กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 961.3 ถ่านไฟ
ก่อนหน้านี้ใต้เท้าอิ่นกวานกับเถาหรานเดินมาเข้าร่วม
งานพิธีด้วยกัน บนเส้นทางภูเขา บทสนทนานั้น หมี่อวี้ได้ยิน
แล้วก็เกือบจะลงไปนั่งคุกเข่าให้กับเซียนกระบี่เถาผู้หยิ่งทระนง
ในศักดิ์ศรีไม่เกรงกลัวใครแล้ว
พูดจาโน้มน้าวใต้เท้าอิ่นกวานอย่างจริงจังว่า วันหน้า
อย่าได้เรียกเขาคำแล้วคำเล่าว่าเซียนกระบี่เถาอีก เขาไม่ชอบ
ฟัง หากเป็นเมื่อก่อนก็คือถามกระบี่กับเขาแล้ว…
เซียนกระบี่เถา เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าจุดจบของคนที่
ใต้เท้าอิ่นกวานพวกเราถามกระบี่ด้วยเป็นอย่างไร
แต่หมี่อวี้กลับยิ่งเกิดความเคารพต่อเถาหรานจาก
ส่วนลึกในจิตใจ สำ นักเบื้องล่างของพวกเรามีคนหยิ่งทระนง
ในศักดิ์ศรีถึงเพียงนี้ สำ นักเบื้องบนอย่างภูเขาลั่วพั่วมีไหม?
เหมือนจะไม่มีกระมัง
เถาหรานถาม “ขอข้าถามสักเรื่อง สหายสี่จู๋ก็เป็นผู้ฝึก
กระบี่เหมือนกันหรือ?”เสี่ยวโม่พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มบางๆ
เถาหรานจึงแข็งใจเอ่ยว่า “คำพูดทุเรศๆ ก่อนหน้านั้น
สหายสี่จู๋ฟังแล้วก็ปล่อยผ่านไปเถิด อย่าได้เก็บไปใส่ใจเลย”
ตอนที่อยู่ร้านริมลำคลองหลินเหอ เถาหรานเคยทิ้ง
ถ้อยคำดุดันไว้ให้สหายท่านนี้
ไสหัวไป
เถาหรานไม่ใช่คนโง่เสียหน่อย แค่เห็นตำแหน่งเก้าอี้ใน
ศาลบรรพจารย์วันนี้ก็รู้แล้ว เก้าอี้ของสหายสี่จู๋อยู่ข้างกายเผย
เฉียนเชียวนะ
รอยยิ้มของเสี่ยวโม่เป็นมิตร ส่ายหน้ากล่าว “ผู้ถวายงาน
เถาคิดมากไปแล้ว วันหน้าเรียกข้าว่าเสี่ยวโม่ก็พอ คำพูดทุเรศ
ที่ผู้ถวายงานเถาพูดถึง เสี่ยวโม่จำ ไม่ได้แล้ว แล้วจะเก็บมาใส่
ใจได้อย่างไร”
เถาหรานเหมือนยกภูเขาออกจากอก ไม่ได้
ละลาบละล้วงสอบถามถึงขอบเขตของอีกฝ่ายโดยตรง เพราะ
จะไปละเมิดข้อห้ามเอาได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่
ทั้ง
สองฝ่ายก็ไม่มีมิตรภาพอะไรต่อกัน หากนับกันจริงๆ ก็เพิ่งจะเคยเจอกันเป็นครั้งที่สองเท่านั้น ความสัมพันธ์ไม่ได้
สนิทสนมถึงขั้นที่จะสอบถามขอบเขตว่าสูงหรือต่ำจากกันได้
ดูเหมือนเสี่ยวโม่จะมองความคิดของเถาหรานออก
จึงยิ้มเอ่ย “ข้ากับหมี่อันดับหนึ่งเป็นคนละขอบเขตกัน”
เถาหรานพยักหน้า?
ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิด? น่าจะไม่ค่อยพอเท่าไร
ผู้อาวุโสสี่จู๋ท่านนี้คงจะเป็นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบ
คนหนึ่ง
หมี่อวี้แยกเขี้ยว แต่ไม่ได้อธิบายอะไร
อันที่จริงเดิมทีเถาหรานก็ยอมรับชะตากรรมแล้ว พวก
เจ้าอยากจะเรียกเซียนกระบี่เถา พวกเจ้าเองไม่รู้สึกว่า
ลดเกียรติของตัวเอง ข้าก็ไม่คิดอะไรมากแล้ว
คิดไม่ถึงว่าเสี่ยวโม่ผู้นี้จะเปลี่ยนคำพูดก่อนใคร เรียกตน
ว่าผู้ถวายงานเถา หันมามองหมี่อันดับหนึ่ง เสี่ยวโม่ไม่เสียแรง
ที่เป็นคนของภูเขาลั่วพั่วสำ นักเบื้องบน คำพูดคำจา
มีความพิถีพิถันมากกว่าจริงๆตรงพื้นที่จุดอื่น เหลียงส่วงยืนอยู่กับชิงถง เจินเหรินผู้
เฒ่าถามอย่างใคร่รู้ “สหายชิงถง เจ้ากลายมาเป็นผู้ถวายงาน
ของที่นี่ได้อย่างไร?”
ชิงถงอธิบายด้วยรอยยิ้ม “ข้ามีฉายาว่า ‘ชิงถง’ มีอักษร
คำว่า ‘ชิง’ เดียวกับสำ นักกระบี่ชิงผิง จึงถูกชะตากัน”
เจินเหรินผู้เฒ่าอึ้งค้างไร้คำพูดไปชั่วขณะ
เข้าใจลากมาโยงกันเหลือเกินนะ
เมื่อครู่นี้หลิวโยวโจวไม่เพียงแต่ได้พบเผยเฉียน ยังคิดไม่
ถึงว่านางจะตอบตกลงรับคำเชื้อเชิญของบิดา รับหน้าที่เป็นผู้
ถวายงาน เวลานี้เขาจึงยังอารมณ์ดีไม่หาย
อวี้พ่านสุ่ยตบไหล่ของคนหนุ่ม “เมื่อไหร่จะได้ดื่มสุรา
มงคลเล่า?”
หลิวโยวโจวหน้าแดงก่ำ แกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ
“หมายความว่าอย่างไร?”
หลิวจวี้เป่ายิ้มไม่ได้พูดอะไร หากสำ เร็จได้จริง แน่นอน
ว่าต้องเป็นเรื่องน่ายินดีใหญ่เทียมฟ้า เขากับมารดาของหลิว
โยวโจวเคยพูดถึงเรื่องนี้กันเป็นการส่วนตัวมานานแล้ว นางทั้งรอคอยทั้งกลัดกลุ้ม ยังถามหลิวจวี้เป่าว่าบุตรชายตนเอง
ไม่ค่อยคู่ควรกับแม่นางคนนั้นหรือไม่ หากแต่งเข้าบ้าน
มาจริงๆ ถึงอย่างไรเผยเฉียนก็เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง
หากทะเลาะกันขึ้นมา บุตรชายจะหน้าเขียวจมูกบวมแต่ก็ยัง
ไม่กล้าบ่นให้พ่อแม่ฟัง ถึงขั้นที่ว่ายังกังวลอย่างโง่งมว่ามือ
ภรรยาที่ตบหน้าตัวเองจะเจ็บหรือไม่…หลิวจวี้เป่าหรือจะกล้า
วิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องแบบนี้ จำ ต้องยอมรับว่า บุตรชายอยาก
แต่งเผยเฉียนมาเป็นภรรยา เรื่องนี้ยากเกินไปแล้ว เจ้าลูก
โง่อาจจะยังสัมผัสไม่ได้ว่าสายตาที่อิ่นกวานหนุ่มอาจารย์พ่อ
ของเผยเฉียนมองตัวเองราวกับป้องกันโจรอย่างไรอย่างนั้น
ไม่เพียงเท่านี้ เฉินผิงอันยังให้ความรู้สึกเหมือนจะหาที่เหมาะๆ
สักแห่งเอาถุงกระสอบมาครอบหัวคนด้วย
หลี่เป่าผิงดึงตัวเผยเฉียนไปหาเจิ้งโย่วเฉียน ลูกศิษย์
ใหญ่ของอาจารย์ลุงหลิวสือลิ่วด้วยกัน
พวกเขาสามคนเป็นลูกศิษย์ของลูกศิษย์ผู้สืบทอดสายเห
วินเซิ่งอย่างจวินเชี่ยน ฉีจิ้งชุนและเฉินผิงอันพอดีไม่ว่าอย่างไรเจี่ยงชวี่ก็คาดไม่ถึงว่าตนจะถึงกับได้เป็น
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของชุยตงซาน
ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาน่าจะมีตัวเลือกอยู่ก่อนแล้ว แต่
เจ้าสำ นักชุยจงใจละไว้ไม่พูดถึงเท่านั้น เจี่ยงชวี่ไหนเลยจะกล้า
เพ้อฝันว่าตัวเองจะได้เป็นลูกศิษย์ใหญ่ของเจ้าสำ นักท่านหนึ่ง
เจี่ยงชวี่สูดลมหายใจเข้าลึก จางเจียเจินเพียงแค่ยืนอยู่
ตรงนั้น สองมือกุมหมัดเขย่าสองสามที นักบัญชีที่มองดูแล้ว
ต้องอายุมากกว่าเจี่ยงชวี่อย่างน้อยสิบปีผู้นี้คลี่ยิ้มอย่างจริงใจ
รู้สึกดีใจแทนคนวัยเดียวกันที่มาจากบ้านเกิดเดียวกันจาก
ใจจริง แต่ปากกลับไม่ได้พูดถ้อยคำเกรงใจที่เป็นการปักบุปผา
ลงบนผ้าแพรอะไร
เจี่ยงชวี่ทำท่าจะพูดแต่ไม่พูด ปีนั้นอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว
เจี่ยงชวี่ที่ใจคิดแต่จะฝึกตนอย่างเดียวเคยถูกจูเหลี่ยนดึงตัวให้
ไปช่วยงานการก่อสร้าง
อันที่จริงจูเหลี่ยนเคยพูดเตือนเจี่ยงชวี่อ้อมๆ ว่า ‘จัดการ
ความสัมพันธ์กับจางเจียเจินให้ดีได้อย่างแท้จริงจึงจะถือว่าเจ้าฝึกตนประสบความสำ เร็จได้แล้วเล็กน้อย ถึงเวลานั้นข้า
จะช่วยเจ้าหาผู้ถ่ายทอดมรรคา’
นอกจากนี้พ่อครัวเฒ่าก็เคยพูดกับเจี่ยงชวี่อย่าง
ตรงไปตรงมา
ระวังหน่อย อย่าได้กลายเป็นผู้ฝึกตนในภูขาที่ถูกตัดชื่อ
ออกจากภูเขาลั่วพั่วเป็นคนแรก
คำว่าตัดชื่อ ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นการตัดชื่อออกจาก
ทำเนียบของศาลบรรพจารย์ แต่เป็นตรงนี้
พ่อครัวเฒ่าหิ้วกาเหล้าเคาะลงไปบนหัวใจเบาๆ
จะบอกเตือนเจ้าไว้ก่อน เรื่องนี้ทำได้ไม่ง่าย แนะนำ
เจ้าว่าอย่าได้อวดฉลาด แสร้งทำเป็นเกรงอกเกรงใจอะไรกับ
จางเจียเจิน ได้ผลหรือ? นั่นก็โง่เกินไปแล้ว
ไม่สู้เจ้าลองคิดดูให้ละเอียดว่า คนส่วนใหญ่บนภูเขา
ลั่ว
พั่วของพวกเราเห็นความคิดเล็กๆ น้อยๆ นั่นของเจ้า
เจี่ยงชวี่ไม่ชัดเจนพอหรือ? ตื้นเขินเสียจนเหมือนแอ่งน้ำเล็กๆ
ที่ขังอยู่หลังฝนตกอย่างไรอย่างนั้นเจี่ยงชวี่อดไม่ไหวยื่นมือไปจับแขนของจางเจียเจิน เอ่ย
ว่า “เจียเจิน อย่าแก่เร็วเกินไปนัก!”
แม้ว่าจางเจียเจินจะประหลาดใจ แต่กระนั้นก็ยัง
พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ได้เลยๆ”
รู้สึกเพียงว่าเจี่ยงชวี่คล้ายจะเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปเป็น
…เหมือนว่าได้กลับไปยังบ้านเกิดอีกครั้ง ในช่วงเวลาที่คน
ทั้ง
สองต่างก็ยังเป็นลูกจ้างที่รับจ้างทำงานระยะสั้นใน
ร้านเหล้า
ป๋ายเสวียน ไฉอู๋ ซุนชุนหวัง ตั้งใจมารอหมี่ลี่น้อย
โดยเฉพาะ
ภูเขาลูกเล็กนี้ของพวกเขาไม่มีการแบ่งสูงต่ำอะไร ล้วน
เป็นสหายกันทั้งหมด
ตอนนี้ตัวก็สูงพอๆ กันแล้ว
จัดการกับเรื่อง ‘ย้ายบ้าน’ ให้เก้าอี้ในศาลบรรพจารย์
เสร็จแล้ว แม่นางน้อยชุดดำก็วิ่งตะบึงออกมา
ไฉอู๋ถามคำถามที่นางสนใจที่สุด “ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา พวก
เจ้านั่งประชุมกันในศาลบรรพจารย์ สามารถดื่มเหล้าได้หรือไม่?”
หากว่าได้ นางก็จะตั้งใจฝึกตนให้มากกว่าเดิมแล้ว
เหล้าของในนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะเป็นเหล้าหมัก
ตระกูลเซียนที่ราคาแพงหูฉี่กระมัง?
หมี่ลี่น้อยเกาแก้ม คำถามนี้ค่อนข้างตอบได้ยากนะ
จึงตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ “ได้…กระมัง”
เจ้าขุนเขาคนดีไม่เคยบอกว่าไม่ได้ แต่ก็ไม่เคยเห็นใคร
ดื่มมาก่อนนะ ต่อให้เป็นเจ้าขุนเขาคนดีกับเจ้าประมุขแห่งยุทธ
จักร ตำแหน่งขุนนางใหญ่ขนาดนั้น เมื่อครู่นี้ก็ยังมาดื่มกันที่
ขั้น
บันไดด้านนอกเลยนะ
ป๋ายเสวียนยกสองแขนกอดอก “ปัญหาประเภทนี้
ถามใต้เท้าอิ่นกวานโดยตรงไปเลยสิ”
ไฉอู๋กล่าว “เจ้าขุนเขาเฉินยุ่งจะตายไป จะเจอตัวได้ง่ายๆ
รบกวนเขาได้ง่ายๆ ได้อย่างไร?”
ซุนชุนหวังเปิดปากพูดอย่างที่หาได้ยาก “ใต้เท้าอิ่นกวาน
ยุ่งก็ส่วนยุ่ง แต่มีความอดทนดีเยี่ยม”ปีนั้นติดตามใต้เท้าอิ่นกวานออกมาจากเกาะหลูฮวา นั่ง
โดยสารเรือยันต์ออกท่องมหาสมุทรไปด้วยกัน เพื่อดูแลเด็ก
ตัวเท่าก้นกลุ่มของพวกเขา ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่
ล้วนเป็นใต้เท้าอิ่นกวานที่ยุ่งวุ่นวายอยู่คนเดียว แต่ก็ไม่เคย
เห็นเขาจะบ่นอะไร เป็นคนที่มีความอดทนดีมาก เป็นภายหลัง
ที่เฉิงเฉาลู่ถึงจะเริ่มแบ่งเบาภาระส่วนหนึ่งมา ต่อจากนั้นมาอีก
พวกเขาก็สนิทสนมกันมากขึ้น เว้นเสียจากอวี๋ชิงจางกับเฮ้อ
เซียงถิงสองคนที่มีอคติต่อใต้เท้าอิ่นกวานเหมือน…หมาป่า
ตาขาว (เปรียบเปรยถึงคนเนรคุณ) แน่นอนว่านี่เป็นฉายาที่ป๋า
ยเสวียนตั้งให้ ซุนชุนหวังรู้สึกว่านี่ก็ไม่ได้เป็นการใส่ร้าย
พวกเขา แล้วนับประสาอะไรกับที่ฉายาของพวกเขาเมื่อเทียบ
กับตาปลาตายของตัวเองแล้ว ซุนชุนหวังก็ไม่เห็นว่าจะไม่น่า
ฟังเท่าใด
ห่างไปไกลมีคนนอกคนหนึ่งที่อยากขยับเข้ามาใกล้แต่ก็
ค่อนข้างเขินอายอย่างชิวจื๋อยืนอยู่
เพราะมองไปทั่วยอดเขาชิงผิงก็มีเพียงทางฝั่งนี้เท่านั้นที่
มีคนวัยเดียวกัน อีกทั้งยังยืนรวมกันเป็นกลุ่ม ดังนั้นชิวจื๋อจึงอยากพูดคุยกับพวกเขาสองสามประโยค
ถึงอย่างไรชิวจื๋อก็ยังเป็นเด็ก ก่อนจะถูกพาขึ้นเขามาก็
ไม่ใช่คนของตระกูลใหญ่ร่ำรวยอะไร แค่ถือว่ามาจาก
ครอบครัวที่พอมีฐานะเท่านั้น เป็นตระกูลปัญญาชนในท้องถิ่น
ของใบถงทวีปที่ทั้งทำนาและทั้งเล่าเรียนเขียนอ่าน
ป๋ายเสวียนเอาสองมือไพล่หลัง เดินวนรอบตัวเขาหนึ่ง
รอบ “เจ้าชื่อชิวจื๋อ? ได้ยินว่ามาจากยอดเขาจิ่วอี้ของสำ นักกุย
หยก”
ชิวจื๋อพยักหน้า
ตื่นเต้นเล็กน้อย
ได้ยินท่านปู่จางเล่าให้ฟังเป็นการส่วนตัวว่า ทางฝั่งของ
ภูเขาลั่วพั่วนี้ เด็กๆ หลายคนมีความเป็นไปได้ว่าจะมาจาก
กำแพงเมืองปราณกระบี่
ใต้หล้าไพศาล หากไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ก็ยังดี แต่หากเป็น
ผู้ฝึกกระบี่ เผชิญหน้ากับกำแพงเมืองปราณกระบี่ บางที
นอกจากอุตรกุรุทวีปแล้ว คนของทวีปอื่นๆ ก็อาจจะ
มีความรู้สึกที่ซับซ้อนอย่างมากแม้ว่าชิวจื๋อจะอายุไม่มาก แต่ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ฝึกตน
อยู่บนยอดเขาจิ่วอี้ก็เริ่มตระหนักได้ถึงน้ำหนักของคำศัพท์
อย่างสำ นักกุยหยก ยอดเขาจิ่วอี้ ผู้ฝึกกระบี่ ฯลฯ แล้ว
ป๋ายเสวียนถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยได้ยินชื่อข้าไหม?”
ชิวจื๋อพยักหน้า “ชื่อป๋ายเสวียน”
จดจำ ได้อย่างชัดเจน นอกจากอีกฝ่ายจะเป็นคนวัย
เดียวกันกับตนที่อายุพอๆ กันแล้ว นอกจากนี้ไม่เพียงแต่ป๋าย
เสวียนผู้นี้ ยังมีอีกหลายคนที่ต่างก็มีบางอย่างที่ทำให้ชิวจื๋อ
รู้สึกว่าพูดไม่ออกบอกไม่ถูก
โดยเฉพาะป๋ายเสวียนผู้นี้ที่ความรู้สึกนั้นชัดเจนที่สุด
ตอนนี้ชิวจื๋อยังไม่รู้ว่า
นั่นก็คือความมั่นใจที่แทบจะใกล้เคียงกับความหยิ่ง
ทระนงในตัวเอง
ผู้ฝึกกระบี่ในใต้หล้ามีอยู่สองประเภท กำแพงเมือง
ปราณกระบี่และไม่ใช่กำแพงเมืองปราณกระบี่
ข้ามาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ถนนใหญ่ตรอกเล็กที่บ้านเกิดของข้าสามารถพบเห็น
เซียนกระบี่ได้ทุกที่
ข้าอายุน้อย ไม่เคยไปเยือนหัวกำแพงเมือง แต่วันหน้าข้า
ต้องไปแน่นอน
เพราะทุกๆ ร้อยปีก็จะต้องมีสงครามใหญ่เกิดขึ้นหนึ่ง
ครั้ง รอคอยให้พวกเราไปต่อสู้ ขึ้นไปบนหัวกำแพงเมืองก็จะสา
มารถส่งกระบี่ใส่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างทั้งแห่งได้
ถ้าอย่างนั้นผู้ฝึกกระบี่ที่เติบโตขึ้นมาในสถานที่เช่นนี้
ต่อให้มาถึงใต้หล้าไพศาลแล้วก็ยังนำพาประกายคมกริบที่
ติดตัวมาตั้งแต่เกิดมาด้วย
ชิวจื๋อถามอย่างใคร่รู้ “ป๋ายเสวียน ขอถามหน่อยได้
หรือไม่ เจ้าใช่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของใต้เท้าอิ่นกวานไหม?”
ป๋ายเสวียนโบกมือ “ข้ามีอาจารย์อยู่ที่บ้านเกิดแล้ว แล้ว
นับประสาอะไรกับที่ข้ายังมีฉายาว่า ‘อิ่นกวานน้อยน้อย’ กราบ
ใต้เท้าอิ่นกวานเป็นอาจารย์กลับจะไม่เหมาะสม”
ชิวจื๋อสงสัย “ถ้าอย่างนั้น ‘อิ่นกวานน้อย’ คือใคร?”ป๋ายเสวียนอ้าปากหาว “ก็คือเจ้าคนที่อายุแก่กว่าข้า
อย่างเสียเปล่าไม่กี่ปี ไม่มีค่าพอให้พูดถึง”
หมี่ลี่น้อยพูดทันทีว่า “ ‘อิ่นกวานน้อย’ เฉินหลี่เป็น
ขอบเขตโอสถทองแล้วนะ”
ป๋ายเสวียนกล่าว “ใช่สิ ข้าถึงได้พูดว่าไม่มีค่าพอให้
พูดถึงไง”
ชิวจื๋อตกตะลึงอย่างยิ่ง
ร้ายกาจนัก ขนาดขอบเขตโอสถทองก็ยังไม่นับเป็นอะไร
ได้
วันหน้าจะต้องมาเป็นแขกที่สำ นักกระบี่ชิงผิงบ่อยๆ
เสียแล้ว
ป๋ายเสวียนถามชวนคุย “ชิวจื๋อ เจ้ามีขอบเขตอะไร?”
ชิวจื๋อลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังตอบตามตรง “ขอบเขต
ประตูมังกร”
ป๋ายเสวียนไม่เพียงแต่ไม่ตกใจ กลับกันยังใช้แววตา
เวทนามองเซียนกระบี่น้อยขอบเขตประตูมังกรผู้นี้ ถอนหายใจ
ส่ายหน้า ตบไหล่ชิวจื๋อ เอ่ยปลอบใจว่า “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าใช้วิธีฝึกกระบี่แบบเดียวกันกับเฉินหลี่ คุณสมบัติไม่เพียงพอก็
ต้องใช้ความมานะพยายามเข้าสู้ วันหน้ากลับไปถึงยอดเขาจิ่ว
อี้แล้วก็จำ ไว้ว่าอย่าเกียจคร้านฝึกตนเด็ดขาด เดี๋ยวเจ้าบอก
ที่อยู่รับจดหมายมาให้ข้าด้วย ทุกๆ สามวันห้าวัน กระบี่บิน
ส่งไปหนึ่งฉบับ ต้องเตือนเจ้าสักสองสามคำ”
ชิวจื๋อหัวเราะ พยักหน้ารับเบาๆ
ไม่เสียแรงที่เป็นสำ นักกระบี่ชิงผิงที่ใต้เท้าอิ่นกวานสร้าง
ขึ้นมาเองกับมือ ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองไม่นับเป็นอะไร
จริงเสียด้วย
แต่ชิวจื๋อกลับรู้สึกว่าเป็นแบบนี้จึงจะสมเหตุสมผล
สมควรเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว
ป๋ายเสวียนนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงกวาดตามองไป
รอบด้าน จากนั้นยื่นมือมาโอบไหล่ชิวจื๋อ ลากอีกฝ่ายเดินไปยัง
มุมอื่นอย่างไม่ยอมให้ปฏิเสธ เดินออกไปได้ระยะทางหนึ่งก็
จงใจหันหลังให้หมี่ลี่น้อย ป๋ายเสวียนหยิบตำราวีรบุรุษที่
เก็บรักษาติดตัวไว้เป็นอย่างดีออกมาจากสาบเสื้ออย่าง
ระมัดระวัง กดเสียงลงต่ำ “ชิวจื๋ออ่า ข้าแค่พบเจ้าก็รู้สึกเหมือนได้รู้จักเจ้ามานาน ถูกชะตากันอย่างมาก ในเมื่อวันนี้เป็น
งานพิธีเฉลิมฉลองของสำ นักเบื้องล่างพวกเรา ก็ต้องถือเป็นวัน
ฤกษ์งามยามดีอย่างแน่นอน ที่ข้ามีตำราอยู่เล่มหนึ่ง มา
ลงนามเจ้าสิ วันหน้าพวกเราสองคนก็เท่ากับเป็นสหายในยุทธ
ภพที่ตัดหัวไก่เผากระดาษยันต์ มีมิตรภาพแน่นแฟ้นกันแล้ว
อ้อ ลืมไปว่าไม่ได้พกพู่กันกับหมึกมา ไม่เป็นไรๆ ข้ามีหมึก
ประทับตรา ใช้นิ้วมือประทับก็ได้เหมือนกัน”
ป๋ายโส่วมองไกลๆ มาเห็นภาพนี้ก็รู้สึกปลงอนิจจังยิ่งนัก
เวรกรรมหนอ
หวังจี้ยิ้มกล่าว “อยู่ในสำ นักกุหยก นับตั้งแต่ยอดเขา
เสินจ้วนจนไปถึงยอดเขาจิ่วอี้ ชิวจื๋อไม่เคยพูดคุยกับใครเช่นนี้
เวลานี้เจ้าหนูนี่ถึงจะผ่อนคลายอย่างแท้จริงแล้ว”
จางเฟิงกู่ยิ้มเอ่ย “ดีมากเลย เด็กกลุ่มนั้นทั้งปากและ
ใจต่างก็ไม่เห็นสถานะเจ้ายอดเขาจิ่วอี้สำ คัญมากนัก หากว่า
ชิวจื๋อกับคนวัยเดียวกันกลุ่มนี้กลายเป็นสหายที่คบหากัน
ยาวนานในวันหน้าได้ ถ้าอย่างนั้นการออกเดินทางไกลครั้งนี้ก็
ถือว่ายอดเขาจิ่วอี้ได้กำไรแล้ว”หวังจี้ขมวดคิ้วน้อยๆ “ควรเตือนชิวจื๋อหน่อยหรือไม่ว่า
อย่าได้ใช้นิ้วมือประทับตราง่ายๆ”
เวทคาถาบนภูเขามีความแปลกประหลาดนับพันหมื่น ก็
ไม่แปลกที่หวังจี้จะคลางแคลงสงสัย หากจะพูดถึงตัวของหวัง
จี้เอง อยู่ในยุทธภพเขาก็เป็นคนใจกว้างผึ่งผายอย่างมาก แต่
ชิวจื๋อเจ้าเด็กน้อยนี่กลับได้รับความสำ คัญจากสำ นักกุยหยก
อย่างถึงที่สุด เป็นเหตุให้ก่อนที่เจ้าสำ นักเหวยอิ๋งไปจะเยือนใต้
หล้าเปลี่ยวร้าง อันที่จริงเคยทิ้งถ้อยคำที่คล้ายคำสั่งเสียเอาไว้
แล้วยังถูกบันทึกลงในตำราเล่มที่อยู่ในศาลบรรพจารย์ด้วย
หากว่าตัวเขาเองมิอาจกลับคืนมาจากใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
ได้ก็ให้ผู้ถวายงานของศาลบรรพจารย์กลุ่มของจางเฟิงกู่ และ
หวังจี้ช่วยปกป้องมรรคาให้กับชิวจื๋อ ต่อให้มีราคาที่ต้องจ่าย
เท่าไรก็ห้ามเสียดาย!
และตำแหน่งเจ้าสำ นักของสำ นักกุยหยกก็ยอมให้ปล่อย
ว่างไว้ร้อยปีหรือนานยิ่งกว่านั้น แต่ก็ต้องรอให้ชิวจื๋อค่อยๆ
เติบใหญ่เสียก่อนแล้วค่อยมารับตำแหน่งเจ้าสำ นักคนถัดไป
ที่ว่างอยู่จางเฟิงกู่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ “พวกเราไม่ต้องตื่นเต้นไป
ขนบธรรมเนียมของสำ นักกระบี่ชิงผิงคู่ควรแก่การเชื่อถือมาก
พอ”
ถอยไปพูดหมื่นก้าว ต่อให้ครั้งนี้ต้องกลับไปมือเปล่า
ในอนาคตสำ นักกุยหยกและสำ นักกระบี่ชิงผิงก็ถือว่าเป็น
การช่วงชิงของวิญญูชนที่เปิดเผยตรงไปตรงมา
จางเฟิงกู่เชื่อใจในตัวผู้ฝึกกระบี่ท้องถิ่นของกำแพงเมือง
ปราณกระบี่ เชื่อใจในตัวอิ่นกวานคนสุดท้ายที่ยอมปกป้อง
รักษาหัวกำแพงเมืองจนตัวตาย
หวังจี้เอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “เป็นข้าที่ใช้ใจคนถ่อยไปวัดใจ
วิญญูชนแล้ว”
จางเฟิงกู่ยิ้มกล่าว “พูดแบบนี้ไม่ได้ อย่าได้คิดแบบนี้
เด็ดขาด”
จางเฟิงกู่ลังเลเล็กน้อยก็ถามหยั่งเชิงว่า “ผู้ถวายงานหวัง
วันหน้าการประชุมในศาลบรรพจารย์ยอดเขาเสินจ้วนช่วยด่า
เจียงซ่างเจินให้น้อยลงหน่อยได้หรือไม่”