กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 960.4 หนึ่งเท้าเจ็ดขอบเขต
เห็นเพียงว่านอกประตูมีนักพรตเฒ่าคนหนึ่งเผยกาย พา
คนหนุ่มร่างอ้วนและคุณชายอีกสองคนเดินข้ามธรณีประตู
เข้ามาอย่างครึกครื้น
เห็นว่านักพรตเฒ่ายังคงเดินข้ามธรณีประตูมาตรงๆ
เดินเข้ามาในห้อง ยื่นมือไปหยิบเทียบยาเขียนมือฉบับหนึ่งขึ้น
มา เนื้อหาซึ่งเป็นบทนำบนกระดาษแผ่นนั้นมีความรู้อย่างมาก
บอกว่าใต้หล้าในทุกวันนี้ หมอมักจะชอบใช้หลักหวังเต้าในการ
รักษาโรค โดยที่ไม่รู้เลยว่าหลักหวังเต้านั้นมีความรุนแรง หาก
ใช้ยาโดยไม่ระวังให้ดี กลับจะยิ่งเป็นการเพิ่มโรค ข้าจึงไม่
ใช้หลักหวังเต้า แต่ใช้หลักป้าเต้าในการรักษาแทน คือวิธีที่
สามารถดึงแก่นวิญญาณและขับสารที่ไม่จำ เป็นของตัวยา
ออก เหลือเพียงลมปราณที่บริสุทธิ์บางเบา เพียงเท่านี้ก็จะ
มีแต่ประโยชน์ไม่เกิดอันตรายใดๆ
เนื่องจากรู้ตัวตนที่แท้จริงของคนแต่งตำรา นักพรตซุน
จึงไม่รู้สึกว่าอีกฝ่ายเอาสองคำว่า ‘หวังป้า’ มาใช้อย่างส่งเดชอู๋เซี่ยที่ห้ามแล้วแต่ไม่เป็นผลอดไม่ไหวพึมพำเบาๆ ว่า
“ทำไมถึงฟังภาษาคนไม่เข้าใจกันนะ”
เยี่ยนจั๋วเริ่มรอคอยที่จะได้เห็นภาพสหายผู้นี้ไปกวาด
ลานบ้านในอารามเสวียนตูเสียแล้ว
เห็นเพียงว่านักพรตผู้เฒ่าวางตำราลง เหลือบมองอู๋เซี่ย
แค่มองก็รู้ว่าเป็นพวกที่ชอบแสร้งทำเป็นมีรสนิยม ตรงเอว
ลำพังแค่หยกพกและถุงหอมก็ห้อยเรียงกันเป็นตับ จึงยิ้มเอ่ย
สัพยอกว่า “พี่ชายน้อยท่านนี้เป็นร้านผ้าห่อบุญตั้งแผง
ขายของหรืออย่างไร วันหน้าผินเต้าจะช่วยแนะนำคนบน
เส้นทางเดียวกันให้เจ้ารู้จักดีไหม?”
หากไม่เป็นเพราะออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก อีกทั้งบน
โต๊ะยังมีผลงานที่เต็มไปด้วยถ้อยคำล้ำค่าเล่มนั้นวางอยู่ อู๋
เซี่ยคงเปิดปากด่าคนไปแล้ว และคงไม่พ้นได้เอ่ยประโยคว่า
ต้องการให้นายท่านใหญ่ส่งเจ้าไปพบบรรพบุรุษหรือไม่
“ไม้ไผ่ไม่ว่ายาวหรือสั้นล้วนเป่าได้ แต่ต้องเจาะรูไปตาม
วัสดุ พวกเจ้าทั้งหลายถูกเขาเลือกเป็นวัตถุดิบที่สร้างได้ ถือว่า
โชคไม่เลว”นักพรตซุนหยิบกระบอกไม้ไผ่ท่อนหนึ่งขึ้นมาชั่งน้ำหนัก
เล็กน้อย ถามชวนคุยว่า “สตรีปักบุปผาที่พาพวกเจ้ามาพักที่นี่
ล่ะ?”
เพราะถึงอย่างไรหลงซือผู้นั้นก็เป็นผู้ฝึกตนบรรลุมรรคา
ที่เคยเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานถึงสองครั้ง อีกฝ่าย
จงใจอำพรางร่องรอย หากคิดจะหาตัวจริงๆ ก็ค่อนข้าง
ยากลำบากอยู่บ้าง
แล้วนับประสาอะไรกับที่ซุนไหวจงก็ไม่คิดจะเปลืองแรง
ทำเช่นนี้
คนทั้งสามหันมามองหน้ากัน ต่างก็รู้สึกคลางแคลงอยู่
บ้าง หรือว่าชิงหลิงที่เป็นทั้งอาจารย์เป็นทั้งสหายผู้นั้นจะเป็น
ผู้ฝึกตนหญิงจริงๆ?
หากเป็นบุรุษก็ไม่เท่าไร รูปโฉมหยาบกระด้าง ต่อให้บน
ศีรษะปักดอกไม้ จะดีจะชั่วก็ยังได้ชื่อเสียงว่าเป็นคนประหลาด
ที่โดดเด่น แต่หากว่าเป็นสตรี…ก็ออกจะอัปลักษณ์ไปหน่อย
จริงๆชุนเซ่อถามอย่างระมัดระวังว่า “นักพรตผู้เฒ่าจะถามว่า
สหายชิงหลิงไปไหนหรือ?”
นักพรตซุนพยักหน้า “ข้ามาหาเขาเพื่อรำลึกความหลัง”
สีหน้าของนางเผยความลำบากใจ ทั้งกลัวว่าอีกฝ่าย
จะเป็นผู้มาเยือนที่เจตนาไม่ดี ถูกศัตรูบุกมาหาถึงที่ ทั้งยังกลัว
ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มาหาเรื่อง แต่เป็นเพราะตนเปิดเผยร่องรอยให้
เขารู้ หลังจบเรื่องจะถูกสหายชิงหลิงอาฆาตแค้น ทำให้นาง
ต้องเดือดร้อนไปด้วยเปล่าๆ
ผลคือรอกระทั่งหางตาของนางมองประเมินสหายสอง
คนที่อยู่ข้างกายที่ต่างก็แสร้งทำเป็นหูหนวกเป็นใบ้ วางมาดว่า
ลอยตัวสูงอยู่เหนือเรื่องราว
ชุนเซ่อก็ได้แต่แข็งใจถามว่า “นักพรตผู้เฒ่า ในเมื่อ
มาเยี่ยมเยือนถึงบ้าน จะมารำลึกความหลังกับสหายชิงหลิง
ท่านสามารถบอกฉายาและตัวตนของท่านได้หรือไม่?”
นักพรตผู้เฒ่าหัวเราะร่วน “ไม่ได้”
อู๋เซ่อเดือดดาลมากแล้ว แต่ก็ยังฝืนนิสัย กดเสียงต่ำ
พึมพำหนึ่งประโยคว่า “ไม่รู้จักดีชั่วเช่นนี้ ระวังว่าออกจากบ้านจะไม่มีเพื่อน”
นักพรตซุนมองหน้าต่างแวบหนึ่งแล้วหัวเราะ “สุนัข
ไม่เปลี่ยนนิสัยกินอาจม ชอบเคาะหน้าต่างมองสาวงาม หาก
ไม่ใช่จิ้งจอกก็คือผี”
ใช้หัวเข่าคิดก็ยังรู้ว่าหากเจ้าหมอนั่นได้เจอการกระทำที่
มีความเป็นไปได้ว่าต่อให้ต้องตายใต้แสงจันทร์หน้าบุปผา แม้
จะกลายเป็นผีก็ยังสง่างาม ก็คงจะต้องโหวกเหวกพูดว่า รีบ
หลบไปเร็วเข้า ให้ข้าทำเอง
ผู้ฝึกตนหลายคนที่อายุมากแล้ว ตอนที่อายุน้อยกับอายุ
มากก็คือคนสองคน
หลงซือผู้นั้นกลับเป็นคนประเภทเดียวกันอย่างที่หาได้
ยาก ลุ่มหลงในรักอยู่ตลอด เพียงแต่ชอบทำตัวเจ้าชู้เสเพล
ราวกับกลัวว่าคนอื่นจะรู้สึกว่าเขาเป็นคนรักเดียวใจเดียว
อย่างไรอย่างนั้น
และ ‘คนอื่น’ ที่ว่านี้ อันที่จริงก็มีแค่คนเดียว คนที่คน
ลุ่มหลงในรักรักลุ่มหลงนักพรตซุนถอนหายใจในใจหนึ่งที อันที่จริงเจ้าหลงซินผู่
ผู้นี้ก็น่าสงสารเหมือนกันนะ จึงเปิดปากเอ่ยว่า “ผินเต้ามาจาก
อารามเสวียนตูของฉีโจวที่อยู่ติดกัน”
ชุนเซ่อได้ยินก็อึ้งตะลึงไป ส่วนชิวเย่ก็มองอย่างกึ่งเชื่อกึ่ง
กังขา
มีเพียงอู๋เซี่ยที่ตวาดอย่างเดือดดาล พูดบ่นกับสหาย
ทั้ง
สองคนว่า “มัวอึ้งกันอยู่ทำไม เร็วเข้าสิ พวกเรารีบโขกหัวให้
เทพเซียนผู้เฒ่าด้วยกัน!”
เยี่ยนจั๋วแยกเขี้ยว แค่ได้ยินคำว่าอารามเสวียนตูก็ทำตัว
เกินจริงเช่นนี้เลยหรือ
นักพรตซุนโบกมือ “ไม่ต้อง พวกเจ้าไม่ใช่นักพรตของ
อารามเสวียนตูเสียหน่อย พบเจอกันบนเส้นทางล้วนถือว่าเป็น
สหาย อยู่ดีไม่ว่าดีพวกเจ้าก็โขกหัวให้คนอื่นแบบนี้ เข้าท่าเสีย
ที่ไหน”
ชิวเย่ผู้นั้นพลันถามว่า “นักพรตผู้เฒ่าเคยได้ยินชื่อหง
เซียนจ่างที่มาจากหงผิงซึ่งรับหน้าที่อยู่ในหมอถัวของศาล
บรรพจารย์อารามเสวียนตูหรือไม่? ได้ยินว่าเมื่อหลายปีก่อนได้เลื่อนขั้นไปรับหน้าที่เป็นโส่วจั้วที่อารามของแคว้นหนึ่งใน
ฉีโจวแล้ว”
นักพรตยิ้มพลางส่ายหน้า “ใคร? ไม่เคยได้ยิน อาราม
ค่อนข้างใหญ่ บางทีผินเต้าอาจไม่เคยเจอหงเซียนจ่างที่
มาจากสายหมอถัวผู้นี้ด้วยซ้ำ แต่วันหน้าผินเต้าสามารถกลับ
ไปพูดคุยกับเขาได้ว่าไปที่หย่งโจวได้อย่างไร แล้วสนิทกับ
สหายได้อย่างไร”
อารามของลัทธิเต๋าแห่งหนึ่งมีการแบ่งเป็นสามตู ห้าจู่
แปดจื๋อซื่อใหญ่ สิบแปดโถว เบื้องล่างคนพวกนี้ต่างก็ปกครอง
เต้ากวานอีกกลุ่มใหญ่
นับประสาอะไรกับที่อารามขนาดใหญ่ของใต้หล้าที่
มีน้อยจนนับนิ้วได้อย่างอารามเสวียนตูนี้ หากรวมกับอาราม
เต๋าน้อยใหญ่อีกร้อยกว่าแห่งที่นอกเหนือจากศาลบรรพจารย์
แล้ว ตลอดทั้งในอาณาเขตฉีโจวก็ล้วนถือเป็นของสายอาราม
เสวียนตู ลำพังแค่เต้ากวานที่มีทำเนียบอย่างเป็นทางการก็
มีเกือบหนึ่งแสนคนแล้ว เต้ากวานส่วนใหญ่ บางทีชั่วชีวิตนี้อาจไม่เคยได้พบเจอเจ้าอารามผู้เฒ่ากับตาตัวเองมาก่อนก็
เป็นได้
อีกทั้งนับประสาอะไรกับที่การประชุมในศาลบรรพจารย์
ของอารามเสวียนตูก็ไม่ใช่ว่าเจ้าอารามผู้เฒ่าจะเข้าร่วมด้วย
ทุกครั้ง การประชุมประมาณสิบครั้ง ไปเข้าร่วมแค่สอง
สามครั้งก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
สีหน้าของชิวเย่แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย ยิ้มเอ่ยว่า
“เจ้าอารามผู้เฒ่าอย่าได้คิดเป็นจริงเป็นจัง ข้าแค่แต่งเรื่องขึ้น
มาส่งเดชเท่านั้น ไหนเลยจะมีหงเซียนจ่างแห่งสายหมอถัว
ศาลบรรพจารย์อารามเสวียนตูอะไร เต้ากวานของอาราม
เสวียนตูผู้สูงส่งจะใช่คนที่ผู้ฝึกลมปราณซึ่งมีชาติกำเนิดอย่าง
ข้าสามารถตีสนิทได้อย่างไร”
เยี่ยนจั๋วเริ่มเป็นกังวลกับจุดจบของเจ้าหมอนี่แล้ว
ใต้หล้ามืดสลัวมีคำสุภาษิตประโยคหนึ่งที่แพร่
หลายอย่างมาก เอาไว้ใช้แนะนำพวกคนที่ชอบพูดครึ่งๆ
กลางๆ ทั้งหลาย ไม่เพียงแต่จะแพร่หลายอยู่ท่ามกลางเต้ากวานของมณฑลต่างๆ แม้แต่ในหมู่ชาวบ้านของแต่ละแคว้น
ทั้ง
เด็กผู้หญิงและคนชราก็ล้วนรับรู้กันหมด
‘คราวก่อนคนที่พูดจาครึ่งๆ กลางๆ ผู้นั้นได้ไปกวาดพื้น
ยกน้ำอยู่ในอารามเสวียนตูแล้ว’
เพราะถึงอย่างไรนักพรตซุนของอารามเสวียนตูใหญ่
มรรคกถาสูงก็สูงอยู่ แต่จิตใจกลับคับแคบอย่างมาก
ใครจงใจทำเป็นอมพะนำกับเจ้าอารามผู้เฒ่า กล้าพูดจา
แค่ครึ่งเดียว เพียงไม่ทันระวังก็จะต้องได้รับจดหมายเชื้อเชิญ
ให้ไปเป็นแขกที่อารามเสวียนตู จะไม่ไปก็ไม่ได้ด้วย
ส่วน ‘จดหมายเชื้อเชิญ’ ที่ว่านั้นก็คือหนึ่งฝ่ามือของ
เจ้าอารามผู้เฒ่าที่ตบเจ้าจนสลบ รอกระทั่งฟื้นขึ้นมาแล้วก็ไป
นอนอยู่ในห้องที่ไม่คุ้นเคยห้องหนึ่งแล้ว ตรงข้างฝ่าเท้ายังมี
อุปกรณ์จำ พวกถังน้ำ ผ้าขี้ริ้ว ไม้กวาด ที่ตักผง ฯลฯ วางอยู่
ด้วย
นักพรตซุนลูบหนวดยิ้มเอ่ย “เต้ากวานของอารามเสวียน
ตูสูงส่งจนมิอาจตีสนิทตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมผินเต้าไม่เคยรู้เลย?
ผินเต้ากลับรู้สึกว่าหงเซียนจ่างที่ได้ไปรับตำแหน่งสูงเป็นถึงโส่วจั้วของอารามแห่งหนึ่งนอกพื้นที่คนนี้ หากว่าสนิทกับ
สหายจริงๆ ก็ดีมากเลยนะ ผินเต้ารู้สึกว่าในอนาคตให้ไปเป็น
เจ้าอารามหรือเป็นพวกเจินเหรินพิทักษ์แคว้นในแคว้นเล็กๆ
บางแห่งก็มากพอเหลือแหล่แล้ว”
เยี่ยนจั๋วเข้าใจได้ทันใด หงเซียนจ่างผู้นั้นเข้าตา
เจ้าอารามผู้เฒ่าแล้ว
เพราะเมื่อเจ้าอารามผู้เฒ่าบอกว่าจะไปพบก็ต้องไปพบ
เขาจริงๆ แน่นอน
นักพรตซุนหยิบยันต์สามแผ่นที่ทำขึ้นด้วยวิธีการลับของ
อารามเสวียนตูออกมาจากชายแขนเสื้อ วางลงบนโต๊ะเบาๆ
“พูดคุยกับสหายทั้งสามอย่างถูกคอ ถือเป็นของขวัญพบหน้า
อย่าได้รังเกียจ”
ชุนเซ่อมองสบตากับชิวเย่ ต่างก็ไม่กล้ารับยันต์สีม่วงทอง
ที่มีปราณกระบี่และกลิ่นอายเต๋าล้อมวนแผ่นนั้นมา
มีเพียงอู๋เซี่ยที่ใจกล้า ไม่กลัวตาย หยิบยันต์แผ่นนั้นขึ้น
มาอย่างระมัดระวัง ก่อนจะก้มหัวคารวะตามขนบลัทธิเต๋า
ขอบคุณนักพรตเฒ่าอีกครั้งนักพรตซุนยิ้มเอ่ย “ตำราที่อยู่บนโต๊ะเล่มนั้น นับว่า
เจ้าอ่านอย่างเสียเปล่าแล้ว วันนี้นับว่ายังดีที่เจ้าได้มาพบผิน
เต้า วันหน้าจำ ไว้ว่าระวังหน่อย อย่าได้เห็นของมีค่าแล้วเกิด
ความโลภเช่นนี้ ระวังจะติดกับ”
ชุนเซ่อพลันถามว่า “ขอถามนักพรตผู้เฒ่า เหตุใด้สาย
ยันต์ทั้งหลายในใต้หล้า บนยันต์ล้วนชอบประทับตราประทับ
ของเจินเหรินลงไป?”
ในใต้หล้ามืดสลัว ยันต์และตราประทับยันต์ ต่างกันคำ
เดียว แต่ต่างราวฟ้ากับเหว
เล่าลือกันว่าอย่างหลัง สามารถทำให้ผู้ที่พกพา
ขึ้นเขาลงห้วยได้อย่างไร้ความยำเกรง ล่างสามารถข่มขวัญ
พวกที่ชอบทำร้ายคนอื่น สิ่งสกปรกชั่วร้ายล้วนถอยห่าง บน
สามารถดังไปถึงสวรรค์ พูดคุยกับทวยเทพได้
นักพรตซุนยิ้มกล่าว “เหตุผลเรียบง่ายมาก ยันต์หลาย
สายของลัทธิเต๋าชอบพิถีพิถันในข้อที่ว่าผีและเทพในโลกล้วน
ได้รับคำสั่งจากตราประทับ ส่วนยันต์ก็ถูกคุมอยู่ในมือของ
ผู้พิพากษา เจินเหรินเซียนจวินเหมือนหัวหน้าขุนนางในที่ว่าการ ผู้พิพากษาในที่ว่าการเหมือนเสมียนผู้น้อย
ด้วยเหตุนี้เจินเหรินที่หากไม่ใช่ผู้พิพากษาก็ไม่อาจสร้างยันต์
หากผู้พิพากษาไม่มีตราประทับของเจินเหรินปลุกเสก ยันต์
แผ่นนั้น…ก็ยังเอาไปใช้งานได้อยู่หรอก หาไม่แล้วยันต์
ทั้ง
หลายในใต้หล้าแห่งอื่นก็ล้วนเป็นของปลอมที่เอาไว้หลอก
คนทั้งหมดน่ะสิ ก็แค่ว่าไม่ศักดิ์สิทธิ์มากพอ พูดง่ายๆ ก็คือ
พลานุภาพไม่ใหญ่พอ ตีคนไม่เจ็บ ส่วนใต้หล้าแห่งอื่น เหตุใด
ถึงมียันต์ใหญ่ นอกจากสายของจวนเทียนซือภูเขามังกร
พยัคฆ์ที่เป็นไม้เด่นเกินไพรแล้ว อย่างในสำ นักของฝูลู่อวี๋
เสวียน แท้จริงแล้วตราประทับที่สืบทอดกันมาอย่างลับๆ นั้น
มาจากอาจารย์ซานซานจิ่วโหว เมื่อเทียบกันในเรื่องความสูง
และลึกล้ำ ความยาวไกลของความเป็นมามรรคกถา อันที่จริง
กลับไม่แย่ไปกว่านครชิงชุ่ยของเจ้าลัทธิใหญ่และนครหลิงเป่า
ของผิงติ่งแห่งป๋ายอวี้จิงเลยแม้แต่น้อย ถึงขั้นที่ยังพูดได้ว่า
เหนือกว่าด้วยซ้ำ ”
คนทั้งสามฟังด้วยอาการตกตะลึง จวนเทียนซือภูเขา
มังกรพยัคฆ์ และยังมีฝูลู่อวี๋เสวียนท่านนั้น แน่นอนว่าต้องเคยได้ยินมาก่อน
วันนี้พวกเราได้มาเจอกับคนที่พูดจาวางโตยิ่งกว่าชิงหลิง
อีกหรือไม่?
นักพรตซุนเดี๋ยวท่านก็พูดถึงนครชิงชุ่ย นครหลิงเป่า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังเรียกชื่อเจ้านครผู้เฒ่าผังติ่งออกมา
ตรงๆ ไม่กลัวจะถูกฟ้าผ่าจริงๆ หรือ?
นักพรตซุนยิ้มกล่าว “ตอนนี้สามารถบอกผินเต้าได้แล้ว
หรือไม่ว่า สหายชิงหลิงของพวกเจ้าคนนั้นไปเตร็ดเตร่อยู่ที่ใด
กันแน่?”
อู๋เซี่ยเอ่ย “เวลานี้ผู้อาวุโสชิงหลิงอาจอยู่ที่ทะเลสาบกูผู
ยุ่งอยู่กับการตกปลา ได้ยินว่าปลาหลูของที่นั่นรสชาติดีเยี่ยม
ที่สุด”
นักพรตซุนพยักหน้า เอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ ชี้ไปยังตำราที่
วางไว้บนโต๊ะ เอ่ยว่า “อ่านตำราประเภทนี้ อย่าได้คิด
เป็นจริงเป็นจังมากนัก อ่านเสร็จก็โยนทิ้งได้เลย”
ชุนเซ่อส่ายหน้า “นักพรตซุน นี่คือตำราที่ดี”โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องเล่าประหลาดที่แต่ละบทสั้นมาก
มีแค่ร้อยกว่าตัวอักษร แต่กลับเขียนได้น่าสนใจอย่างยิ่ง
นักพรตซุนคลี่ยิ้ม เอ่ยอย่างไม่เห็นเป็นสำ คัญว่า “นั่นก็
เพราะพวกเจ้ายังไม่เคยอ่านหนังสือที่ดีอย่างแท้จริง วันหน้า
รอกระทั่งได้อ่านหนังสือเยอะขึ้นแล้วก็จะรู้ว่าความรู้สึก
ชื่นชอบในตอนนี้ก็เป็นแค่ความรู้สึกที่ผิดพลาด เสียเวลาเปล่า
เท่านั้น”
อู๋เซี่ยเอ่ยเตือนอย่างระมัดระวัง “นักพรตผู้เฒ่า คำพูด
ประโยคนี้ระวังหน่อยเถอะ ได้ยินว่าหนังสือเล่มนี้…มันก็
เหมือนกับนักพรตผู้เฒ่า ต่างก็มาจากอารามเสวียนตู
เหมือนกันนะ”
นักพรตซุนยิ้มบางๆ “พวกเราที่เป็นคนอ่านหนังสือด่าคน
เขียนหนังสือแค่ไม่กี่ประโยคจะเป็นไรไป นั่นถือว่าไว้หน้าแล้ว
อย่าได้ไม่รู้จักดีชั่ว”
“รำคาญที่สุดก็คือบทความสั้นนั่นแหละ ชอบโอ้อวด
ฝีมือ ฉูดฉาดแต่ไร้ประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องเล่าบท
ยาวที่ไม่เพียงเหมือนผ้ารัดเท้า ยังอิดๆ ออดๆ ไม่คล่องแคล่วว่องไวเสียเลย จุดที่ควรตวัดพู่กันให้ว่องไวกลับเขียนอะไรก็
ไม่รู้ไร้แก่นสาร นี่เรียกว่าเอ้อระเหยลอยชาย พูดให้ไม่น่าฟัง
สักหน่อยก็คือเอาไม้กวนอาจมมาทำเป็นตะเกียบ เอาไปคนใน
สุรา ด่าแค่ไม่กี่ประโยคก็ถือว่าเบาแล้ว”
“หากผินเต้าอ่านตำราเล่มไหนแล้วไม่ถูกใจก็จะจับตัว
คนเขียนตำราเล่มนั้นไปที่อารามเสวียนตูโดยตรง หยิบก้อนอิฐ
ก้อนหนึ่งขึ้นมา ชูให้เจ้านั่นเห็นทุกวัน ให้เขาเขียนดีๆ ตั้งใจ
เขียน เขียนทั้งวันทั้งคืน เรื่องแบบนี้ผินเต้าเคยทำมาก่อนจริงๆ
…หลายรอบด้วย แน่นอนว่าจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่พวกเจ้า”
คนโบราณบอกไว้ว่าให้คำอรรถาธิบายตำราโบราณเล่ม
หนึ่ง คือการสืบทอดที่เรียกได้ว่าคุณูปการเกริกก้องหมื่นปี
แต่งตำราใหม่หนึ่งเล่ม บรรยายด้วยตัวอักษร ก็คือกิจการใหญ่
พันปี
อะไรที่เรียกว่าตำราดีที่แท้จริง
เปิดตำราเจอจุดที่ชื่นชอบ อ่านจบรู้สึกถึงกลิ่นหอมที่
เหลือตามไรฟัน หรือไม่ก็นึกอยากจะดื่มเหล้าหลายๆ อึกอ่านเจอจุดที่กลัดกลุ้ม รู้สึกเพียงหัวใจถูกทิ่มแทง ปิด
ตำราลงแล้ว แม้แต่จะหายใจก็ยังยากลำบาก
เจอจุดที่ตรงใจ กับคนบางคนในตำราหรือกับบาง
ประโยค แค่เห็นก็เหมือนเคยรู้จักกันมานาน ราวกับว่าพวกมัน
รอคอยอยู่ในภูเขาตำรามานานมากแล้ว
ข้ารอตัวอักษร ตัวอักษรรอข้า
ที่ทะเลสาบกูผู บุรุษผู้หนึ่งที่ง่วนอยู่ที่ท่าเรือจิ่วเฉียน
มานานเป็นครึ่งๆ วันก็ยังหาลูกค้าไม่ได้สักคนกลับมาที่ริม
ทะเลสาบอีกครั้ง บนศีรษะปักดอกไม้ มาถือคันเบ็ดตกปลาต่อ
อีกครั้ง
การค้าทำได้ยาก เงินหาได้ลำบาก ประทังชีวิต
หาเลี้ยงชีพช่างยากเย็นจริงๆ
บุรุษที่บนศีรษะปักดอกไม้เห็นคนสามคนที่โผล่มาจาก
ความว่างเปล่าก็รีบลุกขึ้นยืน คลี่ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “นักพรตซุน
ไม่ได้เจอกันนานหลายปี ดูแล้วท่านยังเรือนกายแข็งแรง
มีมาดแห่งเซียนอยู่เหมือนเดิม ไม่ทราบว่าทุกวันนี้ขอบเขต
อะไรแล้ว ลองเล่าให้ฟังหน่อยสิ เอามาข่มขู่ข้าหน่อยสิ?”นักพรตซุนหัวเราะหยัน ยกเท้าข้างหนึ่งขึ้น “เจ็ดขอบเขต
” (หนึ่งเท้าเจ็ดขอบเขตหมายถึงการประสบความสำ เร็จใน
ขอบเขตหรือระดับที่สูงมาก หนึ่งเท้าเปรียบเปรยถึงการก้าว
กระโดดหรือการพัฒนา เจ็ดขอบเขตหมายถึงระดับความสูง
ในผลสำ เร็จและการส่งอิทธิพลในวงกว้าง)
บุรุษมองเท้าข้างนั้นที่เจ้าอารามผู้เฒ่ายกขึ้น รวมไปถึง
เท้าอีกข้าง ในใจก็ถอนหายใจเบาๆ เป็นขอบเขตสิบสี่แล้วจริง
เสียด้วย
——