไรเจ้าอารามผู้เฒ่าก็เป็นนักพรต ดังนั้นต้องมีคำว่า
มรรคา (เต๋า) อีกคนหนึ่งบอกว่าอายุมากมีความหมายว่า
มีชีวิตอยู่ได้ยาวนาน เดิมทีก็เป็นคำชมที่ใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่ง
อยู่แล้ว
เจ้าอารามผู้เฒ่าไม่ได้รีบร้อนเคาะประตู แต่ยืนอยู่นอก
เรือน ลูบหนวดยิ้ม มีคนพูดถึงตนดีๆ ต่อหน้า ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคำประจบที่เสแสร้งไม่จริงใจ มีเพียงชื่นชมลับหลังเท่านั้นที่
ส่วนใหญ่มักจะมาจากใจจริง
เยี่ยนจั๋วที่อยู่ข้างนอกฟังคนทั้งสามโต้เถียงกันก็รู้สึกว่า
มหามรรคาใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาเดินได้กว้างจริงๆ
เพียงแต่ไม่รู้ว่าสามคนนี้เมื่อได้เจอกับเจ้าอารามผู้เฒ่า
ที่อยู่ข้างกายตนจริงๆ จะจำ ได้หรือไม่ คิดว่าน่าจะยากแล้ว
ในใต้หล้ามืดสลัว นอกจากมณฑลไม่กี่แห่งก็ไม่รู้ว่าทำไม
ตั้ง
แต่ราชสำ นักไปจนถึงสำ นัก นับแต่โบราณมาก็สั่งห้ามไม่ให้
อารามเต๋าใช้บุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ
คุณชายฉางอู๋พลันเงยหน้าขึ้น เอ่ยเสียงทุ้มหนัก “สหาย
โปรดหยุดเท้า กลางวันแสกๆ เช่นนี้จะบุกเข้าเรือนของผู้อื่น
โดยพลการได้อย่างไร”
คิดว่าสองโอสถทองหนึ่งประตูมังกรกินหญ้ากันหรือไร?
คิดว่าที่นี่คือบ้านของพวกเจ้าจริงๆ งั้นหรือ?