กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 961.4 ถ่านไฟ
หวังจี้ได้ยินคำเตือนที่ไม่มีต้นสายปลายเหตุนี้ก็ไม่รู้ว่า
ควรจะตอบอย่างไรดี
ในฐานะบรรพจารย์ศาลสำ นักกุยหยกที่มีลำดับอาวุโส
เท่ากับอดีตเจ้าสำ นักสวินยวน จางเฟิงกู่จึงรู้เรื่องวงใน
มากกว่าหวังจี้
เมื่อหลายปีก่อน ผู้ฝึกกระบี่เหวยอิ๋งที่ยังรับตำแหน่งเป็น
เจ้ายอดเขาจิ่วอี้เคยไปหาอดีตเจ้าสำ นักสวินยวน เสนอให้
สำ นักกุยหยกเป็นผู้นำ รวบรวมผู้ฝึกกระบี่ในใบถงทวีป
เดินทางไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ เอาอย่างอุตรกุรุทวีป
เวลานานวันเข้าก็จะเหมือนนกนางแอ่นคาบดินโคลนมาทำรัง
ใช้วิธีที่โง่เขลาที่สุด สุดท้ายช่วงชิงโคชะตาวิถีกระบี่จำ นวนที่
มากน่าดูชมส่วนหนึ่งมาให้ใบถงทวีป และสำ นักกุยหยกที่เป็น
ผู้นำ ไม่แน่ว่าก็อาจมีโอกาสมีผู้ฝึกกระบี่…ขอบเขตบินทะยาน
ปรากฏตัว!ตอนนั้นจางเฟิงกู่ที่เป็นศิษย์น้องของสวินยวนบังเอิญอยู่
ด้วยพอดี แต่สวินยวนไม่ได้ตอบตกลง ทั้งยังไม่ให้คำตอบที่
แน่ชัด พูดแค่ว่าเรื่องนี้ไว้ค่อยคุยกันอีกที และคำว่าค่อยคุยกัน
อีกที แท้จริงแล้วก็คือสวินยวนไม่ต้องการให้พูดถึงอีก
นี่ทำให้เหวยอิ๋งไม่เข้าใจอย่างมาก ไม่ถึงกับเกิดความ
ไม่พอใจ แต่ผิดหวังกลับเลี่ยงไม่ได้
รอกระทั่งจางเฟิงกู่ไปถามเป็นการส่วนตัว ศิษย์พี่สวิน
ยวนก็ยังไม่ได้บอกเหตุผล
สุดท้ายเรื่องจริงได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ทั้งสวินยวนและ
เหวยอิ๋งต่างก็ทำถูก ขณะเดียวกันก็ผิดกันทั้งคู่
สำ หรับตลอดทั้งใบถงทวีปแล้ว เหวยอิ๋งถูกสวินยวนผิด
แต่สำ หรับตลอดทั้งสำ นักกุยหยกแล้ว กลับเป็นเหวยอิ๋งผิด
สวินยวนถูก
เพราะหากสำ นักกุยหยกมีความเกี่ยวข้องที่ลึกซึ้งกับ
กำแพงเมืองปราณกระบี่มากเกินไป แสดงออกอย่างสะดุดตา
มากเกินไป ศึกล้อมภูเขาที่กองทัพใหญ่เผ่าปีศาจมาโอบล้อม
ครานั้น บางทีอย่างน้อยที่สุดอาจมีปีศาจใหญ่บนบัลลังก์เก่าเพิ่มมาอีกคน อย่างเช่นเฟยเฟย หรือไม่ก็หยวนโส่วบรรพจารย์
ย้ายขุนเขา หรือแม้กระทั่งอาจเพิ่มเชี่ยอวิ้นมาด้วยอีกคน
กระโจมเจี่ยจื่อของใต้หล้าเปลี่ยวร้างอาจจะยอมจ่ายค่า
เสียหายอย่างไม่เสียดาย ต่อให้ต้องถ่วงเวลาการโจมตีแจกัน
สมบัติทวีปให้ล่าช้าออกไป ก็ต้องโค่นล้มยอดเขาทั้งหลายของ
สำ นักกุยหยกให้ราบเรียบให้จงได้ ใช้สิ่งนี้มาเชือดไก่ให้ลิงดู
แสดงท่าทีกับใต้หล้าไพศาลอย่างชัดเจนว่าบังอาจเป็นพวก
เดียวกันกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ นี่ก็คือจุดจบ
แต่จางเฟิงกู่มั่นใจในเรื่องหนึ่ง ก็คือนับตั้งแต่วันนั้นมาศิ
ษย์พี่สวินยวนก็ยอมรับในตัวเหวยอิ๋ง จึงได้เริ่มวางแผนสำ หรับ
การเป็นเจ้าสำ นักในอนาคต ปูทางอย่างลับๆ ให้กับเหวยอิ๋ง
ถึงขั้นที่ว่าในบางความหมายถือเป็นการทำลายประเพณี
เดิมๆ ให้เจียงซ่างเจินที่ไม่ได้มาจากยอดเขาจิ่วอี้มารับหน้าที่
เป็นเจ้าสำ นักของสำ นักเบื้องล่าง และให้เหวยอิ๋งไปรับ
ตำแหน่งเจ้าสำ นักเจินจิ้งที่แจกันสมบัติทวีปต่อจากเจียงซ่าง
เจินอีกทีนี่เท่ากับว่าทั้งสองฝ่ายสลับตำแหน่งกัน ชัดเจนว่าสวิน
ยวนได้เตรียมการสำ หรับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว ให้
เจียงซ่างเจินเฝ้าพิทักษ์ยอดเขาเสินจ้วนภูเขาบรรพบุรุษจนตัว
ตาย ตายแล้วก็ตายไป แต่ก็ต้องให้เหวยอิ๋งและสำ นักเจินจิ้ง
สืบทอดควันธูปของสำ นักกุยหยกต่อไปให้จงได้
นี่ก็หมายความว่า ตั้งแต่แรกเริ่มมา สวินยวนก็เห็นเจียง
ซ่างเจินเป็นหินปูทางสำ หรับการรับหน้าที่เป็นเจ้าสำ นักของ
เหวยอิ๋ง ให้เขาไปอยู่แจกันสมบัติทวีป คล้ายการแต่งตั้งอ๋องให้
ไปครองพื้นที่ศักดินา ผลคือรอกระทั่งศึกใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น
กลับเปลี่ยนใจ เหมือนให้รัชทายาทออกไปให้ไกลห่างจาก
เมืองหลวง อยู่ให้ห่างไกลจากความอันตราย ไกลจากสถานที่
ที่ไม่เหลือทางให้ถอยหนี ให้ ‘อ๋องเจ้าเมือง’ เข้าเมืองหลวง
มาแทน
เจียงซ่างเจินไม่รู้แผนการของอดีตเจ้าสำ นักสวินยวน
หรือ?
ต้องรู้ชัดเจนดี รู้กระจ่างอยู่แก่ใจ
มีความไม่พอใจไหม?ไม่มีความไม่พอใจ
ดังนั้นจางเฟิงกู่จึงมีความรู้สึกที่ซับซ้อนอย่างยิ่งต่อเจียง
ซ่างเจิน
เพราะต่อให้เป็นตัวของสำ นักกุยหยกเอง ผู้ฝึกตน
ส่วนใหญ่ที่ได้ครอบครองเก้าอี้ในศาลบรรพจารย์ จนถึง
ทุกวันนี้ก็ยังตระหนักไม่ได้ถึงเรื่องนี้
ดูเหมือนว่าเจียงซ่างเจินเองก็ไม่เคยคาดหวังให้ใครรู้
ถึงความจริงนี้ มีความสุขกับการถูกคนอื่นด่าต่อไป เจียงซ่าง
เจินไม่เคยเป็นคนที่ใจอ่อนมีเมตตา ในฐานะเจ้าประมุขสกุล
เจียงที่ได้ครอบครองพื้นที่มงคลถ้ำ เมฆา สองมือเปื้อนเลือด
ต่อให้พูดถึงแค่สถานะของผู้ฝึกตน เจียงซ่างเจินที่ชอบออก
เดินทางไกลเป็นประจำ หากพูดถึงเรื่องคุณธรรมส่วนตัว เจียง
ซ่างเจินมีที่ให้ประณามได้มากมายจริงๆ นี่คงจะเป็นเพราะ
คุณธรรมส่วนด่างพร้อย แต่ไม่เคยขาดแคลนน้ำใจไมตรี
ดังนั้นเจียงซ่างเจินถึงได้ถามใจตัวเองแล้วไม่ละอาย? ถาม
ใจตัวเองแล้วไม่ละอาย ไม่ใช่เพราะมีใจเห็นแก่ตัว คำประณาม
หยามหมิ่นจากภายนอกอะไร ข้ามั่นคงไม่สะทกสะท้าน นั่นไม่เรียกว่าถามใจแล้วไม่ละอาย คนประเภทนี้ยิ่งอายุมาก
เท่าไร หนังหน้าก็ยิ่งหนามากเท่านั้น นั่นเรียกว่าแก่แล้วยัง
ไม่ตายก็คือโจรเฒ่า
เรื่องมาถึงขั้นนี้ ทุกอย่างสิ้นสุดดุจฝุ่นที่หล่นกลับสู่พื้นดิน
ปีนั้นสวินยวนคิดอย่างไร ก็ไม่มีใครรู้ได้อีกแล้ว
บางทีคนเพียงคนเดียวที่รู้ก็คงมีแค่เจียงซ่างเจินเท่านั้น
เพราะเคยฝึกตนอยู่บนยอดเขาเสินจ้วน ทั้งยังเป็นสวิน
ยวนที่พาขึ้นเขามาด้วยตัวเอง ภายหลังยังเป็นผู้ฝึกกระบี่บน
ทำเนียบของสำ นักเจินจิ้ง ดังนั้นวันนี้สุยโย่วเปียนจึงตั้งใจพา
ลูกศิษย์เฉิงเฉาลู่มาพูดคุยกับจางเฟิงกู่และหวังจี้ สำ หรับสุย
โย่วเปียนแล้ว นี่ถือว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่งแล้ว
หลังบอกลากันแล้ว เฉิงเฉาลู่ก็ถามเสียงเบาว่า “อาจารย์
ไม่ได้เป็นขุนนาง รู้สึกผิดหวังหรือไม่?”
สุยโย่วเปียนยิ้มกล่าว “ทำไมถึงได้คิดเช่นนี้ล่ะ?”
เฉิงเฉาลู่เกาหัว “แค่ถามเฉยๆ”
สุยโย่วเปียนย้อนถาม “ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ไม่ใช่ทั้ง
บรรพจารย์ผู้คุมกฎ แล้วก็ไม่ใช่ผู้ถวายงานอันดับหนึ่ง ขอบเขตวิถีกระบี่ก็ไม่สูง ติดตามข้าเรียนวิชาหมัดฝึกกระบี่ ไม่ว่า
อย่างไรก็ดูเหมือนจะไม่มีอนาคตมากนัก เจ้ารู้สึกผิดหวัง
หรือไม่?”
เฉิงเฉาลู่ส่ายหน้าอย่างแรง “มีอะไรให้ต้องผิดหวังกัน”
สุยโย่วเปียนกล่าว “วิชาหมัดเฉพาะของเฉินผิงอัน
จูเหลี่ยน หลูป๋ายเซี่ยง เว่ยเซี่ยน แน่นอนว่ายังมีของอาจารย์
เอง เจ้าล้วนต้องตั้งใจเรียน ส่วนเรื่องที่ว่าสุดท้ายแล้วจะเรียนรู้
ได้มากหรือน้อย ปณิธานอยู่ที่ตัวคน ผลสำ เร็จขึ้นอยู่กับฟ้า
ต้องดูที่ชะตาฟ้าลิขิต”
เฉิงเฉาลู่กล่าวอย่างกังขา “วิชาหมัดของใต้เท้าอิ่นกวาน
ก็เรียนได้ด้วยหรือ? ถือเป็นการขโมยเรียนหรือไม่ ไม่มีข้อห้าม
หรือ?”
สุยโย่วเปียนยิ้มกล่าว “ไม่มี”
การร่วมงานพิธีครั้งที่สองของศาลบรรพจารย์ยอดเขา
ชิงผิง ทำไปตามลำดับขั้นตอน
จากนั้นก็ถือว่าพิธีเฉลิมฉลองสิ้นสุดลงแล้ว เกี่ยวกับเรื่อง
ของการขุดเจาะลำน้ำใหญ่ สถานที่ถึงกับเลือกเป็นศาลบรรพจารย์ยอดเขาชิงผิง นี่แสดงให้เห็นถึงระดับความสำ คัญที่
สำ นักกระบี่ชิงผิงมีต่อเรื่องนี้
นอกจากสำ นักกระบี่ชิงผิง ภูเขาไท่ผิง ราชวงศ์ต้าเฉวียน
เรือนอวิ๋นฉ่าวผูซาน และยังมีสำ นักกุยหยก จางเฟิงกู่ หวังจี้
ชิวจื๋อ เจียงเหิง
ก็ยังเชื้อเชิญหลิวจวี้เป่าและอวี้พ่านสุ่ยมาด้วย หลิวโยว
โจวและสวีเซี่ยถือเป็นผู้ร่วมฟัง
ทางฝั่งของสำ นักกระบี่ชิงผิงนี้ก็มีเฉินผิงอัน ฉางมิ่ง เหวย
เหวินหลง เผยเฉียน เสี่ยวโม่ ชุยตงซาน หมี่อวี้ ชุยเหวย จ้งชิว
เฉาฉิงหล่าง
จุดเดียวที่ค่อนข้างประหลาดก็คือ เหอกูลูกศิษย์
ผู้สืบทอดของหมี่อวี้ที่เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งกับอวี๋เสียหุย
ลูกศิษย์ของผู้คุมกฎชุยเหวยก็ได้เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ด้วย
อวี้พ่านสุ่ยมองกลุ่มของเฉินผิงอันที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ยิ้ม
เอ่ยว่า “ข้าสามารถเปลี่ยนที่นั่งได้หรือไม่ ข้ากับภูเขาเซียนตู
ของพวกเจ้าอันที่จริงถือเป็นพวกเดียวกันนะ”แม้ว่าฝ่ายของตัวเองจะมากคนมากอำนาจ อีกฝ่าย
มองดูแล้วคนน้อยอำนาจบางเบา แต่ในความเป็นจริงแล้วแถว
นี้ของตนมี ‘โจรในบ้าน’ มากกว่านะ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจ
ได้เปรียบ
อิ่นกวานหนุ่มกับเจ้าสำ นักชุย เห็นได้ชัดเลยว่าพวกเจ้า
สองฝ่ายแบ่งงานกันอย่างชัดเจน คนหนึ่งรับผิดชอบหลอก
หมาเข้าบ้าน อีกคนหนึ่งปิดประตูฆ่าหมู พวกคนของภูเขาไท่
ผิงและผูซานต้องเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดด้วยแน่นอน
ภายหลังเรื่องของการขุดเจาะลำน้ำใหญ่ก็พูดคุยกันไป
นานถึงหนึ่งชั่วยาม หลักๆ แล้วคือชุยตงซานที่พูดคุยกับเย่อ
วิ๋นอวิ๋นและหลี่ซีหลิงค่อนข้างเยอะ ลำพังแค่เรื่องกระแสหลัก
ของลำน้ำใหม่เอี่ยมเส้นนั้นก็เสียเวลาไปเกินครึ่งชั่วยามแล้ว
ยังคงไม่ถือว่าได้ผลสรุปอย่างแท้จริง เพราะกลุ่มอำนาจ
ของแต่ละฝ่ายที่ในอนาคตต้องรับผิดชอบงานการขุดเจาะของ
ลำน้ำแต่ละช่วง ต่างก็มีความเห็นที่ไม่ตรงกัน
นี่ก็เป็นเรื่องปกติ สำ นักกุยหยกและผูซานจะต้องกลับไป
จัดการประชุมในศาลบรรพจารย์บ้านตัวเองกันก่อน ราชสำ นักต้าเฉวียนก็ยิ่งต้องเรียกประชุมครั้งใหญ่ในท้องพระโรง และยัง
ต้องมีการประชุมขนาดเล็กในห้องทรงพระอักษรด้วย
หลังจากการประชุมครั้งสำ คัญของสำ นักกระบี่ชิงผิงที่
อย่างน้อยก็แน่ใจแล้วว่า ‘ใบถงทวีปจะต้องมีลำน้ำใหม่เอี่ยม
เพิ่มมาอีกเส้น’ อย่างแน่นอนครั้งนี้สิ้นสุดลง เฉาฉิงหล่างก็เป็น
คนปิดประตูศาลบรรพจารย์ลง เวลานี้ด้านในศาลมีซิ่วไฉ
เฒ่าคนหนึ่งโผล่มา ทำท่ากดลมปราณลงสู่จุดตันเถียน
หยัดยืนให้มั่นคง ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้มากนัก ไม่ได้นั่งแปะลง
ไปกับพื้นโดยตรง ผู้เฒ่าที่กว่าจะปลีกตัวออกมาจากสวนกง
เต๋อของศาลบุ๋นได้ไม่ใช่เรื่องง่ายผู้นี้หมุนตัวกลับ เอามือ
ไพล่หลังมองภาพแขวน ลูบหนวดยิ้ม เอ่ยอย่างลำพองใจว่า
“นอกจากจวินเชี่ยนที่ขาดความหมายบางอย่างไปเล็กน้อย
แล้ว ลูกศิษย์ของข้าก็ไม่มีใครที่ไม่หล่อเหลา เรื่องของบุคลิก
ราศีก็ล้วนถอดแบบอาจารย์มา เพราะถึงอย่างไรตอนที่อายุยัง
น้อย ออกจากบ้านไปซื้อเหล้าก็มักจะถูกคนหยอกเย้าเกี้ยวพา
มีเพียงสตรีในตลาดขายปลาผู้นั้นที่เกินกว่าเหตุ ทำเกินไปแล้วจริงๆ ปีนั้นขายปูให้ข้าดันขาดขาปูไปขาหนึ่ง แล้วยังหลอกข้า
บอกว่าสดใหม่อีกด้วย…”
ผู้เฒ่าเดินไปหยุดอยู่ด้านข้างเก้าอี้ที่ตั้งในตำแหน่ง
ประธาน ยื่นมือไปประคองจับพนักเก้าอี้ ตนที่เป็นอาจารย์
สามารถหดย่อพื้นที่เดินทางไกลข้ามทวีปจากสวนกงเต๋อมาได้
อย่างผ่อนคลายเช่นนี้ เพราะอะไร แน่นอนว่าเพราะลูกศิษย์
ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวนี้ ลูกศิษย์ปิดสำ นักผู้นี้ใช้คุณความชอบ
ทั้ง
หมดของตัวเอง บวกกับคุณความชอบของศิษย์พี่ทุกคน
มาทำเรื่องหนึ่งร่วมกันลับหลังอาจารย์ของพวกเขา
ตอนที่ปรมาจารย์มหาปราชญ์กลับไปยังสวนกงเต๋อ ข้าง
กายมีกิเลนตัวหนึ่งตามไปด้วย
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ตั้งใจลากหลี่เซิ่งและจิงเซิงซีผิง
ให้ไปดื่มเหล้ากับซิ่วไฉเฒ่าโดยเฉพาะ สุดท้ายเอ่ยว่าจำ ไว้ว่า
ให้ลูกศิษย์ปิดสำ นักของเจ้าไปเยือนนอกฟ้าสักรอบหนึ่งด้วย
ท่ามกลางแสงสายัณห์ ในเรือนพักของชุยตงซานบน
ยอดเขามี่เซวี่ย กลุ่มคนในห้องนั่งล้อมกระถางไฟ มองดูแล้ว
เบียดเสียดอยู่บ้างเฉินผิงอัน หมี่ลี่น้อย เผยเฉียน หลี่เป่าผิง เฉาฉิงหล่าง
เจิ้งโย่วเฉียน
มีเพียงชุยตงซานที่นั่งบนม้านั่งยาวตัวหนึ่งเพียงลำพัง
อย่างน่าสงสาร
นอกจากหมี่ลี่น้อยที่ไม่ถือว่าเป็นสายเหวินเซิ่งแล้ว
คนอื่นๆ อีกหกคน สองลำดับอาวุโส แทบจะสามารถพูดได้ว่า
เป็นคนร่วมสำ นักในความหมายที่เข้มงวดที่สุดได้แล้ว
เฉินผิงอันและชุยตงซานต่างก็แอบปลีกตัวจากงานที่
รัดตัวมาพักผ่อนอยู่ที่กันครู่หนึ่ง อีกเดี๋ยวยังมีงานอีกเป็น
กองพะเนินรอให้พวกเขาไปจัดการ
หลี่เป่าผิงเอ่ยเรื่องหนึ่ง ปีนั้นตอนที่อยู่แคว้นหูของนคร
ลมเย็น นางเคยบังเอิญเจอกู้ช่าน
เฉินผิงอันฟังหลี่เป่าผิงเล่าถึงขั้นตอนที่เกิดขึ้นแล้ว
พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
อดีตบางอย่าง อันที่จริงต่อให้อยู่กับหลิวเสี้ยนหยาง เฉิน
ผิงอันก็ไม่เคยพูดถึงมาก่อนยกตัวอย่างเช่นเด็กหนุ่มตรอกหนีผิงที่เป็นลูกศิษย์ของ
เตาเผามังกร ทุกครั้งที่กลับจากเตาเผามังกรมาที่ตรอกหนีผิง
ก็จะต้องมาพาเจ้าขี้มูกยืดน้อยออกไปเที่ยวเล่นด้วยกัน ซื้อของ
กินที่กู้ช่านอยากกินมานานแต่ไม่มีเงินพอจะซื้อได้ มีครั้งหนึ่ง
เจ้าขี้มูกยืดน้อยขี่คอเขา เด็กน้อยกางสองมือออกตะโกน
เสียงดังว่าบินเลย บินเลย เด็กหนุ่มรองเท้าสานจึงยิ้มแล้ววิ่ง
ตะบึงไปในตรอก ผลคือไม่ทันระวัง ตรงหัวเลี้ยวมีคนโผล่มา
เพื่อหลบอีกฝ่าย เด็กหนุ่มจึงได้แต่รีบผงะเบี่ยงตัว กลายเป็น
ว่าศีรษะของเจ้าขี้มูกยืดน้อยชนกับกำแพง เขาร้องไห้จ้าเสียดัง
เด็กหนุ่มรีบทรุดตัวลงนั่งยอง วางเด็กชายไว้บนพื้น หน้าผาก
ของเด็กชายปูดบวมเป็นรอยแดงอย่างว่องไว แล้วยังมีเลือด
ซึมออกมา ภาพนั้นทำให้เด็กหนุ่มหน้าซีดไร้สีเลือด สองมือสั่น
ระริก อยากใช้ฝ่ามือไปลูบเบาๆ ผลคือเพิ่งจะแตะโดน
บาดแผล เด็กชายที่เจ็บก็ส่งเสียงร้องไห้ปานจะขาดใจมากกว่า
เดิม เด็กหนุ่มที่มือไม้พันกันเป็นพัลวันรีบกอดเด็กชาย วิ่งไปหา
สมุนไพรสองสามชนิดข้างทางอย่างคุ้นเคย เอามาทุบให้แหลก
แล้วโปะไปบนบาดแผลของเด็กชายอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงช่วยเช็ดน้ำมูกน้ำตาของเด็กชายให้สะอาด ถามย้ำซ้ำ ๆ ว่า
ยังเจ็บอยู่อีกหรือไม่ เด็กชายสูดน้ำมูกอย่างแรง ส่งยิ้มมาให้
สองมือเท้าเอว บอกว่าเจ็บกะผีอะไร…จากนั้นพวกเขาก็ไปที่
ร้านซาลาเปาของบ้านหูต้าเหนียง เด็กหนุ่มควักเงินจ่ายค่า
ซาลาเปาเนื้อสองลูก เจ้าขี้มูกยืดน้อยยืนอยู่ด้านข้าง ทางหนึ่ง
ก็น้ำลายสออยากกิน ทางหนึ่งกลับยื่นมือไปลูบรอยบวมบน
หน้าผากตัวเองตามจิตใต้สำ นึก แล้วขมวดคิ้วมุ่น กัดฟัน
ไม่พูดอะไร เพียงแค่ปาดน้ำมูกสองสายที่ห้อยย้อยมาเกือบ
ถึงริมฝีปากลวกๆ เด็กหนุ่มยื่นซาลาเปาร้อนๆ สองลูกให้
เจ้าขี้มูกยืดน้อย เด็กน้อยไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ส่งคืนให้
เด็กหนุ่มหนึ่งลูก บอกว่าตนเองไม่ได้กินเยอะขนาดนั้น สุดท้าย
หนึ่งคนโตหนึ่งเด็กก็เดินไปบนถนนด้วยกัน เจ้าขี้มูกยืดน้อย
โคลงศีรษะบอกว่าอร่อยจัง อร่อยจัง อร่อยมากเลย ซาลาเปา
เนื้อที่อร่อยที่สุดในใต้หล้านี้ก็คือซาลาเปาของร้านหูต้าเหนียง
แล้ว เด็กหนุ่มที่มือหนึ่งถือซาลาเปาอีกลูก อีกมือจูงมือ
เด็กน้อย รอให้เจ้าขี้มูกยืดน้อยกินซาลาเปาหมดแล้วก็ยื่นส่ง
ซาลาเปาในมือตัวเองไปให้อีกครั้ง เจ้าขี้มูกยืดน้อยยังกินไม่อิ่มจริงๆ จึงแบ่งซาลาเปาออกเป็นสองส่วน ไส้ซาลาเปาส่วนใหญ่
ล้วนอยู่ในครึ่งที่แบ่งให้เด็กหนุ่ม รอจนเห็นเด็กหนุ่มกินเข้าไป
แล้ว เด็กชายถึงเริ่มกินตาม กินไปพลางพูดเสียงอู้อี้ฟังไม่ชัด
ไปด้วยว่า เฉินผิงอัน รอให้วันหน้าข้ามีเงินแล้ว ไม่ว่าเรื่องดีๆ
อะไรก็จะแบ่งให้เจ้าครึ่งหนึ่ง รอก่อนนะ รอข้าเติบใหญ่เมื่อไหร่
จะต้องมีเงินเยอะมากแน่ๆ เงินเหรียญทองแดงในกระเป๋า
จะนับเป็นอะไรได้ เงินทองในบ้านที่กองกันเป็นพะเนินจะต้อง
ช่วยเก็บไว้ให้เจ้าครึ่งหนึ่ง พูดคำไหนคำนั้น
เด็กหนุ่มรองเท้าสานยิ้มเอ่ยว่าดีเลย ดีเลย
อันที่จริงเขาไม่ได้เก็บมาคิดเป็นจริงเป็นจังแม้แต่น้อย
เพราะถึงอย่างไรเด็กหนุ่มตรอกหนีผิงและเจ้าขี้มูกยืด
น้อยในเวลานั้น คนหนึ่งก็แค่เคยเห็นทอง ไม่เคยได้แตะต้อง
เงินจริงๆ มาก่อนด้วยซ้ำ อีกคนหนึ่งบางทีแม้แต่เงินก็ยังไม่เคย
เห็น เคยแต่ได้แตะเหรียญทองแดงเท่านั้น
หลายปีต่อมาต่างคนต่างออกจากบ้านเกิด รอกระทั่งได้
กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง กลับเปิดฉากด้วยการตบหน้า
ท่ามกลางสายตาของคนมากมายเจ้าขี้มูกยืดน้อยที่ถูกตบกลับยังมีความสุขอย่างมาก แต่
คนที่ตีคนผู้นั้นกลับเสียใจมาก
ดังนั้นจึงไม่เคยมีใครรู้ว่า นักบัญชีเกาะชิงเสียที่ออกจาก
ทะเลสาบซูเจี่ยนในภายหลัง ระหว่างที่เดินทางกลับบ้านเกิด
เหตุใดเมื่อเจออาจารย์ผู้เฒ่าท่าทางประหลาดคนนั้นแล้ว เขา
ถึงได้รู้สึกว่าหากได้กินซาลาเปาของนครน้ำบ่อสักสองลูก
ตัวเองต้องมีเรี่ยวแรงทะเลาะกับคนแน่นอน
วันนั้นหลังกลับไปถึงตรอกหนีผิง เจ้าขี้มูกยืดน้อยเห็น
มารดาตัวเองก็ชักเท้าวิ่งห้อไปหา จงใจแสร้งทำหน้าทะเล้น
ชี้ไปที่หน้าผากที่โปะยาสมุนไพรซึ่งเริ่มบวมน้อยลงแล้วของ
ตัวเอง บอกว่าตัวเองวิ่งเล่นไม่ทันระวังชนกำแพงเข้าให้ ส่วน
สตรีออกเรือนแล้วที่เวลาปกติรักถนอมบุตรชายตัวเองเป็น
ที่สุดก็เพียงแค่มองเด็กหนุ่มรองเท้าสานที่สีหน้าร้อนรน ทำ
ท่าจะพูดไม่พูดเท่านั้น นางไม่ได้มีคำตำหนิใดๆ ไม่ให้โอกาส
เด็กหนุ่มได้พูด นางทรุดตัวลงนั่งยอง ตบฝุ่นบนร่างของ
บุตรชาย ยิ้มเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร
วันหน้าระวังให้ดี เดินช้าๆ หน่อยอย่าได้วิ่งไปทั่วเฉินผิงอันเก็บงำ ความคิด ก้มหน้าลง หยิบที่คีบเหล็ก
มาขยับถ่านไฟในกระถางเบาๆ
เพียงแต่ชั่วขณะนั้นทั้งเฉินผิงอันและชุยตงซานต่างก็
สัมผัสได้ถึงความผิดปกติของศาลบรรพจารย์แทบจะเวลา
เดียวกัน
นาทีถัดมาซิ่วไฉเฒ่าก็มาอยู่นอกห้อง คลี่ยิ้มเจิดจ้า
ยื่นมือมากดลงบนความว่างเปล่าสองที “นั่ง ทุกคนนั่งลง
ดีมาก ดีมากๆ”
——