กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 963.1 ดอกไม้บานอีกครั้งบนทางเล็กริม คันนา
ท่ามกลางม่านราตรี แสงจันทร์สาดส่องไปทั่วพื้นดิน
ราวกับผืนน้ำ คนทั้งกลุ่มออกมาจากศาลาคว้าเมฆ เผยเฉียน
ลากหลี่เป่าผิงกลับไปยังที่พักของตัวเอง พวกนางกลับมาพบ
เจอกันใหม่อีกครั้งหลังจากลากันไปนาน เรื่องที่จะพูดคุยกัน
มีมากมายเลยจริงๆ
หลังจากได้รับการยืนยันจากทั้งเฉินผิงอันและชุยตงซาน
แล้วว่าไม่มีภัยแฝงใดๆ แต่ชุยตงซานก็ยังแนะนำเฉาฉิงหล่า
งว่าอย่าเพิ่งรีบร้อนหลอมกระบี่อย่างเป็นทางการ รอให้
ขอบเขตโอสถทองมั่งคงก่อนแล้วค่อยไปปิดด่านอยู่ที่ยอดเขา
จิ่งซิง สำ หรับเรื่องนี้เฉาฉิงหล่างไม่มีความเห็นต่างใดๆ
เฉาฉิงหล่างพาเจิ้งโย่วเฉียนจากมาด้วยกัน ที่พักของ
ทั้ง
สองฝ่ายอยู่ใกล้กันมาก
เดินไปบนเส้นทางภูเขากลางดึกที่เงียบสงัด เจิ้งโย่วเฉียน
ก็ถามหยั่งเชิงว่า “ศิษย์พี่เฉา ข้าจะพูดเรื่องในใจเล็กๆ กับท่านสักเรื่องได้หรือไม่?”
หลักๆ แล้วเพราะรู้สึกว่าลูกศิษย์ของอาจารย์อาน้อยคน
นี้สุภาพอ่อนโยน แค่มองก็รู้แล้วว่ามีความสามารถใน
การศึกษาเล่าเรียนอย่างมาก ก็ถูกแล้ว ศิษย์พี่เฉาเป็นถึงทั่น
ฮวาหลางของราชวงศ์ต้าหลีเชียวนะ ทุกครั้งที่อาจารย์พูดถึง
เรื่องนี้ก็อารมณ์ดีมากเหมือนกัน
อีกอย่างคือเจิ้งโย่วเฉียนรู้สึกว่าเจ้าสำ นักชุยเป็นคน
ประหลาด ส่วนศิษย์พี่หญิงเผย เจิ้งโย่วเฉียนก็กลัวนาง จะ
ไม่กลัวได้อย่างไรเล่า
รายงานขุนเขาสายน้ำที่ได้อ่านตอนอยู่บนเรือข้ามฟาก
เกี่ยวกับปรมาจารย์ใหญ่หญิงที่อยู่บนสนามรบเกราะทองทวีป
ในปีนั้น ไม่ใช่แค่รายงานสองสามฉบับเท่านั้นที่พูดถึง ‘เจิ้ง
เฉียน’ ทำเอาเจิ้งโย่วเฉียนรู้สึกอกสั่นขวัญผวาอยู่ไม่หาย
ตอนนั้นรู้สึกเพียงว่า ‘เจิ้งเฉียน’ คือบุคคลที่อยู่ไกลสุดขอบฟ้า
ถึงอย่างไรก็ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับตน ผลกลับดีนัก นาง
ถึงกับเป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอาจารย์อาน้อย จู่ๆ ก็
กลายมาเป็นศิษย์พี่หญิงเผยของตน ทุกวันนี้ทุกครั้งที่พูดคุยกับศิษย์พี่หญิงเผยแล้วไม่พูดจาอึกๆ อักๆ แค่นี้ก็ทำให้
เจิ้งโย่วเฉียนรู้สึกว่าตัวเองมีมาดองอาจของวีรบุรุษมากแล้ว
เฉาฉิงหล่าวยิ้มกล่าว “เป็นเพราะชาติกำเนิดของตัวเอง
เมื่อได้เจอกับอาจารย์ของข้าและยังมีศิษย์พี่ชายหญิงอย่าง
พวกเรา ในใจจึงมักจะรู้สึกอัดอั้นแปลกๆ ใช่ไหม?”
เจิ้งโย่วเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง “ใช่แล้ว กลุ้มยิ่งนัก
เดิมทีก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษหรอก แต่เพราะสหายคนหนึ่ง
ที่มักจะชอบเอาเรื่องนี้มาพูดบ่อยๆ ต่อให้ข้าจะไม่คิดมากแค่
ไหนก็ยังต้องคิดมากอยู่ดี เฮ้อ ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโหตัวเอง
ไม่ได้ความเลยจริงๆ”
เฉาฉิงหล่างยิ้มเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้เจ้าก็ต้องไป
ขอบคุณถานอิ๋งโจวอย่างจริงใจแล้ว”
เจิ้งโย่วเฉียนมึนงง “หา? ข้าไม่รู้สึกโกรธนางก็ถือว่าเป็น
ลูกผู้ชายที่ใจกว้างมากพอแล้วนะ ทำไมยังต้องขอบคุณนางอีก
เล่า?”
เฉาฉิงหล่างเอ่ยเนิบช้าว่า “เรื่องอย่างบาง ข้าแค่บอกว่า
เรื่องบางอย่าง มองดูเหมือนทุกคนจงใจไม่พูดถึง แต่อันที่จริงกลับเป็นการจงใจพูดถึงอยู่ตลอดเวลา ความหวังดีประเภทนี้
แน่นอนว่าดีมาก แต่เมื่อนานวันเข้า บางทีอาจกลายเป็นภาระ
ทางใจอย่างหนึ่ง บางครั้งยังไม่สู้พูดออกมาตามตรง
ไม่หลบเลี่ยงมัน มันก็ย่อมวิ่งหนีไปด้วยตัวเอง แต่หาก
หลบเลี่ยงมัน มันก็เหมือนเงาของพวกเรา สายตาที่คนอื่นมอง
เรา พวกเราคิดว่าคำวิพากษ์วิจารณ์ในทางส่วนตัวก็เหมือนกับ
…แสงตะวันตอนกลางวันและแสงจันทร์ตอนกลางคืนบน
เส้นทางของชีวิต ที่ทำให้เรื่องบางอย่างที่ในใจพวกเราวาง
ไม่ลงมากที่สุดเป็นเหมือนเงาตามตัว แน่นอนว่าการเคียงคู่ใน
อีกรูปแบบหนึ่งเช่นนี้มีทั้งดีและไม่ดี ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่อง
เลวร้ายเสมอไป เพียงแต่ว่าดีและไม่ดีในเรื่องนี้ รวมไปถึง
ขนาดเล็กใหญ่ การเปรียบอย่างเป็นรูปธรรม ได้ส่งอิทธิพลที่
แตกต่างกันไปในใจของพวกเรา ทุกวันนี้ศิษย์พี่เฉาก็ไม่กล้าพูด
อะไรมาก แต่ว่าวันหน้าหากมีความเข้าใจเพิ่มมากขึ้นก็จะเอา
มาพูดให้เจ้าฟังอีกที ถานอิ๋งโจวอายุไม่มาก แต่กลับเป็นคน
จิตใจละเอียดอ่อน นางจงใจทำตัวเป็นคนเลวตอนอยู่กับเจ้าเพื่อที่จะให้เจ้าได้ทำความคุ้นเคยกับความอึดอัดนี้แต่เนิ่นๆ ก็
เหมือนการสอบแบบเปิดตำราได้”
เจิ้งโย่วเฉียนเอ่ยอย่างกระจ่างแจ้ง “เข้าใจแล้ว ยังคงเป็น
ศิษย์พี่เฉาที่มีความรู้ยิ่งใหญ่!”
เฉาฉิงหล่างยิ้มบางๆ “เมื่อเทียบกับอาจารย์และศิษย์พี่
ชุยแล้ว ข้ายังห่างชั้นมากนัก”
เจิ้งโย่วเฉียนเอ่ยอีกว่า “นั่นก็แค่เปรียบเทียบกับอาจารย์
อาน้อยและเจ้าสำ นักชุย ไม่อาจพูดได้ว่าความรู้ของศิษย์พี่เฉา
ไม่ใหญ่”
เฉาฉิงหล่างพลันอึ้งงันพูดไม่ออก
คำพูดคำจาเช่นนี้ช่างเหมือน…อาจารย์ของตนจริงๆ?!
มิน่าเล่าอาจารย์ถึงได้ชอบเจิ้งโย่วเฉียนขนาดนั้น
โดยไม่ทันรู้ตัวก็เดินมาถึงหน้าประตูเรือน เจิ้งโย่วเฉียน
ผลักประตูเบาๆ ประตูกลับไม่เปิด ออกแรงอีกเล็กน้อยผลักไป
อีกครั้ง ก็ยังไม่ได้ ถึงกับถูกลงดาลเอาไว้
ถานอิ๋งโจวผู้นี้ บอกแล้วว่าอย่าลงกลอน อย่าลงกลอน
ทำไมไม่จำ บ้างเลยนะ ขี้ลืมแบบนี่ มิน่าละถึงได้หลงๆ ลืมๆบ่อยๆ
เฉาฉิงหล่างผงกปลายคาง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
บอกเป็นนัยให้เจิ้งโย่วเฉียน ‘ปีนกำแพง’ เข้าไปก็ได้แล้ว
ทว่าในประตูพลันมีเสียงตะโกนอย่างเดือดดาลดังมา
“ด้านนอกคือโจรน้อยคนใด?! จงรีบบอกชื่อมาบัดเดี๋ยวนี้ หาก
เป็นคนชั่วที่โหดร้ายอำมหิตก็จะทำให้เจ้าได้แต่มา แต่มิอาจ
กลับไปได้!”
เจิ้งโย่วเฉียนเกาหัว ถูกศิษย์พี่เฉามาเห็นภาพนี้เข้าพอดี
เขาจึงรู้สึกอายอยู่มาก “ข้า”
ถานอิ๋งโจวกล่าวอย่างขุ่นเคือง “เทพเซียนจากที่ใด ชื่อ
ถึงได้ประหลาดเช่นนี้ ถึงกับชื่อว่า ‘ข้า’? แนะนำเจ้าว่าจงรีบเอา
ความจริงใจออกมาซะ ในเมื่อต่างก็เป็นคนในยุทธภพที่
เดินทางยามค่ำคืนหาเลี้ยงชีพ เดินไม่เปลี่ยนนามนั่งไม่เปลี่ยน
แซ่ แสดงฝีมือออกมา ลองมาประลองกับกูไหน่ไนดูสักครั้ง จะ
ถามหมัดถามกระบี่ก็ล้วนไม่มีปัญหา!”
เฉาฉิงหล่างเดินไปข้างหน้าหลายก้าว พูดกลั้วหัวเราะ
เบาๆ “ข้าเอง เฉาฉิงหล่าง”ถานอิ๋งโจวรีบเปิดประตู แม่นางน้อยยืนอยู่หน้าประตู
ส่งยิ้มมาให้ พูดด้วยสีหน้าเหนียมอาย “คารวะเฉาเซียนซือ”
เฉาฉิงหล่างพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “รบกวนแล้ว ข้าคง
ไม่เข้าไปแล้ว วันหน้าข้าค่อยขอความรู้จากผู้อาวุโสหลงเหมิน
เรื่องภาพหวงเหอไหลเชี่ยวว่าเป็นของจริงหรือของปลอม”
ถานอิ๋งโจวพยักหน้ารับอย่างแรง เรื่องเล็กน้อย เรื่อง
เล็กน้อย ไม่เป็นปัญหาเลย
อาจารย์เคยบอกว่าอาจารย์เฉาผู้นี้ บนเส้นทางการฝึก
ตนมีแรงส่งภายหลังยอดเยี่ยม ผลสำ เร็จในวันหน้าย่อมไม่แพ้
ให้กับเผยเฉียนศิษย์พี่หญิงที่เป็นคนร่วมสำ นักเลย
หางตาของถานอิ๋งโจวเหลือบมองไปยังเจิ้งโย่วเฉียนที่ยืน
บื้อตีหน้าเคร่ง สายตามองตรงไม่ล่อกแล่กอยู่ตรงนั้น เห็นว่า
เขาไม่มีสีหน้าอะไร แม่นางน้อยถึงอารมณ์ดีได้บ้างเล็กน้อย
เฉาฉิงหล่างเดินอยู่ท่ามกลางความมืดมิดเพียงลำพัง
แต่ไม่ได้ตรงกลับไปยังที่พัก ทว่าย้อนกลับไปทางเดิม ไปที่
ศาลาคว้าเมฆ ถอดรองเท้าหุ้มแข้งออกนั่งขัดสมาธิพื้นที่ประกอบพิธีกรรมของเฉาฉิงหล่างอยู่ที่ยอดเขาจิ่ง
ซิงภูเขาโฉวโหมว จากที่เฉาฉิงหล่างคิดไว้ พื้นที่ประกอบ
พิธีกรรมที่ว่านี้ทั้งไม่หรูหรา ไม่คิดจะเลียนแบบเซียนดิน
ทั้ง
หลายที่ทำการก่อสร้างใหญ่โต จวนเซียนทอดยาวต่อเนื่อง
กัน หอเรือนหยกสลักงามวิจิตร แต่ก็ไม่อาจเรียบง่ายโกโรโกโส
เกินไป เพราะถึงอย่างไรพวกตำราหายากตำราที่มีเหลือแค่
เล่มเดียว แล้วก็พวกภาพวาดตัวอักษรที่ชื่นชอบทั้งหลาย ต่าง
ก็ล้ำค่าอีกทั้งยังบอบบาง จำ เป็นต้องมีหอเรือนเล็กสองชั้น
เอาไว้เก็บหนังสือโดยเฉพาะหลังหนึ่ง และหอเรือนของ
ปัญญาชน โดยทั่วไปก็มักจะมีชื่อเรียก ก่อนหน้านี้ตอนที่นั่ง
ล้อมวงอยู่รอบกองไฟกัน เฉาฉิงหล่างก็ได้ขอให้อาจารย์ช่วย
ตั้ง
ชื่อให้
ดูเหมือนว่าอาจารย์จะคิดไว้คร่าวๆ ล่วงหน้าก่อนแล้ว
ไม่ต้องเสียเวลาคิดนานก็บอกชื่อห้องหนังสือแห่งนั้นมาให้
ทันที
เรือนฮั่วหรานหากดึงเอาคำศัพท์คำว่า ‘ฮั่ว’ ออกมาคำเดียว อันที่จริง
ไม่ถือว่าเป็น ‘คำที่ไพเราะ’ เท่าไรนัก เพราะไม่ว่าจะเป็นคำ
กิริยาหรือคำนามก็ล้วนมีความหมายที่ไม่ดี หนึ่งใน
ความหมายที่ว่านี้ก็วัชพืชและพืชผลเติบโตด้วยกัน แต่หากเอา
คำว่า ‘ฮั่ว’ มาผสมรวมกับคำว่า ‘หราน’ ความหมายก็จะต่าง
ออกไปอย่างสิ้นเชิงทันที ยกตัวอย่างเช่นในเรื่องของการอ่าน
ตำราศึกษาเล่าเรียน คำว่าฮั่วหรานอี้เจี่ยก็คือเข้าใจอย่างกระ
จ่างแจ้งในฉับพลัน เหมือนอาการป่วยเรื้อรังที่จู่ๆ ก็หายดี และ
คำว่า ‘ฮั่วหรานไคหล่าง’ (ความจริงได้กระจ่างขึ้นมาอย่าง
กะทันหัน) ที่ใช้กันบ่อยที่สุด ก็สามารถเอามาใช้บรรยาย
ถึงวิสัยทัศน์ของคนคนหนึ่ง แล้วก็สามารถพูดถึงสภาพจิตใจ
บางอย่างของคนคนหนึ่งได้ด้วย
นอกจากนี้ในชื่อของเฉาฉิงหล่าง เดิมทีก็มีอักษรคำว่า
‘หล่าง’ อยู่แล้ว
ทว่านาทีที่อาจารย์ตั้งชื่อห้องหนังสือที่ดีเยี่ยมนี้ออกมา
เฉาฉิงหล่างกลับมองเห็นความระมัดระวังที่ค่อนข้างจะไม่คุ้นเคย แต่กลับไม่ถือว่าเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกจากดวงตา
ของอาจารย์
จุดที่ลึกที่สุดในสีหน้าและดวงตาของอาจารย์ คือ
ความละอายใจ
ราวกับว่าการฝากความหวังไว้ประเภทนี้ทำให้อาจารย์
รู้สึกละอายใจ
เพราะอะไรกัน
ในที่สุดเฉาฉิงหล่างก็ได้รู้คำตอบ ปีนั้นตอนที่อยู่ในพื้นที่
มงคลดอกบัวอันเป็นบ้านเกิด อาจารย์เฉินที่ยังไม่ใช่อาจารย์
ของเขา ระหว่างที่พาเขาเดินไปส่งเข้าเรียน อาจารย์เฉินช่วย
กางร่มให้ หยุดยืนอยู่ตรงมุมเลี้ยวของถนนกับตน อาจารย์เฉิน
ที่กางร่มหยุดเดิน ทำไมถึงทำท่าจะพูดแต่ไม่พูดอยู่หลายครั้ง
สุดท้ายก็เลือกที่จะเงียบงัน จากนั้นค่อยพาตนเดินไปต่อ
อีกครั้ง
อาจารย์คือคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน ทั้งๆ ที่รู้ดีว่า
จะทำให้เด็กคนหนึ่งข้ามผ่านด่านทางใจ ผ่านพ้น
ความทุกข์ทรมานไปได้อย่างไร ทว่าอาจารย์เฉินในเวลานั้นกลับยังคงไม่กล้าเปิดปาก คงเป็นเพราะอาจารย์รู้สึกว่า
สำ หรับคนคนหนึ่งที่ยังเป็นแค่เด็กแล้ว การที่เขาเข้าใจ
หลักการเหตุผลที่เห็นได้ชัดว่าเป็นหลักการเหตุผลที่ดีมากแต่
เนิ่นๆ คำว่าแต่เนิ่นๆ นี้ก็คือความโหดร้ายอย่างหนึ่ง
เพราะปีนั้นในบ้านบรรพบุรุษของเฉาฉิงหล่างมีคนวัย
เดียวกันสองคนอาศัยอยู่ ดังนั้นอาจารย์เฉินจึงไม่ต้องการให้
เด็กน่าสงสารคนหนึ่งที่เขารู้สึกว่ารู้ความมากแล้ว กลายไป
เป็นเด็กที่รู้ความยิ่งกว่าเดิมเพื่อเด็กน่าสงสารอีกคนหนึ่งที่ยัง
ไม่รู้ความ ใต้หล้าไม่มีเหตุผลเช่นนี้
เฉาฉิงหล่างเอนหลังพิงเสาศาลา น่าเสียดายที่ตน
ไม่มีความเคยชินที่จะพกเหล้าไว้ติดตัว
อาจารย์ที่ดีถึงเพียงนี้ ตนหาเขาเจอได้อย่างไรกันนะ
หลังจากหมี่ลี่น้อยออกมาจากเรือนของห่านขาวใหญ่
แล้วก็แอบย้อนกลับมาอีกครั้ง เพราะถึงอย่างไรก็อยู่ว่าง
ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว หัวหน้าศูนย์บัญชาการใหญ่เผยต้อง
ปรึกษาธุระสำ คัญกับใต้เท้าเจ้าประมุขแห่งยุทธภพ ตอนนี้
ตำแหน่งขุนนางของนางยังไม่สูงมากพอสังเกตเห็นว่าเจ้าขุนเขาคนดีนั่งอยู่ในลานบ้าน ข้างเท้า
วางลำไม้ไผ่สีเขียวที่สั้นยาวไม่เท่ากันไว้เป็นกอง
หมี่ลี่น้อยนั่งยองลงด้านข้าง นางมองเบาะแสออกแล้ว นี่
คือทักษะประจำ ตัวของเจ้าขุนเขาคนดีแล้ว เขากำลังทำหีบ
ไม้ไผ่อยู่นะ
หมี่ลี่น้อยถามเสียงเบา “เจ้าขุนเขาคนดี ทำหีบหนังสือให้
ข้าใบหนึ่งด้วยได้ไหม?”
เฉินผิงอันยิ้มน้อยๆ “ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”
ปีนั้นระหว่างที่เดินทางไปขอศึกษาต่อที่สำ นักศึกษาซาน
หยา หีบไม้ไผ่ใบที่ทำให้หลี่เป่าผิงเล็กเกินไปแล้ว
หมี่ลี่น้อยกล่าว “หีบหนังสือของข้าใบนั้นสามารถทำ
ทีหลังสุดได้ ใช้ไม้ไผ่ที่เหลืออยู่ก็ได้ เอาแค่ใบเล็กๆ ก็พอแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม้ไผ่กองนี้ ทำหีบหนังสือได้พอ
สามใบอยู่แล้ว”
เป่าผิง โย่วเฉียน บวกกับของหมี่ลี่น้อย ไม่มีปัญหาใดๆ
ชุยตงซานที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะหนังสือในห้องนั่งตะโกนขึ้นว่า
“อาจารย์!”เฉินผิงอันไม่แม้แต่จะเงยหน้า “ไสหัวไป”
ชุยตงซานรีบคลี่ยิ้มกว้างทันใด “ได้เลย!”
อาจารย์ยังคงไม่เห็นลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจอย่างตน
เป็นคนนอกที่สุดแล้วจริงๆ อากาศหนาวเย็น แต่ในใจของศิษย์
กลับอบอุ่นนัก
ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ศิษย์น้องเฉา พวกเจ้าเคยโดนอาจารย์
ด่าไหม? แล้วนับประสาอะไรกับที่อย่าว่าแต่โดนด่าเลย ข้าน่ะ
เคยโดนตีมาก่อนแล้วด้วย
ห่านขาวใหญ่ก้มหน้าก้มตาอยู่กับสมุดบัญชีต่อไป
มือหนึ่งถือพู่กันเขียนรายการ อีกมือหนึ่งดีดลูกคิดดังป้อกแป้ก
ในสมุดบัญชีของสำ นักกระบี่ชิงผิงบ้านตน เนื่องจาก
เรื่องของขวัญการเข้าร่วมงานพิธี ทำให้อยู่ดีๆ ก็ได้เงินฝน
ธัญพืชมาหลายก้อน
ราชวงศ์ต้าเฉวียน หลี่ซีหลิงเจ้ากรมพิธีการนำเงินฝน
ธัญพืชมาให้แปดสิบเหรียญ สำ หรับกรมคลังของต้าเฉวียนที่
ชักหน้าไม่ถึงหลังแล้ว ถือเป็นการเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนหิมะ
โดยแท้เงินฝนธัญพืชแปดร้อยเหรียญของสำ นักกุยหยก มีมาด
ของคนรวย ไม่เสียแรงที่นั่งเก้าอี้อันดับหนึ่งของใบถงทวีป
พวกเรา!
หาดหินหวงเฮ้อและภูเขาเยี่ยนซานในพื้นที่มงคลถ้ำ
เมฆาของสกุลเจียง อิงตามบัญชีรายรับในอดีต เมื่อหักต้นทุน
ออก เฉลี่ยออกมาแล้วทุกปีก็จะมีรายรับประมาณเจ็ดสิบ
แปดสิบเหรียญเงินฝนธัญพืช ไม่มาก? เยอะมากแล้ว!
แล้วนับประสาอะไรกับที่เป็นรายรับระยะยาวที่นานถึงห้า
ร้อยปี? โจวอันดับหนึ่งไม่ลงมือก็ไม่เท่าไร แต่พอลงมือทีกลับ
ไม่เคยทำให้คนผิดหวังเลยจริงๆ
เดิมทีเจ้าสำ นักชุยอยากจะทำตามความปรารถนาของ
ผู้คน เขียนจดหมายลับส่งไปยังท่าเรือบางแห่งของใต้หล้า
เปลี่ยวร้าง โน้มน้าวโจวอันดับหนึ่งที่เป็นคนนอกครึ่งตัวแล้วให้
ดีๆ ว่า หากไม่มีธุระก็อย่ามาเป็นแขกที่สำ นักกระบี่ชิงผิงเลย
พวกเรากังวลว่าจะเสี่ยวโม่จะเข้าใจผิด
ตอนนี้ดูแล้ว จดหมายฉบับนี้ก็ยังต้องเขียนอยู่ เพียงแต่
ไม่เขียนประโยคนี้แล้ว จะทำให้คนเสียใจเอาได้ ไม่เหมาะสมจะต้องรำลึกความหลังบนจดหมายกับโจวอันดับหนึ่งให้ดีๆ
ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของภูเขาลั่วพั่ว
ในเมื่อเป็นคนนอกครึ่งตัวของภูเขาเซียนตู ถ้าอย่างนั้นก็เป็น
คนในครอบครัวเดียวกันครึ่งตัวอย่างไรล่ะ สำ นักกระบี่ชิงผิง
ของพวกเราจำ เป็นต้องต้อนรับโจวอันดับหนึ่งกลับบ้านให้ดี
อันที่จริงก่อนหน้านี้เผยเฉียนแอบมอบวัตถุจื่อชื่อชิ้นนั้น
ให้ชุยตงซานลับหลังอาจารย์มาแล้ว
ศิษย์พี่หญิงใหญ่บอกว่าทั้งวัตถุจื่อชื่อบวกกับเงินฝน
ธัญพืชหนึ่งพันเหรียญในนั้น ถือว่านางให้ศิษย์พี่เล็กและสำ นัก
กระบี่ชิงผิงยืมชั่วคราว ไม่คิดดอกเบี้ย
แน่นอนว่าชุยตงซานไม่กล้ารับเอาไว้ บอกชัดเจนว่ากลัว
อาจารย์จะด่า แต่ตอนนั้นดูจากท่าทีของศิษย์พี่หญิงใหญ่เขาก็
เปลี่ยนจากไม่กล้ารับมาเป็นไม่กล้าไม่รับ
ถูกอาจารย์ตำหนิต่อหน้าไม่กี่ประโยค ถึงอย่างไรก็ดีกว่า
ถูกศิษย์พี่หญิงใหญ่จดลงบัญชีกระมัง
มารดามันเถอะ ต้องหาโอกาสมอบตำราวีรบุรุษของป๋าย
เสวียนเล่มนั้นออกไปให้ได้ ดูว่าจะสามารถชดใช้หนี้ทั้งหมดของตัวเองที่อยู่กับศิษย์พี่หญิงใหญ่ได้หรือไม่
พวกแขกผู้มีเกียรติทั้งหลายอย่างเจินเหรินผู้เฒ่า
เหลียงส่วง ของขวัญร่วมแสดงความยินดีรวมกันแล้วไม่
ถึงยี่สิบเหรียญเงินฝนธัญพืช แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเงินฝนธัญพืช
ของแท้แน่นอน หากว่านำไปคำนวณเป็นเงินเกล็ดหิมะ ก็ได้มา
กองใหญ่
และยังมีเรือข้ามฟาก ‘ถงอิน’ ลำนั้นที่เวลานี้ได้มาจอด
เทียบท่าอยู่ที่ ‘ท่าเรือชิงซาน’ หนึ่งใหญ่หนึ่งเล็ก เป็นเพื่อนบ้าน
กับเรือเฟิงยวนที่เป็นเรือข้ามทวีปเรียบร้อยแล้ว
เฉินผิงอันถาม “ทางฝั่งของราชวงศ์ต้าเฉวียน ภายใน
หกสิบปีจะสามารถหาตัวอ่อนผู้ฝึกกระบี่ได้สักกี่คน? เจ้าสา
มารถลองประมาณการณ์คร่าวๆ ได้หรือไม่?”