กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 961.2 ถ่านไฟ
ชุยตงซานพลันเอ่ยว่า “อาจารย์ ทางฝั่งของอวี่จิ่น เขา
บอกว่าตัวเองยินดีเอาสมบัติห้าส่วนมามอบเป็นของขวัญ
แสดงความยินดี”
นี่ยังสาเหตุยังเป็นเพราะก่อนหน้านี้ได้จงขุยช่วย
ไกล่เกลี่ยให้ก่อนด้วย เท่ากับว่าช่วยให้เจ้าอ้วนกูซูมา ‘ทวงหนี้’
ถึงบ้าน ไม่อย่างนั้นชุยตงซานกับเสี่ยวโม่ คนหนึ่งมีแต่
จะยืนกรานว่าไม่ยอมรับ อีกคนหนึ่งพูดแค่ว่าไม่เคยออก
ไปนอกมหาสมุทรมาก่อน
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าต่างหากจึงจะเป็นเจ้า
สำ นักของสำ นักเบื้องล่าง กิจการของสำ นักเบื้องล่างจำ พวกนี้
จะถามข้าทำไม หากต้องการให้ข้าพูดจริงๆ ล่ะก็ ห้าส่วนก็
มากเกินไปหน่อย สามสี่ส่วนก็เพียงพอแล้ว”
ชุยตงซานเอ่ย “เข้าใจแล้ว!”
สุดท้ายก็เป็น ‘เศรษฐีบ้านนอก’ สองท่านอย่างหลิวจวี้
เป่าและอวี้พ่านสุ่ยแล้ว พวกเขาไม่ทำให้คนผิดหวังเลยแม้แต่น้อย เรียกได้ว่าลงมือไม่ธรรมดา มอบให้ทีหนึ่งก็เป็น
เรือข้ามฟากขนาดใหญ่ที่มีชื่อว่า ‘ถงอิน’ แม้จะถือว่าเป็น
ของขวัญที่สกุลหลิวแห่งธวัลทวีปและราชวงศ์เสวียนมี่มอบให้
ร่วมกัน อีกทั้งเรือข้ามฟาก ‘ถงอิน’ ก็ไม่อาจเทียบเคียงกับเรือ
ข้ามทวีปอย่างเฟิงยวนที่ราคาในการสร้างมหาศาลจนเรียกได้
ว่าสูงเทียมฟ้า แต่ระดับขั้นก็ไม่ต่ำไปกว่าเรือมังกรฟานโม่ของ
ภูเขาลั่วพั่ว เป็นเหตุให้เส้นทางการเดินเรือสามารถควบรวม
พื้นที่ของภูเขาสายน้ำครึ่งหนึ่งของใบถงทวีปได้เลย อีกทั้ง
ปริมาณในการบรรจุสินค้าก็ยังเหนือกว่าเรือมังกรที่ปีนั้นถูก
มองเป็นเรือหอเรือนซึ่งมีไว้ท่องชมทัศนียภาพระดับหนึ่ง
สำ หรับสำ นักกระบี่ชิงผิงแล้ว นี่เท่ากับเป็นเรื่องดีเหมือน
งีบหลับอยู่ก็มีคนยื่นหมอนมาส่งให้หนุนนอน เพราะถึงอย่างไร
ใต้หล้าไพศาลในทุกวันนี้ก็ขาดแคลนเรือข้ามฟากระดับสูง
อย่างมาก มีเงินก็ยังซื้อมาไม่ได้ ขอแค่มีเรือประเภทนี้ก็เท่ากับ
ได้ครอบครองอ่างสมบัติที่เงินทองไหลมาเทมาอ่างหนึ่งแล้ว
ชุยตงซานมองเผยเฉียนแล้วเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า
“นอกจากเรือข้ามฟาก ‘ถงอิน’ ลำนั้นแล้ว หลิวจวี้เป่ากับอวี้พ่านสุ่ยยังหวังว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่จะสามารถรับหน้าที่เป็นเค่อ
ชิงที่ได้รับการบันทึกชื่อของสกุลหลิวธวัลทวีปและของราชวงศ์
เสวียนมี่ได้ หากศิษย์พี่หญิงใหญ่ยินดีเป็นผู้ถวายงานก็ยิ่งดี
เข้าไปใหญ่ ขอแค่ศิษย์พี่หญิงใหญ่พยักหน้าตอบตกลง
ทั้ง
สองฝ่ายก็ยินดีแยกกันมอบเงินฝนธัญพืชหกร้อยเหรียญกับ
เงินฝนธัญพืชสี่ร้อยเหรียญให้ในทีเดียว หากเป็นผู้ถวายงาน
จำ นวนเงินฝนธัญพืชจะเพิ่มขึ้นไปอีกหนึ่งเท่าตัว อีกทั้ง
พวกเขาสองฝ่ายก็รับปากแล้วว่าเป็นแค่เค่อชิงหรือไม่ก็ผู้
ถวายงานที่ ‘บันทึกชื่อ’ เท่านั้น วันหน้าไม่ต้องให้ศิษย์พี่หญิง
ใหญ่เข้าร่วมการประชุมในศาลบรรพจารย์หรือการประชุมที่
เมืองหลวงราชวงศ์เสวียนมี่ใดๆ อย่างมากสุดภายในเวลาร้อย
ปีศิษย์พี่หญิงใหญ่ก็แค่ไปปรากฏตัวที่ธวัลทวีปหรือไม่ก็
ราชวงศ์เสวียนมี่บ้างก็พอ”
เฉินผิงอันพูดไม่ออก
สกุลหลิวร่ำรวยจนถึงขั้นชวนให้คนโมโหจริงๆ
ไม่ต้องเดา เรือข้ามฟากถงอินก็คือสมบัติของสกุลหลิว
ไม่มีความเกี่ยวข้องกับอวี้พ่านสุ่ยแม้แต่ครึ่งเหรียญทองแดงไม่แน่ว่าแม้แต่การเชิญให้เผยเฉียนไปรับหน้าที่เป็นเค่อชิงที่
ได้รับการบันทึกชื่อ เงินฝนธัญพืช ‘หนึ่งพันเหรียญ’ นี้ก็ล้วน
เป็นหลิวจวี้เป่าที่ควักเงินตัวเองคนเดียว ดังนั้นถึงได้บอกว่า
มีสหายที่มีเงินซึ่ง ‘เป็นคนมีเงินที่สุดในใต้หล้า’ ก็ไม่เหมือนกัน
จริงๆ
เฉินผิงอันอยากจะถามทั้งสองท่านเป็นการส่วนตัวสัก
ประโยคเสียแล้วว่า พวกเจ้าต้องการผู้ฝึกยุทธขอบเขต
ปลายทางด้วยหรือไม่?
หากจะบอกว่าหลิวจวี้เป่าและอวี้พ่านสุ่ยคือคน
ทำการค้าที่ดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรมมาก แน่นอนว่าใช่ว่า
จะไม่มีที่ให้พวกเขาใช้เงิน แต่เป็นเพราะมีใจที่เห็นแก่ตัว
บางอย่าง เซียนกระบี่สวีเซี่ยกับเผยเฉียนมีความสัมพันธ์ที่ดี
ต่อกันขนาดนี้ นี่ก็คือข้อพิสูจน์อย่างหนึ่ง
ปีนั้นตอนอยู่ที่เกราะทองทวีป ‘เจิ้งเฉียน’ ได้ช่วยชีวิต
ผู้ฝึกลมปราณบนภูเขา แม่ทัพบู๊แห่งราชวงศ์หลายคนไว้บน
สนามรบ ผู้ฝึกยุทธหญิงที่เงียบขรึมพูดน้อยคนนี้ทั้งอายุน้อย
ออกหมัดก็ดุดัน แม้จะบอกว่าคุณความชอบไม่ได้สูงเท่าเฉาสือ แต่ไม่รู้ว่าเหตุใด คนในท้องถิ่นของเกราะทองทวีปทุกคน
ต่างก็ค้นพบเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่ง ดูเหมือนว่าเจิ้งเฉียนผู้นั้น
จะมีความแค้นที่มิอาจอยู่ร่วมโลกกับเผ่าปีศาจเปลี่ยวร้าง บน
สนามรบแห่งต่างๆ นับตั้งแต่ใต้ไปถึงเหนือ ยามที่ปล่อยหมัด
ใส่ศัตรู นางอำมหิตดุร้ายยิ่งกว่าเฉาสือและอวี้เจวี้ยนฟูที่เป็น
ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวเสียอีก ในหลายๆ ครั้ง เจิ้งเฉียนจงใจสังหาร
ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจอย่างทารุณ นางมักจะปล่อยหนึ่งหมัดออก
ไปต่อยให้เรือนกายท่อนล่างของอีกฝ่ายแหลกสลาย หรือไม่ก็
จงใจต่อยศีรษะครึ่งหนึ่งของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจให้แหลก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกกระบี่เซียนดินเผ่าปีศาจหลายคนที่ยิ่ง
ถูกเจิ้งเฉียน ‘ปลีกตัวออกมา’ เพื่อทรมานพวกเขาโดยเฉพาะ
เคยมีข่าวลือบอกว่ามีผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์คนหนึ่งที่ไปหลอม
กระบี่อยู่บนหัวกำแพงเมืองครึ่งหนึ่งของกำแพงเมืองปราณ
กระบี่โชคร้ายถูกเจิ้งเฉียนหาตัวเจอ ก็ยิ่งถูกเจิ้งเฉียนใช้มือหนึ่ง
‘กระชากดึง’ ศีรษะออกมา ตอนนั้นผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจ
ก่อกำเนิดที่มีฐานะเป็นผู้ปกป้องมรรคาถูกเจิ้งเฉียนใช้ฝ่ามือ
ดันให้เปิดทาง ตัวนางแบกรับเวทคาถาที่อีกฝ่ายกระแทกใส่ไม่เพียงไม่ถอยร่นกลับยังบุกรุดหน้า ผ่าร่างของอีกฝ่ายออก
เป็นสองส่วนโดยตรง ปรมาจารย์หญิงที่เลือดอาบเต็มร่างนาน
แล้วพุ่งทะลุผ่านอีกฝ่ายไปทั้งอย่างนั้น
บนสนามรบของเกราะทองทวีป นับตั้งแต่ผู้ฝึกตน
ทำเนียบไปจนถึงกองทัพล่างภูเขา ทุกคนต่างก็มีความแค้น
บนร่างแบกรับความแค้นลึกล้ำดุจมหาสมุทรเลือดเอาไว้ ถอย
จนไม่มีทางให้ถอยได้อีก เป็นเหตุให้ทุกคนที่อยู่บนสนามรบ
ต่างก็เพื่อชำ ระแค้น
ทว่าความแค้นที่เจิ้งเฉียนลงมือช่วยชำ ระแทนให้ ใน
สายตาของคนพื้นที่ของเกราะทองทวีปที่อยู่บนสนามรบกลับ
สาแก่ใจที่สุด ไม่มีหนึ่งใน
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ฝึกยุทธต่างถิ่นอย่างเผยเฉียน
การที่ออกหมัดบนเกราะทองทวีปอย่างอำมหิตจนแทบจะ
ใกล้เคียงกับคนโรคจิตเช่นนี้ ล้วนเป็นเพียงการระบาย
ความแค้นโดยไม่ใช้คำพูดอย่างหนึ่งของนางเท่านั้น
ก็เพราะสัตว์เดรัจฉานจากเปลี่ยวร้างอย่างพวกเจ้าที่
ทำร้ายให้อาจารย์พ่อของข้ามิอาจกลับคืนบ้านเกิดได้ตามคำกล่าวอย่างตลกขบขันของชุยตงซาน ทุกวันนี้ทาง
ฝั่งของเกราะทองทวีป ทุกครั้งที่พูดถึงอาจารย์จะต้อง
มีประโยคหนึ่งว่า อ้อ ที่แท้ก็คืออาจารย์ของปรมาจารย์เจิ้งน่ะ
หรือ
ดังนั้นสถานที่อื่นที่อาจารย์กับศิษย์พี่หญิงใหญ่ไปเยือน
พร้อมกันอาจบอกได้ยาก แต่เกราะทองทวีปแห่งนั้น ต้องเป็น
ศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่เป็นที่นิยมมากกว่าแน่นอน
พูดง่ายๆ ก็คือวันหน้าสกุลหลิวธวัลทวีปทำการค้าอยู่ที่
เกราะทองทวีป มีเผยเฉียนที่ยอมแหกกฎรับหน้าที่เป็นผู้
ถวายงานเป็นเค่อชิงที่ได้รับการบันทึกชื่อเป็นครั้งแรก ก็คือ
ป้ายอักษรทองที่มีน้ำหนักมากที่สุด
เผยเฉียนเอ่ย “ได้สิ เป็นผู้ถวายงานก็ยังไม่มีปัญหา แต่
เงินฝนธัญพืช สำ นักกระบี่ชิงผิงกับภูเขาลั่วพั่วให้แบ่งกันคนละ
ครึ่ง”
อันที่จริงก่อนหน้านี้เซียนกระบี่สวีเซี่ยก็ได้พูดถึงเรื่องนี้
กับนางก่อนแล้ว แต่นางไม่ได้ตอบตกลงหรือปฏิเสธไป
โดยตรง แค่บอกว่าต้องถามอาจารย์พ่อก่อนชุยตงซานรีบพยักหน้ารับรัวๆ เป็นไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก
ทันที แต่เฉินผิงอันกลับส่ายหน้า “เงินเทพเซียนก้อนนี้ เจ้าเก็บ
ไว้เองเถอะ”
เผยเฉียนเอ่ยอย่างเขินอาย “อาจารย์พ่อ ข้าเป็นคนเรียน
วรยุทธฝึกวิชาหมัด ต้องเก็บเงินเทพเซียนมากมายขนาดนั้นไว้
ทำไม”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ทำตามที่อาจารย์พ่อบอก”
เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที
เชื่อฟังอาจารย์พ่อ
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ท่าเรือที่กำลังก่อสร้าง ฉวยโอกาส
ว่าอาจารย์ไม่อยู่ ชุยตงซานเคยถามคำถามข้อหนึ่งกับเผย
เฉียน
ปีนั้นศิษย์พี่หญิงใหญ่อยู่ที่เกราะทองทวีป เคยตัดสินใจ
ว่าจะไม่กลับมาที่ภูเขาลั่วพั่วแล้วใช่หรือไม่
เผยเฉียนเงียบไปนาน เพียงแค่ดื่มเหล้าเท่านั้น ชุยตง
ซานยืนกรานจะให้ศิษย์พี่หญิงใหญ่ตอบคำถามให้ได้ เผย
เฉียนถึงได้บอกความคิดที่แท้จริงในใจของตัวเองออกไปขอแค่อาจารย์พ่อไม่กลับภูเขาลั่วพั่ว ภูเขาลั่วพั่วก็
ไม่ใช่บ้านของนางอีกแล้ว
ความนัยในคำพูดของนางก็คือ อาจารย์พ่อไม่อยู่แล้ว
บ้านของนางก็ไม่มีแล้ว
เพียงแต่ว่าคำพูดประเภทนี้ จนถึงตอนนี้ชุยตงซานก็ยัง
ไม่กล้าเล่าให้อาจารย์ฟัง
กลัวว่าจะถูกศิษย์พี่หญิงใหญ่อาฆาตแค้น ยิ่งกลัวว่า
อาจารย์ได้ฟังแล้วจะเสียใจ
ชุยตงซานตบมือ “ต่อจากนี้ยังมีงานพิธีครั้งที่สอง
พวกเราพักผ่อนกันก่อนสักครึ่งชั่วยาม”
เพราะยังมีพิธีเปิดพู่กันเขียนทำเนียบหยกทองของสำ นัก
กระบี่ชิงผิงอย่างเป็นทางการอีก
เฉินผิงอันเดินออกมาจากตำหนักหลักพร้อมหลี่เป่าผิง
ไม่ได้ตรงดิ่งไปที่ลานกว้างนอกประตูใหญ่ของศาลบรรพจารย์
คนทั้งสองนั่งอยู่บนขั้นบันไดนอกประตูด้วยกัน
ชุยตงซานพาเผยเฉียนไปหาเศรษฐีบ้านนอกสองคนนั้นเฉาฉิงหล่างกับหมี่ลี่น้อย แน่นอนว่ายังมีเทพเซียนผู้เฒ่า
เจี่ยต่างก็ง่วนกันอยู่ในศาลบรรพจารย์ ต้องจัดเรียงเก้าอี้ใหม่
อีกครั้ง
และยังมีโต๊ะตัวหนึ่งที่ต้องวางกระดาษพู่กัน หมึกและ
แท่นฝนหมึก คนแรกสุดที่จะจับพู่กัน ต้องเขียนชื่อ ภูมิลำเนา
อาจารย์ผู้สืบทอดของชุยตงซานเจ้าสำ นักคนแรกของสำ นัก
กระบี่ชิงผิงลงไป เขียนลงไปบนหน้าแรกของทำเนียบศาล
บรรพจารย์ยอดเขาชิงผิง
คนผู้นี้แน่นอนว่าต้องเป็นเฉินผิงอัน
จากนั้นก็เป็นฉางมิ่งที่เป็นบรรพจารย์ผู้คุมกฎของสำ นัก
เบื้องบนที่ช่วยเขียนชื่อของผู้คุมกฎชุยเหวยแห่งสำ นักเบื้องล่าง
ลงไปบนทำเนียบลำดับวงศ์ตระกูล
จากนั้นจึงจะเป็นชุยเหวยนั่งลง รับผิดชอบเขียนชื่อของ
ผู้ฝึกตนที่ถูกรับเข้ามาอยู่ในทำเนียบของสำ นักกระบี่ชิงผิง
ทุกคนลงไป หมี่อวี้ จ้งชิว เฉาฉิงหล่าง…
ต่อมาก็คืองานพิธีกราบอาจารย์ ชุยตงซานรับหูฉู่หลิง
และเจี่ยงชวี่เป็นลูกศิษย์ชุยเหวยรับอวี๋เสียหุยเป็นลูกศิษย์ หมี่อวี้รับเหอกู่เป็น
ผู้สืบทอด และยังมีสุยโย่วเปียนที่รับเฉาเฉิงลู่เป็นศิษย์ ฯลฯ
พวกเขาดื่มชากราบอาจารย์ พวกลูกศิษย์กราบคารวะ ก็
ถือว่าเป็นอาจารย์และลูกศิษย์บนภูเขาอย่างเป็นทางการแล้ว
ในบรรดาลูกศิษย์รุ่นที่สองของภูเขาเบื้องบนสำ นัก
เบื้องล่าง ผู้ที่เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าขุนเขาเฉินผิงอัน
มีชุยตงซาน เผยเฉียน เฉาฉิงหล่าง จ้าวซู่เซี่ย กวอจู๋จิ่ว
เฉินยวนจีที่จูเหลี่ยนพาขึ้นภูเขา หยวนไหล หยวนเป่า
ลูกศิษย์สองคนของหลูป๋ายเซี่ยง ไฉอู๋ลูกศิษย์ของเว่ยเซี่ยน
จ้าวเติงเกา เถียนจิ่วเอ๋อร์ลูกศิษย์สองคนของเจี่ยเฉิง
นอกจากซุนชุนหวังที่เป็นลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อ
ของหนิงเหยาแล้ว คนอื่นๆ ที่เหลือก็คือตัวอ่อนเซียนกระบี่หก
คนที่มีป๋ายเสวียนเป็นหนึ่งในนั้น
ส่วนลูกศิษย์รุ่นที่สามก็มีลูกศิษย์ใหญ่ของเผยเฉียน เจ้า
ใบ้น้อยที่ร้านยาสุ้ยตรอกฉีหลง ชื่อจริงคือโจวจวิ้นเฉิน
รวมไปถึงพวกเจี่ยงชวี่ หูฉู่หลิงและเซี่ยเซี่ยที่กำลังจะเป็น
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของชุยตงซานตามลำดับอาวุโสบนภูเขา วันหน้าเมื่อพบเจอเฉินผิงอัน
คนเหล่านี้ก็ต้องเรียกเขาอย่างเคารพว่าอาจารย์ปู่แล้ว
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ทำไมเพิ่งจะมาถึงที่นี่วันนี้ล่ะ”
หลี่เป่าผิงตอบ “ก่อนหน้านี้ข้าท่องเที่ยวไปถึงหน้าประตู
ภูเขาของภูเขาสุ้ยซานแผ่นดินกลาง ได้เตรียมคำพูดไว้
ล่วงหน้าก่อนแล้ว คิดว่าพอขึ้นไปบนภูเขาก็จะไปปรึกษากับ
ทางกองมรรยาทของจวนซานจวิน ดูว่าจะอนุญาตให้ข้า
คัดลอกป้ายศิลาได้หรือไม่ ผลกลับบังเอิญยิ่งนัก ก่อนหน้านี้
ข้ายังงงอยู่ว่าทำไมถึงได้ยินเสียงตีกลองกลางดึกที่ริมชายแดน
ภูเขาสุ้ยซาน รอกระทั่งข้าเร่งเดินทางไปตลอดคืน ไปถึงตีน
ภูเขาก็ฟ้าสว่างพอดี ผลคือโจวซานจวินปรากฎตัวด้วยตัวเอง
นอกจากจะบอกว่าเรื่องขอคัดลอกป้ายศิลาไม่มีปัญหาแล้ว ยัง
บอกข้าถึงสาเหตุของเสียงกลองด้วย บอกว่าเมื่อคืนวาน
อาจารย์อาน้อยออกไปจากสำ นักเจี๋ยชี่ของสุ้ยซาน หากว่า
เมื่อคืนนี้ข้าเข้ามาในอาณาเขตของขุนเขากลางเร็วกว่านั้น
หน่อย เขาก็สามารถช่วยบอกกล่าวอาจารย์อาน้อยให้ได้ ข้า
ลองคำนวณเวลาดู ดูเหมือนว่าจะเหลือเวลาอีกแค่ไม่ถึงหนึ่งก้านธูป จึงร้อนใจยิ่งนัก ก็เลยตะโกนเรียกพี่ชายข้า ให้เขา
เดือดร้อนไปด้วย พี่ชายข้าทั้งคารวะทั้งขออภัยโจวซานจวิน
หลังจากนั้นพี่ชายข้าก็ไม่ได้ปล่อยตัวข้ามาทันที แต่ช่วย
คำนวณเวลาที่แน่ชัดของงานพิธีอาจารย์อาน้อยให้ ข้าก็เลยได้
แต่อดทนรอ อยู่คัดลอกป้ายศิลากับพี่ชายข้าไปก่อน”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “สลับกันแล้วกระมัง สรุปเป็นใครที่
คัดลอกศิลาเป็นเพื่อนใครกันแน่?”
หลี่เป่าผิงหัวเราะฮ่าๆ
เฉินผิงอันกล่าว “ต้องโทษที่ข้ารีบร้อนเดินทางเกินไป”
หลี่เป่าผิงเอ่ย “พี่ชายข้าบอกว่าตอนนี้เขาไม่สะดวก
จะปรากฏตัวที่นี่ เตรียมจะเดินทางไปเยือนดินแดนพุทธะ
สุขาวดีก่อนรอบหนึ่ง หลังจากกลับมาแล้วก็อาจจะไปเป็นแขก
ที่นครจักรพรรดิขาวก่อน แล้วค่อยมารำลึกความหลัง
มาดื่มเหล้ากับอาจารย์อาน้อย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
หวังเพียงว่าที่นครจักรพรรดิขาวแห่งนั้น ทั้งสองฝ่าย
จะแค่เล่นหมากกันเท่านั้น อย่าได้ตีกันเลยเพราะถึงอย่างไรหากจะคิดกันจริงๆ ตนก็ยากที่จะสลัด
ความเกี่ยวข้องหลุด
เห็นอาจารย์อาน้อยขมวดคิ้วน้อยๆ หลี่เป่าผิงก็หัวเราะ
ทันที เอ่ยว่า “พี่ชายข้าบอกแล้วว่า วันหน้าเขาไปที่นคร
จักรพรรดิขาว ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับอาจารย์อาน้อย ท่านอย่า
ได้คิดมาก”
เฉินผิงอันเงียบไปพักหนึ่ง สองมือสอดกันไว้ในชายแขน
เสื้อ เอ่ยเสียงเบา “จะต้องมีคนบางคนที่ทำให้พวกเราอยาก
เป็นคนแบบพวกเขา”
หลี่เป่าผิงกล่าว “อาจารย์อาน้อยก็เป็นคนแบบนี้
มาตลอดนี่นา”
เฉินผิงอันหยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกมาแกว่ง “ดื่มกัน
คนละนิดก็พอ”
หลี่เป่าผิงถึงได้ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมา ชนกับน้ำเต้า
บรรจุเหล้าของอาจารย์อาน้อยเบาๆ ต่างคนต่างดื่มเหล้า
เฉินผิงอันยิ้มถาม “อยากเที่ยวอยู่ในใบถงทวีปก่อน
หรือไม่ อาจารย์อาน้อยสามารถไปเป็นเพื่อนเจ้าได้”หลี่เป่าผิงกะพริบตาปริบๆ “พี่ชายข้าบอกแล้วว่าก่อนเขา
จะกลับมา ห้ามรบกวนการฝึกตนของอาจารย์อาน้อยเด็ดขาด
ตอนที่พูดประโยคนี้ พี่ชายข้าทำท่าเข้มงวดน่ากลัวมากเลย”
เฉินผิงอันกลั้นขำ “น่ากลัวขนาดไหน?”
หลี่เป่าผิงตีหน้าเคร่ง แล้วทำสีหน้าน้ำเสียงเลียนแบบ
พี่ใหญ่หลี่ซีเซิ่ง “เป่าผิง เรื่องนี้จะต้องฟังพี่สักครั้งจริงๆ อย่า
ทำเป็นเหลือบตามองไปทางโน้นทีทางนี้ที ไม่พูดใช่ไหม
ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็น่าจะพยักหน้าบ้างสิ เอาเถอะๆ จะถือว่า
เจ้ายอมรับโดยปริยายแล้ว”
เพียงไม่นานเผยเฉียนกับชุยตงซานก็ก้าวเร็วๆ เข้ามาใน
ประตูใหญ่ มานั่งลงตรงขั้นบันไดด้วยกัน ชุยตงซานนั่งลงข้าง
อาจารย์ เผยเฉียนนั่งลงข้างพี่หญิงเป่าผิง หลี่เป่าผิงลูบศีรษะ
ของเผยเฉียน เอ่ยว่าโตเป็นสาวแล้วนะ เป็นแม่นางที่ดีเกินไปก็
ต้องกลุ้มใจเรื่องออกเรือนเหมือนกัน เผยเฉียนยิ้มตาหยี
ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องออกเรือนแล้ว
เฉินผิงอันถาม “หลังจากงานพิธีที่สองเสร็จสิ้น จะใช้วิธีที่
พบกันครึ่งทางดึงสำ นักกุยหยกมาเข้าร่วมเรื่องของการขุดเจาะลำน้ำใหญ่ได้หรือไม่?”
“ถือเสียว่าเป็นการทดสอบร่วมกันว่าทั้งสองฝ่าย
ควรจะเป็นพันธมิตรกันดีหรือไม่ แต่หากทำแบบนี้จริงๆ ทาง
ฝ่ายของสำ นักกุยหยกจะรู้สึกว่าพวกเราได้คืบแล้วจะเอาศอก
หรือเปล่า?”
“เรื่องของผลประโยชน์ระหว่างสำ นักใหญ่เช่นนี้ อันที่จริง
ข้าจัดการไม่ค่อยถนัดนัก ตงซาน เจ้าคิดว่าเหมาะสมหรือไม่?”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “อาจารย์ มีเรื่องหนึ่งที่ท่านอาจจะ
วิเคราะห์ผิดไป”
เฉินผิงอันถาม “หมายความว่าอย่างไร?”
ชุยตงซานกล่าว “อยู่ในใบถงทวีปแห่งนี้ พวกเรา
ไม่มีอะไรให้ต้องดูแคลนตัวเองแล้ว ทุกวันนี้กองกำลังบนภูเขา
ที่มีสิทธิ์มีเสียงได้อย่างแท้จริง อันที่จริงก็มีแค่สองฝ่ายเท่านั้น
ต้องดูสีหน้าคนอื่นก่อนจะทำอะไร ไม่ใช่สำ นักกระบี่ชิงผิงของ
พวกเรา แต่เป็นสำ นักกุยหยกของพวกเขา หากจะบอกว่าอีก
ฝ่ายรู้สึกว่าแค่การที่พวกเราไม่ได้ตอบตกลงเรื่องเป็นพันธมิตร
ทันทีก็คิดว่าพวกเราใช้อำนาจรังแกคนอื่น จงใจยกมาดเข้าข่มแล้ว เหอะ ถ้าอย่างนั้นก็เป็นสำ นักกุยหยกของพวกเขาที่
ประเมินตัวเองสูงเกินไป ดูแคลนสำ นักกระบี่ชิงผิงของพวกเรา
มากเกินไปแล้ว”
“ข้ารู้สึกว่าข้อเสนอนี้ของอาจารย์ อันที่จริงมีการกะ
น้ำหนักได้ดีเยี่ยม พวกจางเฟิงกู่สามารถใช้สถานะของคนนอก
มาเข้าร่วมการประชุมในศาลบรรพจารย์ยอดเขาชิงผิงของ
พวกเราก็ควรจะรู้จักพอได้แล้ว จะบอกว่าเป็นการสร้างความ
ลำบากใจให้พวกเขาได้อย่างไร ทั้งๆ ที่นี่เป็นการมอบผลท้อ
ตอบแทนผลหลี มอบบันไดขั้นใหญ่ให้พวกเขาด้วยซ้ำ ”
“ดังนั้นถึงได้บอกว่าอาจารย์เป็นคนพูดง่ายเกินไป”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คำพูดนี้สมกับเป็นผู้ฝึกกระบี่มาก
แล้ว”
หากเปลี่ยนมาพูดอีกอย่างหนึ่ง อันที่จริงก็คือสมกับ
ทฤษฎีคุณความชอบและลาภยศ สมกับเป็นชุยฉานอย่างมาก
ไม่มีอะไรที่ไม่ดี
ก่อนหน้านี้ได้บอกกล่าวแก่แขกผู้เข้าร่วมงานพิธีไว้ก่อน
แล้ว ดังนั้นเพียงไม่นานทุกคนก็มารวมตัวกันที่ลานกว้างของยอดเขาชิงผิงอีกครั้ง
เถาหรานมาหยุดอยู่ข้างกายหมี่อวี้ และยังมีผู้ถวายงาน
บันทึกชื่อที่มาจากสำ นักเบื้องบน ฉายาว่าสี่จู๋ ชื่อว่าเสี่ยวโม่
สวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียว ในมือถือไม้เท้าไม้ไผ่เขียว ยืน
เคียงข้างอยู่กับผู้ถวายงานหมี่ ทั้งสองฝ่ายกำลังยืนพิงราวรั้ว
ริมหน้าผาคุยเล่นกันอยู่
หมี่อวี้ยืดตัวขึ้นตรง ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เซียนกระบี่เถา
มาหาข้ามีธุระอะไร? ไม่ทราบว่ามีอะไรจะสั่งความหรือ?”
——